คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 412
- ผู้ติดตาม: 0
คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
โพสต์ที่ 3
ผมเพิ่งกลุ่มนี้ขายไปตัวนึงครับ เก็บมาปลายปีที่แล้ว ได้กำไรพอสมควรเลย
ตอนนั้นแบบนิ่งๆไม่มีใครสนใจ
แต่ละตัวโอกาสโตไม่เหมือนกันน่ะครับ ดูคู่แข่งในละแวกใกล้เคียงของเค้าด้วย
อย่าง bgh ยอดขายโตได้อีกเยอะนะครับแต่ราคาหุ้นตอนนี้ผมไม่แน่ใจ
เพิ่งเล่นรอบซื้อ-ขายไปเหมือนกัน(ซื้อเพราะเห็นผู้บริหารเก็บเยอะ)
ตอนนั้นแบบนิ่งๆไม่มีใครสนใจ
แต่ละตัวโอกาสโตไม่เหมือนกันน่ะครับ ดูคู่แข่งในละแวกใกล้เคียงของเค้าด้วย
อย่าง bgh ยอดขายโตได้อีกเยอะนะครับแต่ราคาหุ้นตอนนี้ผมไม่แน่ใจ
เพิ่งเล่นรอบซื้อ-ขายไปเหมือนกัน(ซื้อเพราะเห็นผู้บริหารเก็บเยอะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 56
- ผู้ติดตาม: 0
คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
โพสต์ที่ 6
ประเด็นนี้ได้มีการตั้งขึ้นมาบ่อยๆ ในช่วงหลัง
ก็ขอแสดงความเห็นอย่างง่ายๆ ครับ
อุตสาหกรรมนี้โดยรวมเติบโตประมาณปีละ 10% โดยกลุ่ม รพ. เอกชนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน จะโตได้มากกว่าค่าเฉลี่ยอยู่พอสมควร
แพทย์จะขาดแคลนอยู่บ้างที่ รพ. ของรัฐ ส่วน รพ.เอกชนกลับไม่มีปัญหาตรงนี้
ส่วน รพ. เอกชน ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ระดับกลาง, กลาง ถึง ล่าง โดยรวมจะมีการเติบโตน้อยกว่า ลดตามระดับกันลงมา
แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้างครับ เร็วๆนี้ รพ.หนึ่ง งบออกมาสวย ราคาหุ้นก็วิ่งกันใหญ่ครับ อันเกิดจากควบคุมต้นทุน เช่น การไปกดค่าตอบแทนแพทย์, ของที่ใช้แล้วกับคนไข้กลุ่มที่จ่ายตังเองบางส่วนก็ไปอบฆ่าเชื้อแล้วนำไปใช้กับคนไข้กลุ่ม 30 บาท ทำให้เกิดการประหยัด...
ก็ขอแสดงความเห็นอย่างง่ายๆ ครับ
อุตสาหกรรมนี้โดยรวมเติบโตประมาณปีละ 10% โดยกลุ่ม รพ. เอกชนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน จะโตได้มากกว่าค่าเฉลี่ยอยู่พอสมควร
แพทย์จะขาดแคลนอยู่บ้างที่ รพ. ของรัฐ ส่วน รพ.เอกชนกลับไม่มีปัญหาตรงนี้
ส่วน รพ. เอกชน ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ระดับกลาง, กลาง ถึง ล่าง โดยรวมจะมีการเติบโตน้อยกว่า ลดตามระดับกันลงมา
แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้างครับ เร็วๆนี้ รพ.หนึ่ง งบออกมาสวย ราคาหุ้นก็วิ่งกันใหญ่ครับ อันเกิดจากควบคุมต้นทุน เช่น การไปกดค่าตอบแทนแพทย์, ของที่ใช้แล้วกับคนไข้กลุ่มที่จ่ายตังเองบางส่วนก็ไปอบฆ่าเชื้อแล้วนำไปใช้กับคนไข้กลุ่ม 30 บาท ทำให้เกิดการประหยัด...
-
- Verified User
- โพสต์: 56
- ผู้ติดตาม: 0
คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
โพสต์ที่ 8
คุณ pk8 คงเดาออกว่าตัวอย่างที่ยกมาเป็นที่ใหน
ค่าตอบแทนแพทย์ ใน case ปกติ ก็ จ่ายตามปกติ ส่วนของกลุ่มที่ว่านั้น จะต่ำกว่าประมาณ 60% ครับ แต่ก็ได้ปริมาณมาก (มีคนไข้มาก)
ส่วนเรื่องวัสดุ ที่นำมาใช้ จริงๆ พวกเราหลายท่านรู้ หรือไม่ก็พอมองออกอยู่แล้วว่าในทางธุรกิจ จะทำอย่างไรให้อยู่รอด, มีกำไรได้
และขออนุญาตที่จะไม่ให้ความเห็นต่อจากนี้ครับ
ค่าตอบแทนแพทย์ ใน case ปกติ ก็ จ่ายตามปกติ ส่วนของกลุ่มที่ว่านั้น จะต่ำกว่าประมาณ 60% ครับ แต่ก็ได้ปริมาณมาก (มีคนไข้มาก)
ส่วนเรื่องวัสดุ ที่นำมาใช้ จริงๆ พวกเราหลายท่านรู้ หรือไม่ก็พอมองออกอยู่แล้วว่าในทางธุรกิจ จะทำอย่างไรให้อยู่รอด, มีกำไรได้
และขออนุญาตที่จะไม่ให้ความเห็นต่อจากนี้ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
โพสต์ที่ 10
มีหมอหลายท่านที่พูดทำนองนี้นะครับ กรณี KH
คงแล้วแต่ว่าเราอยู่ในฐานะอะไร
ถ้าเป็นหมอ ก็คงไม่ชอบ
ถ้าเป็นผู้ถือหุ้น คงชอบถ้ามีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างนี้
ถ้าเป็นคนใข้ 30 บาท ส่วนหนึ่งคงไม่ชอบ เพราะไม่อยากเป็นคนใข้ชั้น 2 อีกส่วนหนึ่งคงไม่มีปัญหา ขอให้มีหมอรักษา มี รพ.ที่ใกล้บ้าน และคนเหล่านี้คงไม่ชอบ BH BGH แน่ที่ไม่ต้อนรับเค้า
ส่วนที่ว่าธุรกิจโรงพยาบาลน่าสนใจหรือเปล่า
ผมขอคัดลอกที่ ดร. เคยเขียนบทความไว้ครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กันยายน2545
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คงแล้วแต่ว่าเราอยู่ในฐานะอะไร
ถ้าเป็นหมอ ก็คงไม่ชอบ
ถ้าเป็นผู้ถือหุ้น คงชอบถ้ามีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างนี้
ถ้าเป็นคนใข้ 30 บาท ส่วนหนึ่งคงไม่ชอบ เพราะไม่อยากเป็นคนใข้ชั้น 2 อีกส่วนหนึ่งคงไม่มีปัญหา ขอให้มีหมอรักษา มี รพ.ที่ใกล้บ้าน และคนเหล่านี้คงไม่ชอบ BH BGH แน่ที่ไม่ต้อนรับเค้า
ส่วนที่ว่าธุรกิจโรงพยาบาลน่าสนใจหรือเปล่า
ผมขอคัดลอกที่ ดร. เคยเขียนบทความไว้ครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กันยายน2545
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
30 บาท...ทุกหุ้น
สุดา : พักนี้ทำไมหุ้นโรงพยาบาลวิ่ง?
สุระ : ก็เพราะมีคนไข้มากขึ้น
สุดา : เกิดเหตุอะไรต้องเข้าโรงพยาบาล?
สุระ : อ๋อ! ก็บาดเจ็บมาจากตลาดหุ้นนะสิ
หุ้นโรงพยาบาลเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจมานาน และก็คงจะไม่สนใจต่อไปอีกนานแม้ว่าราคาของหุ้นโรงพยาบาลบางตัวจะปรับตัวขึ้นมากเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดที่หงอยเหงาในช่วง 3 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
เหตุที่นักลงทุนไม่สนใจหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลนั้น ผมคิดว่าเป็นเพราะหุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นหุ้นที่ไม่มีเสน่ห์เลยในสายตาของคนเล่นหุ้น
ข้อแรกก็คือกิจการโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่ไม่หวือหวา รายได้ไม่เพิ่มรวดเร็ว กำไรก็เป็นแบบเดียวกัน คือไม่มีโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะฉะนั้นคนที่ซื้อหุ้นอาจจะต้องรอนานกว่าที่ราคาหุ้นจะปรับตัวให้ขายได้กำไรเร็ว ๆ
ข้อที่สองที่ทำให้นักลงทุนไม่อยากแตะหุ้นโรงพยาบาลก็คือ หุ้นในกลุ่มนี้เป็นหุ้นตัวเล็กที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ประเภท ซื้อได้ แต่ ขายไม่ได้ ดังนั้นคนที่เล่นหุ้นระยะสั้น ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดจึงไม่สนใจ เช่นเดียวกับกองทุนหรือสถาบันการลงทุนเองก็ไม่อยากหรือไม่สามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้
ข้อสุดท้าย ก็คือโรงพยาบาลที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นโดยเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ทั้งหลายต่างก็ได้ทำร้ายตัวเองโดยการขยายกิจการออกไปมากมาย บางบริษัทนอกจากจะเปิดโรงพยาบาลใหม่ ๆ แล้วก็ยังไปลงทุนทำคอนโดหวังขายให้หมอหรือพยาบาลจนทำให้กิจการมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้
ทั้งหมดนั้นทำให้หุ้นโรงพยาบาล ตายสนิท มานานหลายปีจนคนแทบจะลืมไปแล้วว่ายังมีหุ้นโรงพยาบาลซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเกือบทั้งหมดในประเทศนั้นจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
หุ้นโรงพยาบาลอาจจะไม่เป็นที่สนใจของนักเล่นหุ้นทั่ว ๆ ไป แต่ในฐานะของ Value Investor กิจการโรงพยาบาลนั้นถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่เลวนักด้วยเหตุผลหลายข้อ
ข้อแรกก็คือ บริการการรักษาพยาบาลเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยที่การแข่งขันถูกจำกัดโดยตำแหน่งที่ตั้ง และคุณภาพของบริการ ซึ่งเมื่อองค์ประกอบสองข้อนี้ลงตัวแล้ว ลูกค้ามักจะติดไม่เปลี่ยนไปใช้บริการที่อื่น ดังนั้น การแข่งขันทางด้านราคาจึงมีจำกัด
ข้อสองก็คือ ธุรกิจของโรงพยาบาลมีรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับรายจ่ายต่าง ๆ ก็ค่อนข้างคงที่ เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลที่มีลูกค้าเพียงพอจึงมีกำไรค่อนข้างแน่นอน และมักจะไม่ถูกกระทบโดยปัจจัยภายนอกมากนัก เรียกว่าเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive
ข้อสุดท้ายก็คือ โรงพยาบาลขายสินค้าเป็นเงินสด และต้องการเงินลงทุนใหม่ไม่มากเหมือนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ดังนั้น โรงพยาบาลมักจะสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงเมื่อมีกำไร เพราะโรงพยาบาลมักจะมีกระแสเงินสดที่ดี
กล่าวโดยสรุปก็คือ โรงพยาบาลที่ดำเนินการมาจนอยู่ตัวและมีกำไรแล้ว เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถคาดการณ์ผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงเป็นธุรกิจที่ไม่เลวนักหากราคาหุ้นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรหรือปันผลที่จะได้รับจากบริษัท
ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งที่จะต้องพิจารณาก่อนลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลก็คือ โรงพยาบาลนั้น ได้มีการปรับโครงสร้างและลดภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นในช่วงของการขยายงานจนอยู่ในระดับที่สามารถรับได้หรือยัง ถ้าคำตอบก็คือใช่ การลงทุนในหุ้นของโรงพยาบาล ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ Value Investor จะพิจารณาในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำจากความไม่แน่นอนภายนอก
ผมได้ตรวจสอบดูผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาลในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง และครึ่งปี 2545 แล้วก็พบว่า กิจการโรงพยาบาลน่าจะกำลังฟื้นตัวอย่างชัดเจน เพราะดูแล้วน่าประทับใจมาก
ในช่วงไตรมาสที่สอง กลุ่มโรงพยาบาล 13 แห่ง มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ขาดทุนอยู่ซึ่งก็คือ โรงพยาบาลพญาไท (PYT) และสมิติเวช (SVH) ซึ่งน่าจะเป็นการขาดทุนเนื่องจากที่ยังปรับโครงสร้างไม่เสร็จ แต่ที่สำคัญก็คือ โรงพยาบาลเกือบทั้งหมดมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จะมียกเว้นก็คือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) และวิภาวดี (VIBHA) ซึ่งกำไรลดลง
ถ้าตัดโรงพยาบาลที่ยังปรับโครงสร้างไม่เสร็จและยังขาดทุนอยู่ 2 แห่งดังกล่าวออกไป ผลการดำเนินงานไตรมาสสองปีนี้ของกลุ่มโรงพยาบาลดีขึ้นมากถึง 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนคือเพิ่มจากกำไร 226.8 ล้านบาทเป็น 386.2 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับกำไรของไตรมาสหนึ่งในปี 2545 ที่มีกำไร 261.7 ล้านแล้ว ก็เป็นการเติบโตของกำไร 48%
ในด้านของฐานะการเงินซึ่งมองจากยอดหนี้สินที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีกับสถาบันการเงินนั้นตัวเลขล่าสุดคือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 แสดงให้เห็นว่าโรงพยาบาลเกือบทุกแห่งมีหนี้น้อยลงจนอยู่ในระดับปลอดภัยไม่มีปัญหาที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้
เริ่มตั้งแต่หุ้นโรงพยาบาลเอกชล(AHC) ซึ่งไม่มีหนี้เลยแถมมีเงินสดเหลืออีก 76 ล้านบาท และถือได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีงบสวยที่สุดแห่งหนึ่ง ตามด้วยหุ้นของโรงพยาบาลกรุงเทพ(BGH) ซึ่งมีหนี้ประมาณ 2,200 ล้านบาท แต่มีส่วนของผู้ถือหุ้นถึง 2,977 ล้านบาท
หุ้นบำรุงราษฎร์ (BH) ซึ่งยังถูกแขวนไม่ให้ซื้อขาย ขณะนี้เหลือหนี้เพียงประมาณ 2,200 ล้านบาทเท่า ๆ กับหุ้นของโรงพยาบาลกรุงเทพ แต่มียอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลถึงปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ก็น่าจะถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่ รอด แล้ว และน่าจะกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้
หุ้นโรงพยาบาลกรุงธน(KDH) โรงพยาบาลลานนาเชียงใหม่(LNH) โรงพยาบาลมหาชัย (M-CHAI) โรงพยาบาลวัฒนาการแพทย์ (NEW) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ต่างก็มีหนี้ค่อนข้างน้อยในระดับ 101, 49, 259 และ 285 ล้านบาทตามลำดับซึ่งก็ถือว่า ไม่มีปัญหาในการชำระหนี้อย่างแน่นอน ในขณะที่โรงพยาบาลนนทเวช (NTV) นั้น นอกจากไม่มีหนี้แล้วก็ยังมีเงินสดเหลือประมาณ 35 ล้านบาท ซึ่งคงจะสามารถจ่ายปันผลค่อนข้างงดงามไปเรื่อย ๆ อย่างที่ทำมาตลอด
หุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง(RAM) หุ้นโรงพยาบาลศิขริน (SIKRIN) และหุ้นโรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ทั้งสามตัวนี้มีหนี้ที่ระดับประมาณ 835, 390 และ 503 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งถ้าแม้ว่าจะมากกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็กอื่นเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในวิสัยที่สามารถจะบริหารได้อย่างสบายมาก
แม้แต่หุ้นของโรงพยาบาลพญาไท (PYT) และหุ้นโรงพยาบาลสมิติเวช (SVH) ซึ่งยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนเอง ผมคิดว่าในที่สุดจะเริ่มดีขึ้นจนทำกำไรขึ้นมาได้ โดยหุ้นสมิติเวชเองนั้นมีหนี้ประมาณ 1,771 ล้านบาทซึ่งผมเห็นว่ารายได้ของโรงพยาบาลพอรับได้ ส่วนหุ้นโรงพยาบาลพญาไทเองนั้น ถึงแม้ว่าหนี้จะยังสูงถึงกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท แต่เข้าใจว่าได้มีการปรับโครงสร้างและลดหนี้ลงจนน่าจะอยู่รอดได้แล้ว
ข้อที่บางคนอาจจะเป็นห่วงเกี่ยวกับกิจการโรงพยาบาลเอกชนก็คือ เกรงว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจะทำให้คนหันไปใช้บริการโรงพยาบาลของหลวงกันหมดนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาเนื่องจากบริการของโครงการ 30 บาทน่าจะมาจากคนที่มีรายได้น้อยซึ่งไม่ใช่ลูกค้าของโรงพยาบาลเอกชนอยู่แล้ว
ประมวลจากการวิเคราะห์ทั้งหมด ข้างต้น ผมจึงมีความเห็นว่ากิจการโรงพยาบาลเอกชนนั้น ฟื้นตัวแล้ว และถ้าดูจากราคาหุ้นของโรงพยาบาลทั้งหมดซึ่งมีราคาส่วนใหญ่ไม่เกิน 30 บาทต่อหุ้น ผมจึงคิดว่า หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลหลายตัวนั้นน่าสนใจโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีความแน่นอนของผลการดำเนินงาน และต้องการรับปันผลในอัตราที่สูงในอนาคต
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 121
- ผู้ติดตาม: 0
คิดยังไงกลับกลุ่มโรงพยาบาลครับ
โพสต์ที่ 12
จริงครับ แล้วก็ไม่มีใครต่อราคาด้วยiambuffet เขียน:น่าลงทุนครับ
คนไทยป่วยกันเยอะขึ้น
ผมมองอีกอย่างหนึ่งด้วยนะว่า พวกกลุ่มนี้ทำอสังหาริมทรัพย์ด้วย คือพื้นที่ที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ ก็ราคาขึ้นเรื่อยๆ เช่น โรงพยาบาลนนทเวช น่าจะมีก่อน The Mall งามวงศ์วานนะ ตอนนี้แถวนั้นรถติดมาก เจริญขึ้นเรื่อยๆ ถ้านนทเวช เป็นเจ้าของพื่นที่เอง ตอนนี้คงยิ้มแล้วครับ ราคาที่ดินน่าจะขึ้นมหาศาล
อีกตัวหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ KH ที่ LH ถืออยู่ใหญ่อยู่ ไม่รู้ว่าอีก 10 - 20 ปี ข้างหน้า จะทำอย่างไรกับที่ดินหรือเปล่า
เหมือน Mcdonald ที่อเมริกาครับ เขาบอกว่า รวยเพราะอสังหา ไม่ใช่ เบอร์เกอร์
ผมว่าเผยๆ พวกโรงพยาบาล อาจจะทำกองทุนอสังหาริมทรัพย์นะ แต่คงเป็นปีหน้า ปีโน้น คงหลัง Major, HMPRO (ถ้าพวกนี้ทำสำเร็จ)