จาก Warren Buffett ถึงนักลงทุนพอร์ตเล็ก / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
จาก Warren Buffett ถึงนักลงทุนพอร์ตเล็ก / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
จาก Warren Buffett ถึงนักลงทุนพอร์ตเล็ก / โดย คนขายของ
ในปี 1951 ขณะที่อายุได้ 21 ปี Buffett ได้เริ่มงานที่แรกในฐานะ “Investment Salesman” กับบริษัทชื่อ Buffett-Falk & Co ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนของบิดาของเขาเอง ในตอนนั้นเขามีความมั่งคั่งราว 20,000 เหรียญ คุณคิดว่าการลงทุนของ Buffett ในช่วงนั้นเป็นแนวไหน? ผลตอบแทนการลงทุนของเขา เป็นอย่างไร? คิดว่าในตอนนั้นเขาเล่นเก็งกำไรแบบซื้อๆขายๆ แล้วเมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นค่อยเปลี่ยนมาเป็น นักลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือเปล่า?
ในปี 2005 Buffet ได้เล่าถึงสมัยที่เขาเริ่มลงทุนให้กลุ่มนักศึกษาที่มาเยี่ยมชม Berkshire Hathaway ที่โอมาฮาว่า ในช่วงทศวรรษ 1950 ถึงแม้ว่าตอนนั้นเงินลงทุนเขายังน้อย แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในชีวิตการลงทุนของเขา ซึ่งเขาสามารถทำผลตอยแทนทบต้นได้มากกว่า 50% ขึ้นไป และเขายังย้ำว่า ถึงในวันนี้แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่การบริหารพอร์ตขนาดเล็กให้ได้ผลตอบแทน50% นั้นยังคงเป็นไปได้ และง่ายกว่าเดิมด้วย เพราะข้อมูลข่าวสารนั้นสามารถเข้าถึงได้สะดวกมาก แล้ว Warren Buffett หาหุ้นอย่างไรในช่วงทศวรรษ 1950? เขากล่าวว่า “คุณต้องพลิกหินจำนวนมากมาย เพื่อค้นหาสิ่งเล็กๆที่ไม่อยู่ในกระแส คุณต้องหาบริษัทที่ไม่มีแสดงพิกัดอยู่บนแผนที่” ในช่วงเวลาที่ Buffett เริ่มทำงานนั้นเขาได้ทุ่มเวลาเพื่ออ่าน คู่มือการลงทุนของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ภาคธนาคาร ภาคการผลิต หรือ ภาคบริการสาธารณะ โดยอ่านอย่างละเอียดแบบหน้าต่อหน้า ผลจากความอุตสาหะของเขา ทำให้เขาพบเจอบริษัทขนาดเล็ก ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นอย่างมาก เช่น หุ้น Western Insurance ซึ่งซื้อขายกันที่ราคา 3 เหรียญ ในขณะที่มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 20 เหรียญต่อหุ้น หรือหุ้นอย่าง Union Street Railway ซึ่งราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดสุทธิต่อหุ้นเป็นอย่างมาก เรียกว่าซื้อแบงค์ร้อยได้ในราคา 30 บาทเลยทีเดียว
ผมเชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่านคงมีคำถามว่า แล้วหุ้นอย่างนี้จะคงหลงเหลืออีกหรือในปัจจุบัน? เนื่องอัตราดอกเบี้ยโลกเป็นขาลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 1982 ทำให้ตลาดหุ้นทั้วโลกอยู่ในขาขึ้นมาโดยตลอด อาจจะทำให้การหาหุ้นที่ดูเหมือนว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราลองมองออกไปให้กว้างขึ้น ผมเชื่อว่านักลงทุนจะยังคงหาโอกาสดีๆได้อีกมาก เช่น หุ้นบริษัทน้ำมัน บริษัทหนึ่งในรัสเซีย มูลค่ากิจการ มากกว่า 1 ล้านล้านบาท แม้ว่าในปี 2016 ราคาจะขึ้นมาแล้วถึง 40% แต่ปัจจุบันก็ยังซื้อขายกันที่ PE ราวๆ 7 เท่า PBV 0.7 หนี้สินต่อทุนก็น้อยเพียง 0.3 แถมยังมีปันผลมากกว่า 5% ผมลองเช็คดูย้อนหลัง พบว่าในห้าปีที่ผ่านมา มีการจ่ายปันผลทุกปี
หลังจากรัสเซีย ผมลองมาหาหุ้นในตลาดอเมริกาซึ่งดูเหมือนว่าหุ้นของเขาได้เป็นขาขึ้นมายาวนานหลายปี แล้วหุ้นที่ราคาเหมาะสมกับการลงทุนยังมีอยู่หรือ? ผมพบว่า ผมยังสามารถเจอหุ้นที่ PE ต่ำกว่า 7 PBV ต่ำกว่า 1.5 ROE สูงกว่า 15% และมีปันผลมากกว่า 5% ได้อยู่บ้าง ซึ่งก็ตรงกับที่ Buffett เคยกล่าวไว้ว่า บริษัทเหล่านี้มักเป็นบริษัทที่ “ไม่มีการแสดงพิกัดในแผนที่” คืออาจเป็นกิจการที่ไม่ใหญ่มาก ยังไม่มีชื่อเสียง หรือ อาจจะเป็นกิจการระดับท้องถิ่น เลยทำให้นักลงทุนไม่ให้ความสนใจ โดยเฉพาะกองทุนขนาดใหญ่ สำหรับตลาดหุ้นไทย ผมก็เชื่อว่ายังคงมีบริษัทที่ซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอยู่ แต่อาจจะไม่ได้ มองเห็นชัดเจนแบบราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดสุทธิต่อหุ้น แต่อาจเป็นในรูปของ มีมูลค่าที่ดินมหาศาล มีมูลค่าบริษัทลูกแฝงตัว หรือ มีมูลค่าตราสินค้าหรือสิทธิบัตรสูงมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่มีการแสดง ตัวเลขในงบดุล นักลงทุนคงต้องลงในรายละเอียดกันเอง
สำหรับผู้ที่อาจจะเพิ่งเริ่มลงทุน มูลค่าพอร์ตยังเล็กอยู่ ก็ขออย่าเพิ่งได้ถอดใจว่าโอกาสในการลงทุนดีๆนั้นหมดไปแล้ว หรือคิดไปว่าพอร์ตเรายังเล็กเล่นเอามันเอาสนุกดีกว่า อย่าง Buffett ที่มีปริญญาตรีทางบริหารธุรกิจ และ ปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ จบมาแล้วเขายังศึกษาเรื่องธุรกิจของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างละเอียด เรียกว่าอ่านคู่มือแทบทุกหน้า ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อหาโอกาสในการลงทุนที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมเชื่อว่าในโลกของการลงทุน ถ้าเราเริ่มด้วยความยาก ต่อไปเมื่อชำนาญแล้ว คล่องตัวแล้ว การประเมินมูลค่ากิจการนั้นก็จะง่าย Buffett นั้นเคยเล่าว่าเขาใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ในการตัดสินใจว่าจะซื้อกิจการนั้นๆหรือไม่ แต่ถ้าเราเริ่มด้วยความง่าย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่มีวินัย และไม่เน้นแสวงหาความรู้ ความสำเร็จคงจะเกิดขึ้นได้ยาก ก่อนจะลงสนามเพื่อจะลงทุนจริง ขอให้ลองถามตัวเองก่อนว่า “เราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา?” ในสนามที่คุณต้องเจอ กองทุนไทย กองทุนฝรั่ง ที่มีผู้จัดการจบปริญญาโท ปริญญาเอก และรายใหญ่ตลาดหุ้นที่เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว ผมเชื่อว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อย คงมีเพียง ความรู้ที่เข้มข้น และ การรู้จักอดทนและรอคอย ที่จะช่วยให้ฝันเรื่องอิสระภาพทางการเงินนั้นเป็นจริง
ในปี 1951 ขณะที่อายุได้ 21 ปี Buffett ได้เริ่มงานที่แรกในฐานะ “Investment Salesman” กับบริษัทชื่อ Buffett-Falk & Co ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนของบิดาของเขาเอง ในตอนนั้นเขามีความมั่งคั่งราว 20,000 เหรียญ คุณคิดว่าการลงทุนของ Buffett ในช่วงนั้นเป็นแนวไหน? ผลตอบแทนการลงทุนของเขา เป็นอย่างไร? คิดว่าในตอนนั้นเขาเล่นเก็งกำไรแบบซื้อๆขายๆ แล้วเมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นค่อยเปลี่ยนมาเป็น นักลงทุนแนวเน้นคุณค่าหรือเปล่า?
ในปี 2005 Buffet ได้เล่าถึงสมัยที่เขาเริ่มลงทุนให้กลุ่มนักศึกษาที่มาเยี่ยมชม Berkshire Hathaway ที่โอมาฮาว่า ในช่วงทศวรรษ 1950 ถึงแม้ว่าตอนนั้นเงินลงทุนเขายังน้อย แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในชีวิตการลงทุนของเขา ซึ่งเขาสามารถทำผลตอยแทนทบต้นได้มากกว่า 50% ขึ้นไป และเขายังย้ำว่า ถึงในวันนี้แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่การบริหารพอร์ตขนาดเล็กให้ได้ผลตอบแทน50% นั้นยังคงเป็นไปได้ และง่ายกว่าเดิมด้วย เพราะข้อมูลข่าวสารนั้นสามารถเข้าถึงได้สะดวกมาก แล้ว Warren Buffett หาหุ้นอย่างไรในช่วงทศวรรษ 1950? เขากล่าวว่า “คุณต้องพลิกหินจำนวนมากมาย เพื่อค้นหาสิ่งเล็กๆที่ไม่อยู่ในกระแส คุณต้องหาบริษัทที่ไม่มีแสดงพิกัดอยู่บนแผนที่” ในช่วงเวลาที่ Buffett เริ่มทำงานนั้นเขาได้ทุ่มเวลาเพื่ออ่าน คู่มือการลงทุนของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ภาคธนาคาร ภาคการผลิต หรือ ภาคบริการสาธารณะ โดยอ่านอย่างละเอียดแบบหน้าต่อหน้า ผลจากความอุตสาหะของเขา ทำให้เขาพบเจอบริษัทขนาดเล็ก ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นอย่างมาก เช่น หุ้น Western Insurance ซึ่งซื้อขายกันที่ราคา 3 เหรียญ ในขณะที่มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 20 เหรียญต่อหุ้น หรือหุ้นอย่าง Union Street Railway ซึ่งราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดสุทธิต่อหุ้นเป็นอย่างมาก เรียกว่าซื้อแบงค์ร้อยได้ในราคา 30 บาทเลยทีเดียว
ผมเชื่อว่าอ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่านคงมีคำถามว่า แล้วหุ้นอย่างนี้จะคงหลงเหลืออีกหรือในปัจจุบัน? เนื่องอัตราดอกเบี้ยโลกเป็นขาลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 1982 ทำให้ตลาดหุ้นทั้วโลกอยู่ในขาขึ้นมาโดยตลอด อาจจะทำให้การหาหุ้นที่ดูเหมือนว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราลองมองออกไปให้กว้างขึ้น ผมเชื่อว่านักลงทุนจะยังคงหาโอกาสดีๆได้อีกมาก เช่น หุ้นบริษัทน้ำมัน บริษัทหนึ่งในรัสเซีย มูลค่ากิจการ มากกว่า 1 ล้านล้านบาท แม้ว่าในปี 2016 ราคาจะขึ้นมาแล้วถึง 40% แต่ปัจจุบันก็ยังซื้อขายกันที่ PE ราวๆ 7 เท่า PBV 0.7 หนี้สินต่อทุนก็น้อยเพียง 0.3 แถมยังมีปันผลมากกว่า 5% ผมลองเช็คดูย้อนหลัง พบว่าในห้าปีที่ผ่านมา มีการจ่ายปันผลทุกปี
หลังจากรัสเซีย ผมลองมาหาหุ้นในตลาดอเมริกาซึ่งดูเหมือนว่าหุ้นของเขาได้เป็นขาขึ้นมายาวนานหลายปี แล้วหุ้นที่ราคาเหมาะสมกับการลงทุนยังมีอยู่หรือ? ผมพบว่า ผมยังสามารถเจอหุ้นที่ PE ต่ำกว่า 7 PBV ต่ำกว่า 1.5 ROE สูงกว่า 15% และมีปันผลมากกว่า 5% ได้อยู่บ้าง ซึ่งก็ตรงกับที่ Buffett เคยกล่าวไว้ว่า บริษัทเหล่านี้มักเป็นบริษัทที่ “ไม่มีการแสดงพิกัดในแผนที่” คืออาจเป็นกิจการที่ไม่ใหญ่มาก ยังไม่มีชื่อเสียง หรือ อาจจะเป็นกิจการระดับท้องถิ่น เลยทำให้นักลงทุนไม่ให้ความสนใจ โดยเฉพาะกองทุนขนาดใหญ่ สำหรับตลาดหุ้นไทย ผมก็เชื่อว่ายังคงมีบริษัทที่ซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอยู่ แต่อาจจะไม่ได้ มองเห็นชัดเจนแบบราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าเงินสดสุทธิต่อหุ้น แต่อาจเป็นในรูปของ มีมูลค่าที่ดินมหาศาล มีมูลค่าบริษัทลูกแฝงตัว หรือ มีมูลค่าตราสินค้าหรือสิทธิบัตรสูงมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่มีการแสดง ตัวเลขในงบดุล นักลงทุนคงต้องลงในรายละเอียดกันเอง
สำหรับผู้ที่อาจจะเพิ่งเริ่มลงทุน มูลค่าพอร์ตยังเล็กอยู่ ก็ขออย่าเพิ่งได้ถอดใจว่าโอกาสในการลงทุนดีๆนั้นหมดไปแล้ว หรือคิดไปว่าพอร์ตเรายังเล็กเล่นเอามันเอาสนุกดีกว่า อย่าง Buffett ที่มีปริญญาตรีทางบริหารธุรกิจ และ ปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ จบมาแล้วเขายังศึกษาเรื่องธุรกิจของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างละเอียด เรียกว่าอ่านคู่มือแทบทุกหน้า ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อหาโอกาสในการลงทุนที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมเชื่อว่าในโลกของการลงทุน ถ้าเราเริ่มด้วยความยาก ต่อไปเมื่อชำนาญแล้ว คล่องตัวแล้ว การประเมินมูลค่ากิจการนั้นก็จะง่าย Buffett นั้นเคยเล่าว่าเขาใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ในการตัดสินใจว่าจะซื้อกิจการนั้นๆหรือไม่ แต่ถ้าเราเริ่มด้วยความง่าย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่มีวินัย และไม่เน้นแสวงหาความรู้ ความสำเร็จคงจะเกิดขึ้นได้ยาก ก่อนจะลงสนามเพื่อจะลงทุนจริง ขอให้ลองถามตัวเองก่อนว่า “เราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา?” ในสนามที่คุณต้องเจอ กองทุนไทย กองทุนฝรั่ง ที่มีผู้จัดการจบปริญญาโท ปริญญาเอก และรายใหญ่ตลาดหุ้นที่เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว ผมเชื่อว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อย คงมีเพียง ความรู้ที่เข้มข้น และ การรู้จักอดทนและรอคอย ที่จะช่วยให้ฝันเรื่องอิสระภาพทางการเงินนั้นเป็นจริง
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน