สัมมนาที่ งาน Money expo 15 May 16
ดร นิเวศน์ มาอับเดปสถานการณ์การลงทุนและมุมมองในการลงทุุนของอาจารย์ในช่วงนี้ และ รวมถึงเหตุผลในการ
ลงทุนต่างประเทศมาให้เราฟังกันครับ
หุ้น 3-4 ปีนี้ ขึ้นและลงสลับกัน เพราะผลประกอบการไม่ดี ดังนั้นหุ้นเลย sideway ขึ้นลงเป็นพักเหมือนกับชื่อหนังสือ
ของอาจารย์ที่พึ่งออกมาเลย เพราะว่าพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไม่ค่อยดี รวมถึงพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยและโลก
ไม่ค่อยดีด้วย มีปัญหาค้างเยอะสำหรับไทย ยังไม่ลงตัว พื้นฐานคนไทยก็ไม่ดี แก่ตัวไปเรื่อยๆ บ้านเราคนแก่พอๆกับจีน
เพราะ จีนเมื่อ20ปีก่อนมีนโยบายลูกคนเดียว ทำให้มีลูกน้อยลง เด็กเกิดใหม่น้อย หารมาค่าเฉลี่ยอายุก็สูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนไทยอายุต่ำกว่า40ปีถือว่าเด็ก เพราะตอนนี้อายุเฉลี่ย40ปีแล้ว คนแก่คิดเป็น 10% ของประชากรของไทย
อีก10 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% อาจเป็นคนในกลุ่ม Babyboom ปกติ สมัยนั้นครอบครัวนึงประมาณ 10-12 คน พอถึงช่วงนี้ก็แก่พร้อมกัน น่ากลัวสุด เศรษฐกิจก็โตช้า คนแก่ก็เกษียณอีกเยอะ หลายคนเกษียณไม่ได้เพราะเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลง ลดเพดานของการเติบโตGDP ลงจากเลข2หลักเป็น 3% ในปัจจุบัน
สมัยก่อน จบปริญญาตรี มาทำงานปีต่อมาก็มีจบอีกเป็นล้านคนเข้ามาเป็นแรงงาน ตอนนี้ การเติบโตด้วยกำลังคนทำงานลดลง แต่คนแก่ตายยาก มีกิจกรรมเช่น ไปย้อมผม แต่งตัว หรือ พยายามเอาชีวิตให้รอดจากเศรษฐกิจปัจจุบันที่แย่
การขยายเศรษฐกิจให้โตโดยมีคนแก่เยอะทำได้ยาก คนแก่กินไม่เยอะ ดังนั้นการเติบโตต่อไปต้องมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นักเรียนที่เรียนสายวิทย์ ก็มาเป็นหมอ วิศวะ เรียนสายศิลป์ทำงานยากขึ้น
โอกาสที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วหมดแล้ว โตแค่ 3% มาหลายปี ซึ่งสมัยก่อนโต 7% เป็น 10 ปี แล้วลดลงเหลือ 5% เป็น 10ปี หลังวิกฤตซับไพร์ม โตแค่ 3% ตลาดหุ้นบ้านเรา ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงมาก เศรษฐกิจโต 3% บริษัทในตลาดก็โต 3%เหมือนกัน เพราะหุ้นบ้านเราเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจ ดัชนีก็ไม่โตได้แค่ปันผล
เมื่อก่อน ตลาดหุ้นโต 10% มาจาก เศรษฐกิจโต 7% บวกปันผล 3% บางคนลงทุนเก่งอาจได้มากกว่า 20%
คนไม่เก่งก็ได้ 0% เล่นเก็งกำไรไปวันๆ แมงเม่าไม่ได้เงินแต่ได้ความมันส์ ฝากประจำก็ได้แค่ 1% มาลงทุนในตลาดได้ 5% ก็มากแล้ว อย่าหวังเยอะ เพราะจะไปเล่นแบบเก็งกำไร
ภาพตลาดใหญ่ อาจขึ้นได้ จากสองส่วน
1. พื้นฐานของกิจการ เช่น บริษัทโต 5% หุ้นก็ขึ้น 5%
2. เม็ดเงินจากคนมาลงทุน และ ไม่สนใจพื้นฐาน หรือคนที่อยากได้ผลตอบแทนสูง ก็ย้ายจากเงินฝากมา
แต่ถ้าหุ้นมองว่าไม่ดี คนก็พร้อมที่ถอนเงินออกจากตลาดหุ้น ทำให้หุ้นลง
10ปีที่ผ่านมา คนเข้ามาลงทุนกันเยอะ รวมถึงสถาบัน กองทุน RMF , LTF หรือ บริษัทประกันชีวิต ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานบริษัทเท่าเดิมหรือ แย่ลง ฝรั่งขายเท่าไหร่ คนไทยรวมสถาบันก็เป็นคนพยุงหุ้นไว้
จังหวะผิด เม็ดเงินหาย เราก็ขาดทุน หวังพึ่งในระยะยาวไม่ได้ ซึ่งยากมาก ผมคาดการณ์ไม่เป็น
ไม่อยากซื้อหุ้น ขายหุ้นมา2ปี เก็บเงินสดไว้ เมื่อก่อนขายหุ้นตัวนี้ก็พร้อมซื้อตัวใหม่ได้เลย
เมื่อก่อนถือหุ้นเกือบ100% ตอนนี้ถือเงินสดหลายสิบ% อยากลงทุนแต่กลั้นใจไว้ นั่งทับมือตลอด
แต่ไม่ได้บอกว่าลงทุนไม่ได้ ผลตอบแทนอาจน้อยลง ผมรอตลาดpanic ทั้งที่พื้นฐานเหมือนเดิม ผมจะเข้าไปซื้อรอหาจังหวะอยู่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วีไอก็รอจังหวะ นาทีนี้มูลค่าหุ้นไม่ถูก ไม่แพง ปริ่มๆ หาหุ้นถูกไม่ได้
ถ้าซื้อไป พลาดท่าอาจขาดทุน หรือ กำไรไม่เยอะ
หลังจากให้คุณจิตราพูดถึงหุ้นในกลุ่มต่างๆแล้ว ดร นิเวศน์ก็พูดตอบคำถามว่า sector ไหนสนใจลงทุนบ้าง
10ปีที่ผ่านมา ดร นิเวศน์ ประกาศว่า Megatrend ช่วงนั้นคือ การลงทุนในหุ้น กลุ่ม Modern trade มีหลายตัวในพอร์ต
สังคมเปลี่ยนแปลงไป รายได้ประชากรมากขึ้น การจับจ่ายใช้สอยเปลี่ยนจากการซื้อใน Tradition trade เป็นการเข้าห้าง Modern trade แทน เพราะสินค้าได้มาตรฐาน พนักงานต้อนรับดีขึ้น บริษัทขยายกิจการต่อเนื่องทุกปี แต่2ปีที่ผ่านมา Modern trade บางตัว ขยายตัวช้าลง Hypermarket เศรษฐกิจไม่ดี ต่างจังหวัดไม่โต ก็ขยายลดลง ปีละแค่ 2-3 สาขา คนเริ่มอิ่มตัวและเริ่มหาอะไรที่ดีขึ้นจาก Hypermarket เช่น ห้างหรูๆ ไปร้านสะดวกซื้อที่ตอบโจทย์มากกว่า
Modern trade บางตัวก็ถึงจุดอิ่มตัว แต่หลายบริษัท เช่น Homepro , The Mall , Central ยังพอไปได้ ระดับแมส อิงกับเศรษฐกิจเยอะ เงินน้อยก็เข้าน้อยลง และ BigC , Lotus ก็ไปเกือบทุกจังหวัดแล้ว เราก็ขายออกไป แต่บางตัวยังไม่อิ่มตัวก็ถือต่อ ซึ่งดูจากการขยายตัวของสาขา ( อันนี้เป็นเคล็ดลับในการดูหุ้นของอาจารย์ ) ซึ่งใช้วิธีนับจำนวนสาขาเทียบกับประชากร ถ้ายังเป็นสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น ก็ยังขยายได้อีก
หุ้นเกี่ยวกับโรงหนัง เราก็ดู ประชากรต่อโรงหนัง1โรง ก็พอดูได้
เศรษฐกิจไทยใกล้อิ่มตัว ถ้าอิ่มตัวเมื่อไหร่ ธุรกิจค้าปลีกจะไม่โต หรือ โตช้ามาก เหมือนกับ ยูโร ญี่ปุ่น นานๆจะเปิดเพิ่มสักสาขานึง ถ้าเป็นแบบนี้ ธุรกิจไม่โตก็จะขายออกไป
ถ้าเศรษฐกิจหยุดนิ่ง ไม่มีธุรกิจไหนโตได้ ยกเว้น HI technology
สิ่งพิมพ์ อิ่มตัว กำลังลง หัวนิตยสารดังเช่น Image ก็ปิดตัวลง
TV ใกล้ลงแล้ว ก่อนหน้าขึ้นมาตลอด ตอนนี้คนดูน้อยลง เด็กรุ่นใหม่ไม่ดู TV อนาคตข้อมูลเอามาจาก Internet / มือถือ
มือถือจะมาแทน PC เศรษฐกิจไม่โต จะหาหุ้นที่โตยากมาก แต่ไปหาในประเทศเวียดนาม กัมพูชา จะหาง่ายกว่า
ยังไม่มีห้างใหญ่ ก็ยังโตได้อีกเยอะ ถ้าไทยเจอภาวะเศรษฐกิจชงักงันน ยาวๆ ยากในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ
หุ้นโตเร็ว โดยเฉพาะตัวเล็ก โต 40-50% แต่ PE ก็ 40-50 เท่า ซื้อไม่ลง ดังนั้น ขายออกไปก็เก็บเงินสด
กลยุทธ์ในการลงทุนช่วงต่อไปในตลาดหุ้นไทย
เลือกหุ้นไม่ค่อยโต ปันผลดี ธุรกิจมั่นคงสูง กำไรพอสมควร เช่นธนาคาร สื่อสาร
หุ้นตัวที่ยังลงได้ จะซื้อหุ้นที่ไม่โต เช่น ธนาคาร สื่อสาร
หุ้นธนาคาร PE 8-10 เท่า จ่ายปันผล3-4% ถ้าหุ้นไม่ขึ้นก็รับปันผลไปพลางๆ แต่มีเรื่องต้องระวังเรื่อง NPL ถ้าจัดการได้ก็ไม่มีปัญหา จะเป็นเสือนอนกิน ถ้าไม่เจอวิกฤตเศรษฐกิจ
ส่วนหุ้นสื่อสาร รายได้แน่นอน กำไรลดลง แต่ยังมีกำไร คำนวณดูว่า ราคาไหนคุ้มค่ากับการลงทุน
ช่วงนี้เปลี่ยนแปลงเพราะไปประมูลคลื่น4G ทำให้ต้นทุนไม่แน่นอน
แต่อยากรวยแบบเดิมอีกรอบ ก็ต้องไปประเทศที่เศรษฐกิจเหมือนกับเราสมัยก่อน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่ง โต 5-6%
แบบสบายๆไม่ต้องลุ้น ราคาหุ้นถูกมาก แต่ชดเชยด้วยการแสวงหาหุ้นใหม่ โดยการออกนอกประเทศเอาเงินไปลงทุน
แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ดีหรือไม่ อาจถูกหลอกไปขาย เป็นความยากลำบาก ถึงวันนึงคนรุ่นใหม่หวังร่ำรวยก็จะไปแสวงหา ตอนนี้คนหนุ่มสาวมาทำ SME , Startup กันเยอะส่วนใหญ่เจ๊ง และ ก็เล่นหุ้น พวกเขาได้เปรียบ เพราะขาดทุน ก็ไปขอพ่อแม่มาลงทุนใหม่ได้
เหตุผลในการลงทุนหุ้นในต่างประเทศ
การลงทุนนอกบ้าน นาทีนี้ยากและเสี่ยง แต่ยังหวังลึกๆสำหรับการลงทุนจะง่ายและสะดวกขึ้นในอนาคตเหมือนลงทุนในบ้านเรา ตอนนี้ VI รุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในไทยก็ไปลงทุนที่เวียดนามกันหมด เพราะใกล้กับเรามาก บินแค่1ชั่วโมง ไม่ต้องขอวีซ่า อยากนัดบริษัทที่นั่นก็ผ่าน marketing มีล่ามไปช่วยแปลด้วย มีบริษัทเล็กๆที่ไม่มีคนรู้จักแต่ผลประกอบการดีมาก ค่าแรงถูกกว่าไทย 50% วัฒนธรรมเปิดกว้าง ถึงแม้เป็นคอมมิวนิสต์ มีศักยภาพกว่าไทย ปัจจัยพร้อมทุกอย่าง บริษัทต่างชาติเริ่มย้ายจากไทยไปแล้วเช่น Samsung , LG , Sony ลงทุนสินค้าใหม่ ซึ่งมี Facilityดี ท่าเรือเยอะ ไม่เสียภาษี มีการค้าเสรีกับ EU , US , Asian
ลงทุนหุ้นตาม Megatrend
Megatrend นาทีนี้ที่เห็นโตจริงๆ มาจากเมืองนอก เช่น Google , Apple
ส่วนในไทย Modern trade , Hospital ก็มา แต่เป็นธุรกิจโตไม่เร็วมาก PEสูงมากก็ไม่คุ้ม โตตามประชากร
โรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่sectorใหญ่ รพใหญ่คือ โรงพยาบาลรัฐ ถ้าค่ารักษาพยาบาลที่รพ เอกชนแพง ก็ย้ายมารพ รัฐแทน ยกเว้นคนชั้นสูง ไม่มีผลกระทบ โรงพยาบาลเอกชน ยกเว้น BH,BDMS การหาหมอคุณภาพดี เข้ามายาก การสร้างโรงพยาบาลใหม่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าจะกำไร ทำให้กำไรช่วงแรกลดลง ดังนั้น ถ้า PE สูงมากก็ไม่คุ้ม
สายการบิน Low cost อนาคตเติบโตขึ้นกับราคาน้ำมัน ถ้าราคาสูงส่งผลกำไรลดลง และ คู่แข่งเข้ามามากไหม เกิดแข่งขันด้านราคา การประสบความสำเร็จขึ้นกับปัจจัยเยอะ ต้องขึ้นจากปัจจัยหลายปัจจัย เช่น ราคาน้ำมัน นักท่องเที่ยวที่เข้ามา ในสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี พลาดอาจเจ๊งได้
ชอบหุ้นง่ายๆ เหมือนกับการเลือกกีฬาที่ชนะง่ายๆดีกว่า เช่น กีฬากระโดดสูง ก็เลือกที่กั้นเตี้ยๆจะได้ข้ามง่ายๆ
คือ กลุ่มธนาคาร สื่อสาร โรงพยาบาลที่คาดการณ์กำไรได้ แต่ถ้าหารั้วเตี้ยๆให้ข้ามไม่ได้ ก็หยุดเล่นไปก่อน เช่น ในกลุ่มสื่อสาร เรื่องการประมูล4G ทำให้ต้นทุนไม่แน่นอน