MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซียน
- i-salmon
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซียน
โพสต์ที่ 1
Money talk at SET7Jun2015
ช่วงที่ 1 สัมมนา หัวข้อ "เจาะลึกหุ้นเด่นครึ่งปีหลัง"
แขกรับเชิญ :
1. คุณอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ_กรรมการผู้จัดการ บมจ. น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR)
2. คุณเทพทัย ศิลา_กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหการประมูล (AUCT)
3. คุณชูชาติ เพชรอำไพ_ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย ลีสซิ่ง (MTLS)
4. คุณธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์_กรรมการผู้จัดการ บมจ.บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น (BIG)
ผู้ดำเนินรายการ : ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
สรุปการดำเนินธุรกิจ,ประวัติ,ผลดำเนินงาน และแผนในอนาคต
BRR
- ธุรกิจหลัก ขายน้ำตาล และมีรายได้จาก byproduct ทำไฟฟ้าชีวมวล(มี 2 โรงงาน กำลังสร้างโรงที่ 3) , ปุ๋ยอินทรีย์เคมี (กำลังผลิต 3 หมื่นตันต่อปี), โมลาสขาย
- มีการวิจัยพัฒนาเพื่อให้ได้พรรณอ้อยที่มีคุณภาพ
- มีเนื้อที่ 2 แสนไร่ ดูแลเกษตรกรกว่า 1.5 หมื่นครอบครัว
- "น้ำตาลสร้างในไร่ " ชาวไร่ต้องอยู่ให้ได้ก่อน เราจึงอยู่ได้ ชาวไร่อ้อยต้องไม่อยู่ห่างจากโรงงานเกินรัศมี 40 กม. เพราะต้นทุนหลักคือการขนส่ง
- โรงงานน้ำตาล ปี 59 เป้ากำลังผลิต 2.3 หมื่นตัน/วัน อ้อยเข้า 2.5 ล้านตัน/ปี
- ประเทศไทยส่งออกน้ำตาลลำดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล ปีที่ผ่านมาส่งออก 100 ล้านตันอ้อย อ้อย 1 ตัน มีน้ำตาลราว 100 kg บริโภคในประเทศ 25% ที่เหลือส่งออก
- BRR มี share ในประเทศราว 1-2% โรงงานน้ำตาลในไทยมีกว่า 50 โรงงาน กลุ่มใหญ่สุดคือ มิตรผล มี 6 โรงงาน ที่ขนาดรองๆมามักเป็นกลุ่ม เช่น ไทยรุ่งเรือง, ขอนแก่น
- จุดเด่นของบริษํท อ้อย 1 ตันให้ผลผลิตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศ 15 กก. เพราะเราให้ความสำคัญดูแล,อบรมชาวไร่อ้อย มีส่งเสริมพันธุ์อ้อยที่ดี
วิธีการต้องรวมรวมเกษตรกรให้ได้ก่อน และนำให้เขาทำ มีการจัดการวัตถุดิบเข้าโรงงานให้มีคุณภาพสูงตลอดเวลา จัดลำดับความสุก,แก่ รวมทั้งเรื่องความสด,สะอาด ก็สำคัญ แต่ละปีมีแขกมาเยี่ยมชมดูโรงงานจำนวนมาก ทั้งจากในและนอกประเทศ
- โรงงานไฟฟ้าชีวมวล เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ข้อดีคือผลิตได้ 24 ชม. ใน 1 ปีเต็ม จึงช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้
--- ประเด็นต้องจัดการให้วัตถุดิบสม่ำเสมอ พอเพียง ต้นทุนในการรวบรวมชีวมวลต้องน้อยที่สุด อย่างกากอ้อยที่ใช้ส่งเข้าโรงไฟฟ้าของเราต่อสายพานจากโรงผลิตน้ำตาลเข้าโดยตรง
---- กากน้ำตาลได้มาฟรีแต่จะมองเป็นต้นทุนก็ได้ เคยขายให้กลุ่มขอนแก่นได้ตันละ 1800 บาท/ตัน แต่เป็นค่าขนส่งราว 1500 บาท/ตัน
- ผลประกอบการไตรมาส 1 รายได้ 1400 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท โต 64% มาจากหลายสาเหตุ ทั้งกำลังผลิตที่เพิ่ม และต้นทุนการเงินลดลงหลัง ipo ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากโรงไฟฟ้า โรงที่ 2 ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ FIT เดือน เม.ย.58
-- ภาพข้างหน้า แม้ราคาน้ำตาลตลาดโลกจะลดลงจาก 16 เหลือ 12 เซนต์ต่อปอนด์ แต่ ผบห.คาดว่ากำไร BRR จะเพิ่มขึ้น
- ราคาซื้อขายน้ำตาลเราตกลงล่วงหน้า และมีกำไรส่วนหนึ่งจาก Fx ซึ่งที่คิดไว้ทีแรก 30 บาท/US แต่ตอนนี้ 33-34 บาท/US
- อุตสาหกรรมน้ำตาลใช้ sharing system ราคาน้ำตาลลดแต่ต้นทุนวัตถุดิบจะลดลงด้วย โดย รายได้ 70% ให้ชาวไร่ 30% ให้โรงงาน
- เป้าหมายปี 58 เติบโต 100 % แต่คงจะปรับลดลงไปบ้าง
- บริษัทมีปล่อยเงินกู้ให้เกษตรกรปีละพันกว่าล้านบาท(เงินเกี๊ยว)
- โรงไฟฟ้าจะเป็นกำไรให้บริษัทเกือบ 30% โรงงานที่ 1 ได้ adder 3.6 บาท/unit แต่โรงงานที่ 2 ซึ่งเริ่มขาย 6 เม.ย. จะเป็นระบบ FIT ได้ 4.53 บาท/unit กำไรต่อปี 200 กว่าล้านบาท มี margin 50% กว่า ซึ่งถ้าเป็นระบบใหม่น่าจะได้กำไรเพิ่มอีกกว่า 20%
- โรงไฟฟ้าที่ 3 กำลังก่อสร้าง น่าจะขายไฟฟ้าได้ไตรมาส 1 ปี 59 ระบบ FIT เหมือนกัน ซึ่งโรงที่ 4 ก็น่าจะมีอีก
- ข้อจำกัดคืออ้อยปี 59 2.5 แสนตัน ซึ่งอ้อย 1.2 แสนตันใช้ได้ 1 โรงไฟฟ้า เรามีการออกแบบให้ใช้พลังงานความร้อนที่เหลือไปใช้ต่อในโรงงานซึ่งจะทำให้ใช้กากอ้อยน้อย รวมทั้งพวกใบอ้อยก็จะพยายามเอามาทดเป็นเชื้อเพลิง
- โมลาส เรายังไม่ได้ทำ แต่อยู่ระหว่าง EIA โรงงานเอทานอล(ใช้เวลา 6-8 เดือน) ปัจจุบันในประเทศเราใช้แก๊สโซฮอลล์ราว 10% ในอนาคต 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20%
BIG
- เป็นร้านค้าอุปกรณ์ถ่ายภาพ รวมถึงบริการเช่น ล้านอัดภาพ หรือเพิ่มระยะเวลารับประกันอุปกรณ์ออกไปจากศูนย์บริการ
- รายได้หลักมาจากการขายกล้องและอุปกรณ์ อดีต 80% เป็นกล้อง compact ปัจจุบันสัดส่วนเหลือ 30% เพราะ smartphone สามารถใช้ถ่ายรูปทดแทนกล้อง compact โดยเป็นยอดขายกล้องที่เปลี่ยน lens ได้ 70% (mirrorless, DSLR) เพราะคนสมัยนี้เริ่มคุ้นเคยกับการถ่ายรูปมากขึ้นจึงมีคนที่อยากได้กล้องที่ดีๆขึ้นมาใช้ถ่ายรูป
- Shop เป็นการเช่าในห้างทั้งหมด Big cemera มีร้าน 215 สาขา , Big mobile 22 สาขา (ขายอุปกรณ์มือถือและ tablet)
- ในอดีตผู้ผลิตจะพยายามออกรุ่นใหม่มากๆเพื่อให้คนเปลี่ยนกล้อง แต่ปัจจุบันจะเน้นออกอุปกรณ์เสริมจากกล้องเพิ่ม ซึ่งตลาดส่วนนี้ก็มีการเติบโตดี
- market share กล้อง BRR > 50% เพราะเรามีการปรับตัวตลอด มี line up สินค้าที่พร้อม พนักงานขายมีความรู้ ต้องไป training และมีกิจกรรมกาตลาด
- กล้อง compact เราแทบจะเป็นคนเดียวในตลาดที่ขาย จึงทำให้มี margin สูง
- ผลประกอบการไตรมาส 1 ตั้งเป้ายอดขายโต 10% แต่ของจริงโต 20% เพราะมีปรับ line สินค้าซึ่งได้ยอดขายสูงและกำไรโตจาก 36 เป็น 72 ล้านบาท
- มีแผนจะเปิดเพิ่ม 10 สาขา และมีปิดบางสาขาลงที่ทับซ้อน และจะเน้นเพิ่ม line up สินค้าที่ margin สูง
- มีแผนจะหารายได้เพิ่มจากการล้างอัดภาพ สามารถล้างอัดภาพจาก smartphone หรือพวกรูปถ่ายติดบัตรตอนนี้ก็หาร้านถ่ายได้น้อยลงเพราะร้านย่อยปิดตัวลง
- ต้นทุนบริษัทเป็น fix cost ส่วนใหญ่ ดังนั้นช่วงไตราส 3-4 ที่เป็น high season น่าจะมีผลกำไรที่ดีขึ้น
- ข่าวคู่แข่งมีการปิดสาขาลงน่าจะเป็นผลดีสำหรับเรา
AUCT
- ธุรกิจหลักจัดประมูลรถยนต์,รถมอเตอร์ไซค์ สัดส่วน 90% รายได้ อนาคตจะเพิ่มประมูลสินค้าอื่นได้ เช่น อสังหา นาฬิกา เฟอร์นิเจอร์ หลังจาก 1 ก.ค. ระบบจะสมบูรณ์ขึ้น
- คลังสินค้ามี 25 แห่งทั่วประเทศ มี 12 แห่งที่ใช้เป็นสถานที่ประมูล อนาคตจะใช้ประมูลทุกที่
- สาขาที่มีการประมูลสูงที่สุด คือ สำนักงานใหญ่(เหม่งจ๋าย) พื้นที่ 40 ไร่, คลอง 8 รังสิต พื้นที่ 100 ไร่, พุทธมณฑลสาย 2 ต่างจังหวัดรองๆมาเช่น เชียงใหม่, สุราษฎร์,โคราช
- สาขาที่จะเปิดใหม่ อุบลราชธานี 29 มิ.ย. ได้ partner เป็นคนท้องถิ่นซึ่งมีความชำนาญในธุรกิจรถยนต์มานาน ลงทุน 20 กว่าล้าน ใช้พื้นที่ 10 กว่าไร่ ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนเองเลย
- model ระยะยาวเราก็จะใช้วิธีพันธมิตร หาเจ้าของพื้นที่ ถ้าไม่มีคนบริหารเราก็จะส่งคนของเราไปช่วยดูแล ซึ่งเราจะพยายามไม่รับความเสี่ยง การขยายสาขาลงทุนเสร็จก็ต้องเกิดรายได้เดือนถัดไป, stock สินค้าก็เป็นรถของคนอื่นที่เอามาฝากประมูล ขายได้เท่าไรเราก็เก็บค่าคอมมิชชั่น , เราไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้เลย, พื้นที่เช่าเราก็ทำสัญญา 10 ปี ถ้ามีสถานการณ์มีปัญหาเราก็สามารถยกเลิกได้ทันที , มีการทำประกันต่างๆปีหนึ่งหลายล้านบาท
- ค่าจอดรถในอนาคตเราก็พิจารณาเก็บค่าเช่า มีพื้นที่จอดรถกว่า 300 ไร่
- ค่าคอมมิชชั่นประมูลเก็บจากผู้ซื้อ รถยนต์ 8000 บาท/คัน, มอเตอร์ไซค์ 1500 บาท/คัน ซึ่งในต่างประเทศเก็บเงินจากผู้ขายด้วน นั่นเป็นแผนในอนาคต
- คู่แข่งหลักมี 4-5 เจ้าจากญี่ปุ่นและอเมริกา แต่เราก็มี market share 50-60%
- เรามีความเชคความถูกต้องของรถและรับประกันให้กับลูกค้า
- ผลดำเนินงานปี 57 กำไร 202 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสูงสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งไตรมาส 1 ปี 58 ก็ยังเติบโตได้ดี ส่วนไตรมาส 2 เราจะปัดกวาดบ้าน ในปีนี้จะเป็นปีที่กำไรเติบโตสูงสุด
- ถ้าหากระบบเสร็จ เราก็จะไปประมูลให้หน่วยงานราชการ
- ถ้ามองสั้นๆ 3 ปีข้างหน้าน่าจะยังเติบโตทุกปี
- ในอนาคตน่าจะมีการประมูลรถป้ายแดงเหมือนต่างประเทศ
- เวลาลูกค้าประมูลได้ก็จะมีบางส่วนมีความต้องการจัดไฟแนนซ์ ซึ่งเรามีแผนจะทำ AUCT mall ซึ่งต้องหาพันธมิตรที่ดี
MTLS
- ธุรกิจปล่อยสินเชื่อเงินกู้มีทะเบียน หลักๆเป็นทะเบียนมอตอร์ไซค์ 80% อีก20% เป็นพวกรถบนต์ รถเพื่อการเกษตร รถไถ
- บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อราว 8 พันล้านบาท NPL ต่ำมาก อยู่ที่ 1.3% จากตอนเข้าตลาด 15%
- ดอกเบี้ย กฏหมายกำหนด 15% และรวมกับค่าธรรมเนียมแล้วไม่เกิน 25%
- ตอนนี้มี 680 สาขา มองว่าที่ภาคใต้และภาคอีสานเรายังเติบโตได้อีกมาก
- หลักการที่เราใช้งาน อย่าเอาเปรียบลูกค้า, บริการให้ดีที่สุด, อย่าเอาเปรียบพนักงาน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
- การตามเก็บหนี้เรามี NPL model จะมีการแบ่งหน้าที่พนักงานเราในการเก็บหนี้อายุ 1,2,3 เดือน โดยทุกคนต้องทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด
- มีการประมูลขายรถที่ยึดมาเอง 800-1,000 คัน ต่อวัน ซึ่งเรามีศูนย์ในการประมูลเอง 4 แห่ง
- เป้าเติบโต 30% ผลไตรมาส 1 ปี 58 เติบโต 35% ทั้งรายได้และกำไร ซึ่งไตรมาสถัดไปน่าจะดีกว่า
- ก่อนสิ้นปีจะมีออกตั๋ว/หุ้นกู้มาเสริม
- ได้รับใบอนุญาตปล่อยสินเชื่อ 2 ประเภท 1) สินเชื่อส่วนบุคคล ใช้อุปโภคบริโภค ดอกเบี้ยไม่เกิน 28% 2) นาโนไฟแนนซ์ ใช้เพื่อการลงทุน ดอกเบี้ยไม่เกิน 36% ต่อปี เราตั้งใจคิด 29.5% เพราะเราไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า โดยต้องคุมต้นทุนและ NPL ให้ดี
- การแข่งขันจากธนาคารคิดว่าน่าะจกระทบกับสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ แต่มอเตอร์ไซค์คิดว่าไม่กระทบนเล็กไปและต้องเป็นสไตล์ถึงลูกถึงคน
สำหรับช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะช่วยแชร์ต่อครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ข้อมูลเพื่อแบ่งปันความรู้ หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมได้ครับ
ช่วงที่ 1 สัมมนา หัวข้อ "เจาะลึกหุ้นเด่นครึ่งปีหลัง"
แขกรับเชิญ :
1. คุณอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ_กรรมการผู้จัดการ บมจ. น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR)
2. คุณเทพทัย ศิลา_กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหการประมูล (AUCT)
3. คุณชูชาติ เพชรอำไพ_ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย ลีสซิ่ง (MTLS)
4. คุณธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์_กรรมการผู้จัดการ บมจ.บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น (BIG)
ผู้ดำเนินรายการ : ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
สรุปการดำเนินธุรกิจ,ประวัติ,ผลดำเนินงาน และแผนในอนาคต
BRR
- ธุรกิจหลัก ขายน้ำตาล และมีรายได้จาก byproduct ทำไฟฟ้าชีวมวล(มี 2 โรงงาน กำลังสร้างโรงที่ 3) , ปุ๋ยอินทรีย์เคมี (กำลังผลิต 3 หมื่นตันต่อปี), โมลาสขาย
- มีการวิจัยพัฒนาเพื่อให้ได้พรรณอ้อยที่มีคุณภาพ
- มีเนื้อที่ 2 แสนไร่ ดูแลเกษตรกรกว่า 1.5 หมื่นครอบครัว
- "น้ำตาลสร้างในไร่ " ชาวไร่ต้องอยู่ให้ได้ก่อน เราจึงอยู่ได้ ชาวไร่อ้อยต้องไม่อยู่ห่างจากโรงงานเกินรัศมี 40 กม. เพราะต้นทุนหลักคือการขนส่ง
- โรงงานน้ำตาล ปี 59 เป้ากำลังผลิต 2.3 หมื่นตัน/วัน อ้อยเข้า 2.5 ล้านตัน/ปี
- ประเทศไทยส่งออกน้ำตาลลำดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล ปีที่ผ่านมาส่งออก 100 ล้านตันอ้อย อ้อย 1 ตัน มีน้ำตาลราว 100 kg บริโภคในประเทศ 25% ที่เหลือส่งออก
- BRR มี share ในประเทศราว 1-2% โรงงานน้ำตาลในไทยมีกว่า 50 โรงงาน กลุ่มใหญ่สุดคือ มิตรผล มี 6 โรงงาน ที่ขนาดรองๆมามักเป็นกลุ่ม เช่น ไทยรุ่งเรือง, ขอนแก่น
- จุดเด่นของบริษํท อ้อย 1 ตันให้ผลผลิตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศ 15 กก. เพราะเราให้ความสำคัญดูแล,อบรมชาวไร่อ้อย มีส่งเสริมพันธุ์อ้อยที่ดี
วิธีการต้องรวมรวมเกษตรกรให้ได้ก่อน และนำให้เขาทำ มีการจัดการวัตถุดิบเข้าโรงงานให้มีคุณภาพสูงตลอดเวลา จัดลำดับความสุก,แก่ รวมทั้งเรื่องความสด,สะอาด ก็สำคัญ แต่ละปีมีแขกมาเยี่ยมชมดูโรงงานจำนวนมาก ทั้งจากในและนอกประเทศ
- โรงงานไฟฟ้าชีวมวล เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ข้อดีคือผลิตได้ 24 ชม. ใน 1 ปีเต็ม จึงช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้
--- ประเด็นต้องจัดการให้วัตถุดิบสม่ำเสมอ พอเพียง ต้นทุนในการรวบรวมชีวมวลต้องน้อยที่สุด อย่างกากอ้อยที่ใช้ส่งเข้าโรงไฟฟ้าของเราต่อสายพานจากโรงผลิตน้ำตาลเข้าโดยตรง
---- กากน้ำตาลได้มาฟรีแต่จะมองเป็นต้นทุนก็ได้ เคยขายให้กลุ่มขอนแก่นได้ตันละ 1800 บาท/ตัน แต่เป็นค่าขนส่งราว 1500 บาท/ตัน
- ผลประกอบการไตรมาส 1 รายได้ 1400 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท โต 64% มาจากหลายสาเหตุ ทั้งกำลังผลิตที่เพิ่ม และต้นทุนการเงินลดลงหลัง ipo ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากโรงไฟฟ้า โรงที่ 2 ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ FIT เดือน เม.ย.58
-- ภาพข้างหน้า แม้ราคาน้ำตาลตลาดโลกจะลดลงจาก 16 เหลือ 12 เซนต์ต่อปอนด์ แต่ ผบห.คาดว่ากำไร BRR จะเพิ่มขึ้น
- ราคาซื้อขายน้ำตาลเราตกลงล่วงหน้า และมีกำไรส่วนหนึ่งจาก Fx ซึ่งที่คิดไว้ทีแรก 30 บาท/US แต่ตอนนี้ 33-34 บาท/US
- อุตสาหกรรมน้ำตาลใช้ sharing system ราคาน้ำตาลลดแต่ต้นทุนวัตถุดิบจะลดลงด้วย โดย รายได้ 70% ให้ชาวไร่ 30% ให้โรงงาน
- เป้าหมายปี 58 เติบโต 100 % แต่คงจะปรับลดลงไปบ้าง
- บริษัทมีปล่อยเงินกู้ให้เกษตรกรปีละพันกว่าล้านบาท(เงินเกี๊ยว)
- โรงไฟฟ้าจะเป็นกำไรให้บริษัทเกือบ 30% โรงงานที่ 1 ได้ adder 3.6 บาท/unit แต่โรงงานที่ 2 ซึ่งเริ่มขาย 6 เม.ย. จะเป็นระบบ FIT ได้ 4.53 บาท/unit กำไรต่อปี 200 กว่าล้านบาท มี margin 50% กว่า ซึ่งถ้าเป็นระบบใหม่น่าจะได้กำไรเพิ่มอีกกว่า 20%
- โรงไฟฟ้าที่ 3 กำลังก่อสร้าง น่าจะขายไฟฟ้าได้ไตรมาส 1 ปี 59 ระบบ FIT เหมือนกัน ซึ่งโรงที่ 4 ก็น่าจะมีอีก
- ข้อจำกัดคืออ้อยปี 59 2.5 แสนตัน ซึ่งอ้อย 1.2 แสนตันใช้ได้ 1 โรงไฟฟ้า เรามีการออกแบบให้ใช้พลังงานความร้อนที่เหลือไปใช้ต่อในโรงงานซึ่งจะทำให้ใช้กากอ้อยน้อย รวมทั้งพวกใบอ้อยก็จะพยายามเอามาทดเป็นเชื้อเพลิง
- โมลาส เรายังไม่ได้ทำ แต่อยู่ระหว่าง EIA โรงงานเอทานอล(ใช้เวลา 6-8 เดือน) ปัจจุบันในประเทศเราใช้แก๊สโซฮอลล์ราว 10% ในอนาคต 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20%
BIG
- เป็นร้านค้าอุปกรณ์ถ่ายภาพ รวมถึงบริการเช่น ล้านอัดภาพ หรือเพิ่มระยะเวลารับประกันอุปกรณ์ออกไปจากศูนย์บริการ
- รายได้หลักมาจากการขายกล้องและอุปกรณ์ อดีต 80% เป็นกล้อง compact ปัจจุบันสัดส่วนเหลือ 30% เพราะ smartphone สามารถใช้ถ่ายรูปทดแทนกล้อง compact โดยเป็นยอดขายกล้องที่เปลี่ยน lens ได้ 70% (mirrorless, DSLR) เพราะคนสมัยนี้เริ่มคุ้นเคยกับการถ่ายรูปมากขึ้นจึงมีคนที่อยากได้กล้องที่ดีๆขึ้นมาใช้ถ่ายรูป
- Shop เป็นการเช่าในห้างทั้งหมด Big cemera มีร้าน 215 สาขา , Big mobile 22 สาขา (ขายอุปกรณ์มือถือและ tablet)
- ในอดีตผู้ผลิตจะพยายามออกรุ่นใหม่มากๆเพื่อให้คนเปลี่ยนกล้อง แต่ปัจจุบันจะเน้นออกอุปกรณ์เสริมจากกล้องเพิ่ม ซึ่งตลาดส่วนนี้ก็มีการเติบโตดี
- market share กล้อง BRR > 50% เพราะเรามีการปรับตัวตลอด มี line up สินค้าที่พร้อม พนักงานขายมีความรู้ ต้องไป training และมีกิจกรรมกาตลาด
- กล้อง compact เราแทบจะเป็นคนเดียวในตลาดที่ขาย จึงทำให้มี margin สูง
- ผลประกอบการไตรมาส 1 ตั้งเป้ายอดขายโต 10% แต่ของจริงโต 20% เพราะมีปรับ line สินค้าซึ่งได้ยอดขายสูงและกำไรโตจาก 36 เป็น 72 ล้านบาท
- มีแผนจะเปิดเพิ่ม 10 สาขา และมีปิดบางสาขาลงที่ทับซ้อน และจะเน้นเพิ่ม line up สินค้าที่ margin สูง
- มีแผนจะหารายได้เพิ่มจากการล้างอัดภาพ สามารถล้างอัดภาพจาก smartphone หรือพวกรูปถ่ายติดบัตรตอนนี้ก็หาร้านถ่ายได้น้อยลงเพราะร้านย่อยปิดตัวลง
- ต้นทุนบริษัทเป็น fix cost ส่วนใหญ่ ดังนั้นช่วงไตราส 3-4 ที่เป็น high season น่าจะมีผลกำไรที่ดีขึ้น
- ข่าวคู่แข่งมีการปิดสาขาลงน่าจะเป็นผลดีสำหรับเรา
AUCT
- ธุรกิจหลักจัดประมูลรถยนต์,รถมอเตอร์ไซค์ สัดส่วน 90% รายได้ อนาคตจะเพิ่มประมูลสินค้าอื่นได้ เช่น อสังหา นาฬิกา เฟอร์นิเจอร์ หลังจาก 1 ก.ค. ระบบจะสมบูรณ์ขึ้น
- คลังสินค้ามี 25 แห่งทั่วประเทศ มี 12 แห่งที่ใช้เป็นสถานที่ประมูล อนาคตจะใช้ประมูลทุกที่
- สาขาที่มีการประมูลสูงที่สุด คือ สำนักงานใหญ่(เหม่งจ๋าย) พื้นที่ 40 ไร่, คลอง 8 รังสิต พื้นที่ 100 ไร่, พุทธมณฑลสาย 2 ต่างจังหวัดรองๆมาเช่น เชียงใหม่, สุราษฎร์,โคราช
- สาขาที่จะเปิดใหม่ อุบลราชธานี 29 มิ.ย. ได้ partner เป็นคนท้องถิ่นซึ่งมีความชำนาญในธุรกิจรถยนต์มานาน ลงทุน 20 กว่าล้าน ใช้พื้นที่ 10 กว่าไร่ ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนเองเลย
- model ระยะยาวเราก็จะใช้วิธีพันธมิตร หาเจ้าของพื้นที่ ถ้าไม่มีคนบริหารเราก็จะส่งคนของเราไปช่วยดูแล ซึ่งเราจะพยายามไม่รับความเสี่ยง การขยายสาขาลงทุนเสร็จก็ต้องเกิดรายได้เดือนถัดไป, stock สินค้าก็เป็นรถของคนอื่นที่เอามาฝากประมูล ขายได้เท่าไรเราก็เก็บค่าคอมมิชชั่น , เราไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้เลย, พื้นที่เช่าเราก็ทำสัญญา 10 ปี ถ้ามีสถานการณ์มีปัญหาเราก็สามารถยกเลิกได้ทันที , มีการทำประกันต่างๆปีหนึ่งหลายล้านบาท
- ค่าจอดรถในอนาคตเราก็พิจารณาเก็บค่าเช่า มีพื้นที่จอดรถกว่า 300 ไร่
- ค่าคอมมิชชั่นประมูลเก็บจากผู้ซื้อ รถยนต์ 8000 บาท/คัน, มอเตอร์ไซค์ 1500 บาท/คัน ซึ่งในต่างประเทศเก็บเงินจากผู้ขายด้วน นั่นเป็นแผนในอนาคต
- คู่แข่งหลักมี 4-5 เจ้าจากญี่ปุ่นและอเมริกา แต่เราก็มี market share 50-60%
- เรามีความเชคความถูกต้องของรถและรับประกันให้กับลูกค้า
- ผลดำเนินงานปี 57 กำไร 202 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสูงสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งไตรมาส 1 ปี 58 ก็ยังเติบโตได้ดี ส่วนไตรมาส 2 เราจะปัดกวาดบ้าน ในปีนี้จะเป็นปีที่กำไรเติบโตสูงสุด
- ถ้าหากระบบเสร็จ เราก็จะไปประมูลให้หน่วยงานราชการ
- ถ้ามองสั้นๆ 3 ปีข้างหน้าน่าจะยังเติบโตทุกปี
- ในอนาคตน่าจะมีการประมูลรถป้ายแดงเหมือนต่างประเทศ
- เวลาลูกค้าประมูลได้ก็จะมีบางส่วนมีความต้องการจัดไฟแนนซ์ ซึ่งเรามีแผนจะทำ AUCT mall ซึ่งต้องหาพันธมิตรที่ดี
MTLS
- ธุรกิจปล่อยสินเชื่อเงินกู้มีทะเบียน หลักๆเป็นทะเบียนมอตอร์ไซค์ 80% อีก20% เป็นพวกรถบนต์ รถเพื่อการเกษตร รถไถ
- บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อราว 8 พันล้านบาท NPL ต่ำมาก อยู่ที่ 1.3% จากตอนเข้าตลาด 15%
- ดอกเบี้ย กฏหมายกำหนด 15% และรวมกับค่าธรรมเนียมแล้วไม่เกิน 25%
- ตอนนี้มี 680 สาขา มองว่าที่ภาคใต้และภาคอีสานเรายังเติบโตได้อีกมาก
- หลักการที่เราใช้งาน อย่าเอาเปรียบลูกค้า, บริการให้ดีที่สุด, อย่าเอาเปรียบพนักงาน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
- การตามเก็บหนี้เรามี NPL model จะมีการแบ่งหน้าที่พนักงานเราในการเก็บหนี้อายุ 1,2,3 เดือน โดยทุกคนต้องทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด
- มีการประมูลขายรถที่ยึดมาเอง 800-1,000 คัน ต่อวัน ซึ่งเรามีศูนย์ในการประมูลเอง 4 แห่ง
- เป้าเติบโต 30% ผลไตรมาส 1 ปี 58 เติบโต 35% ทั้งรายได้และกำไร ซึ่งไตรมาสถัดไปน่าจะดีกว่า
- ก่อนสิ้นปีจะมีออกตั๋ว/หุ้นกู้มาเสริม
- ได้รับใบอนุญาตปล่อยสินเชื่อ 2 ประเภท 1) สินเชื่อส่วนบุคคล ใช้อุปโภคบริโภค ดอกเบี้ยไม่เกิน 28% 2) นาโนไฟแนนซ์ ใช้เพื่อการลงทุน ดอกเบี้ยไม่เกิน 36% ต่อปี เราตั้งใจคิด 29.5% เพราะเราไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า โดยต้องคุมต้นทุนและ NPL ให้ดี
- การแข่งขันจากธนาคารคิดว่าน่าะจกระทบกับสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ แต่มอเตอร์ไซค์คิดว่าไม่กระทบนเล็กไปและต้องเป็นสไตล์ถึงลูกถึงคน
สำหรับช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะช่วยแชร์ต่อครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ข้อมูลเพื่อแบ่งปันความรู้ หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมได้ครับ
Go against and stay alive.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 2
ช่วงที่ 2 สัมมนาหัวข้อ “ข้อคิดจากเซียน บนเส้นทางสู่ความร่ำรวยด้วยหุ้น”
1. คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข
นักเขียนนักแปลนักลงทุน มีทัศนคติน่าสนใจ อยู่ในสายวิชาการไทยวีไอมาตลอด
ไม่รู้ทำไมไปช่วยคนมีบาปด้วยการแปลหนังสือการลงทุน ทำไมไม่ช่วยคนดี ดังนั้นช่วงนี้มีจัดสัมมนาเพื่อช่วยเหลือ เช่น งานวีไอสายดำcharity ช่วย สุนัข แมว จรจัด
งาน สัมมนา เพราะเป็นแมงเม่าจึงเจ็บปวด พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นนักลงทุน เมื่อวันที่ 23-24 พค 15 เพื่อหารายได้ให้กับคณะเภสัช จุฬา
จัดทำหนังสือ Quote 1-2 สำหรับ ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ เช่น บริจาคเลือด
2. ทพ.สม สุจีรา
ผู้เขียน “จิตของนักเล่นหุ้น” เป็นทั้งนักเขียนแนวจิตวิทยา ติวเตอร์ และ เปิดคลีนิครักษาฟันด้วย
3. คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ
เจ้าของ ศิริวัฒน์แซนวิช มีประการณ์การลงทุนเยอะมากจะมาแชร์ให้ฟัง
มีลาภเสื่อมลาภ กินน้ำตกแทน
ตอนนี้แซนวิซยังขายไม่หมด ด้านล่างตลาดหลักทรัพย์
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน บิดาวีไอ เมืองไทย
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
อจ ถาวร เริ่มพูด ว่า ดร ไพบูลย์ เป็นคนตั้งชื่อ คิดชื่อวนไปมาในเรื่องหัวข้อ
คำว่า ข้อคิดเป็นครั้งแรกที่ใช้ อจ ถาวรมีแบบทดสอบว่า พูดถึงใคร ทดสอบว่ามีแววเป็นนักลงทุนที่รวยด้วยหุ้นได้หรือไม่
1. เกิดที่เชียงใหม่ 2. คนไทยรู้จักดี 3. มีผลงานทำให้ชาวบ้านร่ำรวยเงินทอง
4. ชีวิตเกี่ยวข้องกับดูใบ 5. อยู่สุขสบายแต่เหมือนโดนกักขัง
6. ชื่อมีสองพยางค์ 7. พยางค์เสียงสระอิน ให้ทายว่าเป็นใคร
หลินปิง ไง อจ ถาวร เฉลยโดยไม่รอใครตอบ ถ้าให้คุณศิริวัฒน์ทาย น่าจะเป็นอีกคนที่ดร ไพบูลย์ ไม่อยากให้บอก
ข้อที่ 2 ดูง่ายคนที่จะอยู่บนเส้นทางรวยด้วยหุ้น ขึ้นต้นชื่อด้วย ส เช่น ทพ สม หรือ นามสกุล ของ คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ส่วน อจ ถาวร ไม่มี ส เสือ เลยไม่รวยหุ้น
สมกับสุภาษิต ว่า ความรวยไม่คงทน ความจนสิถาวร
มาเริ่มที่คุณศิริวัฒน์ เมื่อ20ปีก่อน เคยรวยด้วยหุ้น ไม่มีใครดังเกินเขา โบรคใหญ่สุดในไทยหมายเลข8 กำไรหรือขาดทุนวันละ 10 ล้านบาทในสมัยนั้น ดร มารวย ผจกตลาดหลักทรัพย์สมัยนั้น ยังเคยเรียกไปคุยเลย ดร นิเวศน์ ยังเด็กๆ
ทำอะไรลุยไปไม่คิดหน้าหลัง ซื้อขายแบบเคาะกระดานหุ้น สมัยนั้นยังไม่ซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์ ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ยังอยู่ในวงการศึกษาอยู่ ซื้อขายหุ้น เริ่มที่ ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ ต่อมาย้ายไปที่ ชั้น 2 ตึกสินธร นักลงทุนยังต้องส่องกล้องดูราคาหุ้น บางครั้งมาร์ซื้อให้ไม่ทัน คนซื้อเดินไปเคาะให้เองเลย สมัยก่อนซื้อขายวันละ 1,000 ล้านบาทถือว่าเยอะมาก สมัยนี้พัฒนาการซื้อขายไปมาก อย่าคิดรวยได้ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นอกจากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความโลภจะครอบงำไม่ให้รวยได้ สมัยนี้นักลงทุนเกินล้านคน แต่พฤติกรรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ช่วงวิกฤต ขายคอนโด ตรม ละ 50,000 บาท ยังไม่มีคนซื้อเลย มาขายแซนวิซที่รพ กรุงเทพ
ดร นิเวศน์ : เห็นด้วยกับคุณศิริวัฒน์ ยกเว้นไม่ใช่ทุกคนจะจน มนุษย์มีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในยีนส์ ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ความโลภขึ้นจัด เหมือนป่วยเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้น สถานการณ์ทั่วไป การดำเนินงาน การแข่งขันรุนแรง ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้ความโลภ ครอบงำ ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีมาก ทุกคนเข้ามาแต่ไม่รวยอย่างที่คิด ต้องอยู่กันต่อไป จนถึงวันนี้ รู้ว่าหุ้นขึ้นด้วยเม็ดเงิน ไม่ได้ขึ้นกับกำไร ตรวจดูตัวเลขทุกตัวที่ออกมา (ดร ไพบูลย์แซวดูทุกตัวจริงหรือ) ภาพใหญ่จริงๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนหุ้นตกก็เจ๊งหุ้นหมดตัว จริงๆเข้าไปดูเมื่อ 10 กว่าปี มีตกและฟื้น เพียงแต่ความโลภจากหุ้นขึ้น หวังหลายรอบ และ หมดหวัง ยิ่งใส่ยิ่งเจ๊ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้คนในตลาดหลักทรัพย์ เห็นคนรวยจากหุ้นเกิดความโลภ ตอนนี้เราซื้อความฝันมากเกินไป กำไรไม่ดีขึ้น
ข้อคิดตอนนี้ต้องระวังไม่งั้นอาจขาดทุน เส้นทางรวยและจนเป็นเส้นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้จะจน รวมถึงคนในห้องนี้ เราต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้เป็นคนส่วนน้อยที่มีรายได้
ทพ สม เล่าให้ฟังว่า ตอนปี 51 เพื่อนชวนให้เล่นหุ้น แต่ ทพ สม ไม่เล่น เพราะว่ามีความ
สุขจากการทำฟันให้กับลูกค้า ถามว่าลงทุนในหุ้น รวยกว่าไหม ตอบว่ารวยกว่า
เพราะว่า จิตกระเพื่อมขึ้นและลง ต้องฝึกจิตหนักมาก เลยเขียนฝึกจิตเล่นหุ้น
ตอนเล่นหุ้นดัชนีหุ้นจาก 400 ไป 1600 คนเล่นยิ่งได้ยิ่งทุ่มหนัก พอถึงดัชนี 1600 จุดทุ่มหมดหน้าตัก และ ดอกเบี้ยแค่ 1%กว่าเอง เล่นหุ้นวันเดียวได้ 5% ดังนั้นตอนดัชนีลง cut loss ไม่ทัน ถ้าคนเข้ามาตอนดัชนี 1300-1600 จุด กำไรไม่มากพอcut loss ตอนนี้อยู่ในช่วงไม่คุ้มที่จะเข้ามาลงทุน แต่ภายใน 1-2 ปี ดอกเบี้ยต่ำ ยุโรปยังไม่ฟื้น น่าจะปลอดภัย ต่างชาติขายหมดแล้ว ถ้ารัฐลงทุนตามที่พูด ต่างชาติเข้าลงทุน ทำให้หุ้นขึ้น
เหลือเวลาอีก 2-3 ปี ซื้อปีนี้ขายปีหน้ายังปลอดภัย ต้องดูตอนจบซึ่งจะเหลือแค่2ใน10ที่สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้น
คุณพรชัย: ที่คุณศิริวัฒน์พูดเกิดไม่ทัน (อายุแค่29เอง อันนี้ผมเสริม) แต่ความเป็นจริง ตลาดหุ้นในไทยและอเมริกา พฤติกรรมของนักลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นกับว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ถ้าเราทำเหมือนคนอื่น เราก็ไม่กำไร คนเล่นแบบการพนัน ตกใจขาย ดีใจไล่ซื้อ (เอ เหมือนใครบางคนหรือเปล่า ) ถ้าเราทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ คือเป็นโอกาส คนตกใจ เทขายหุ้น ราคาหุ้นถูก ก็เข้าไปซื้อ (หลักการลงทุนแบบวีไอเลย) เข้ามาลงทุนด้วยความรู้ วิชาการลงทุนเป็นความเชื่อ ต้องรู้ให้จริงว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความกลัว เช่น ลงทุนในหุ้น SE-ED , IT , AS
ตอนนี้ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นตัวเดียวกัน ซื้อคนละเวลา คนนึงซื้อแล้วโง่มาก ส่วนอีกคนซื้อแล้วดูฉลาดมาก
คณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คุณศิริวัฒน์ : เสริมข้อคิดจากเซียนหุ้น ว่าการเป็นเซียนหุ้น อย่าเป็นเพราะเป็นเซียนแล้วเปิดด้านหลังเป็นแผลเต็มไปหมด ถ้าคิดรวยด้วยหุ้น อย่าเก็งกำไร ให้เน้นลงทุน ตั้งเป้าเลยได้ปันผลมากกว่า เช่น 1.5% ก็เริ่มศึกษาและลงทุนก่อนประกาศปันผล ช่วงก่อนเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้าซื้อก็ได้เงินปันผล ถ้าซื้อหลังประกาศปันผลราคาหุ้นขึ้นไปสูงอัตราปันผลจะต่ำลง บางที่ไม่คุ้มที่จะลงทุน
ตัวอย่างผู้บริหารกองทุนที่มีชื่อเสียง คุณปีเตอร์ ลินต์ ที่บริหารกองทุนแมคเจลแลน ซึ่งเกษียนไปแล้วเกือบ20ปี บอกว่า ให้สัมผ้สกับธุรกิจนั้นเวลาจะลงทุน ผมเสริมว่า บางครั้งจะดูหุ้นที่จะลงทุนโดยถามลูกสาวหรือภรรยาว่าช่วงนี้มีร้านค้าหรือสินค้าอะไรเป็นที่นิยม ก็จะดูว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า ถ้ามีจะไปศึกษาว่าน่าลงทุนหรือเปล่า
เรื่องการผิดพลาดในการลงทุน คุณวอร์เรน ก็ลงทุนผิดพลาดได้ เช่นลงทุนเทสโก้เมื่อ2-3 ปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าผลประกอบการไม่ดี ขาดทุนไปเยอะ ก็ขายทิ้งไป แต่ผลประกอบการของ เบอร์กไชน์ ที่คุณวอร์เรนบริหาร ยังกำไรเพราะได้กระจายการลงทุนไปหลายตัวมาก ดังนั้น ขอให้ผลลัพธภาพรวมเป็นบวกก็ใช้ได้
ผมเจ๊งหุ้น เพราะ เล่นมาร์จิ้นเยอะ ดอกเบี้ยก็แพง ประมาณ 17-19% ตอนหุ้นลงก็ถูกForce Sales ขายหุ้นหมดแต่ยังเหลือหนี้อีกเยอะ หลังจากนั้นBroker ก็เจ๊งตาม
ออกมาทำแซนวิซขาย 18 ปี พึ่งเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ยังไม่เห็นฝุ่นเทียบกับเมื่อก่อน ปีนี้ Broker ไม่กล้าทำนายกำไรของปีนี้เติบโตเท่าไหร่ ตอนนี้ดัชนี 1500 จุด เอากำไรของปีนี้มาหา PE จะได้เกิน 20 PB มากกว่า 2 เท่า กรีซปัญหายังไม่จบ ค่าเงินสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากทุกคนต้องการดอลลาร์ กลัวตลาดหุ้นโลกfully value พอสหรัฐมีข่าวดี แต่หุ้นตก เพราะกลัว FED ขึ้นดอกเบี้ย ตลาด Emerging market จะเป็นอย่างไร คุณสมบอกว่า ต่างชาติขายหมดแล้ว แต่อาจเจอ panic sell ได้ เพราะต่างชาติสามารถทำ short sell ได้ ดังนั้น ลงทุนจากตลาดหุ้น อย่าหวังรวย
ทพ สม : ความโลภของนักลงทุนทำให้หมดตัวได้ จะคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้หลังตลาดเสมอ เหมือนหวย ทำไมไม่ซื้อเลขนี้หลังหวยออกแล้ว ดังนั้น ทุ่มสุดตัวในตัวใหม่ ปรากฏว่าหุ้นตัวใหม่ไม่ขึ้น คนเราต้องรู้จักพอ เช่น พอขายหุ้นที่ขาย Set top box ตอน 4 บาทกว่าๆ ปรากฏว่าขึ้นไปอีกหลายเท่า รู้สึกทุกข์ การเล่นหุ้น ทุกข์มากกว่าสุข แต่รายได้มากกว่ทำคลีนิค ตั้งเป้ากำไรพอถึงจุดก็ขาย ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอ ขายเสร็จขึ้นไปเดี๋ยวก็ลงมา ถ้าเล่นหุ้นเก็งกำไร ชีวิตจะทุกข์มากกว่าสุข การเล่นหุ้นเหมือนการกระตุ้นจิตใจมากที่สุด
ดร นิเวศน์: ถ้าเราเล่นหุ้นไม่มีความสุข ความรวยไม่ยั่งยืน นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งนานก็คืนตลาดหุ้นไปหมด ส่วนใหญ่ตายหมด นักลงทุนเก็งกำไรที่มีชื่อเสียง ช่วงที่ดัง ผลตอบแทน 300-1,000 % เล่นต่อเมื่อได้มาก เหมือนเสพยาเสพติด ความรู้แบบนี้ไม่สามารถทำได้ ไม่อยู่บนพื้นฐาน พร้อมแต่เสมา แต่ บัฟเฟต รวยจนวันตาย การลงทุนระยะยาว สุดท้ายเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
การเป็นเจ้าของกิจการที่ดี ถืออย่างน้อย5ปี มีโอกาสดีขึ้น ประมาณ 90% ต้องบริหารความไม่แน่นอนโดยถือหุ้น 5-6 ตัว แต่ละตัวก็ถือประมาณ 10 กว่า % ตีแตกได้บางสถานการณ์ เช่นตอนวิกฤต กล้าตีแตก มั่นใจ 90% ถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ บริษัทขายสินค้าที่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าบริษัทตาย ตัวเล็กเจ๊งหมดเราก็ไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้ต้องตีแตก
คุณพรชัย: ก่อนต้มยำกุ้ง ลงทุนไม่โลภ ขึ้น5%ก็ขายแล้วหาตัวใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า แต่การลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรื่องจิตเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ เราต้องฝึกจิตตัวเองไม่ตามสัญชาติญาณ โอกาสต่างกับความโลภ ที่ความรู้ หุ้นตกมาคนนึงอาจเป็นความโลภ อีกคนเป็นโอกาสทอง ถ้าเล่นต่อไป ทุกข์เยอะมากๆ
ถ้าเราเข้ามาลงทุนในกิจการ ถึงแม้ยุโรปวิกฤต บริษัทที่ทำงานด้วยก็ไม่เจ๊ง เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุโรป ดังนั้นให้ดุค่า PE ประกอบ
ก่อนลงทุนหุ้น เราต้องรู้ว่าตนเองรู้จักหรือเปล่า เราเป็นนักลงทุน บริษัทที่ลงทุนคือบริษัทที่เราทำงาน เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเปิดร้านสุกี้ MK สุกี้ให่กว่าเราเยอะ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่เข้าไปยุ่ง ลงทุนเริ่มจากธุรกิจที่ง่ายๆ เข้าใจง่ายก่อน ไม่ต้องดูตลาดหุ้น เปรียบเหมือน เราลงทุนธุรกิจ ไม่มีราคาขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์ให้เราดูว่าราคาซื้อขายของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว
คำถาม ให้แต่ละวิทยากรพูดถึงข้อคิดในการลงทุน
ดร นิเวศน์: ลงทุนได้มามาก เพราะ จากโชคพามา จริงๆลงทุนเพื่อได้ผลตอบแทนพอประมาณ10%ก็พอแล้ว ถ้าทบต้นไปเรื่อยๆ ก็ดีมาก เราไปคิดตามคนรวยตอนนั้น สักพักคนรวยไม่รวยแล้ว ก็ตามคนรวยใหม่
โชคดี มีคนตามมาซื้อหุ้นที่ถือ (สงสัยมีคนเล่นตามเซียน เหมือนกับที่อจเขียนบทความ)
ราคาขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ปันผลใช้ทุกปี เห็นมันโตขึ้นเรื่อยๆ มองทีละ5 ปี (แต่ บัฟเฟตมองตลอดชีวิต บริษัทที่ซื้อยิ่งใหญ่มานานหลายสิบปี ) เอาสัก 5-6 ตัว หุ้นขึ้นหรือลงไม่ต้องทำอะไร โอกาสดูผิดแค่ 1 ใน 5 เอง แต่อีก 4-5 ตัวดีกว่าเก่า ชดเชยกับตัวที่ไม่ดี
หาหุ้นที่มั่นใจว่าเราตายก่อนมัน เพราะบริษัทตายยาก
คุณศิริวัฒน์: อีก5ปีข้างหน้าไม่แน่อาจรวยกว่าดร เพราะจะเอาบริษัทเข้าตลาดMAI แล้วมาวัดกันอีกที ดร เสริมว่า ผมไม่อิจฉาใครถ้าดี ผมซื้อด้วย พอหุ้นเข้าตลาดจะไปซื้อแซนวิซทาน คุณศิริวัฒน์สวนกลับ ถ้าเห็นดร จองมาจะเก็บใบจองไว้
อยากมาแชร์ 18 ปีที่ผ่านมา การเล่นหุ้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องกำไรเสมอ ถ้าcut loss ถูกจังหวะก็กำไรได้ สมัยนั้นไม่ยอม cut loss และ ถูก force sell ตกไป 60% เจอหนี้ที่มีดอกเบี้ย 16%กว่า ถ้าถึงเวลา cut loss วิเคราะห์แล้วขายขาดทุนดีกว่า ถ้าใจไม่ถึงขายบางส่วน เช่น ขายแค่ 10% อาทิตย์หน้าตกอีกที นอนหลับ
เที่ยวนี้ไปเล่นwarrant กันเยอะมีโอกาสเจ๊งเยอะ อันตรายเพราะตัวมันมีอายุ ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ พอหมดอายุ ไม่มีมูลค่า เป็นเศษกระดาษ ถ้าลงเยอะให้ cut los
ดัชนีไม่มีทางถึง 1600 จุด NPL สูงขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแต่ละไตรมาส ท่าจะถดถอย หรือ Growth นิดหน่อย ราคาหุ้น overvalue ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย
ถ้าลบก็ชิงcut lossก่อน เกิดpanic sellเพราะสั่งโบรคขายทุกราคา จะเป็นจังหวะของการศึกษาเพื่อมาช้อนซื้อ
สรุป 1. อย่ากู้มาลงทุน 2. อย่าลงwarrant 3. ทำการบ้านอย่างดี
ทพ สม : ตั้งcut loss 10% cut 5 ครั้งถูกครั้งเดียว แต่คุ้มค่า
คุณพรชัย: เราทำตัวสมควรรวยหรือเปล่า ถ้าเมื่อก่อนทำแบบนี้เช่น วิเคราะห์การเงินไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังไม่เป็น ไปขายเต้าหู้ดีกว่า เราฝึกได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่เราทำหรือไม่ทำ รวยไม่รู้เรื่อง ไม่มี ผมเจ๊งตอนต้มยำกุ้ง เหลือหลักหมื่น ผ่านประสบการณ์มาเยอะ เจอกูรู5คนพูด5อย่าง ต้องมีคนผิด ดังนั้นดูที่คนประสบความสำเร็จ ว่าทำอย่างไรให้ทำแบบนั้น ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง แล้วไปลงทุนใหม่ ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผิดพลาด เราต้องได้ประโยชน์จากมัน เราไม่คิดทำ และคิดจะรวย ถือว่าเราเรียกร้องมากเกินไป
จบการสัมมนา ต้องขอขอบคุณ พิธิกร ดร ไพบูลย์ พิธีกรร่วม อจ ถาวร และวิทยกร คุณศิริวัฒน์ ดร นิเวศน์ ทพ สม และ คุณพรชัย รวมถึง staff money talk มาณ โอกาสนี้ด้วยครับ ที่ให้ความรู้แก่พวกเรา
1. คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข
นักเขียนนักแปลนักลงทุน มีทัศนคติน่าสนใจ อยู่ในสายวิชาการไทยวีไอมาตลอด
ไม่รู้ทำไมไปช่วยคนมีบาปด้วยการแปลหนังสือการลงทุน ทำไมไม่ช่วยคนดี ดังนั้นช่วงนี้มีจัดสัมมนาเพื่อช่วยเหลือ เช่น งานวีไอสายดำcharity ช่วย สุนัข แมว จรจัด
งาน สัมมนา เพราะเป็นแมงเม่าจึงเจ็บปวด พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นนักลงทุน เมื่อวันที่ 23-24 พค 15 เพื่อหารายได้ให้กับคณะเภสัช จุฬา
จัดทำหนังสือ Quote 1-2 สำหรับ ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ เช่น บริจาคเลือด
2. ทพ.สม สุจีรา
ผู้เขียน “จิตของนักเล่นหุ้น” เป็นทั้งนักเขียนแนวจิตวิทยา ติวเตอร์ และ เปิดคลีนิครักษาฟันด้วย
3. คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ
เจ้าของ ศิริวัฒน์แซนวิช มีประการณ์การลงทุนเยอะมากจะมาแชร์ให้ฟัง
มีลาภเสื่อมลาภ กินน้ำตกแทน
ตอนนี้แซนวิซยังขายไม่หมด ด้านล่างตลาดหลักทรัพย์
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน บิดาวีไอ เมืองไทย
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
อจ ถาวร เริ่มพูด ว่า ดร ไพบูลย์ เป็นคนตั้งชื่อ คิดชื่อวนไปมาในเรื่องหัวข้อ
คำว่า ข้อคิดเป็นครั้งแรกที่ใช้ อจ ถาวรมีแบบทดสอบว่า พูดถึงใคร ทดสอบว่ามีแววเป็นนักลงทุนที่รวยด้วยหุ้นได้หรือไม่
1. เกิดที่เชียงใหม่ 2. คนไทยรู้จักดี 3. มีผลงานทำให้ชาวบ้านร่ำรวยเงินทอง
4. ชีวิตเกี่ยวข้องกับดูใบ 5. อยู่สุขสบายแต่เหมือนโดนกักขัง
6. ชื่อมีสองพยางค์ 7. พยางค์เสียงสระอิน ให้ทายว่าเป็นใคร
หลินปิง ไง อจ ถาวร เฉลยโดยไม่รอใครตอบ ถ้าให้คุณศิริวัฒน์ทาย น่าจะเป็นอีกคนที่ดร ไพบูลย์ ไม่อยากให้บอก
ข้อที่ 2 ดูง่ายคนที่จะอยู่บนเส้นทางรวยด้วยหุ้น ขึ้นต้นชื่อด้วย ส เช่น ทพ สม หรือ นามสกุล ของ คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ส่วน อจ ถาวร ไม่มี ส เสือ เลยไม่รวยหุ้น
สมกับสุภาษิต ว่า ความรวยไม่คงทน ความจนสิถาวร
มาเริ่มที่คุณศิริวัฒน์ เมื่อ20ปีก่อน เคยรวยด้วยหุ้น ไม่มีใครดังเกินเขา โบรคใหญ่สุดในไทยหมายเลข8 กำไรหรือขาดทุนวันละ 10 ล้านบาทในสมัยนั้น ดร มารวย ผจกตลาดหลักทรัพย์สมัยนั้น ยังเคยเรียกไปคุยเลย ดร นิเวศน์ ยังเด็กๆ
ทำอะไรลุยไปไม่คิดหน้าหลัง ซื้อขายแบบเคาะกระดานหุ้น สมัยนั้นยังไม่ซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์ ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ยังอยู่ในวงการศึกษาอยู่ ซื้อขายหุ้น เริ่มที่ ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ ต่อมาย้ายไปที่ ชั้น 2 ตึกสินธร นักลงทุนยังต้องส่องกล้องดูราคาหุ้น บางครั้งมาร์ซื้อให้ไม่ทัน คนซื้อเดินไปเคาะให้เองเลย สมัยก่อนซื้อขายวันละ 1,000 ล้านบาทถือว่าเยอะมาก สมัยนี้พัฒนาการซื้อขายไปมาก อย่าคิดรวยได้ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นอกจากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความโลภจะครอบงำไม่ให้รวยได้ สมัยนี้นักลงทุนเกินล้านคน แต่พฤติกรรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ช่วงวิกฤต ขายคอนโด ตรม ละ 50,000 บาท ยังไม่มีคนซื้อเลย มาขายแซนวิซที่รพ กรุงเทพ
ดร นิเวศน์ : เห็นด้วยกับคุณศิริวัฒน์ ยกเว้นไม่ใช่ทุกคนจะจน มนุษย์มีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในยีนส์ ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ความโลภขึ้นจัด เหมือนป่วยเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้น สถานการณ์ทั่วไป การดำเนินงาน การแข่งขันรุนแรง ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้ความโลภ ครอบงำ ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีมาก ทุกคนเข้ามาแต่ไม่รวยอย่างที่คิด ต้องอยู่กันต่อไป จนถึงวันนี้ รู้ว่าหุ้นขึ้นด้วยเม็ดเงิน ไม่ได้ขึ้นกับกำไร ตรวจดูตัวเลขทุกตัวที่ออกมา (ดร ไพบูลย์แซวดูทุกตัวจริงหรือ) ภาพใหญ่จริงๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนหุ้นตกก็เจ๊งหุ้นหมดตัว จริงๆเข้าไปดูเมื่อ 10 กว่าปี มีตกและฟื้น เพียงแต่ความโลภจากหุ้นขึ้น หวังหลายรอบ และ หมดหวัง ยิ่งใส่ยิ่งเจ๊ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้คนในตลาดหลักทรัพย์ เห็นคนรวยจากหุ้นเกิดความโลภ ตอนนี้เราซื้อความฝันมากเกินไป กำไรไม่ดีขึ้น
ข้อคิดตอนนี้ต้องระวังไม่งั้นอาจขาดทุน เส้นทางรวยและจนเป็นเส้นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้จะจน รวมถึงคนในห้องนี้ เราต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้เป็นคนส่วนน้อยที่มีรายได้
ทพ สม เล่าให้ฟังว่า ตอนปี 51 เพื่อนชวนให้เล่นหุ้น แต่ ทพ สม ไม่เล่น เพราะว่ามีความ
สุขจากการทำฟันให้กับลูกค้า ถามว่าลงทุนในหุ้น รวยกว่าไหม ตอบว่ารวยกว่า
เพราะว่า จิตกระเพื่อมขึ้นและลง ต้องฝึกจิตหนักมาก เลยเขียนฝึกจิตเล่นหุ้น
ตอนเล่นหุ้นดัชนีหุ้นจาก 400 ไป 1600 คนเล่นยิ่งได้ยิ่งทุ่มหนัก พอถึงดัชนี 1600 จุดทุ่มหมดหน้าตัก และ ดอกเบี้ยแค่ 1%กว่าเอง เล่นหุ้นวันเดียวได้ 5% ดังนั้นตอนดัชนีลง cut loss ไม่ทัน ถ้าคนเข้ามาตอนดัชนี 1300-1600 จุด กำไรไม่มากพอcut loss ตอนนี้อยู่ในช่วงไม่คุ้มที่จะเข้ามาลงทุน แต่ภายใน 1-2 ปี ดอกเบี้ยต่ำ ยุโรปยังไม่ฟื้น น่าจะปลอดภัย ต่างชาติขายหมดแล้ว ถ้ารัฐลงทุนตามที่พูด ต่างชาติเข้าลงทุน ทำให้หุ้นขึ้น
เหลือเวลาอีก 2-3 ปี ซื้อปีนี้ขายปีหน้ายังปลอดภัย ต้องดูตอนจบซึ่งจะเหลือแค่2ใน10ที่สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้น
คุณพรชัย: ที่คุณศิริวัฒน์พูดเกิดไม่ทัน (อายุแค่29เอง อันนี้ผมเสริม) แต่ความเป็นจริง ตลาดหุ้นในไทยและอเมริกา พฤติกรรมของนักลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นกับว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ถ้าเราทำเหมือนคนอื่น เราก็ไม่กำไร คนเล่นแบบการพนัน ตกใจขาย ดีใจไล่ซื้อ (เอ เหมือนใครบางคนหรือเปล่า ) ถ้าเราทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ คือเป็นโอกาส คนตกใจ เทขายหุ้น ราคาหุ้นถูก ก็เข้าไปซื้อ (หลักการลงทุนแบบวีไอเลย) เข้ามาลงทุนด้วยความรู้ วิชาการลงทุนเป็นความเชื่อ ต้องรู้ให้จริงว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความกลัว เช่น ลงทุนในหุ้น SE-ED , IT , AS
ตอนนี้ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นตัวเดียวกัน ซื้อคนละเวลา คนนึงซื้อแล้วโง่มาก ส่วนอีกคนซื้อแล้วดูฉลาดมาก
คณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คุณศิริวัฒน์ : เสริมข้อคิดจากเซียนหุ้น ว่าการเป็นเซียนหุ้น อย่าเป็นเพราะเป็นเซียนแล้วเปิดด้านหลังเป็นแผลเต็มไปหมด ถ้าคิดรวยด้วยหุ้น อย่าเก็งกำไร ให้เน้นลงทุน ตั้งเป้าเลยได้ปันผลมากกว่า เช่น 1.5% ก็เริ่มศึกษาและลงทุนก่อนประกาศปันผล ช่วงก่อนเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้าซื้อก็ได้เงินปันผล ถ้าซื้อหลังประกาศปันผลราคาหุ้นขึ้นไปสูงอัตราปันผลจะต่ำลง บางที่ไม่คุ้มที่จะลงทุน
ตัวอย่างผู้บริหารกองทุนที่มีชื่อเสียง คุณปีเตอร์ ลินต์ ที่บริหารกองทุนแมคเจลแลน ซึ่งเกษียนไปแล้วเกือบ20ปี บอกว่า ให้สัมผ้สกับธุรกิจนั้นเวลาจะลงทุน ผมเสริมว่า บางครั้งจะดูหุ้นที่จะลงทุนโดยถามลูกสาวหรือภรรยาว่าช่วงนี้มีร้านค้าหรือสินค้าอะไรเป็นที่นิยม ก็จะดูว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า ถ้ามีจะไปศึกษาว่าน่าลงทุนหรือเปล่า
เรื่องการผิดพลาดในการลงทุน คุณวอร์เรน ก็ลงทุนผิดพลาดได้ เช่นลงทุนเทสโก้เมื่อ2-3 ปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าผลประกอบการไม่ดี ขาดทุนไปเยอะ ก็ขายทิ้งไป แต่ผลประกอบการของ เบอร์กไชน์ ที่คุณวอร์เรนบริหาร ยังกำไรเพราะได้กระจายการลงทุนไปหลายตัวมาก ดังนั้น ขอให้ผลลัพธภาพรวมเป็นบวกก็ใช้ได้
ผมเจ๊งหุ้น เพราะ เล่นมาร์จิ้นเยอะ ดอกเบี้ยก็แพง ประมาณ 17-19% ตอนหุ้นลงก็ถูกForce Sales ขายหุ้นหมดแต่ยังเหลือหนี้อีกเยอะ หลังจากนั้นBroker ก็เจ๊งตาม
ออกมาทำแซนวิซขาย 18 ปี พึ่งเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ยังไม่เห็นฝุ่นเทียบกับเมื่อก่อน ปีนี้ Broker ไม่กล้าทำนายกำไรของปีนี้เติบโตเท่าไหร่ ตอนนี้ดัชนี 1500 จุด เอากำไรของปีนี้มาหา PE จะได้เกิน 20 PB มากกว่า 2 เท่า กรีซปัญหายังไม่จบ ค่าเงินสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากทุกคนต้องการดอลลาร์ กลัวตลาดหุ้นโลกfully value พอสหรัฐมีข่าวดี แต่หุ้นตก เพราะกลัว FED ขึ้นดอกเบี้ย ตลาด Emerging market จะเป็นอย่างไร คุณสมบอกว่า ต่างชาติขายหมดแล้ว แต่อาจเจอ panic sell ได้ เพราะต่างชาติสามารถทำ short sell ได้ ดังนั้น ลงทุนจากตลาดหุ้น อย่าหวังรวย
ทพ สม : ความโลภของนักลงทุนทำให้หมดตัวได้ จะคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้หลังตลาดเสมอ เหมือนหวย ทำไมไม่ซื้อเลขนี้หลังหวยออกแล้ว ดังนั้น ทุ่มสุดตัวในตัวใหม่ ปรากฏว่าหุ้นตัวใหม่ไม่ขึ้น คนเราต้องรู้จักพอ เช่น พอขายหุ้นที่ขาย Set top box ตอน 4 บาทกว่าๆ ปรากฏว่าขึ้นไปอีกหลายเท่า รู้สึกทุกข์ การเล่นหุ้น ทุกข์มากกว่าสุข แต่รายได้มากกว่ทำคลีนิค ตั้งเป้ากำไรพอถึงจุดก็ขาย ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอ ขายเสร็จขึ้นไปเดี๋ยวก็ลงมา ถ้าเล่นหุ้นเก็งกำไร ชีวิตจะทุกข์มากกว่าสุข การเล่นหุ้นเหมือนการกระตุ้นจิตใจมากที่สุด
ดร นิเวศน์: ถ้าเราเล่นหุ้นไม่มีความสุข ความรวยไม่ยั่งยืน นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งนานก็คืนตลาดหุ้นไปหมด ส่วนใหญ่ตายหมด นักลงทุนเก็งกำไรที่มีชื่อเสียง ช่วงที่ดัง ผลตอบแทน 300-1,000 % เล่นต่อเมื่อได้มาก เหมือนเสพยาเสพติด ความรู้แบบนี้ไม่สามารถทำได้ ไม่อยู่บนพื้นฐาน พร้อมแต่เสมา แต่ บัฟเฟต รวยจนวันตาย การลงทุนระยะยาว สุดท้ายเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
การเป็นเจ้าของกิจการที่ดี ถืออย่างน้อย5ปี มีโอกาสดีขึ้น ประมาณ 90% ต้องบริหารความไม่แน่นอนโดยถือหุ้น 5-6 ตัว แต่ละตัวก็ถือประมาณ 10 กว่า % ตีแตกได้บางสถานการณ์ เช่นตอนวิกฤต กล้าตีแตก มั่นใจ 90% ถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ บริษัทขายสินค้าที่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าบริษัทตาย ตัวเล็กเจ๊งหมดเราก็ไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้ต้องตีแตก
คุณพรชัย: ก่อนต้มยำกุ้ง ลงทุนไม่โลภ ขึ้น5%ก็ขายแล้วหาตัวใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า แต่การลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรื่องจิตเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ เราต้องฝึกจิตตัวเองไม่ตามสัญชาติญาณ โอกาสต่างกับความโลภ ที่ความรู้ หุ้นตกมาคนนึงอาจเป็นความโลภ อีกคนเป็นโอกาสทอง ถ้าเล่นต่อไป ทุกข์เยอะมากๆ
ถ้าเราเข้ามาลงทุนในกิจการ ถึงแม้ยุโรปวิกฤต บริษัทที่ทำงานด้วยก็ไม่เจ๊ง เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุโรป ดังนั้นให้ดุค่า PE ประกอบ
ก่อนลงทุนหุ้น เราต้องรู้ว่าตนเองรู้จักหรือเปล่า เราเป็นนักลงทุน บริษัทที่ลงทุนคือบริษัทที่เราทำงาน เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเปิดร้านสุกี้ MK สุกี้ให่กว่าเราเยอะ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่เข้าไปยุ่ง ลงทุนเริ่มจากธุรกิจที่ง่ายๆ เข้าใจง่ายก่อน ไม่ต้องดูตลาดหุ้น เปรียบเหมือน เราลงทุนธุรกิจ ไม่มีราคาขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์ให้เราดูว่าราคาซื้อขายของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว
คำถาม ให้แต่ละวิทยากรพูดถึงข้อคิดในการลงทุน
ดร นิเวศน์: ลงทุนได้มามาก เพราะ จากโชคพามา จริงๆลงทุนเพื่อได้ผลตอบแทนพอประมาณ10%ก็พอแล้ว ถ้าทบต้นไปเรื่อยๆ ก็ดีมาก เราไปคิดตามคนรวยตอนนั้น สักพักคนรวยไม่รวยแล้ว ก็ตามคนรวยใหม่
โชคดี มีคนตามมาซื้อหุ้นที่ถือ (สงสัยมีคนเล่นตามเซียน เหมือนกับที่อจเขียนบทความ)
ราคาขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ปันผลใช้ทุกปี เห็นมันโตขึ้นเรื่อยๆ มองทีละ5 ปี (แต่ บัฟเฟตมองตลอดชีวิต บริษัทที่ซื้อยิ่งใหญ่มานานหลายสิบปี ) เอาสัก 5-6 ตัว หุ้นขึ้นหรือลงไม่ต้องทำอะไร โอกาสดูผิดแค่ 1 ใน 5 เอง แต่อีก 4-5 ตัวดีกว่าเก่า ชดเชยกับตัวที่ไม่ดี
หาหุ้นที่มั่นใจว่าเราตายก่อนมัน เพราะบริษัทตายยาก
คุณศิริวัฒน์: อีก5ปีข้างหน้าไม่แน่อาจรวยกว่าดร เพราะจะเอาบริษัทเข้าตลาดMAI แล้วมาวัดกันอีกที ดร เสริมว่า ผมไม่อิจฉาใครถ้าดี ผมซื้อด้วย พอหุ้นเข้าตลาดจะไปซื้อแซนวิซทาน คุณศิริวัฒน์สวนกลับ ถ้าเห็นดร จองมาจะเก็บใบจองไว้
อยากมาแชร์ 18 ปีที่ผ่านมา การเล่นหุ้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องกำไรเสมอ ถ้าcut loss ถูกจังหวะก็กำไรได้ สมัยนั้นไม่ยอม cut loss และ ถูก force sell ตกไป 60% เจอหนี้ที่มีดอกเบี้ย 16%กว่า ถ้าถึงเวลา cut loss วิเคราะห์แล้วขายขาดทุนดีกว่า ถ้าใจไม่ถึงขายบางส่วน เช่น ขายแค่ 10% อาทิตย์หน้าตกอีกที นอนหลับ
เที่ยวนี้ไปเล่นwarrant กันเยอะมีโอกาสเจ๊งเยอะ อันตรายเพราะตัวมันมีอายุ ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ พอหมดอายุ ไม่มีมูลค่า เป็นเศษกระดาษ ถ้าลงเยอะให้ cut los
ดัชนีไม่มีทางถึง 1600 จุด NPL สูงขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแต่ละไตรมาส ท่าจะถดถอย หรือ Growth นิดหน่อย ราคาหุ้น overvalue ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย
ถ้าลบก็ชิงcut lossก่อน เกิดpanic sellเพราะสั่งโบรคขายทุกราคา จะเป็นจังหวะของการศึกษาเพื่อมาช้อนซื้อ
สรุป 1. อย่ากู้มาลงทุน 2. อย่าลงwarrant 3. ทำการบ้านอย่างดี
ทพ สม : ตั้งcut loss 10% cut 5 ครั้งถูกครั้งเดียว แต่คุ้มค่า
คุณพรชัย: เราทำตัวสมควรรวยหรือเปล่า ถ้าเมื่อก่อนทำแบบนี้เช่น วิเคราะห์การเงินไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังไม่เป็น ไปขายเต้าหู้ดีกว่า เราฝึกได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่เราทำหรือไม่ทำ รวยไม่รู้เรื่อง ไม่มี ผมเจ๊งตอนต้มยำกุ้ง เหลือหลักหมื่น ผ่านประสบการณ์มาเยอะ เจอกูรู5คนพูด5อย่าง ต้องมีคนผิด ดังนั้นดูที่คนประสบความสำเร็จ ว่าทำอย่างไรให้ทำแบบนั้น ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง แล้วไปลงทุนใหม่ ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผิดพลาด เราต้องได้ประโยชน์จากมัน เราไม่คิดทำ และคิดจะรวย ถือว่าเราเรียกร้องมากเกินไป
จบการสัมมนา ต้องขอขอบคุณ พิธิกร ดร ไพบูลย์ พิธีกรร่วม อจ ถาวร และวิทยกร คุณศิริวัฒน์ ดร นิเวศน์ ทพ สม และ คุณพรชัย รวมถึง staff money talk มาณ โอกาสนี้ด้วยครับ ที่ให้ความรู้แก่พวกเรา
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
มีมิตรสหายท่านหนึ่งบอกให้ รอดูวิดีโอ ย้อนหลัง
ตอนนี้ทีเด็ด
มีมิตรสหายท่านหนึ่งบอกให้ รอดูวิดีโอ ย้อนหลัง
ตอนนี้ทีเด็ด
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 17
ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด เห็นด้วยกับประโยคนี้ของคุณพรชัยไม๊ครับ สำหรับผมคณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คิดแล้วคิดอีกกับประโยคนี้ เป็นประโยคที่ผมต้องจำให้แม่นจำให้นาน ซื้อขายหุ้นให้ดูภาวะเศรษฐกิจ ผมแปลว่า
ถ้าภาวะเศรษฐกิจดีให้ซื้อหุ้น ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีให้ขายหุ้น (ถ้าทำแบบนี้ คุณพรชัยบอกว่าผิด)
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 20
Refer ประโยค ซื้อขายหุ้นให้ดูภาวะเศรษฐกิจ ผมแปลว่า
ถ้าภาวะเศรษฐกิจดีให้ซื้อหุ้น ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีให้ขายหุ้น
ดูตอนปี 40 เศรษฐกิจไม่ดีเลย แต่มีหุ้นที่ราคาถูกมากๆ เป็นโอกาสซื้อ ถ้าดูแค่เศรษฐกิจไม่ดี แล้วไม่ซื้อก็จะเสียโอกาสดีๆไป
ถ้าภาวะเศรษฐกิจดีให้ซื้อหุ้น ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีให้ขายหุ้น
ดูตอนปี 40 เศรษฐกิจไม่ดีเลย แต่มีหุ้นที่ราคาถูกมากๆ เป็นโอกาสซื้อ ถ้าดูแค่เศรษฐกิจไม่ดี แล้วไม่ซื้อก็จะเสียโอกาสดีๆไป
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ที่แบ่งปัน
เรียนรู้ ออราเคิล Oracle Learning
http://oraclelearning.com
http://oraclelearning.com
-
- Verified User
- โพสต์: 154
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 22
เศรษฐกิจดี ก็เป็นทั้งโอกาสซื้อและขายCARPENTER เขียน:ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด เห็นด้วยกับประโยคนี้ของคุณพรชัยไม๊ครับ สำหรับผมคณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คิดแล้วคิดอีกกับประโยคนี้ เป็นประโยคที่ผมต้องจำให้แม่นจำให้นาน ซื้อขายหุ้นให้ดูภาวะเศรษฐกิจ ผมแปลว่า
ถ้าภาวะเศรษฐกิจดีให้ซื้อหุ้น ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีให้ขายหุ้น (ถ้าทำแบบนี้ คุณพรชัยบอกว่าผิด)
เศรษฐกิจแย่ ก็เป็นทั้งโอกาสซื้อและขาย
สุดท้ายต้องดูที่ตัวกิจการ
เลยเป็นเหตุผลว่าดูที่เศรษฐกิจแล้วตัดสินใจเลยไม่ได้ ผมเข้าใจประมาณนี้ครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 23
มี รีรัน หรือยังครับ รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 25
ไว้รอดูอีกที ตอนลงยูทูป (แต่พูดไปตามที่อ่านแล้วกัน จะเงิบทีหลังก็ สมน้ำหน้าตัวเอง 555)
ไม่เข้าใจ อ. จะเชิญคุณศิริวัฒน์มาทำไม ทันตแพทย์สม อีกคน
คนนึงเป็นอดีตเซียน ที่กะจะรวยจากเอาหุ้นเข้าตลาด
อีกคนเน้นขายหนังสือ ถูกบ้างผิดบ้าง น่าเชื่อบ้างไม่น่าเชื่อบ้าง
(สองคนนี้มา ก็อีหรอบนี้ แล้วตกลงหลักการของสองคนนี้เขาเซียนยังไง)
อุตส่าเป็น หัวข้อ ข้อคิดจากเซียน ทั้งที อาจารย์น่าจะเชิญคนที่
ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการลงทุนมามากกว่า
(ถ้าจะเชิญคุณศิริวัฒน์ หัวข้อคนเคยเจ๊ง หรือ ทันตแพทย์ สม หัวข้อจิตวิทยาก็ว่าไป จะตรงกว่า)
ปล บ่นตามภาษาคนติดตามมานานนะครับ ไม่ได้ไม่เคารพอาจารย์หรือรายการแต่อย่างใด
อย่างเทป มันนี่ทอร์ค อันนี้ ถือว่า เยี่ยมมาก ไม่ได้เห็นแขกประมาณนี้ มามันนี่ทอร์ค นานแล้ว
ไม่เข้าใจ อ. จะเชิญคุณศิริวัฒน์มาทำไม ทันตแพทย์สม อีกคน
คนนึงเป็นอดีตเซียน ที่กะจะรวยจากเอาหุ้นเข้าตลาด
อีกคนเน้นขายหนังสือ ถูกบ้างผิดบ้าง น่าเชื่อบ้างไม่น่าเชื่อบ้าง
(สองคนนี้มา ก็อีหรอบนี้ แล้วตกลงหลักการของสองคนนี้เขาเซียนยังไง)
อุตส่าเป็น หัวข้อ ข้อคิดจากเซียน ทั้งที อาจารย์น่าจะเชิญคนที่
ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการลงทุนมามากกว่า
(ถ้าจะเชิญคุณศิริวัฒน์ หัวข้อคนเคยเจ๊ง หรือ ทันตแพทย์ สม หัวข้อจิตวิทยาก็ว่าไป จะตรงกว่า)
ปล บ่นตามภาษาคนติดตามมานานนะครับ ไม่ได้ไม่เคารพอาจารย์หรือรายการแต่อย่างใด
อย่างเทป มันนี่ทอร์ค อันนี้ ถือว่า เยี่ยมมาก ไม่ได้เห็นแขกประมาณนี้ มามันนี่ทอร์ค นานแล้ว
Sixth Sense Investor
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
โพสต์ที่ 28
คลิปคุณวิชัย ดีจริงๆ ครับsipoonya เขียน:ไว้รอดูอีกที ตอนลงยูทูป (แต่พูดไปตามที่อ่านแล้วกัน จะเงิบทีหลังก็ สมน้ำหน้าตัวเอง 555)
ไม่เข้าใจ อ. จะเชิญคุณศิริวัฒน์มาทำไม ทันตแพทย์สม อีกคน
คนนึงเป็นอดีตเซียน ที่กะจะรวยจากเอาหุ้นเข้าตลาด
อีกคนเน้นขายหนังสือ ถูกบ้างผิดบ้าง น่าเชื่อบ้างไม่น่าเชื่อบ้าง
(สองคนนี้มา ก็อีหรอบนี้ แล้วตกลงหลักการของสองคนนี้เขาเซียนยังไง)
อุตส่าเป็น หัวข้อ ข้อคิดจากเซียน ทั้งที อาจารย์น่าจะเชิญคนที่
ประสบความสำเร็จจริงๆ จากการลงทุนมามากกว่า
(ถ้าจะเชิญคุณศิริวัฒน์ หัวข้อคนเคยเจ๊ง หรือ ทันตแพทย์ สม หัวข้อจิตวิทยาก็ว่าไป จะตรงกว่า)
ปล บ่นตามภาษาคนติดตามมานานนะครับ ไม่ได้ไม่เคารพอาจารย์หรือรายการแต่อย่างใด
อย่างเทป มันนี่ทอร์ค อันนี้ ถือว่า เยี่ยมมาก ไม่ได้เห็นแขกประมาณนี้ มามันนี่ทอร์ค นานแล้ว
ซื้อหุ้นถูกกว่าตั้งธุรกิจเอง!!
ขออนุญาตแงะพอร์ทคุณวิชัย เอามาแปะไว้นะครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ชื่อผู้ถือหุ้น ชื่อหุ้น จำนวนหุ้น เปอเซ็น
นายวิชัย มิตรสันติสุข HMPRO 123,119,914 1
นายวิชัย มิตรสันติสุข IT 4,000,000 1.14
นายวิชัย มิตรสันติสุข MCS 14,280,500 2.86
นายวิชัย มิตรสันติสุข STANLY 530,000 0.69
นายวิชัย มิตรสันติสุข THCOM 18,000,000 1.64
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530