ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 3
ถ้าพิจารณาเห็นวฝ่าอยากลงทุนในจีนก็ต้องศึกษาข้อมูลให้แน่น
แล้วเปรียบเทียบความคุ้มค่าด้วย
แล้วเปรียบเทียบความคุ้มค่าด้วย
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 6
ถ้าพอตามข่าวคือ จีนมีนโยบาย soft landing และทำสำเร็จกับอสังหา
ส่วนตลาดหุ้นคงยังถูกกดอยู่อีกกระมังคับ
ส่วนตัวผมว่า ก็ไม่น่าซื้อถัวนะคับ
แต่อาจจะต้องติดตามนโยบายจีนอย่างใกล้ชิด
ปกติ index กับ gdp จีน มันก็ไม่ไปในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว
ส่วนตลาดหุ้นคงยังถูกกดอยู่อีกกระมังคับ
ส่วนตัวผมว่า ก็ไม่น่าซื้อถัวนะคับ
แต่อาจจะต้องติดตามนโยบายจีนอย่างใกล้ชิด
ปกติ index กับ gdp จีน มันก็ไม่ไปในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 7
ไม่จำเป็นต้องเอาคืนจากกองทุน(หรือหุ้น) เดิมครับ ถ้ามีโอกาสทำกำไรอื่นก็ลงทุนไปเลย
สุดท้ายเราคิดที่ตัวเงิน ไม่ใช่ตัวเครื่องหมายกำไรขาดทุนทางบัญชี
สุดท้ายเราคิดที่ตัวเงิน ไม่ใช่ตัวเครื่องหมายกำไรขาดทุนทางบัญชี
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 8
เกือบลืม ผมไม่ชอบ Index fund ครับ เว้นแต่จะมีเครื่องมือที่จะเล่นกับมันมากพอ (options/futures)
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 10
จากPE20กว่าๆลงเหลือ 9-10
จากโต2digit ลงเหลือditgitเดียว
จากโต2digit ลงเหลือditgitเดียว
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 11
รอบโลก
แบงก์จีนอัดฉีด1.3ล้านล้านกระตุ้นศก.
10 ตุลาคม 2555 เวลา 11:33 น. |
เปิดอ่าน 829 |
comment ความคิดเห็น 0
ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าตลาดการเงิน 1.3 ล้านล้านบาท หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภาพประกอบข่าวจากแฟ้มภาพ
วอลสตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองเป็นวงเงินสูงถึง 2.65 แสนล้านหยวน (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการอัดฉีดเงินรายวันสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของธนาคารกลาง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว
“การอัดฉีดเงินครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนนโยบายมุ่งสร้างการเติบโตของธนาคารกลาง” ดาริอุส โควาลซิก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารเครดิต อะกริกอล กล่าว
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดเงิน 1.65 แสนล้านหยวน (ราว 8.04 แสนล้านบาท) ผ่านการซื้อพันธบัตร โดยมีสัญญาขายคืนระยะ 7 วัน ในระดับอัตราดอกเบี้ย 3.35%
ด้านนักลงทุนมองว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะช่วยให้บรรดาบริษัทในจีนสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะดันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นให้ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ ในประเทศ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนเคยใช้มาตรการดังกล่าวมาแล้วเพื่อคลายความตึงตัวทางการเงิน โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเป็นวงเงินสูงถึง 2.90 แสนล้านหยวน (1.4 ล้านล้านบาท) นับเป็นการอัดฉีดเงินรายวันจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้จำนวนเงินที่ธนาคารอัดฉีดทั้งหมดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 2.418 ล้านล้านหยวน (ราว 11.7 ล้านล้านบาท)
มาตรการเสริมสภาพคล่องดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจแดนมังกรที่ชะลอตัว ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ภาคการผลิตของประเทศ ประจำเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 49.8 จุด
“เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ ธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องงัดมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันยังต้องรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบายการเงินของประเทศ” โจวเสี่ยวฉาว ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับนิตยสารการเงินแห่งหนึ่งของจีน
แบงก์จีนอัดฉีด1.3ล้านล้านกระตุ้นศก.
10 ตุลาคม 2555 เวลา 11:33 น. |
เปิดอ่าน 829 |
comment ความคิดเห็น 0
ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าตลาดการเงิน 1.3 ล้านล้านบาท หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภาพประกอบข่าวจากแฟ้มภาพ
วอลสตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองเป็นวงเงินสูงถึง 2.65 แสนล้านหยวน (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการอัดฉีดเงินรายวันสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของธนาคารกลาง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว
“การอัดฉีดเงินครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนนโยบายมุ่งสร้างการเติบโตของธนาคารกลาง” ดาริอุส โควาลซิก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารเครดิต อะกริกอล กล่าว
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดเงิน 1.65 แสนล้านหยวน (ราว 8.04 แสนล้านบาท) ผ่านการซื้อพันธบัตร โดยมีสัญญาขายคืนระยะ 7 วัน ในระดับอัตราดอกเบี้ย 3.35%
ด้านนักลงทุนมองว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะช่วยให้บรรดาบริษัทในจีนสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะดันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นให้ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ ในประเทศ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนเคยใช้มาตรการดังกล่าวมาแล้วเพื่อคลายความตึงตัวทางการเงิน โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเป็นวงเงินสูงถึง 2.90 แสนล้านหยวน (1.4 ล้านล้านบาท) นับเป็นการอัดฉีดเงินรายวันจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้จำนวนเงินที่ธนาคารอัดฉีดทั้งหมดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 2.418 ล้านล้านหยวน (ราว 11.7 ล้านล้านบาท)
มาตรการเสริมสภาพคล่องดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจแดนมังกรที่ชะลอตัว ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ภาคการผลิตของประเทศ ประจำเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 49.8 จุด
“เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ ธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องงัดมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันยังต้องรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบายการเงินของประเทศ” โจวเสี่ยวฉาว ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับนิตยสารการเงินแห่งหนึ่งของจีน
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 12
รอบโลก
จีนอัดฉีด1.2หมื่นล.อุ้มเอกชน
11 ตุลาคม 2555 เวลา 10:44 น. |
เปิดอ่าน 721 |
comment ความคิดเห็น 0
แบงก์ชาติจีนเล็งอัดฉีด 1.23 หมื่นล้าน เสริมแกร่งภาคนำเข้าป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจโลก
กระทรวงการคลังจีนเปิดเผยรายงานล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ระบุว่า ธนาคารกลางเตรียมอนุมัติเงินอุดหนุนให้แก่บริษัทนำเข้าในประเทศ สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัย วัตถุดิบและอุปกรณ์ที่จำเป็น รวมมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านหยวน (ราว 1.23 หมื่นล้านบาท) นับเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของธนาคารกลาง ที่จะเดินหน้ากระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างสมดุลทางการค้าของประเทศให้มีเสถียรภาพ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ เงินอุดหนุนจำนวนดังกล่าว ซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากงบประมาณกลาง คิดเป็นสัดส่วนเงินทุนสนับสนุนจากธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้วถึง 25% โดยที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางได้จัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่บริษัทนำเข้าไปแล้ว รวมมูลค่าสูงถึง 9,500 ล้านหยวน (ราว 3.8 หมื่นล้านบาท) นับตั้งแต่ปี 2551
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของธนาคารกลางแดนมังกร ภายหลังจากที่สภาพเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดส่งออกในเดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2.7% ขณะที่ยอดนำเข้าดิ่งตัวลง 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จาก วิกฤตหนี้ยุโรป และสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลง
สัญญาณการชะลอตัวลงดังกล่าว ผลักดันให้ธนาคารกลางจีนเดินหน้าประกาศมาตรการให้ความช่วยเหลือภาคส่งออกและนำเข้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายรวมถึงการผ่อนคลายกฎข้อบังคับอันเข้มงวด สนับสนุนให้มีการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น และเร่งกระบวนการคืนเงินภาษี
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของจีน ยังประกาศระงับการจัดเก็บภาษีการตรวจ สอบและกักกันสินค้าทุกชนิด ที่นำเข้าและส่งออกจากประเทศจีนเป็นการชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อปกป้องบรรดาบริษัทผู้ส่งออกและนำเข้าต่างๆ ของประเทศจากวิกฤตการเงินโลกในปัจจุบันอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีหมายกำหนดการเปิดเผยรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปี 2555 ในวันที่ 18 ต.ค. ที่จะถึงนี้ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดานักวิเคราะห์จากรอยเตอร์สพบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของแดนมังกร จะชะลอตัวลงเป็นไตรมาส 7 ติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นระดับการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่การเกิดวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551 ทีเดียว
จีนอัดฉีด1.2หมื่นล.อุ้มเอกชน
11 ตุลาคม 2555 เวลา 10:44 น. |
เปิดอ่าน 721 |
comment ความคิดเห็น 0
แบงก์ชาติจีนเล็งอัดฉีด 1.23 หมื่นล้าน เสริมแกร่งภาคนำเข้าป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจโลก
กระทรวงการคลังจีนเปิดเผยรายงานล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ระบุว่า ธนาคารกลางเตรียมอนุมัติเงินอุดหนุนให้แก่บริษัทนำเข้าในประเทศ สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัย วัตถุดิบและอุปกรณ์ที่จำเป็น รวมมูลค่าสูงถึง 2,500 ล้านหยวน (ราว 1.23 หมื่นล้านบาท) นับเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของธนาคารกลาง ที่จะเดินหน้ากระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างสมดุลทางการค้าของประเทศให้มีเสถียรภาพ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ เงินอุดหนุนจำนวนดังกล่าว ซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากงบประมาณกลาง คิดเป็นสัดส่วนเงินทุนสนับสนุนจากธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้วถึง 25% โดยที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางได้จัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่บริษัทนำเข้าไปแล้ว รวมมูลค่าสูงถึง 9,500 ล้านหยวน (ราว 3.8 หมื่นล้านบาท) นับตั้งแต่ปี 2551
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของธนาคารกลางแดนมังกร ภายหลังจากที่สภาพเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดส่งออกในเดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2.7% ขณะที่ยอดนำเข้าดิ่งตัวลง 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จาก วิกฤตหนี้ยุโรป และสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลง
สัญญาณการชะลอตัวลงดังกล่าว ผลักดันให้ธนาคารกลางจีนเดินหน้าประกาศมาตรการให้ความช่วยเหลือภาคส่งออกและนำเข้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายรวมถึงการผ่อนคลายกฎข้อบังคับอันเข้มงวด สนับสนุนให้มีการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น และเร่งกระบวนการคืนเงินภาษี
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของจีน ยังประกาศระงับการจัดเก็บภาษีการตรวจ สอบและกักกันสินค้าทุกชนิด ที่นำเข้าและส่งออกจากประเทศจีนเป็นการชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อปกป้องบรรดาบริษัทผู้ส่งออกและนำเข้าต่างๆ ของประเทศจากวิกฤตการเงินโลกในปัจจุบันอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีหมายกำหนดการเปิดเผยรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปี 2555 ในวันที่ 18 ต.ค. ที่จะถึงนี้ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดานักวิเคราะห์จากรอยเตอร์สพบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของแดนมังกร จะชะลอตัวลงเป็นไตรมาส 7 ติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นระดับการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่การเกิดวิกฤตการเงินเมื่อปี 2551 ทีเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 13
หวั่นจีนปั้นตัวเลขส่งออก
14 มกราคม 2556 เวลา 11:45 น. |
เปิดอ่าน 870 |
comment ความคิดเห็น 1
แชร์ไปยัง facebook
5
แชร์ไปยัง twitter
10
More Sharing Servicesทั้งหมด +
หวั่นจีนปั้นตัวเลขส่งออก
นักวิเคราะห์ระบุตัวเลขส่งออกจีนไม่ตรงกับการนำเข้าของต่างประเทศ หวั่นข้อมูลคลาดเคลื่อนสวยกว่าความเป็นจริง
นักวิเคราะห์จากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงก์ และยูบีเอส ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ตัวเลขการส่งออกของจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 14.1% ในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนนั้น อาจเป็นตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากขัดแย้งกับสภาพการณ์ที่แท้จริง และอาจส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นจริงตามที่คาดไว้
บลูมเบิร์กได้รายงานอ้างนักวิเคราะห์หลายฝ่ายว่า ตัวเลขส่งออกดังกล่าวซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2554 นั้นไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของสินค้าเข้า-ออกตามท่าเรือ และตัวเลขการนำเข้าสินค้าที่เปิดเผยจากบรรดาคู่ค้าของจีนในต่างประเทศ
หลิวหลี่กัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนของธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ แบงก์กิง กรุ๊ป (เอเอ็นแซด) กล่าวว่า ปัจจุบันนี้จีนมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ไม่อาจเชื่อถือได้นั้นอาจส่งผลกระทบด้านลบเป็นวงกว้างต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการวางแผนธุรกิจและการจัดสรรทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีได้รายงานอ้างผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายคนในวันเดียวกันว่า เศรษฐกิจจีนจะหลุดพ้นจากภาวะขาลงในปี 2556 นี้ เนื่องจากผู้นำใหม่ของจีนได้ประกาศยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ และส่งเสริมชีวิตที่มีความสุขสำหรับทุกฝ่าย
ผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 8% และโตได้ 7.7% ในปี 2555 ซึ่งมากกว่าที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้ที่ 7.5% และยังคาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 นั้น เศรษฐกิจจีนจะโตได้ 7.8% จาก 7.4% ในไตรมาส 3
“คณะผู้นำชุดใหม่ของจีนคงไม่อยากเห็นเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่ง|เป็นปีแรกของการบริหารงาน โต|ได้น้อยกว่าในปี 2555” เฉินวิงตง นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส กล่าวกับเอเอฟพี และคาดการณ์ด้วยว่าจีดีพีของจีนในปีนี้อาจขยายตัวได้ถึง 8.3%
14 มกราคม 2556 เวลา 11:45 น. |
เปิดอ่าน 870 |
comment ความคิดเห็น 1
แชร์ไปยัง facebook
5
แชร์ไปยัง twitter
10
More Sharing Servicesทั้งหมด +
หวั่นจีนปั้นตัวเลขส่งออก
นักวิเคราะห์ระบุตัวเลขส่งออกจีนไม่ตรงกับการนำเข้าของต่างประเทศ หวั่นข้อมูลคลาดเคลื่อนสวยกว่าความเป็นจริง
นักวิเคราะห์จากธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงก์ และยูบีเอส ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ตัวเลขการส่งออกของจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 14.1% ในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา จากการเปิดเผยของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนนั้น อาจเป็นตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากขัดแย้งกับสภาพการณ์ที่แท้จริง และอาจส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นจริงตามที่คาดไว้
บลูมเบิร์กได้รายงานอ้างนักวิเคราะห์หลายฝ่ายว่า ตัวเลขส่งออกดังกล่าวซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2554 นั้นไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของสินค้าเข้า-ออกตามท่าเรือ และตัวเลขการนำเข้าสินค้าที่เปิดเผยจากบรรดาคู่ค้าของจีนในต่างประเทศ
หลิวหลี่กัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนของธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ แบงก์กิง กรุ๊ป (เอเอ็นแซด) กล่าวว่า ปัจจุบันนี้จีนมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ไม่อาจเชื่อถือได้นั้นอาจส่งผลกระทบด้านลบเป็นวงกว้างต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการวางแผนธุรกิจและการจัดสรรทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีได้รายงานอ้างผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายคนในวันเดียวกันว่า เศรษฐกิจจีนจะหลุดพ้นจากภาวะขาลงในปี 2556 นี้ เนื่องจากผู้นำใหม่ของจีนได้ประกาศยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ และส่งเสริมชีวิตที่มีความสุขสำหรับทุกฝ่าย
ผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 8% และโตได้ 7.7% ในปี 2555 ซึ่งมากกว่าที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้ที่ 7.5% และยังคาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 นั้น เศรษฐกิจจีนจะโตได้ 7.8% จาก 7.4% ในไตรมาส 3
“คณะผู้นำชุดใหม่ของจีนคงไม่อยากเห็นเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่ง|เป็นปีแรกของการบริหารงาน โต|ได้น้อยกว่าในปี 2555” เฉินวิงตง นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส กล่าวกับเอเอฟพี และคาดการณ์ด้วยว่าจีดีพีของจีนในปีนี้อาจขยายตัวได้ถึง 8.3%
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 14
พี่ครับ ทหารไทย China Equity Index อันนี่ลงทุนใน A-Shares หรือ H-Shares อ่ะครับ
เทียบกับกองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์
อันไหนหน้าสนใจกว่ากันครับ
เทียบกับกองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์
อันไหนหน้าสนใจกว่ากันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 15
แบงก์ชาติจีนขยับเชิงรุก อัดฉีดป้องกันวิกฤตสภาพคล่องช่วงตรุษจีน
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 20:55:16 น.
"พีบีโอซี" อัดฉีดเงินมหาศาล ป้องกันวิกฤตสภาพคล่อง ดันตลาดหุ้นพ้นระดับต่ำสุดรอบ 5 เดือน ฉุดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นลง หวั่น "ชาโดว์แบงกิ้ง" ลาม
วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของจีนร่วงลงเมื่อวันที่ 21 มกราคม หลังจากที่ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) อัดฉีดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาดการเงิน เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตสภาพคล่อง จากที่ความต้องการเงินสดเพิ่มสูงขึ้นก่อนหน้าวันหยุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นของประเทศที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ก่อนหน้านี้โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเพิ่มขึ้น0.9 เปอร์เซ็นต์ จากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
ย่างก้าวในเชิงรุกเพื่อสงบความตึงเครียดในตลาดเงินถือเป็นการหลุดพ้นจากภาวะตึงตัวทางการเงิน3รอบก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว เมื่อพีบีโอซีรอจนกระทั่งสถานการณ์บีบคั้นเลวร้ายมากกว่านี้
ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิเคราะห์ระบุว่าทางการจีนยังคงยึดติดอยู่กับนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดซึ่งถูกมองว่าเป็นวิธีการที่สำคัญมากในการช่วยลดความเสี่ยงจากระดับสินเชื่อและปรับสมดุลให้เศรษฐกิจ
"เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่พีบีโอซีอัดฉีดเงินปริมาณมากขนาดนี้และตลาดควรจะต้องสามารถถอนหายใจได้อย่างโล่งอก"นายหลิว ตงเหลียง นักวิเคราะห์อาวุโสของธนาคารไชน่าเมอร์แชนท์สแบงก์ กล่าว
พีบีโอซีอัดฉีดเงินทำธุรกรรมการซื้อโดยมีสัญญาขายคืน (รีเวิร์สรีโป) ในช่วงเวลา 7 วัน และปล่อยกู้ระยะสั้นให้กับธนาคารพาณิชย์ 75,000 ล้านหยวน (ราว 407,000 ล้านบาท) เช่นเดียวกับทำรีเวิร์สรีโประยะเวลา 21 วันมูลค่า 180,000 ล้านหยวน (ราว 977,000 ล้านบาท) ผ่านการดำเนินการผ่านตลาดการเงินในวันดังกล่าวนี้ โดยที่ผ่านมาพีบีโอซีมักจะใช้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ในการปรับระดับการจ่ายเงินทุนทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี
ย่างก้าวล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พีบีโอซีใช้ช่องทางผ่านตลาดการเงินนับตั้งแต่วันที่31ธันวาคมเป็นต้นมา เมื่อพวกเขาอัดฉีดเงิน 29,000 ล้านหยวนผ่านการทำรีเวิร์สรีโปเพื่อช่วยยุติภาวะเงินทุนตึงตัวในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารในวันดังกล่าวลดลงเหลือ5.55เปอร์เซ็นต์ จาก 6.59 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันที่ 20 มกราคม
การขยับตัวครั้งล่าสุดของพีบีโอซีมีขึ้นหลังจากพวกเขาออกแถลงการณ์สั้นๆเมื่อวันที่20 มกราคมว่า ได้อัดฉีดเงินทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งของประเทศแล้ว หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับเงินกู้ระยะสั้นพุ่งสูง อันเป็นผลมาจากความต้องการเงินสดเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้าเทศกาลวันหยุดตรุษจีนและความกังวลต่อ "ชาโดว์ แบงกิ้ง" หรือการปล่อยกู้นอกระบบของสถาบันการเงินที่แพร่หลายมาก
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 20:55:16 น.
"พีบีโอซี" อัดฉีดเงินมหาศาล ป้องกันวิกฤตสภาพคล่อง ดันตลาดหุ้นพ้นระดับต่ำสุดรอบ 5 เดือน ฉุดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นลง หวั่น "ชาโดว์แบงกิ้ง" ลาม
วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของจีนร่วงลงเมื่อวันที่ 21 มกราคม หลังจากที่ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) อัดฉีดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาดการเงิน เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตสภาพคล่อง จากที่ความต้องการเงินสดเพิ่มสูงขึ้นก่อนหน้าวันหยุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นของประเทศที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ก่อนหน้านี้โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเพิ่มขึ้น0.9 เปอร์เซ็นต์ จากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
ย่างก้าวในเชิงรุกเพื่อสงบความตึงเครียดในตลาดเงินถือเป็นการหลุดพ้นจากภาวะตึงตัวทางการเงิน3รอบก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว เมื่อพีบีโอซีรอจนกระทั่งสถานการณ์บีบคั้นเลวร้ายมากกว่านี้
ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิเคราะห์ระบุว่าทางการจีนยังคงยึดติดอยู่กับนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดซึ่งถูกมองว่าเป็นวิธีการที่สำคัญมากในการช่วยลดความเสี่ยงจากระดับสินเชื่อและปรับสมดุลให้เศรษฐกิจ
"เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่พีบีโอซีอัดฉีดเงินปริมาณมากขนาดนี้และตลาดควรจะต้องสามารถถอนหายใจได้อย่างโล่งอก"นายหลิว ตงเหลียง นักวิเคราะห์อาวุโสของธนาคารไชน่าเมอร์แชนท์สแบงก์ กล่าว
พีบีโอซีอัดฉีดเงินทำธุรกรรมการซื้อโดยมีสัญญาขายคืน (รีเวิร์สรีโป) ในช่วงเวลา 7 วัน และปล่อยกู้ระยะสั้นให้กับธนาคารพาณิชย์ 75,000 ล้านหยวน (ราว 407,000 ล้านบาท) เช่นเดียวกับทำรีเวิร์สรีโประยะเวลา 21 วันมูลค่า 180,000 ล้านหยวน (ราว 977,000 ล้านบาท) ผ่านการดำเนินการผ่านตลาดการเงินในวันดังกล่าวนี้ โดยที่ผ่านมาพีบีโอซีมักจะใช้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ในการปรับระดับการจ่ายเงินทุนทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี
ย่างก้าวล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พีบีโอซีใช้ช่องทางผ่านตลาดการเงินนับตั้งแต่วันที่31ธันวาคมเป็นต้นมา เมื่อพวกเขาอัดฉีดเงิน 29,000 ล้านหยวนผ่านการทำรีเวิร์สรีโปเพื่อช่วยยุติภาวะเงินทุนตึงตัวในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารในวันดังกล่าวลดลงเหลือ5.55เปอร์เซ็นต์ จาก 6.59 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันที่ 20 มกราคม
การขยับตัวครั้งล่าสุดของพีบีโอซีมีขึ้นหลังจากพวกเขาออกแถลงการณ์สั้นๆเมื่อวันที่20 มกราคมว่า ได้อัดฉีดเงินทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งของประเทศแล้ว หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดสำหรับเงินกู้ระยะสั้นพุ่งสูง อันเป็นผลมาจากความต้องการเงินสดเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้าเทศกาลวันหยุดตรุษจีนและความกังวลต่อ "ชาโดว์ แบงกิ้ง" หรือการปล่อยกู้นอกระบบของสถาบันการเงินที่แพร่หลายมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 16
เศรษฐกิจจีน – สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ. กรุงศรี จำกัด
เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมนาที่ปักกิ่ง ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในด้านต่างๆของจีนหลายท่านมาบรรยายให้ฟัง รวมถึงได้ไปดูโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เจิ้งโจวและเหวินโจวที่ทางรายการ 60 minutes ของสหรัฐฯให้คำจำกัดความว่าเป็น “Ghost town” หรือ “เมืองร้าง” เนื่องจากมีอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากที่ขายไม่ได้
การเดินทางไปจีนครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม สิ่งที่ได้เห็นต่างไปจากที่ได้รับรู้มาก่อนหน้านี้มาก ซึ่งน้องที่เดินทางไปด้วยได้ให้ข้อมูลว่าสภาพแวดล้อมของจีนเปลี่ยนแปลงไปมาก ในปักกิ่ง ผมแทบไม่เห็นรถเก่าเลย และถึงแม้การจราจรในปักกิ่งดูวุ่นวายมาก แต่ผมได้เห็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงครั้งเดียว ซึ่งสอดคล้องกับที่ผมสังเกตุตลอดระยะเวลาที่อยู่ในปักกิ่งว่า รถยนต์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ารถส่วนใหญ่ขับกันไม่เร็ว จึงสามารถเบรคได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ในส่วนของห้องน้ำก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่คิด ยกเว้นห้องน้ำสาธารณะที่ต้องทนเอาหน่อยครับ
ในส่วนของเศรษฐกิจ พอที่จะสัมผัสได้ว่า นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเศรษฐกิจจีนมากนัก โดยสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนได้แก่ ปัญหา shadow banking (สถาบันที่ทำหน้าที่คล้ายสถาบันการเงิน แต่ไม่ได้อยู่ในภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลภาคการเงิน) และปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งทางผู้กำหนดนโยบายของจีนได้อธิบายว่า ปัญหา shadow banking ไม่ใช่สิ่งที่ทางการกังวล เพราะหากองค์กรใดมีปัญหา ทางการจีนก็สามารถเข้าไปซื้อหรือควบคุมกิจการได้ และสัดส่วนของ shadow banking ก็ไม่ได้มากอย่างที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ ในส่วนของราคาอสังหาริมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญของจีนระบุว่า นักวิเคราะห์มองเพียงราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ราคาอสังหาริมทรัพย์จึงพุ่งสูงตามไปด้วย รัฐบาลจีนจึงเข้าไปควบคุมราคาไม่ให้พุ่งสูงขึ้นมากนัก (เทียบกับราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าของไทยที่พุ่งขึ้นหลายเท่าตัวใน 1 ปี) แต่หากมองทั้งประเทศแล้ว ผู้เชี่ยวชาญของจีนระบุว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนเน้นให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากกว่าการเติบโตในอัตราที่สูง ดังนั้น การที่นักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง จริงๆแล้วเป็นความตั้งใจของรัฐบาลจีน โดยที่ความอ่อนแอของเศรษฐกิจมีส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นให้การเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าการพึ่งพาการส่งออก
สำหรับการไปดู Ghost town ภาพที่เห็นไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกจำกัดความแต่อย่างใด การจราจรในทั้งสองเมืองที่ผมได้ไปค่อนข้างหนาแน่นถึงติดขัด และอาคารที่สร้างเสร็จแล้วต่างมีผู้อยู่อาศัยอย่างหนาแน่น สังเกตุได้จากเสื้อผ้าที่ตากระเกะระกะทุกห้อง ส่วนโครงการใหม่ๆที่เกิดขึ้นมากมาย สามารถขายได้แล้วราวร้อยละ 70 – 90 ซึ่งรวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่ได้ทำสัญญาเช่าในโครงการต่างๆเรียบร้อยแล้ว (อสังหาริมทรัพย์ในจีนส่วนใหญ่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ) ดังนั้น การที่เรียกเมืองเจิ้งโจวและเหวินโจวว่าเป็นเมืองร้าง จึงเป็นการจำกัดความที่ถูกบิดเบือนอย่างมาก
โดยสรุป สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ได้รับฟังมาเกี่ยวกับจีนมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ซึ่งตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” ถึงแม้สิ่งที่ผมเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็เป็นจุดที่พอจะบอกได้ว่า ข้อมูลที่ได้รับมาไม่ถูกต้องครับ
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ. กรุงศรี จำกัด
เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมนาที่ปักกิ่ง ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในด้านต่างๆของจีนหลายท่านมาบรรยายให้ฟัง รวมถึงได้ไปดูโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เจิ้งโจวและเหวินโจวที่ทางรายการ 60 minutes ของสหรัฐฯให้คำจำกัดความว่าเป็น “Ghost town” หรือ “เมืองร้าง” เนื่องจากมีอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากที่ขายไม่ได้
การเดินทางไปจีนครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผม สิ่งที่ได้เห็นต่างไปจากที่ได้รับรู้มาก่อนหน้านี้มาก ซึ่งน้องที่เดินทางไปด้วยได้ให้ข้อมูลว่าสภาพแวดล้อมของจีนเปลี่ยนแปลงไปมาก ในปักกิ่ง ผมแทบไม่เห็นรถเก่าเลย และถึงแม้การจราจรในปักกิ่งดูวุ่นวายมาก แต่ผมได้เห็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงครั้งเดียว ซึ่งสอดคล้องกับที่ผมสังเกตุตลอดระยะเวลาที่อยู่ในปักกิ่งว่า รถยนต์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ารถส่วนใหญ่ขับกันไม่เร็ว จึงสามารถเบรคได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ในส่วนของห้องน้ำก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่คิด ยกเว้นห้องน้ำสาธารณะที่ต้องทนเอาหน่อยครับ
ในส่วนของเศรษฐกิจ พอที่จะสัมผัสได้ว่า นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเศรษฐกิจจีนมากนัก โดยสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนได้แก่ ปัญหา shadow banking (สถาบันที่ทำหน้าที่คล้ายสถาบันการเงิน แต่ไม่ได้อยู่ในภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลภาคการเงิน) และปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งทางผู้กำหนดนโยบายของจีนได้อธิบายว่า ปัญหา shadow banking ไม่ใช่สิ่งที่ทางการกังวล เพราะหากองค์กรใดมีปัญหา ทางการจีนก็สามารถเข้าไปซื้อหรือควบคุมกิจการได้ และสัดส่วนของ shadow banking ก็ไม่ได้มากอย่างที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ ในส่วนของราคาอสังหาริมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญของจีนระบุว่า นักวิเคราะห์มองเพียงราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ราคาอสังหาริมทรัพย์จึงพุ่งสูงตามไปด้วย รัฐบาลจีนจึงเข้าไปควบคุมราคาไม่ให้พุ่งสูงขึ้นมากนัก (เทียบกับราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าของไทยที่พุ่งขึ้นหลายเท่าตัวใน 1 ปี) แต่หากมองทั้งประเทศแล้ว ผู้เชี่ยวชาญของจีนระบุว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนเน้นให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากกว่าการเติบโตในอัตราที่สูง ดังนั้น การที่นักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง จริงๆแล้วเป็นความตั้งใจของรัฐบาลจีน โดยที่ความอ่อนแอของเศรษฐกิจมีส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นให้การเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าการพึ่งพาการส่งออก
สำหรับการไปดู Ghost town ภาพที่เห็นไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกจำกัดความแต่อย่างใด การจราจรในทั้งสองเมืองที่ผมได้ไปค่อนข้างหนาแน่นถึงติดขัด และอาคารที่สร้างเสร็จแล้วต่างมีผู้อยู่อาศัยอย่างหนาแน่น สังเกตุได้จากเสื้อผ้าที่ตากระเกะระกะทุกห้อง ส่วนโครงการใหม่ๆที่เกิดขึ้นมากมาย สามารถขายได้แล้วราวร้อยละ 70 – 90 ซึ่งรวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่ได้ทำสัญญาเช่าในโครงการต่างๆเรียบร้อยแล้ว (อสังหาริมทรัพย์ในจีนส่วนใหญ่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ) ดังนั้น การที่เรียกเมืองเจิ้งโจวและเหวินโจวว่าเป็นเมืองร้าง จึงเป็นการจำกัดความที่ถูกบิดเบือนอย่างมาก
โดยสรุป สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ได้รับฟังมาเกี่ยวกับจีนมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ซึ่งตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” ถึงแม้สิ่งที่ผมเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจีน แต่ก็เป็นจุดที่พอจะบอกได้ว่า ข้อมูลที่ได้รับมาไม่ถูกต้องครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 17
"จีน" คลอดแผนเศรษฐกิจ เน้นสร้างงาน ต้านมลพิษ
updated: 10 มี.ค. 2557 เวลา 19:29:03 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แดนมังกรตั้งเป้าการเติบโตของจีดีพีปีนี้ไว้ที่ 7.5% เช่นเดียวกับปีกลาย แต่แย้มว่าการไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าวไม่สำคัญเท่ากับสร้างงานให้คนจีนมี งานทำอย่างทั่วถึง
รอยเตอร์ส รายงานว่า ในการประชุมใหญ่สภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีน (CPPCC) หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองจากทั่วโลกคือตัวเลขเป้าหมายการเติบโตประจำปี ซึ่งสะท้อนถึงการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลจีนว่าเรื่องใดเป็นภารกิจอันดับ ต้น ๆ ที่ต้องทำให้สำเร็จ
สำหรับปีนี้ หลังนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ประกาศเป้าที่ 7.5% ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แตกเป็น 2 ขั้ว ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสม และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลปักกิ่งต้องการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลกให้ขยายตัวอย่างเนื่อง ซึ่งจะสร้างอานิสงส์ให้กับเศรษฐกิจโลกอีกทอด แต่อีกฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทางการจีนตั้งเป้าไว้สูงเกินไปและไม่สอดคล้องกับ แผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมองว่าจีนควรลดตัวเลขเป้าหมายการเติบโตลงมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมอดทนกับการชะลอตัวเพื่อผลักดันการปฏิรูปให้ สัมฤทธิผล
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการส่งสัญญาณที่สับสนดังกล่าว นายหลัว จีเว่ย ขุนคลังของจีนได้ออกมาสยบการตีความไป
ต่าง ๆ นานาของนักลงทุนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าปีนี้จีนจะพลาดเป้าการเติบโตไปบ้าง พร้อมย้ำว่าการสร้างตำแหน่งงานเป็นเรื่องสำคัญกว่า "เรามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ 3 อย่างในปีนี้ ได้แก่สร้างงาน ควบคุมเงินเฟ้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประการแรก" และ "ไม่ว่าจะโต 7.3% หรือ 7.2% ก็ถือว่าใกล้เคียงกับ 7.5% ตามที่ตั้งไว้"
ปีนี้รัฐบาลจีน ตั้งเป้าสร้างตำแหน่งงานให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านตำแหน่งในเขตเมือง และดูแลไม่ให้การว่างงานในเขตเมืองสูงเกิน 4.6% นักวิเคราะห์มองว่าสาเหตุที่จีนให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ เป็นเพราะการว่างงานเป็นต้นตอของอาชญากรรมและความมวุ่นวายทางสังคม ซึ่งเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของพรรคคอมมิวนิสต์ และสั่นคลอนบัลลังก์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีกลาย
ในที่ประชุม นายหลี่ เค่อเฉียงยังให้คำมั่นด้วยว่า จะประกาศสงครามกับมลพิษ ซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาเศรษฐกิจหลายปีที่ผ่านมา โดยย้ำว่าให้ความสำคัญในระดับเดียวกับการต่อสู้กับความยากจน
การเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 3 ทศวรรษ เปลี่ยนจีนจากประเทศเกษตรกรรมยากจนมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่ก็มาพร้อมกับผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์หลายอย่าง อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่น หนี้เน่าก้อนโตของรัฐบาลท้องถิ่น และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายการเติบโตเป็นศูนย์กลางของแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำหนดโดยรัฐบาลกลาง ซึ่งตลอด 25 ปี
ก่อนหน้านี้ จีนมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีเกินเป้ามาโดยตลอด อาทิ ปีที่แล้วโต 7.7% จากที่ตั้งเป้าไว้ 7.5% ข้อมูลจากสแตนดาร์ดชาเตอร์ดชี้ว่าครั้งล่าสุดที่จีนโตต่ำกว่าเป้าคือปี 2532 แต่ปีนี้เศรษฐกิจที่เคยรุ่งโรจน์ของจีนเผชิญมรสุมหลายรูปแบบ เว่ย เหยา นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโซซิเอเต้ เจนเนอรัล แจกแจงกับ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ว่ามีตั้งแต่การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินที่สูงลิ่วทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยย้ายฐานการผลิต ไปยังประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่า อย่างบังกลาเทศ กัมพูชา หรือเวียดนาม
เว่ย เหยามองว่าเป็นเรื่องยากสำหรับรัฐบาลจีนที่จะกระตุ้นการเติบโตให้สูงถึงเป้า พร้อม ๆ ไปกับควบคุมดูแลความเสี่ยงในตลาดการเงิน ตลอดจนรักษาสภาพแวดล้อม "เรามองว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะบรรลุเป้าทุกเรื่องตามที่นายกฯหลี่ เค่อเฉียงประกาศไว้ โดยไม่ลดเป้าการเติบโตลงมา หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าจีนต้องการเติบโตให้ได้ตามเป้า การก่อหนี้ก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง"
นับจากสี จิ้นผิงก้าวขึ้นกุมบังเหียนประเทศ ก็ประกาศจะปรับทิศทางการพัฒนา โดยหันมาใส่ใจกับคุณภาพมากกว่าปริมาณการเติบโต และวางแผนเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจีนจากปัจจุบันเน้นพึ่งพาการส่งออกและลงทุน มาเป็นการขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อย่างที่จีนเคยประสบมาแล้วช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 2551-2552
updated: 10 มี.ค. 2557 เวลา 19:29:03 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แดนมังกรตั้งเป้าการเติบโตของจีดีพีปีนี้ไว้ที่ 7.5% เช่นเดียวกับปีกลาย แต่แย้มว่าการไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าวไม่สำคัญเท่ากับสร้างงานให้คนจีนมี งานทำอย่างทั่วถึง
รอยเตอร์ส รายงานว่า ในการประชุมใหญ่สภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีน (CPPCC) หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองจากทั่วโลกคือตัวเลขเป้าหมายการเติบโตประจำปี ซึ่งสะท้อนถึงการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลจีนว่าเรื่องใดเป็นภารกิจอันดับ ต้น ๆ ที่ต้องทำให้สำเร็จ
สำหรับปีนี้ หลังนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ประกาศเป้าที่ 7.5% ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แตกเป็น 2 ขั้ว ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสม และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลปักกิ่งต้องการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลกให้ขยายตัวอย่างเนื่อง ซึ่งจะสร้างอานิสงส์ให้กับเศรษฐกิจโลกอีกทอด แต่อีกฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทางการจีนตั้งเป้าไว้สูงเกินไปและไม่สอดคล้องกับ แผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมองว่าจีนควรลดตัวเลขเป้าหมายการเติบโตลงมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมอดทนกับการชะลอตัวเพื่อผลักดันการปฏิรูปให้ สัมฤทธิผล
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการส่งสัญญาณที่สับสนดังกล่าว นายหลัว จีเว่ย ขุนคลังของจีนได้ออกมาสยบการตีความไป
ต่าง ๆ นานาของนักลงทุนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าปีนี้จีนจะพลาดเป้าการเติบโตไปบ้าง พร้อมย้ำว่าการสร้างตำแหน่งงานเป็นเรื่องสำคัญกว่า "เรามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ 3 อย่างในปีนี้ ได้แก่สร้างงาน ควบคุมเงินเฟ้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประการแรก" และ "ไม่ว่าจะโต 7.3% หรือ 7.2% ก็ถือว่าใกล้เคียงกับ 7.5% ตามที่ตั้งไว้"
ปีนี้รัฐบาลจีน ตั้งเป้าสร้างตำแหน่งงานให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านตำแหน่งในเขตเมือง และดูแลไม่ให้การว่างงานในเขตเมืองสูงเกิน 4.6% นักวิเคราะห์มองว่าสาเหตุที่จีนให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ เป็นเพราะการว่างงานเป็นต้นตอของอาชญากรรมและความมวุ่นวายทางสังคม ซึ่งเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของพรรคคอมมิวนิสต์ และสั่นคลอนบัลลังก์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีกลาย
ในที่ประชุม นายหลี่ เค่อเฉียงยังให้คำมั่นด้วยว่า จะประกาศสงครามกับมลพิษ ซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาเศรษฐกิจหลายปีที่ผ่านมา โดยย้ำว่าให้ความสำคัญในระดับเดียวกับการต่อสู้กับความยากจน
การเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 3 ทศวรรษ เปลี่ยนจีนจากประเทศเกษตรกรรมยากจนมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่ก็มาพร้อมกับผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์หลายอย่าง อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่น หนี้เน่าก้อนโตของรัฐบาลท้องถิ่น และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายการเติบโตเป็นศูนย์กลางของแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำหนดโดยรัฐบาลกลาง ซึ่งตลอด 25 ปี
ก่อนหน้านี้ จีนมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีเกินเป้ามาโดยตลอด อาทิ ปีที่แล้วโต 7.7% จากที่ตั้งเป้าไว้ 7.5% ข้อมูลจากสแตนดาร์ดชาเตอร์ดชี้ว่าครั้งล่าสุดที่จีนโตต่ำกว่าเป้าคือปี 2532 แต่ปีนี้เศรษฐกิจที่เคยรุ่งโรจน์ของจีนเผชิญมรสุมหลายรูปแบบ เว่ย เหยา นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโซซิเอเต้ เจนเนอรัล แจกแจงกับ วอลล์สตรีต เจอร์นัล ว่ามีตั้งแต่การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินที่สูงลิ่วทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยย้ายฐานการผลิต ไปยังประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่า อย่างบังกลาเทศ กัมพูชา หรือเวียดนาม
เว่ย เหยามองว่าเป็นเรื่องยากสำหรับรัฐบาลจีนที่จะกระตุ้นการเติบโตให้สูงถึงเป้า พร้อม ๆ ไปกับควบคุมดูแลความเสี่ยงในตลาดการเงิน ตลอดจนรักษาสภาพแวดล้อม "เรามองว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะบรรลุเป้าทุกเรื่องตามที่นายกฯหลี่ เค่อเฉียงประกาศไว้ โดยไม่ลดเป้าการเติบโตลงมา หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าจีนต้องการเติบโตให้ได้ตามเป้า การก่อหนี้ก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง"
นับจากสี จิ้นผิงก้าวขึ้นกุมบังเหียนประเทศ ก็ประกาศจะปรับทิศทางการพัฒนา โดยหันมาใส่ใจกับคุณภาพมากกว่าปริมาณการเติบโต และวางแผนเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจีนจากปัจจุบันเน้นพึ่งพาการส่งออกและลงทุน มาเป็นการขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อย่างที่จีนเคยประสบมาแล้วช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 2551-2552
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 18
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 20
ไทยรัฐออนไลน์
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
advertisement
หน้าหลัก / ต่างประเทศ / เปิดฟ้าส่องโลก
จีนจะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไง
โดย นิติภูมิ นวรัตน์ 29 ก.ค. 2557 05:01
ฯพณฯ นายเฟลิกซ์ เดเนกรี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจำประเทศไทย และมาดาม นางมาเรีย บาร์กัส เด เดเนกรี จัดงานวันชาติเปรู (the 193rd Anniversary of the Independence of Peru) เริ่ม 18.30 น. ของอังคารวันนี้ ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ ท่านทูตและมาดามเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ร่วมงานด้วย คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกขอแสดงความยินดีกับสาธารณรัฐเปรู เนื่องในโอกาสวันชาติครับ
จันทร์ที่ผ่านมา พ่อผมไปบรรยายที่อุบลฯ ผู้คนที่มาต้อนรับเล่าให้ฟังว่า ท่านเพิ่งกลับจากไปเยือนจีน ตอนอยู่ที่นั่น ท่านสั่งไข่มาทาน ปรากฏว่าเจอไข่ปลอม เนื้อไข่แข็ง เมื่อใช้มือบี้ก็เป็นผง ประเทศอะไรก็ไม่รู้ครับ ปลอมแม้กระทั่งอาหารประเภทไข่ วันจันทร์เมื่อวานก็เหมือนกัน มีรายงานจากสำนักงานอาหารและยาของเซี่ยงไฮ้ว่า เซี่ยงไฮ้ หูสี ฟู๊ด ปลอมวันผลิตพายเนื้อรมควันที่ผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2556 โดยนำไปขายใหม่พร้อมติดฉลากวันผลิตเป็นเดือนมกราคม พ.ศ.2557 สินค้าที่ปลอมมีทั้งหมด 4,396 ชุด วันที่รายงาน ไอ้บริษัทบ้านี่ขายไปแล้ว 3,030 ชุด
ในห้วงช่วงที่เขียนรับใช้อยู่นี้ ร้านแมคโดนัลด์ ประเทศญี่ปุ่นและสาขาฮ่องกงก็หยุดใช้เนื้อไก่ที่นำเข้ามาจากจีนเพราะพบว่า จีนส่งเนื้อไก่หมดอายุไปให้
ความเชื่อถือของผลิตภัณฑ์จีนกำลังลดลงมาก ไม่เฉพาะเรื่องอาหารการกิน แต่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นด้วย ทำให้การ ส่งออกของจีนขณะนี้มีปัญหามาก เศรษฐกิจจีนจึงโตลดลง รัฐบาลก็พยายามอัดการกระตุ้นเศรษฐกิจไปที่วิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เรื่องการลงทุนก็มีน้อย เพราะคนกลัวเรื่องภาระหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นจีนและเรื่องธนาคารเงา
รัฐบาลและธนาคารจีนปล่อยเงินให้บริษัทจีนไปดำเนินธุรกิจอย่างไม่รอบคอบ บริษัทเอกชนก็กู้เงินไปผลิตกันซะจนผลผลิตมีมากกว่าความต้องการ ผู้อ่านท่านลองเข้าไปดูงานแสดงสินค้าด้านพลังงานทดแทนทั่วโลกดูซีครับ ไม่ว่าจะไปที่ประเทศไหนเรา
จะเจอแต่บริษัทขายแผงโซลาร์เซลล์และบริษัทพวกวินเทอร์ไบน์ ของจีน ขายตัดราคากันเองอย่างรุนแรง ขายเท่าทุน ขายขาดทุน เอาหมด ทุกบริษัทเร่งปั่นเงินเพื่อจะเอาเงินไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้น
เหล็กก็เหมือนกัน ผลิตกันซะจนเหล็กล้นตลาด เดี๋ยวนี้มีการสำรวจพบว่า กำไรสูงสุดในอุตสาหกรรมของจีนมีเพียง 0.13% แต่ส่วนใหญ่แล้วขาดทุน บางบริษัทขาดทุนเดือนละ 700 ล้านหยวน หรือ 3,500 ล้านบาท ปีละ 4-5 หมื่นล้าน จะพยุงไปไหวหรือครับ นี่แค่บริษัทเดียวเท่านั้น
คนสิงคโปร์กับคนจีนมีสายเลือดเดียวกัน แต่การเติบโตจากชาติบ้านเมืองที่ไม่เหมือนกัน ระบบการปกครองแตกต่างกัน ฝีไม้ลายมือของรัฐบาลก็ห่างกันราวกับฟ้าและดิน สิงคโปร์จะลงทุนอะไร ต้องวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์อีก จะโหมไปลงทุนประเทศไหน ก็ต้องตั้งสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจเป็นเรื่องเป็นราว อย่างที่ผมเรียนไปตั้งแต่เมื่อวานครับ ว่าตอนนี้สิงคโปร์ถอนการลงทุนในจีน และหันไปทุ่มที่ยุโรปกับสหรัฐฯ ขณะที่ผมเขียนหนังสืออยู่นี่ สำนักงานของบริษัทเทมาเส็กก็ตั้งสำเร็จเสร็จเรียบร้อยแล้วในกรุงลอนดอน และมหานครนิวยอร์ก
จีนใช้กระแสและความรู้สึกในการลงทุน ตอนนี้กระแสพลังงานทดแทนกำลังดัง บริษัทจีนก็ผลิตกันใหญ่ พวกบริษัทพลังงานลมขาดทุนกันเยอะ ผมยกตัวอย่างบริษัทซิโมเวล วิน กรุ๊ป ขาดทุนในปี พ.ศ.2555 มากถึง 582 ล้านหยวน แต่ก็ยังปล่อยให้ขาดทุนทุกปีจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้สินเชื่อง่ายจากธนาคารของรัฐบาลขนาดใหญ่ 4 แห่ง มีรัฐบาลค้ำประกัน
กรกฎาคม พ.ศ.2556 บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม 19 ประเภท ซีเมนต์ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียมกระดาษ กระจกแผ่น แผงโซลาร์เซลล์ พลังงานลม ฯลฯ ปิดไปมากถึง 1,400 แห่ง
จีนไม่มีภาษีทรัพย์สินในการถือครองบ้าน ทำให้การมีบ้านหลายหลังไม่มีภาระที่จะต้องจ่ายภาษี การขายก็ไม่เสียภาษี อันนี้ทำให้คนจีนนิยมซื้อบ้านกันคนละหลายหลัง ซื้อไว้เก็งกำไรกันเยอะ ราคาบ้านจึงแพงมากอย่างไม่มีเหตุผล ราคาคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ในเมืองก็อยู่ราวประมาณ 5 แสนเหรียญ 15ล้านบาท แพงเว่อร์ พวกบริษัทจีนก็เลยสร้างบ้านขายกันใหญ่ จนตอนนี้จีนมีคอนโดมิเนียมที่คาอยู่ขายไม่ออกเป็นล้านหน่วย
ปัญหามากมายขนาดนี้ จะแก้กันยังไงครับ.
คุณนิติ นวรัตน์
โหวตข่าวนี้
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
advertisement
หน้าหลัก / ต่างประเทศ / เปิดฟ้าส่องโลก
จีนจะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไง
โดย นิติภูมิ นวรัตน์ 29 ก.ค. 2557 05:01
ฯพณฯ นายเฟลิกซ์ เดเนกรี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจำประเทศไทย และมาดาม นางมาเรีย บาร์กัส เด เดเนกรี จัดงานวันชาติเปรู (the 193rd Anniversary of the Independence of Peru) เริ่ม 18.30 น. ของอังคารวันนี้ ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ ท่านทูตและมาดามเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ร่วมงานด้วย คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกขอแสดงความยินดีกับสาธารณรัฐเปรู เนื่องในโอกาสวันชาติครับ
จันทร์ที่ผ่านมา พ่อผมไปบรรยายที่อุบลฯ ผู้คนที่มาต้อนรับเล่าให้ฟังว่า ท่านเพิ่งกลับจากไปเยือนจีน ตอนอยู่ที่นั่น ท่านสั่งไข่มาทาน ปรากฏว่าเจอไข่ปลอม เนื้อไข่แข็ง เมื่อใช้มือบี้ก็เป็นผง ประเทศอะไรก็ไม่รู้ครับ ปลอมแม้กระทั่งอาหารประเภทไข่ วันจันทร์เมื่อวานก็เหมือนกัน มีรายงานจากสำนักงานอาหารและยาของเซี่ยงไฮ้ว่า เซี่ยงไฮ้ หูสี ฟู๊ด ปลอมวันผลิตพายเนื้อรมควันที่ผลิตเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2556 โดยนำไปขายใหม่พร้อมติดฉลากวันผลิตเป็นเดือนมกราคม พ.ศ.2557 สินค้าที่ปลอมมีทั้งหมด 4,396 ชุด วันที่รายงาน ไอ้บริษัทบ้านี่ขายไปแล้ว 3,030 ชุด
ในห้วงช่วงที่เขียนรับใช้อยู่นี้ ร้านแมคโดนัลด์ ประเทศญี่ปุ่นและสาขาฮ่องกงก็หยุดใช้เนื้อไก่ที่นำเข้ามาจากจีนเพราะพบว่า จีนส่งเนื้อไก่หมดอายุไปให้
ความเชื่อถือของผลิตภัณฑ์จีนกำลังลดลงมาก ไม่เฉพาะเรื่องอาหารการกิน แต่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นด้วย ทำให้การ ส่งออกของจีนขณะนี้มีปัญหามาก เศรษฐกิจจีนจึงโตลดลง รัฐบาลก็พยายามอัดการกระตุ้นเศรษฐกิจไปที่วิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เรื่องการลงทุนก็มีน้อย เพราะคนกลัวเรื่องภาระหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นจีนและเรื่องธนาคารเงา
รัฐบาลและธนาคารจีนปล่อยเงินให้บริษัทจีนไปดำเนินธุรกิจอย่างไม่รอบคอบ บริษัทเอกชนก็กู้เงินไปผลิตกันซะจนผลผลิตมีมากกว่าความต้องการ ผู้อ่านท่านลองเข้าไปดูงานแสดงสินค้าด้านพลังงานทดแทนทั่วโลกดูซีครับ ไม่ว่าจะไปที่ประเทศไหนเรา
จะเจอแต่บริษัทขายแผงโซลาร์เซลล์และบริษัทพวกวินเทอร์ไบน์ ของจีน ขายตัดราคากันเองอย่างรุนแรง ขายเท่าทุน ขายขาดทุน เอาหมด ทุกบริษัทเร่งปั่นเงินเพื่อจะเอาเงินไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้น
เหล็กก็เหมือนกัน ผลิตกันซะจนเหล็กล้นตลาด เดี๋ยวนี้มีการสำรวจพบว่า กำไรสูงสุดในอุตสาหกรรมของจีนมีเพียง 0.13% แต่ส่วนใหญ่แล้วขาดทุน บางบริษัทขาดทุนเดือนละ 700 ล้านหยวน หรือ 3,500 ล้านบาท ปีละ 4-5 หมื่นล้าน จะพยุงไปไหวหรือครับ นี่แค่บริษัทเดียวเท่านั้น
คนสิงคโปร์กับคนจีนมีสายเลือดเดียวกัน แต่การเติบโตจากชาติบ้านเมืองที่ไม่เหมือนกัน ระบบการปกครองแตกต่างกัน ฝีไม้ลายมือของรัฐบาลก็ห่างกันราวกับฟ้าและดิน สิงคโปร์จะลงทุนอะไร ต้องวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์อีก จะโหมไปลงทุนประเทศไหน ก็ต้องตั้งสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจเป็นเรื่องเป็นราว อย่างที่ผมเรียนไปตั้งแต่เมื่อวานครับ ว่าตอนนี้สิงคโปร์ถอนการลงทุนในจีน และหันไปทุ่มที่ยุโรปกับสหรัฐฯ ขณะที่ผมเขียนหนังสืออยู่นี่ สำนักงานของบริษัทเทมาเส็กก็ตั้งสำเร็จเสร็จเรียบร้อยแล้วในกรุงลอนดอน และมหานครนิวยอร์ก
จีนใช้กระแสและความรู้สึกในการลงทุน ตอนนี้กระแสพลังงานทดแทนกำลังดัง บริษัทจีนก็ผลิตกันใหญ่ พวกบริษัทพลังงานลมขาดทุนกันเยอะ ผมยกตัวอย่างบริษัทซิโมเวล วิน กรุ๊ป ขาดทุนในปี พ.ศ.2555 มากถึง 582 ล้านหยวน แต่ก็ยังปล่อยให้ขาดทุนทุกปีจนถึงปัจจุบัน เพราะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้สินเชื่อง่ายจากธนาคารของรัฐบาลขนาดใหญ่ 4 แห่ง มีรัฐบาลค้ำประกัน
กรกฎาคม พ.ศ.2556 บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม 19 ประเภท ซีเมนต์ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียมกระดาษ กระจกแผ่น แผงโซลาร์เซลล์ พลังงานลม ฯลฯ ปิดไปมากถึง 1,400 แห่ง
จีนไม่มีภาษีทรัพย์สินในการถือครองบ้าน ทำให้การมีบ้านหลายหลังไม่มีภาระที่จะต้องจ่ายภาษี การขายก็ไม่เสียภาษี อันนี้ทำให้คนจีนนิยมซื้อบ้านกันคนละหลายหลัง ซื้อไว้เก็งกำไรกันเยอะ ราคาบ้านจึงแพงมากอย่างไม่มีเหตุผล ราคาคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ในเมืองก็อยู่ราวประมาณ 5 แสนเหรียญ 15ล้านบาท แพงเว่อร์ พวกบริษัทจีนก็เลยสร้างบ้านขายกันใหญ่ จนตอนนี้จีนมีคอนโดมิเนียมที่คาอยู่ขายไม่ออกเป็นล้านหน่วย
ปัญหามากมายขนาดนี้ จะแก้กันยังไงครับ.
คุณนิติ นวรัตน์
โหวตข่าวนี้
- pavilion
- Verified User
- โพสต์: 1766
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 22
China Cuts Interest Rates to Boost Flagging Economy
China’s central bank has cut interest rates, the first time in over two years. The People’s Bank of China announced on its website it will cut the one-year deposit rate by 0.25 percentage points to 2.75 percent and one-year benchmark lending rate by 0.4 percentage points to 5.6 percent, starting tomorrow.
The surprise move is clearly aimed at boosting China’s flagging economy, set to grow at its slowest annual pace since 1990. In recent days investment, industrial production, and retail sales have all disappointed. China’s real estate market has continued to underperform, even as Beijing has loosened mortgage and down payment requirements.
“It’s absolutely the right thing to do,” Wang Tao, chief China economist at UBS in Hong Kong, told Bloomberg News. “Real interest rates have moved up significantly with slowing growth and inflation, which hurts corporate cash flow and balance sheet and threatens to increase non-performing loans.”
China’s central bank has cut interest rates, the first time in over two years. The People’s Bank of China announced on its website it will cut the one-year deposit rate by 0.25 percentage points to 2.75 percent and one-year benchmark lending rate by 0.4 percentage points to 5.6 percent, starting tomorrow.
The surprise move is clearly aimed at boosting China’s flagging economy, set to grow at its slowest annual pace since 1990. In recent days investment, industrial production, and retail sales have all disappointed. China’s real estate market has continued to underperform, even as Beijing has loosened mortgage and down payment requirements.
“It’s absolutely the right thing to do,” Wang Tao, chief China economist at UBS in Hong Kong, told Bloomberg News. “Real interest rates have moved up significantly with slowing growth and inflation, which hurts corporate cash flow and balance sheet and threatens to increase non-performing loans.”
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 23
วันอาทิตย์ 30 พฤศจิกายน 2557 อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
เข้าสู่ระบบผ่าน Facebook
จีนลดอัตราดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์บอกว่าธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณหยุดการแข็งค่าของเงินหยวนมาตั้งแต่เดือน พ.ค. โดยเฉพาะหากธนาคารกลางจีนติดตามผลงานการตัดลดสัดส่วนการสำรองเงินตรา
วันพุธ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา 00:00 น.
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน่าเซอร์ไพร้ส์ของจีน ถือเป็นอีกมาตรการอันนุ่มนวลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ และยังเป็นการทำให้สกุลเงินหยวนอยู่บนเส้นทางหยุดการปรับตัวลดลงครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2548 ธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะเวลา 1 ปีอีกด้วย การเคลื่อนไหวนี้ของรัฐบาลจีน ได้รับการแซ่ซ้องยินดีจากธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ปัญหาต่าง ๆ จากการแบกภาระหนี้สิน และการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
นักวิเคราะห์บอกว่าธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณหยุดการแข็งค่าของเงินหยวนมาตั้งแต่เดือน พ.ค. โดยเฉพาะหากธนาคารกลางจีนติดตามผลงานการตัดลดสัดส่วนการสำรองเงินตรา ที่ทำให้เงินท่วมตลาดด้วยเงินหยวนราคาถูก นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนได้ถูกดึงดูดด้วยทรัพย์สินที่ถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะเงินหยวนเท่านั้นและให้ผลตอบแทนสูงกว่าทรัพย์สินที่อิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ด้วยผลตอบแทนที่สูงเช่นนี้ ทำให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนของจีนดังนั้นธนาคารกลางจีนจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความร้อนแรงและกระแสดึงดูดของเงินหยวน ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปยูเรเซีย กรุ๊ปเขียนบทวิเคราะห์ในหนังสือวิจัยที่แจกให้ลูกค้าว่า การลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับการอ่อนตัวของค่าเงินเยนญี่ปุ่น จะเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อธนาคารประชาชนจีน เพื่อให้ค่าเงินหยวนลดลงมาในระดับปานกลาง
เงินหยวนจีนอ่อนค่าลงอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มปี 2557 โดยลดลงไปร้อยละ 3 ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ปรากฏการณ์นี้ถูกมองเป็นวงกว้างว่า เป็นการโจมตีจากนักเก็งกำไรเงินตราโดยรัฐบาลปักกิ่ง สกุลเงินหยวนยังคงลดลงร้อยละ 1.17 แม้แข็งค่าขึ้นอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เดือน พ.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงระมัดระวังอย่างมากต่อเรื่องนี้ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นร้อยละ 10 หลังจากสกุลเงินเอเชียดิ่งลงนำโดยเยนญี่ปุ่น แต่นักเศรษฐ ศาสตร์เตือนว่า ธนาคารประชาชนจีนไม่น่าจะหาทางกระตุ้นค่าเงิน และตลาดไม่ประเมินค่าใหม่ของเงินหยวนในต่างประเทศ
นักเศรษฐศาสตร์แห่งฮ่องกงเซี่ยง ไฮ้แบงกิ้ง บอกว่า จีนมีแผนเกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจและการปรับสมดุล ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาน การณ์ตึงเครียดทางการเงินของโลก พร้อมกับอ้างว่า ในที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้ตลาดเงินตรามีความผันผวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่เห็นด้วยต่อการปรับขึ้นหรือลดลงอย่างสม่ำ เสมอของค่าเงิน
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.40 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี ลดลงร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 2.75 เป้าหมายเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล
การตัดสินใจดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับ และมีขึ้น หลังเศรษฐกิจจีนถูกกดดันอย่างหนักจากภาวะชะลอตัว และต้นทุนการกู้เงินสูงขึ้น เอลิซ่า หลิว นักเศรษฐศาสตร์แห่งซีซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล ซีเคียวริตี้ส์บอกว่า การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน เนื่องจากเห็นว่าผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถแบกรับดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงในปัจจุบันได้นอกจากนั้น ยังคาดว่า ธนาคารกลางจีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสหน้า เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและผลกำไรของภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอการเติบโตอย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังเล็กน้อยและไม่เพียงพอที่จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ละทิ้งลูกค้าเงินกู้ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และปลอดภัยกว่า เพราะมีรัฐบาลคอยค้ำประกัน.
เลนซ์ซูม
Tags: จีนลดอัตราดอกเบี้ย
เข้าสู่ระบบผ่าน Facebook
จีนลดอัตราดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์บอกว่าธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณหยุดการแข็งค่าของเงินหยวนมาตั้งแต่เดือน พ.ค. โดยเฉพาะหากธนาคารกลางจีนติดตามผลงานการตัดลดสัดส่วนการสำรองเงินตรา
วันพุธ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา 00:00 น.
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน่าเซอร์ไพร้ส์ของจีน ถือเป็นอีกมาตรการอันนุ่มนวลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ และยังเป็นการทำให้สกุลเงินหยวนอยู่บนเส้นทางหยุดการปรับตัวลดลงครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2548 ธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะเวลา 1 ปีอีกด้วย การเคลื่อนไหวนี้ของรัฐบาลจีน ได้รับการแซ่ซ้องยินดีจากธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ปัญหาต่าง ๆ จากการแบกภาระหนี้สิน และการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง
นักวิเคราะห์บอกว่าธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณหยุดการแข็งค่าของเงินหยวนมาตั้งแต่เดือน พ.ค. โดยเฉพาะหากธนาคารกลางจีนติดตามผลงานการตัดลดสัดส่วนการสำรองเงินตรา ที่ทำให้เงินท่วมตลาดด้วยเงินหยวนราคาถูก นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนได้ถูกดึงดูดด้วยทรัพย์สินที่ถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะเงินหยวนเท่านั้นและให้ผลตอบแทนสูงกว่าทรัพย์สินที่อิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ด้วยผลตอบแทนที่สูงเช่นนี้ ทำให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนของจีนดังนั้นธนาคารกลางจีนจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความร้อนแรงและกระแสดึงดูดของเงินหยวน ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปยูเรเซีย กรุ๊ปเขียนบทวิเคราะห์ในหนังสือวิจัยที่แจกให้ลูกค้าว่า การลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับการอ่อนตัวของค่าเงินเยนญี่ปุ่น จะเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อธนาคารประชาชนจีน เพื่อให้ค่าเงินหยวนลดลงมาในระดับปานกลาง
เงินหยวนจีนอ่อนค่าลงอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มปี 2557 โดยลดลงไปร้อยละ 3 ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ปรากฏการณ์นี้ถูกมองเป็นวงกว้างว่า เป็นการโจมตีจากนักเก็งกำไรเงินตราโดยรัฐบาลปักกิ่ง สกุลเงินหยวนยังคงลดลงร้อยละ 1.17 แม้แข็งค่าขึ้นอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เดือน พ.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงระมัดระวังอย่างมากต่อเรื่องนี้ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นร้อยละ 10 หลังจากสกุลเงินเอเชียดิ่งลงนำโดยเยนญี่ปุ่น แต่นักเศรษฐ ศาสตร์เตือนว่า ธนาคารประชาชนจีนไม่น่าจะหาทางกระตุ้นค่าเงิน และตลาดไม่ประเมินค่าใหม่ของเงินหยวนในต่างประเทศ
นักเศรษฐศาสตร์แห่งฮ่องกงเซี่ยง ไฮ้แบงกิ้ง บอกว่า จีนมีแผนเกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจและการปรับสมดุล ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาน การณ์ตึงเครียดทางการเงินของโลก พร้อมกับอ้างว่า ในที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้ตลาดเงินตรามีความผันผวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่เห็นด้วยต่อการปรับขึ้นหรือลดลงอย่างสม่ำ เสมอของค่าเงิน
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.40 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี ลดลงร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 2.75 เป้าหมายเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล
การตัดสินใจดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกขานรับ และมีขึ้น หลังเศรษฐกิจจีนถูกกดดันอย่างหนักจากภาวะชะลอตัว และต้นทุนการกู้เงินสูงขึ้น เอลิซ่า หลิว นักเศรษฐศาสตร์แห่งซีซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล ซีเคียวริตี้ส์บอกว่า การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน เนื่องจากเห็นว่าผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถแบกรับดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงในปัจจุบันได้นอกจากนั้น ยังคาดว่า ธนาคารกลางจีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสหน้า เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและผลกำไรของภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอการเติบโตอย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังเล็กน้อยและไม่เพียงพอที่จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ละทิ้งลูกค้าเงินกู้ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และปลอดภัยกว่า เพราะมีรัฐบาลคอยค้ำประกัน.
เลนซ์ซูม
Tags: จีนลดอัตราดอกเบี้ย
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 26
อภิมหาโครงการ! จีน ดีเดย์ผันน้ำจากใต้สู่เหนือของประเทศ คาดใช้เงินลงทุนมากสุดในโลก
วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 06:40:00 น.
จีนเตรียมปล่อยน้ำในโครงการผันน้ำจากภาคใต้สู่ภาคเหนือของประเทศ ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นโครงการทางวิศวกรรมที่ใช้เงินมากที่สุดในโลก และสร้างผลกระทบต่อประชาชนหลายแสนคน
http://www.matichon.co.th/online/2014/1 ... 17522l.jpg
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประชาชนอย่างน้อย 330,000 คนต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อมอบพื้นที่ให้กับการขยายอ่างเก็บน้ำและการสร้างลำคลองเพื่อลำเลียงน้ำจากแม่น้ำแยงซีสู่กรุงปักกิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผ่านในเดือนธันวาคมนี้บางส่วนของโครงการจะเริ่มทำการเปิดใช้
กรุงปักกิ่งและเมืองใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นเวลานาน เมื่อประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ขณะที่มีปริมาณแหล่งน้ำจืดเพียงหนึ่งในห้าของประเทศ
ขณะที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนายหม่าจุนกล่าวว่า หากคนจีนยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำ ความต้องการน้ำมีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และประเทศก็จะเจอวิกฤติขาดแคลนน้ำอีกครั้ง
ส่วนชาวบ้านที่จะต้องย้ายถิ่นฐานต่างประสบปัญหาในถิ่นที่อยู่ใหม่ เมื่อพวกเขาไม่อาจทำไร่หรือเลี้ยงสัตว์ได้เช่นที่พวกเขาเคยทำ หลายคนต้องตกงานและขาดรายได้ในการเลี้ยงชีพและจำเป็นต้องยอมรับสภาพอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากที่ดินทั้งประเทศเป็นของรัฐบาลเมื่อรัฐบาลไล่ที่พวกเขาก็จำเป็นต้องไป
วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 06:40:00 น.
จีนเตรียมปล่อยน้ำในโครงการผันน้ำจากภาคใต้สู่ภาคเหนือของประเทศ ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นโครงการทางวิศวกรรมที่ใช้เงินมากที่สุดในโลก และสร้างผลกระทบต่อประชาชนหลายแสนคน
http://www.matichon.co.th/online/2014/1 ... 17522l.jpg
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประชาชนอย่างน้อย 330,000 คนต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อมอบพื้นที่ให้กับการขยายอ่างเก็บน้ำและการสร้างลำคลองเพื่อลำเลียงน้ำจากแม่น้ำแยงซีสู่กรุงปักกิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผ่านในเดือนธันวาคมนี้บางส่วนของโครงการจะเริ่มทำการเปิดใช้
กรุงปักกิ่งและเมืองใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นเวลานาน เมื่อประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ขณะที่มีปริมาณแหล่งน้ำจืดเพียงหนึ่งในห้าของประเทศ
ขณะที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนายหม่าจุนกล่าวว่า หากคนจีนยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำ ความต้องการน้ำมีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และประเทศก็จะเจอวิกฤติขาดแคลนน้ำอีกครั้ง
ส่วนชาวบ้านที่จะต้องย้ายถิ่นฐานต่างประสบปัญหาในถิ่นที่อยู่ใหม่ เมื่อพวกเขาไม่อาจทำไร่หรือเลี้ยงสัตว์ได้เช่นที่พวกเขาเคยทำ หลายคนต้องตกงานและขาดรายได้ในการเลี้ยงชีพและจำเป็นต้องยอมรับสภาพอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากที่ดินทั้งประเทศเป็นของรัฐบาลเมื่อรัฐบาลไล่ที่พวกเขาก็จำเป็นต้องไป
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 27
ทิสโก้ชี้หลากปัจจัยหนุนหุ้นจีนโดดเด่น แนะฉวยจังหวะลงทุน รับอัพไซด์ปี 58 สูง 15%
updated: 08 ธ.ค. 2557 เวลา 09:30:28 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ทิสโก้มองหลายปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีนโดดเด่น หลังภาครัฐเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง ดันเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 แข็งแกร่ง ดัชนีชี้วัดและตัวเลขการบริโภคภายใน-ส่งออก-แรงงานปรับตัวขึ้นโดดเด่น ชี้เป็นโอกาสลงทุนรับอัพไซต์ปี 58 สูง 15%
TISCO Global Trade (ทิสโก้ โกลบอล เทรด) บริการซื้อขายหลักทรัพย์และ ETF ต่างประเทศ โดย นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Viwat Techapoonpol, Deputy Managing Director and Head of Technical Analysis, TISCO Securities) วิเคราะห์ว่าในช่วงนี้ตลาดหุ้นจีนมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก จากการที่ภาครัฐดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2558 และธนาคารกลางของจีน (PBoC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.25% และลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมลง 0.4% ครั้งแรกในรอบ 2.6 ปี โดยคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้า และมองว่าจะลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 1% นอกจากนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจและดัชนีชี้วัดไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก รวมถึงภาวะตลาดแรงงานล้วนดีขึ้นต่อเนื่อง หนุนการเติบโตที่แข็งแกร่งของจีนในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอีกด้วย
“ทีม TISCO Global Trade มองว่าเกิดสัญญาณซื้อรอบใหม่ในดัชนี Shanghai SE Composite โดยคาดว่าในปี 2558 ตลาดจะ Sideways Up โดยมีเป้าหมายอย่างต่ำที่ 3,100 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 2,690 จุด หรือมีอัพไซต์อีกราว 15% ส่วนดัชนี Hang Seng นั้นคาดว่าในระยะ3เดือนข้างหน้าจะ Sideways Up เป้าเท่ากับ 26,000จุด มีอัพไซต์เพิ่ม 8.3% สำหรับ ETF ที่แนะนำคือ “ETF-Hang Seng H-Share” ที่แนวรับ 10,800หรือ 10,600จุด และ”ETF-Tracker Fund of Hong Kong” ที่แนวรับ 23,260หรือ 23,000 จุด เพื่อถือยาว1-5ปี” นายวิวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นรายตัว แนะนำ “Anhui Conch Cement Co.” หรือเรียกสั้นๆว่า “Conch” บริษัทผลิตและจำหน่ายซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในจีนกำลังได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากอุปสงค์ในธุรกิจปลายน้ำมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจาดสภาพคล่องที่จำกัดในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังพบว่าในขณะที่การเติบโตของยอดขายกลุ่มอุตสาหกรรมซีเมนต์ชะลอตัวตลอด 8 เดือนแรกของปีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ Conch ยังสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งทำให้มียอดขายเติบโตถึง 11% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ทำให้ Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมาย 1 ปี อยู่ที่ 31.4 HKD เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ณ สิ้น พ.ย. 57 ที่ 25.7 HKD ซึ่งเท่ากับยังมีอัพไซต์ 22% และ “Lenovo Group Ltd.” บริษัทข้ามชาติสัญชาติจีนทำธุรกิจออกแบบ พัฒนารวมทั้งผลิต คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต อุปกรณ์ไอทีและซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 56 โดยในไตรมาสที่ผ่านมา Lenovo มีกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าที่ตลาดคาดอยู่ที่ 365 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29%YoY นอกจากนี้ การเข้าซื้อ IBM Server และการดำเนินงานในธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Motorola เป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในระยายาวของบริษัท ตลาดให้ราคาเป้าหมาย 1 ปีอยู่ที่ 11.8HKD หรืออัพไซด์ราว 12%
หุ้นเด่นตัวถัดมาคือ “Dongfeng Motor” ประกอบธุรกิจผลิตยานยนต์ติดหนึ่งใน 4 อันดับแรกของอุตสาหกรรม ในไตรมาส 3 ของปี 2557 บริษัทมี Gross Profit Margin สูงขึ้น 60bpsเนื่องมาจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและหากรวมโมเดลรถยนต์ใหม่ๆ ในไตรมาสสุดท้าย และตลอดทั้งปี 2558 ของกลุ่ม SUB และกลุ่มพรีเมี่ยม ทำให้คาดว่ายอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตขึ้นอีกต่อเนื่อง โดยตลาดให้ราคาเป้าหมาย 1 ปีที่ 15.3 HKD เหลืออัพไซด์สูงมากถึง 33% นอกจากหุ้นเด่นข้างต้น นักลงทุนสามารถสอบถามหุ้นเด่นในตลาดอื่นๆ ทั่วโลกพร้อมรับบทวิเคราะห์คุณภาพฉบับเต็มก่อนใครได้ที่ TISCO Global Trade โทร. 02-633-6655 อีเมล [email protected] พร้อมรับสิทธิพิเศษอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายเพียง 0.25% และไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินเข้าออกประเทศ วันนี้-30 มิถุนายน 2558
updated: 08 ธ.ค. 2557 เวลา 09:30:28 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ทิสโก้มองหลายปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีนโดดเด่น หลังภาครัฐเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง ดันเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 แข็งแกร่ง ดัชนีชี้วัดและตัวเลขการบริโภคภายใน-ส่งออก-แรงงานปรับตัวขึ้นโดดเด่น ชี้เป็นโอกาสลงทุนรับอัพไซต์ปี 58 สูง 15%
TISCO Global Trade (ทิสโก้ โกลบอล เทรด) บริการซื้อขายหลักทรัพย์และ ETF ต่างประเทศ โดย นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Viwat Techapoonpol, Deputy Managing Director and Head of Technical Analysis, TISCO Securities) วิเคราะห์ว่าในช่วงนี้ตลาดหุ้นจีนมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก จากการที่ภาครัฐดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2558 และธนาคารกลางของจีน (PBoC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.25% และลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมลง 0.4% ครั้งแรกในรอบ 2.6 ปี โดยคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้า และมองว่าจะลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 1% นอกจากนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจและดัชนีชี้วัดไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก รวมถึงภาวะตลาดแรงงานล้วนดีขึ้นต่อเนื่อง หนุนการเติบโตที่แข็งแกร่งของจีนในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอีกด้วย
“ทีม TISCO Global Trade มองว่าเกิดสัญญาณซื้อรอบใหม่ในดัชนี Shanghai SE Composite โดยคาดว่าในปี 2558 ตลาดจะ Sideways Up โดยมีเป้าหมายอย่างต่ำที่ 3,100 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 2,690 จุด หรือมีอัพไซต์อีกราว 15% ส่วนดัชนี Hang Seng นั้นคาดว่าในระยะ3เดือนข้างหน้าจะ Sideways Up เป้าเท่ากับ 26,000จุด มีอัพไซต์เพิ่ม 8.3% สำหรับ ETF ที่แนะนำคือ “ETF-Hang Seng H-Share” ที่แนวรับ 10,800หรือ 10,600จุด และ”ETF-Tracker Fund of Hong Kong” ที่แนวรับ 23,260หรือ 23,000 จุด เพื่อถือยาว1-5ปี” นายวิวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นรายตัว แนะนำ “Anhui Conch Cement Co.” หรือเรียกสั้นๆว่า “Conch” บริษัทผลิตและจำหน่ายซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในจีนกำลังได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากอุปสงค์ในธุรกิจปลายน้ำมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจาดสภาพคล่องที่จำกัดในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังพบว่าในขณะที่การเติบโตของยอดขายกลุ่มอุตสาหกรรมซีเมนต์ชะลอตัวตลอด 8 เดือนแรกของปีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ Conch ยังสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งทำให้มียอดขายเติบโตถึง 11% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ทำให้ Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมาย 1 ปี อยู่ที่ 31.4 HKD เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ณ สิ้น พ.ย. 57 ที่ 25.7 HKD ซึ่งเท่ากับยังมีอัพไซต์ 22% และ “Lenovo Group Ltd.” บริษัทข้ามชาติสัญชาติจีนทำธุรกิจออกแบบ พัฒนารวมทั้งผลิต คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต อุปกรณ์ไอทีและซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 56 โดยในไตรมาสที่ผ่านมา Lenovo มีกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าที่ตลาดคาดอยู่ที่ 365 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29%YoY นอกจากนี้ การเข้าซื้อ IBM Server และการดำเนินงานในธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Motorola เป็นปัจจัยบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในระยายาวของบริษัท ตลาดให้ราคาเป้าหมาย 1 ปีอยู่ที่ 11.8HKD หรืออัพไซด์ราว 12%
หุ้นเด่นตัวถัดมาคือ “Dongfeng Motor” ประกอบธุรกิจผลิตยานยนต์ติดหนึ่งใน 4 อันดับแรกของอุตสาหกรรม ในไตรมาส 3 ของปี 2557 บริษัทมี Gross Profit Margin สูงขึ้น 60bpsเนื่องมาจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและหากรวมโมเดลรถยนต์ใหม่ๆ ในไตรมาสสุดท้าย และตลอดทั้งปี 2558 ของกลุ่ม SUB และกลุ่มพรีเมี่ยม ทำให้คาดว่ายอดขายและกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตขึ้นอีกต่อเนื่อง โดยตลาดให้ราคาเป้าหมาย 1 ปีที่ 15.3 HKD เหลืออัพไซด์สูงมากถึง 33% นอกจากหุ้นเด่นข้างต้น นักลงทุนสามารถสอบถามหุ้นเด่นในตลาดอื่นๆ ทั่วโลกพร้อมรับบทวิเคราะห์คุณภาพฉบับเต็มก่อนใครได้ที่ TISCO Global Trade โทร. 02-633-6655 อีเมล [email protected] พร้อมรับสิทธิพิเศษอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายเพียง 0.25% และไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินเข้าออกประเทศ วันนี้-30 มิถุนายน 2558
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 28
อึ้ง ฝรั่งเศสขายหุ้น"สนามบินแห่งใหญ่"เกือบครึ่งให้กลุ่มทุนจีน อ้าง"ช่วยสร้างงาน-พัฒนาต่อยอด"
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 17:00:34 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ว่า ทางการฝรั่งเศสประกาศว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจขายหุ้นในบริษัทที่บริหารกิจการสนามบิน"ตูลูส แบรกนาห์ "ซึ่งเป็นสนามบินใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ ให้แก่กลุ่มลงทุนของจีนและฮ่องกง หรือกลุ่ม"The Symboise consortium" เป็นจำนวน 49.99 เปอร์เซนต์ หรือเป็นมูลค่า 381 ล้านดอลลาร์ (ราว 12,192 ล้านบาท) โดยทางการฝรั่งเศสจะยังคงมีหุ้นอยู่ในกิจการนี้ 10.01 เปอร์เซนต์ และที่เหลือ 39 เปอร์เซนต์ เป็นหุ้นของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองตูลูส
http://www.matichon.co.th/online/2014/1 ... 96341l.jpg
ขณะที่กระทรวงการคลังฝรั่งเศสย้ำว่า กลุ่มทุนจีนมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาสนามบินดังกล่าว เพื่อมุ่งสร้างงานให้แก่ชาวฝรั่งเศส นอกจากนี้ กลุ่มยังได้สัญญาว่า จะยังคงให้สายการบินโบอิ้ง ใช้สนามบินตูลูส แบรกนาห์ เป็นสถานที่ทดลองบิน และประกอบเครื่องบินต่อไปเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งสัญญาว่าจะรักษาผลประโยชน์ในระยะยาวของแอร์บัสด้วย นอกจากนี้ การซื้อหุ้นนี้ไม่ได้รวมถึงการขายระบบสาธารณูปโภคของสนามบิน เช่น ตึกอาคาร รันเวย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นของเมืองตูลูส
อย่างไรก็ตาม การประกาศขายสนามบินดังกล่าวให้แก่กลุ่มทุนจีนและฮ่องกง ได้ถูกกลุ่มการเมืองหลายฝ่ายรุมโจมตี โดยหัวหน้าสภาเศรษฐกิจท้องถิ่นเมืองตูลูสชี้ว่า ฝรั่งเศสกำลังขายธุรกิจให้แก่รัฐจีน ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ขณะที่พรรคขวาจัด"เนชั่นแนล ฟรอนท์"ชี้ รัฐบาลฝรั่งเศสตัดสินใจผิดพลาด เพราะสนามบินตูลูส จะต้องเป็นทรัพย์สินของสาธารณะของฝรั่งเศสต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับสนามบินตูลูส ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการสนามบิน 7.5 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 18 ล้านคน ก่อนปี 2030
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 17:00:34 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ว่า ทางการฝรั่งเศสประกาศว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจขายหุ้นในบริษัทที่บริหารกิจการสนามบิน"ตูลูส แบรกนาห์ "ซึ่งเป็นสนามบินใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ ให้แก่กลุ่มลงทุนของจีนและฮ่องกง หรือกลุ่ม"The Symboise consortium" เป็นจำนวน 49.99 เปอร์เซนต์ หรือเป็นมูลค่า 381 ล้านดอลลาร์ (ราว 12,192 ล้านบาท) โดยทางการฝรั่งเศสจะยังคงมีหุ้นอยู่ในกิจการนี้ 10.01 เปอร์เซนต์ และที่เหลือ 39 เปอร์เซนต์ เป็นหุ้นของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองตูลูส
http://www.matichon.co.th/online/2014/1 ... 96341l.jpg
ขณะที่กระทรวงการคลังฝรั่งเศสย้ำว่า กลุ่มทุนจีนมีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาสนามบินดังกล่าว เพื่อมุ่งสร้างงานให้แก่ชาวฝรั่งเศส นอกจากนี้ กลุ่มยังได้สัญญาว่า จะยังคงให้สายการบินโบอิ้ง ใช้สนามบินตูลูส แบรกนาห์ เป็นสถานที่ทดลองบิน และประกอบเครื่องบินต่อไปเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งสัญญาว่าจะรักษาผลประโยชน์ในระยะยาวของแอร์บัสด้วย นอกจากนี้ การซื้อหุ้นนี้ไม่ได้รวมถึงการขายระบบสาธารณูปโภคของสนามบิน เช่น ตึกอาคาร รันเวย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นของเมืองตูลูส
อย่างไรก็ตาม การประกาศขายสนามบินดังกล่าวให้แก่กลุ่มทุนจีนและฮ่องกง ได้ถูกกลุ่มการเมืองหลายฝ่ายรุมโจมตี โดยหัวหน้าสภาเศรษฐกิจท้องถิ่นเมืองตูลูสชี้ว่า ฝรั่งเศสกำลังขายธุรกิจให้แก่รัฐจีน ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ขณะที่พรรคขวาจัด"เนชั่นแนล ฟรอนท์"ชี้ รัฐบาลฝรั่งเศสตัดสินใจผิดพลาด เพราะสนามบินตูลูส จะต้องเป็นทรัพย์สินของสาธารณะของฝรั่งเศสต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับสนามบินตูลูส ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการสนามบิน 7.5 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 18 ล้านคน ก่อนปี 2030
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 29
ฮือฮา จีนผงาดแซงสหรัฐเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกแล้ว คาด"ยังแซงได้อีกไกล"
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13:02:11 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวา กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟแถลงว่า จีนได้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าสหรัฐแล้ว หลังจากจีนมีตัวเลขผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี แซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเติบโตมากกว่า 10 ประเทศระดับชั้นนำของโลก โดยขณะนี้ จีนมีจีดีพีคิดเป็นมูลค่าราว 14.4 ล้านล้านยูโร ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีจีดีพีที่ระดับ 14 ล้านล้านยูโร โดยแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มว่าจีดีพีของจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้า
ทั้งนี้ จีนได้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกเหนือสหรัฐเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยสามารถทำได้ก่อนสิ้นปีนี้ และถือเป็นการโค่นแชมป์เศรษฐกิจโลกของสหรัฐที่ดำเนินมากว่า 140 ปี หลังจากสหรัฐได้แซงหน้าอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1872 โดยก่อนหน้านี้ จีนเพิ่งจะกลายเป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองโลก แซงหน้าญี่ปุ่น ภายหลังตลาดหุ้นจีนมีมูลค่าเงินระดมทุนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 4.48 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นในปีนี้ 33 เปอร์เซนต์
โดยการเติบโตของตลาดหุ้นจีน มาจากการที่ตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดการซื้อขายหุ้นไอพีโอ หรือการเปิดขายหุ้นสาธารณะเป็นครั้งแรกของกิจการต่าง ๆ อีกครั้ง เมื่อเดือนม.ค.หลังจากระงับไปกว่าปี หลังจากตลาดหุ้นจีนมีผลงานย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 และกลับมาอนุญาตเปิดใหม่
โดยทางการจีนได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงได้เป็นครั้งแรกซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าการเติบโตของตลาดหุ้นจีนเป็นผลจากการที่รัฐบาลจีนใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนและคาดว่าปีหน้าทางการจีนจะยิ่งมีมาตรการเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนยิ่งขึ้นด้วย
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13:02:11 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวา กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟแถลงว่า จีนได้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าสหรัฐแล้ว หลังจากจีนมีตัวเลขผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี แซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเติบโตมากกว่า 10 ประเทศระดับชั้นนำของโลก โดยขณะนี้ จีนมีจีดีพีคิดเป็นมูลค่าราว 14.4 ล้านล้านยูโร ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีจีดีพีที่ระดับ 14 ล้านล้านยูโร โดยแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มว่าจีดีพีของจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตข้างหน้า
ทั้งนี้ จีนได้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกเหนือสหรัฐเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยสามารถทำได้ก่อนสิ้นปีนี้ และถือเป็นการโค่นแชมป์เศรษฐกิจโลกของสหรัฐที่ดำเนินมากว่า 140 ปี หลังจากสหรัฐได้แซงหน้าอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1872 โดยก่อนหน้านี้ จีนเพิ่งจะกลายเป็นประเทศที่มีตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองโลก แซงหน้าญี่ปุ่น ภายหลังตลาดหุ้นจีนมีมูลค่าเงินระดมทุนในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 4.48 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นในปีนี้ 33 เปอร์เซนต์
โดยการเติบโตของตลาดหุ้นจีน มาจากการที่ตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดการซื้อขายหุ้นไอพีโอ หรือการเปิดขายหุ้นสาธารณะเป็นครั้งแรกของกิจการต่าง ๆ อีกครั้ง เมื่อเดือนม.ค.หลังจากระงับไปกว่าปี หลังจากตลาดหุ้นจีนมีผลงานย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 และกลับมาอนุญาตเปิดใหม่
โดยทางการจีนได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงได้เป็นครั้งแรกซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าการเติบโตของตลาดหุ้นจีนเป็นผลจากการที่รัฐบาลจีนใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนและคาดว่าปีหน้าทางการจีนจะยิ่งมีมาตรการเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนยิ่งขึ้นด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขาดทุน ทหารไทย China Equity Index
โพสต์ที่ 30
Matichon Group :
นายกฯจีน ถกผู้นำฮังการี-เซอร์เบีย จ่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอีก 3 ปี
วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12:05:01 น.
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีประเทศจีน ได้เดินทางถึงเมืองกรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย เพื่อร่วมประชุมกับผู้นำ 16 ประเทศจากทวีปยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นกลุ่มพื้นที่ที่ทางการจีนต้องการเร่งสร้างความสัมพันธ์
ตามรายงานระบุว่า นายหลี่ มีหมายกำหนดการเจรจากับนายวิคเตอร์ ออร์แบน ผู้นำฮังการี และนายอเล็กซานเดอร์ วูซิก ผู้นำเซอร์เบีย ในประเด็นการสร้างทางรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง เชื่อมระหว่างเมืองกรุงบูดาเปสต์ของฮังการี และกรุงเบลเกรดของเซอร์เบีย ที่มีกำหนดการสร้างในอีก 3 ปีข้างหน้า
โดยนายหลี ได้ให้สัมภาษณ์ กับสื่อท้องถิ่นว่า “ตนเชื่อว่าแนวทางและความคิดริเริ่มในการทำสิ่งใหม่ที่ทางจีนจะเสนอในการ ประชุม จะนำทางไปสู่ความร่วมมือในอนาคต”
นอกจากนี้ รายงานยังเปิดเผยอีกว่า การเจรจาในครั้งนี้ทางการจีนสนใจที่จะลงทุนในประเด็นพลังงาน เกษตรฏรรม อุตสาหกรรม และยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆด้วย
ทั้งนี้ ด้านนายเกา หู่เฉิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า การแลกเปลี่ยนกับภูมิภาคนี้ ทำกำไรให้จีนถึง 1.98 ล้านล้านบาทในปีนี้ สูงกว่าปีที่แล้ว 1.61แสนล้านบาท
นายกฯจีน ถกผู้นำฮังการี-เซอร์เบีย จ่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอีก 3 ปี
วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12:05:01 น.
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีประเทศจีน ได้เดินทางถึงเมืองกรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย เพื่อร่วมประชุมกับผู้นำ 16 ประเทศจากทวีปยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นกลุ่มพื้นที่ที่ทางการจีนต้องการเร่งสร้างความสัมพันธ์
ตามรายงานระบุว่า นายหลี่ มีหมายกำหนดการเจรจากับนายวิคเตอร์ ออร์แบน ผู้นำฮังการี และนายอเล็กซานเดอร์ วูซิก ผู้นำเซอร์เบีย ในประเด็นการสร้างทางรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง เชื่อมระหว่างเมืองกรุงบูดาเปสต์ของฮังการี และกรุงเบลเกรดของเซอร์เบีย ที่มีกำหนดการสร้างในอีก 3 ปีข้างหน้า
โดยนายหลี ได้ให้สัมภาษณ์ กับสื่อท้องถิ่นว่า “ตนเชื่อว่าแนวทางและความคิดริเริ่มในการทำสิ่งใหม่ที่ทางจีนจะเสนอในการ ประชุม จะนำทางไปสู่ความร่วมมือในอนาคต”
นอกจากนี้ รายงานยังเปิดเผยอีกว่า การเจรจาในครั้งนี้ทางการจีนสนใจที่จะลงทุนในประเด็นพลังงาน เกษตรฏรรม อุตสาหกรรม และยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆด้วย
ทั้งนี้ ด้านนายเกา หู่เฉิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า การแลกเปลี่ยนกับภูมิภาคนี้ ทำกำไรให้จีนถึง 1.98 ล้านล้านบาทในปีนี้ สูงกว่าปีที่แล้ว 1.61แสนล้านบาท