
ดูแล้ว งง + งง
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
ดูแล้ว งง + งง
โพสต์ที่ 2
เงินคงคลัง จากไม่ห่วง จนน่าเป็นห่วง
คอลัมน์ นอกรอบ
โดย ดร.นิตินัย
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน จริงๆ ผมตั้งใจให้คอลัมน์นี้มีความหลากหลาย แต่วันนี้คงต้องกลับมาพูดเรื่องเดิมๆ คือเรื่องเงินคงคลัง ซึ่งเคยเขียนลงคอลัมน์นี้ไปแล้วรอบหนึ่งในฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2548 ตอนที่เขียนนั้นจำได้ว่ายังไม่เริ่มมีข่าวรัฐบาลถังแตก แต่ผมก็ได้เริ่มมีความเป็นห่วง เหตุที่วันนี้ต้องมาคุยกันเรื่องนี้อีกวันนี้ก็เพราะเท่าที่อ่านข่าวเกี่ยวกับเงินคงคลังที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมือง และภาวการณ์ทางเศรษฐกิจแล้ว ต้องยอมรับครับว่ามีความเป็นห่วงมากกว่าเดิม
ก็ขอเท้าความเล็กน้อยนะครับว่าเราเคยคุยอะไรกันไปเมื่อฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2548 บ้าง ตอนนั้นเรายังไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองกันวุ่นวายเหมือนในปัจจุบันนี้ เรายังมีนายกฯ ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในระยะนั้นท่านมีนโยบายที่จะเร่งเบิกจ่ายงบฯค้างจ่าย ที่มีอยู่ถึงประมาณ 3 แสนล้านบาท ที่สื่อมวลชนใช้คำว่าล้างท่อนั่นแหละครับ ตอนนั้นจำได้ว่าผมไม่ได้เป็นห่วงว่ากระทรวงการคลังจะมีปัญหาในการบริหารสภาพคล่องของรัฐบาล (บริหารเงินคงคลัง) หรอกครับ เพราะเห็นว่าบริหารกันมาเป็นหลายสิบปีแล้ว แต่ตอนนั้นที่เป็นห่วงคือเกรงว่าการล้างท่อจะส่งผลถึงสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะดึงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเสียมากกว่า
แล้วเวลาผ่านไปก็ต้องยอมรับครับว่า การเร่งระดมทุนของภาครัฐมีส่วนผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2549 สิ่งที่เป็นห่วงเป็นจริง แต่สิ่งที่เป็นอยู่จริงก็ทำให้ผมยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น เมื่อมีข่าวเรื่องปัญหาการบริหารเงินคงคลังตามมาซ้ำเติม กับแค่รัฐบาลมีปัญหาในการบริหารสภาพคล่องแล้วมันน่าเป็นห่วงตรงไหนเหรอครับ ? อันนี้คงต้องย้อนไปอ้างถึงที่ผมเขียนในคอลัมน์นี้เมื่อเดือนก่อน (30 มีนาคม 2547) เรื่องวิกฤตทางการเมือง กับงบประมาณปี 2550 ครับ
ก็ต้องเท้าความอีกเล็กน้อยนะครับว่าเราเคยคุยอะไรกันไปเมื่อฉบับวันที่ 30 มีนาคม 2549 บ้าง ตอนนั้นผมก็ได้เป็นห่วงอีกครับว่าปัญหาทางการเมืองจะทำให้รัฐบาลไม่สามารถมีงบประมาณปี 2550 ใช้ และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ หลังจากผมส่งต้นฉบับไปตีพิมพ์ในวันที่ 28 มี.ค.49 คณะรัฐมนตรีก็มีมติในวันที่ 29 มี.ค.49 ให้เลื่อนปฏิทินงบประมาณออกไป 1 เดือน เป็นเริ่ม 1 พ.ย.2549 แทนที่จะเริ่ม 1 ต.ค.2549 ตรงนี้ทำให้ไม่ต้องหวังเลยครับ ว่างบประมาณลงทุนใหม่ๆ จะมีการเบิกจ่ายออกในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2550 (ในไตรมาสสุดท้ายของปีปฏิทิน 2549) และยิ่งตอนนี้เปิดสภาไม่ได้อีกเลยยิ่งไม่ทราบไปกันใหญ่ว่าปัญหาดังกล่าวจะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่
อย่างไรล่ะครับทีนี้ งบฯใหม่ก็เบิกไม่ออก งบฯเก่าก็เบิกไม่ออก (เพราะติดปัญหาเรื่องเงินคงคลัง) จะมาหวังให้รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจคงยากหล่ะครับ ผมลองคำนวณเล่นๆ ถ้างบประมาณลงทุนเบิกไม่ออกเลยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (หวังว่าคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นนะครับ) ก็ทำการขยายตัวทางเศรษฐกิจหดไปร้อยละ 0.5 เข้าไปแล้ว อันนี้ยังไม่รวมการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มจะหดตัวลงจากที่รัฐบาลไม่ลงทุน (crowding-in effect) อีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากการลงทุนภาครัฐจะเกิดสุญญากาศแล้ว ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นก็ยังทำให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว เมื่อหันไปมองการบริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการ ค้าไทย แสดงให้เห็นแนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคอย่างชัดเจน โดยมีการหดตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (ธ.ค.2548 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 83.6) จนลง มาถึงจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี ณ เดือน มี.ค.49 (มี.ค.49 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 77.9) เมื่อทุกอย่างที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศดูเหมือนจะชะลอลงหมดอย่างเห็นได้ชัดเจน เราก็คงต้องหวังพึ่งภาคการต่างประเทศกันล่ะครับ
เดือนมีนาคม 2549 กระทรวงพาณิชย์ออกมาตัวเลขส่งออกเดือนมีนาคมมีมูลค่า 11,099.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 สูงสุดในรอบ 5 ปีรวมตัวเลข 3 เดือนมีมูลค่า 29,561 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 เทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ตรงนี้เป็นข่าวดี เป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีครับ ท่ามกลางข่าวดี ก็ยังไม่วายมีข่าวร้ายเข้ามา คือเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างน่ากลัว จากเฉลี่ย 41.22 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน พ.ย.2549 มาเป็นเฉลี่ย 39.08 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน มี.ค. 39 และมาอยู่ที่ต่ำกว่า 38 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในปัจจุบัน แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปี เงินบาทที่แข็งค่าไม่ส่งผลดีต่อการส่งออกแน่ครับ ดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้า 11 ประเทศ (NEER) แข็งขึ้นร้อยละ 6.77 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548 แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าเงินบาทแข็งค่าจาก 41.22 มาเป็น 39.08 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ทำไมยังทำให้ส่งออกในเดือน มี.ค.2549 ขยายตัวได้มากขนาดนั้น คำตอบก็คือ การส่งออกในช่วงนี้ยังเป็นการส่งออกตามคำสั่งซื้อ (order) เก่า ดังนั้นคงอย่าเพิ่งสรุปกันว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก อย่าเพิ่งสรุปว่าค่าเงินแข็งขึ้นทั้งภูมิภาคเลยไม่กระทบต่อการส่งออกนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าจะกระทบหรือไม่ เท่าไหร่ แต่คงต้องขอดูไปอีกสัก 1-3 เดือนค่อยมาว่ากันดีกว่า แต่ตรงนี้ขอสรุปไว้ง่ายๆ ว่า ปัจจัยในประเทศคงจะมุ่งหวังให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้ แต่ปัจจัยต่างประเทศก็ใช่ว่าจะพึ่งพิงได้อย่างมั่นใจเท่านั้นแหละครับ
เอาหล่ะครับ กลับมาเรื่องเงินคงคลังดีกว่าครับ ตอนนี้ต้องใช้เงินล้างท่อกันอีกเยอะ ตอนนี้ติดค้างเบิกจ่ายกับภาคเอกชนอีกเยอะ ก็หมายความว่ารัฐบาลต้องรีบระดมทุนอีกเยอะ ระดมทุนได้ ก็แย่งสภาพคล่องจากตลาดเงินได้ ดอกเบี้ยก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก การลงทุนก็ยิ่งหด ระดมทุนไม่ได้ ก็เบิกจ่ายยิ่งไม่ออก งบใหม่ก็ไม่ออก งบฯเก่าไม่ออกไปอีก แล้วจะไม่เกิดสุญญากาศทางงบประมาณได้อย่างไร ?
ทางออกดีที่สุดของกระทรวงการคลังในช่วงนี้คงจะต้องเป็นการทยอยระดมทุนไว้ก่อนดีกว่าครับเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางงบประมาณ ไม่รีบระดมทุนเยอะๆ ในระยะสั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของการระดมทุนจนทำให้ต้องขาดเสถียรภาพในตลาดเงิน แค่นี้ดอกเบี้ยก็ปรับตัวขึ้นอยู่ในระดับสูงและรวดเร็วอยู่แล้วครับ เอกชนปรับตัวไม่ทัน และที่น่ากลัวกว่านักลงทุนเอกชนที่ปรับตัวไม่ทันคือประชาชนฐานรากที่ใช้บริการโครงการ ... เอื้ออาทรทั้งหลายทั้งแหล่นี่แหล่ะครับ ที่จะแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนมีความเป็นห่วงว่าจะรับกันไม่ไหว ถึงตอนนั้น นโยบายผ่านทั้งหลายที่ทำผ่านชนชั้นฐานรากที่เคยเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจคงกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายก่อนจากกันไปในฉบับนี้ลองมาดูการบริหารเงินคงคลังของกระทรวงการคลังกันดีกว่าครับ แผนภาพข้างต้นแสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมาว่า ในไตรมาสที่ 3 ของทั้งปี 2546 และปี 2547 จะมีการระดมสภาพคล่องเข้ามาในคลัง (ออกตั๋วเงินคลังเพื่อเพิ่มระดับเงินคงคลัง) ไว้เพื่อรองรับการใช้จ่ายในระดับสูงในไตรมาสที่ 4 แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ไม่มีการออกตั๋วเงินคลังในระดับสูงเพื่อรองรับกระแสรายจ่ายอันมหาศาลในไตรมาสที่ 4 เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา และเมื่อคิดจะล้างท่อกัน กระแสรายจ่ายก็มีมามากจริงๆ ในไตรมาสที่ 4 อย่างนี้จะเอาตังค์ที่ไหนจ่ายล่ะครับ ก็มีข่าวรัฐบาลถังแตกกันไปทีนึงแล้วตอนปลายปี พอดี ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ ตัวเลขไตรมาสแรกปี 2549 ผมยังหาไม่เจอ ก็คิดว่าเหตุการณ์ก็คงเหมือนเดิมอีก จึงได้มีข่าวคราวขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.49 นี้ แต่คราวนี้ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมคือ ผมได้พยายามโยงไปยังประเด็นเศรษฐกิจครับว่า ถ้างบฯเก่าๆ เบิกกันไม่ออกจากการบริหารสภาพคล่องของรัฐบาล ผมเกรงว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นอัมพาตในช่วงปลายปีเนื่องจากงบฯใหม่ก็จะไม่ออกจากปัญหาการเมืองดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในฉบับวันที่ เมื่อฉบับวันที่ 30 มีนาคม 2549
คอลัมน์ นอกรอบ
โดย ดร.นิตินัย
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน จริงๆ ผมตั้งใจให้คอลัมน์นี้มีความหลากหลาย แต่วันนี้คงต้องกลับมาพูดเรื่องเดิมๆ คือเรื่องเงินคงคลัง ซึ่งเคยเขียนลงคอลัมน์นี้ไปแล้วรอบหนึ่งในฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2548 ตอนที่เขียนนั้นจำได้ว่ายังไม่เริ่มมีข่าวรัฐบาลถังแตก แต่ผมก็ได้เริ่มมีความเป็นห่วง เหตุที่วันนี้ต้องมาคุยกันเรื่องนี้อีกวันนี้ก็เพราะเท่าที่อ่านข่าวเกี่ยวกับเงินคงคลังที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมือง และภาวการณ์ทางเศรษฐกิจแล้ว ต้องยอมรับครับว่ามีความเป็นห่วงมากกว่าเดิม
ก็ขอเท้าความเล็กน้อยนะครับว่าเราเคยคุยอะไรกันไปเมื่อฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2548 บ้าง ตอนนั้นเรายังไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองกันวุ่นวายเหมือนในปัจจุบันนี้ เรายังมีนายกฯ ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในระยะนั้นท่านมีนโยบายที่จะเร่งเบิกจ่ายงบฯค้างจ่าย ที่มีอยู่ถึงประมาณ 3 แสนล้านบาท ที่สื่อมวลชนใช้คำว่าล้างท่อนั่นแหละครับ ตอนนั้นจำได้ว่าผมไม่ได้เป็นห่วงว่ากระทรวงการคลังจะมีปัญหาในการบริหารสภาพคล่องของรัฐบาล (บริหารเงินคงคลัง) หรอกครับ เพราะเห็นว่าบริหารกันมาเป็นหลายสิบปีแล้ว แต่ตอนนั้นที่เป็นห่วงคือเกรงว่าการล้างท่อจะส่งผลถึงสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะดึงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเสียมากกว่า
แล้วเวลาผ่านไปก็ต้องยอมรับครับว่า การเร่งระดมทุนของภาครัฐมีส่วนผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2549 สิ่งที่เป็นห่วงเป็นจริง แต่สิ่งที่เป็นอยู่จริงก็ทำให้ผมยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น เมื่อมีข่าวเรื่องปัญหาการบริหารเงินคงคลังตามมาซ้ำเติม กับแค่รัฐบาลมีปัญหาในการบริหารสภาพคล่องแล้วมันน่าเป็นห่วงตรงไหนเหรอครับ ? อันนี้คงต้องย้อนไปอ้างถึงที่ผมเขียนในคอลัมน์นี้เมื่อเดือนก่อน (30 มีนาคม 2547) เรื่องวิกฤตทางการเมือง กับงบประมาณปี 2550 ครับ
ก็ต้องเท้าความอีกเล็กน้อยนะครับว่าเราเคยคุยอะไรกันไปเมื่อฉบับวันที่ 30 มีนาคม 2549 บ้าง ตอนนั้นผมก็ได้เป็นห่วงอีกครับว่าปัญหาทางการเมืองจะทำให้รัฐบาลไม่สามารถมีงบประมาณปี 2550 ใช้ และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ หลังจากผมส่งต้นฉบับไปตีพิมพ์ในวันที่ 28 มี.ค.49 คณะรัฐมนตรีก็มีมติในวันที่ 29 มี.ค.49 ให้เลื่อนปฏิทินงบประมาณออกไป 1 เดือน เป็นเริ่ม 1 พ.ย.2549 แทนที่จะเริ่ม 1 ต.ค.2549 ตรงนี้ทำให้ไม่ต้องหวังเลยครับ ว่างบประมาณลงทุนใหม่ๆ จะมีการเบิกจ่ายออกในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2550 (ในไตรมาสสุดท้ายของปีปฏิทิน 2549) และยิ่งตอนนี้เปิดสภาไม่ได้อีกเลยยิ่งไม่ทราบไปกันใหญ่ว่าปัญหาดังกล่าวจะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่
อย่างไรล่ะครับทีนี้ งบฯใหม่ก็เบิกไม่ออก งบฯเก่าก็เบิกไม่ออก (เพราะติดปัญหาเรื่องเงินคงคลัง) จะมาหวังให้รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจคงยากหล่ะครับ ผมลองคำนวณเล่นๆ ถ้างบประมาณลงทุนเบิกไม่ออกเลยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (หวังว่าคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นนะครับ) ก็ทำการขยายตัวทางเศรษฐกิจหดไปร้อยละ 0.5 เข้าไปแล้ว อันนี้ยังไม่รวมการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มจะหดตัวลงจากที่รัฐบาลไม่ลงทุน (crowding-in effect) อีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากการลงทุนภาครัฐจะเกิดสุญญากาศแล้ว ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นก็ยังทำให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว เมื่อหันไปมองการบริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการ ค้าไทย แสดงให้เห็นแนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคอย่างชัดเจน โดยมีการหดตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (ธ.ค.2548 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 83.6) จนลง มาถึงจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี ณ เดือน มี.ค.49 (มี.ค.49 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 77.9) เมื่อทุกอย่างที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศดูเหมือนจะชะลอลงหมดอย่างเห็นได้ชัดเจน เราก็คงต้องหวังพึ่งภาคการต่างประเทศกันล่ะครับ
เดือนมีนาคม 2549 กระทรวงพาณิชย์ออกมาตัวเลขส่งออกเดือนมีนาคมมีมูลค่า 11,099.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 สูงสุดในรอบ 5 ปีรวมตัวเลข 3 เดือนมีมูลค่า 29,561 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 เทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ตรงนี้เป็นข่าวดี เป็นความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีครับ ท่ามกลางข่าวดี ก็ยังไม่วายมีข่าวร้ายเข้ามา คือเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างน่ากลัว จากเฉลี่ย 41.22 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน พ.ย.2549 มาเป็นเฉลี่ย 39.08 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในเดือน มี.ค. 39 และมาอยู่ที่ต่ำกว่า 38 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ในปัจจุบัน แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปี เงินบาทที่แข็งค่าไม่ส่งผลดีต่อการส่งออกแน่ครับ ดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้า 11 ประเทศ (NEER) แข็งขึ้นร้อยละ 6.77 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548 แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าเงินบาทแข็งค่าจาก 41.22 มาเป็น 39.08 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ทำไมยังทำให้ส่งออกในเดือน มี.ค.2549 ขยายตัวได้มากขนาดนั้น คำตอบก็คือ การส่งออกในช่วงนี้ยังเป็นการส่งออกตามคำสั่งซื้อ (order) เก่า ดังนั้นคงอย่าเพิ่งสรุปกันว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก อย่าเพิ่งสรุปว่าค่าเงินแข็งขึ้นทั้งภูมิภาคเลยไม่กระทบต่อการส่งออกนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าจะกระทบหรือไม่ เท่าไหร่ แต่คงต้องขอดูไปอีกสัก 1-3 เดือนค่อยมาว่ากันดีกว่า แต่ตรงนี้ขอสรุปไว้ง่ายๆ ว่า ปัจจัยในประเทศคงจะมุ่งหวังให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้ แต่ปัจจัยต่างประเทศก็ใช่ว่าจะพึ่งพิงได้อย่างมั่นใจเท่านั้นแหละครับ
เอาหล่ะครับ กลับมาเรื่องเงินคงคลังดีกว่าครับ ตอนนี้ต้องใช้เงินล้างท่อกันอีกเยอะ ตอนนี้ติดค้างเบิกจ่ายกับภาคเอกชนอีกเยอะ ก็หมายความว่ารัฐบาลต้องรีบระดมทุนอีกเยอะ ระดมทุนได้ ก็แย่งสภาพคล่องจากตลาดเงินได้ ดอกเบี้ยก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก การลงทุนก็ยิ่งหด ระดมทุนไม่ได้ ก็เบิกจ่ายยิ่งไม่ออก งบใหม่ก็ไม่ออก งบฯเก่าไม่ออกไปอีก แล้วจะไม่เกิดสุญญากาศทางงบประมาณได้อย่างไร ?
ทางออกดีที่สุดของกระทรวงการคลังในช่วงนี้คงจะต้องเป็นการทยอยระดมทุนไว้ก่อนดีกว่าครับเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางงบประมาณ ไม่รีบระดมทุนเยอะๆ ในระยะสั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของการระดมทุนจนทำให้ต้องขาดเสถียรภาพในตลาดเงิน แค่นี้ดอกเบี้ยก็ปรับตัวขึ้นอยู่ในระดับสูงและรวดเร็วอยู่แล้วครับ เอกชนปรับตัวไม่ทัน และที่น่ากลัวกว่านักลงทุนเอกชนที่ปรับตัวไม่ทันคือประชาชนฐานรากที่ใช้บริการโครงการ ... เอื้ออาทรทั้งหลายทั้งแหล่นี่แหล่ะครับ ที่จะแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนมีความเป็นห่วงว่าจะรับกันไม่ไหว ถึงตอนนั้น นโยบายผ่านทั้งหลายที่ทำผ่านชนชั้นฐานรากที่เคยเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจคงกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายก่อนจากกันไปในฉบับนี้ลองมาดูการบริหารเงินคงคลังของกระทรวงการคลังกันดีกว่าครับ แผนภาพข้างต้นแสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมาว่า ในไตรมาสที่ 3 ของทั้งปี 2546 และปี 2547 จะมีการระดมสภาพคล่องเข้ามาในคลัง (ออกตั๋วเงินคลังเพื่อเพิ่มระดับเงินคงคลัง) ไว้เพื่อรองรับการใช้จ่ายในระดับสูงในไตรมาสที่ 4 แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ไม่มีการออกตั๋วเงินคลังในระดับสูงเพื่อรองรับกระแสรายจ่ายอันมหาศาลในไตรมาสที่ 4 เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา และเมื่อคิดจะล้างท่อกัน กระแสรายจ่ายก็มีมามากจริงๆ ในไตรมาสที่ 4 อย่างนี้จะเอาตังค์ที่ไหนจ่ายล่ะครับ ก็มีข่าวรัฐบาลถังแตกกันไปทีนึงแล้วตอนปลายปี พอดี ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ ตัวเลขไตรมาสแรกปี 2549 ผมยังหาไม่เจอ ก็คิดว่าเหตุการณ์ก็คงเหมือนเดิมอีก จึงได้มีข่าวคราวขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.49 นี้ แต่คราวนี้ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมคือ ผมได้พยายามโยงไปยังประเด็นเศรษฐกิจครับว่า ถ้างบฯเก่าๆ เบิกกันไม่ออกจากการบริหารสภาพคล่องของรัฐบาล ผมเกรงว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นอัมพาตในช่วงปลายปีเนื่องจากงบฯใหม่ก็จะไม่ออกจากปัญหาการเมืองดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในฉบับวันที่ เมื่อฉบับวันที่ 30 มีนาคม 2549