แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 151
ข่าวเรื่องกฏหมายภาษีสรรพากรของสหรัฐ ที่ชื่อ Foregin Account Tax Compliance Act หรือ FATCA /แฟดก้า
กฏหมายฉบับนี้ เป็นกฏหมายที่มีผลกระทบต่อธุรกรรมทางการเงินนอกประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก เหมือนเป็นสิทธินอกอาณาเขตในสมัยเดิมแป๊บเลย
สิ่งที่ US นั้นพยายามที่ทำคือ การรายงานการทำธุรกรรมของนิติบุคคลและบุคคลสัญชาติสหรัฐ มีการหลบเลี่ยงภาษีในต่างประเทศหรือเปล่า สิ่งนี้ทำให้กระทบกระเทือนต่อบุคคลที่อยู่ในประเทศหรือสถาบันการเงินที่ได้ทำข้อตกลงไว้กับสหรัฐ
ในความคิดของเรานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สถาบันการเงินหรือประเทศที่ทำข้อตกลงไว้แล้วนั้น พยายามที่ลดการทำธุรกรรมกับบุคคลและนิติบุคคลที่ถือสัญชาติสหรัฐ ลง หากเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้มีผลกระทบต่อบุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำธุรกรรมให้น้อยที่สุด ตัวสถาบันทางการเงินหรือประเทศ ก็ต้องเตรียมเรื่องความเสี่ยงการปรับที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีรายงานที่ส่งให้ทางการนั้นไม่สะท้อนต่อความเป็นจริง
หากมองดีด้านหนึ่ง คือ US ลงบทบาทของเงินดอลล่าร์ลดหรือเปล่า ในการทำธุรกรรมของโลกนี้
เป็นการกลยุทธ์การออกจากความเป็นมหอำนาจในโลกของการเงินหรือเปล่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
กฏหมายฉบับนี้ เป็นกฏหมายที่มีผลกระทบต่อธุรกรรมทางการเงินนอกประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก เหมือนเป็นสิทธินอกอาณาเขตในสมัยเดิมแป๊บเลย
สิ่งที่ US นั้นพยายามที่ทำคือ การรายงานการทำธุรกรรมของนิติบุคคลและบุคคลสัญชาติสหรัฐ มีการหลบเลี่ยงภาษีในต่างประเทศหรือเปล่า สิ่งนี้ทำให้กระทบกระเทือนต่อบุคคลที่อยู่ในประเทศหรือสถาบันการเงินที่ได้ทำข้อตกลงไว้กับสหรัฐ
ในความคิดของเรานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สถาบันการเงินหรือประเทศที่ทำข้อตกลงไว้แล้วนั้น พยายามที่ลดการทำธุรกรรมกับบุคคลและนิติบุคคลที่ถือสัญชาติสหรัฐ ลง หากเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้มีผลกระทบต่อบุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำธุรกรรมให้น้อยที่สุด ตัวสถาบันทางการเงินหรือประเทศ ก็ต้องเตรียมเรื่องความเสี่ยงการปรับที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีรายงานที่ส่งให้ทางการนั้นไม่สะท้อนต่อความเป็นจริง
หากมองดีด้านหนึ่ง คือ US ลงบทบาทของเงินดอลล่าร์ลดหรือเปล่า ในการทำธุรกรรมของโลกนี้
เป็นการกลยุทธ์การออกจากความเป็นมหอำนาจในโลกของการเงินหรือเปล่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 152
ปรากฏการณ์ โอเอชิ ลด 50%
หากวิเคราะห์กันแล้ว ผู้ที่คิดโปรโมทชั่น ลด 50% นั้น เหมือน ไปสองท่าน จ่ายท่านเดียว
เป็นการกระตุ้นยอดขายแบบสุดกู่เลยก็ได้ และเรียกประชาชนเข้าห้างหรือคอมมูนิตี้ มอลล์เพิ่มขึ้นในช่วงนี้
คิวในการรอรับประทานอาหารช่วงเย็นประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าจะได้ทานเลยทีเดียว
ทำให้บางท่านที่รอคิวไม่ได้ ก็หาร้านอาหารบริเวณเดียวกับร้านโอเอชิรับประทาน ซึ่งเป็นการได้ผลประโยชน์รวม
จากการทำโปรโมทชั่นด้วย แต่ทว่า ผู้ที่เป็นตาอยู่คือ ห้างและคอมมูนิตี้ มอลล์นั้นเอง
สิ่งที่ได้ข้อคิดคือ
โอเอชิได้ใช้ การหมุนเวียนของร้านที่มากที่สุดช่วงหนีึ่งเีรียกได้ว่า เต็มตลอดเวลา (อัตราหมุนเวียนของผู้ใช้บริหารหรือโต๊ะอันนี้เป็นเคร็ดวิชาในการบริหารร้านอาหาร )
การให้ประชาชนยืนรอหน้าร้านมากๆๆนั้น มองได้สองมุมคือร้านนี้อร่อยจริง หรือ บางท่านขี้เกียจรอเลย
อีกอย่างคือ โอเิอชิ จับจุดพฤติกรรมของคนไทยได้ว่า หากเจอป้ายลด 50% ทุกคนพุ่งเป้าหมายไปหาสิ่งนั้นเลย
เอวังด้วยประการฉะนี้
หากวิเคราะห์กันแล้ว ผู้ที่คิดโปรโมทชั่น ลด 50% นั้น เหมือน ไปสองท่าน จ่ายท่านเดียว
เป็นการกระตุ้นยอดขายแบบสุดกู่เลยก็ได้ และเรียกประชาชนเข้าห้างหรือคอมมูนิตี้ มอลล์เพิ่มขึ้นในช่วงนี้
คิวในการรอรับประทานอาหารช่วงเย็นประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าจะได้ทานเลยทีเดียว
ทำให้บางท่านที่รอคิวไม่ได้ ก็หาร้านอาหารบริเวณเดียวกับร้านโอเอชิรับประทาน ซึ่งเป็นการได้ผลประโยชน์รวม
จากการทำโปรโมทชั่นด้วย แต่ทว่า ผู้ที่เป็นตาอยู่คือ ห้างและคอมมูนิตี้ มอลล์นั้นเอง
สิ่งที่ได้ข้อคิดคือ
โอเอชิได้ใช้ การหมุนเวียนของร้านที่มากที่สุดช่วงหนีึ่งเีรียกได้ว่า เต็มตลอดเวลา (อัตราหมุนเวียนของผู้ใช้บริหารหรือโต๊ะอันนี้เป็นเคร็ดวิชาในการบริหารร้านอาหาร )
การให้ประชาชนยืนรอหน้าร้านมากๆๆนั้น มองได้สองมุมคือร้านนี้อร่อยจริง หรือ บางท่านขี้เกียจรอเลย
อีกอย่างคือ โอเิอชิ จับจุดพฤติกรรมของคนไทยได้ว่า หากเจอป้ายลด 50% ทุกคนพุ่งเป้าหมายไปหาสิ่งนั้นเลย
เอวังด้วยประการฉะนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 153
การเรียนนั้นเป็นการสร้างให้เราเรียนรู้ เกิดทักษะ เกิดประสบการณ์ ลองผิดลองถูก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ตามที่เราได้เรียนมา แต่ทว่า เมื่อเอามาใช้งานกับชีวิตจริง หรือ โลกของความจริงเป็นคนละเรื่อง แต่อยู่บนรากฐานของความรู้ที่เราได้สั่งสมมาในตอนเรียนอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 154
นานๆๆ รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆๆน้องๆๆใน TVI หน่อยล่ะครับ
ตอนนี้ผมกำลังหาก Chip ตอนที่ดร.สุวรรณ วลัยเสถียรออกแถลงข่าวกรณีเคสการขายหุ้นบริษัทจดทะเบียนบริษัทหนึ่ง
เมื่อหลายปีที่แล้วได้ไหมครับ ที่เป็นข่าวดังๆมากๆๆ ตอนนี้ผมหาไม่เจอใน Youtube ครับ
ขอบคุณครับ
ตอนนี้ผมกำลังหาก Chip ตอนที่ดร.สุวรรณ วลัยเสถียรออกแถลงข่าวกรณีเคสการขายหุ้นบริษัทจดทะเบียนบริษัทหนึ่ง
เมื่อหลายปีที่แล้วได้ไหมครับ ที่เป็นข่าวดังๆมากๆๆ ตอนนี้ผมหาไม่เจอใน Youtube ครับ
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 155
ผลตอบแทนมันมาคู่กับความเสี่ยง
ท่องเอาไว้ในใจครับ ถ้าหากเรามองแค่ผลตอบแทนด้านเดียว
แล้วไม่พิจารณาความเสี่ยงควบคู่เมื่อเวลาหุ้นขึ้นก็เริงร่า
แต่หากไซร้กลับด้านเวลาหุ้นร่วงแล้ว ก็หดหู่ โศกโศร้า สิ้นหวัง
ทว่าในโลกของความจริง ด้านจิตวิทยา หรือ คำสอนของพระพุทธก็ตาม
กล่าวไว้ว่า มนุษย์ทุกชาติพันธ์บนโลกนี้ ชอบที่ฟังคำพูดที่เสนาะไพเพราะกระทบโสตประสาท ไม่ต้องการที่ฟังสิ่งที่เราไม่อย่างรับรู้ หรือเมินเฉย
ท่องเอาไว้ในใจครับ ถ้าหากเรามองแค่ผลตอบแทนด้านเดียว
แล้วไม่พิจารณาความเสี่ยงควบคู่เมื่อเวลาหุ้นขึ้นก็เริงร่า
แต่หากไซร้กลับด้านเวลาหุ้นร่วงแล้ว ก็หดหู่ โศกโศร้า สิ้นหวัง
ทว่าในโลกของความจริง ด้านจิตวิทยา หรือ คำสอนของพระพุทธก็ตาม
กล่าวไว้ว่า มนุษย์ทุกชาติพันธ์บนโลกนี้ ชอบที่ฟังคำพูดที่เสนาะไพเพราะกระทบโสตประสาท ไม่ต้องการที่ฟังสิ่งที่เราไม่อย่างรับรู้ หรือเมินเฉย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 156
ฤดูกาลส่งงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนนั้น
ปีหนึ่งมี 4 ฤดูกาล (4 ครั้ง) คือ ประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือน มีนาคม ของทุกปีเป็นฤดูกาลแรก
ซึ่งในฤดูกาลแรกนี้ มีการประกาศจ่ายปันผลของบริษัท ด้วย
ส่วนฤดูกาลที่สอง คือ ประมาณกลางเดือน พฤษภาคม ของทุกปี
เมื่อก่อนในช่วงฤดูกาลที่สองนี้การขึ้นเครื่องหมาย XD แต่ในปัจจุบัน มีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือนนี้
เป็นผลผู้ที่ไปประชุมอนุมัติมีการเสียผลประโยชน์ในการพิจารณาการเข้าถือครองหลักทรัพย์
ดังนั้นจึงแยกระหว่างการประชุมเพื่ออนุมัติกับการจ่ายปันผลออออกจากกัน และเป็นของคะแนนของ CG ด้วย
ส่วนฤดูกาลถัดมาคือ กลางเดือน สิงหาคม ของทุกปี พอถึงฤดูกาลนี้ก็มีการขึ้นเครื่องหมาย XD จ่ายปันผลระหว่างกาลกัน
โดยที่ให้อำนาจคณะกรรมการบริษัท ในการขึ้นเครื่องหมาย XD แล้วค่อยประชุมรวมยอดกันทีเดียวในตอนประชุมประจำปี
ส่วนฤดูกาลที่ 4 คือ ประมาณกลางเดือน พฤศจิกายน ของทุกปี
การส่งงบการเงินนั้นมีข้อกำหนดไว้ว่า
หากเป็นงบไตรมาสให้ส่งงบการเงินไม่เกิน 45 วันหลังจากการปิดงบไตรมาสของงวดนั้นๆ ซึ่งอาจจะส่งได้ล่าช้าสุดคือ ช่วงเช้าก่อนตลาดเปิด วันที่ 46 ได้ หากเกินกว่านั้น ตลท ขึ้นเครื่องหมาย SP ทันที
ส่วนงบปีอาจจะส่งได้สองแบบคือ ส่งงบไตรมาสภายใน 45 ก่อนแล้วค่อยส่งงบปีอีกครั้งภายใน 30 วัน
หรือ ส่งงบปีเลย ภายในระยะเวลา 60 วัน หลังจากปิดงบการเงินประจำปีนั้นๆ ซึ่งอาจจะส่งได้ช้าสุดคือ เช้าวันถัดไปก่อนตลท เปิดทำการ
ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงฤดูกาลที่ 3 ของปีในการประกาศผลประกอบการ
ปีหนึ่งมี 4 ฤดูกาล (4 ครั้ง) คือ ประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือน มีนาคม ของทุกปีเป็นฤดูกาลแรก
ซึ่งในฤดูกาลแรกนี้ มีการประกาศจ่ายปันผลของบริษัท ด้วย
ส่วนฤดูกาลที่สอง คือ ประมาณกลางเดือน พฤษภาคม ของทุกปี
เมื่อก่อนในช่วงฤดูกาลที่สองนี้การขึ้นเครื่องหมาย XD แต่ในปัจจุบัน มีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือนนี้
เป็นผลผู้ที่ไปประชุมอนุมัติมีการเสียผลประโยชน์ในการพิจารณาการเข้าถือครองหลักทรัพย์
ดังนั้นจึงแยกระหว่างการประชุมเพื่ออนุมัติกับการจ่ายปันผลออออกจากกัน และเป็นของคะแนนของ CG ด้วย
ส่วนฤดูกาลถัดมาคือ กลางเดือน สิงหาคม ของทุกปี พอถึงฤดูกาลนี้ก็มีการขึ้นเครื่องหมาย XD จ่ายปันผลระหว่างกาลกัน
โดยที่ให้อำนาจคณะกรรมการบริษัท ในการขึ้นเครื่องหมาย XD แล้วค่อยประชุมรวมยอดกันทีเดียวในตอนประชุมประจำปี
ส่วนฤดูกาลที่ 4 คือ ประมาณกลางเดือน พฤศจิกายน ของทุกปี
การส่งงบการเงินนั้นมีข้อกำหนดไว้ว่า
หากเป็นงบไตรมาสให้ส่งงบการเงินไม่เกิน 45 วันหลังจากการปิดงบไตรมาสของงวดนั้นๆ ซึ่งอาจจะส่งได้ล่าช้าสุดคือ ช่วงเช้าก่อนตลาดเปิด วันที่ 46 ได้ หากเกินกว่านั้น ตลท ขึ้นเครื่องหมาย SP ทันที
ส่วนงบปีอาจจะส่งได้สองแบบคือ ส่งงบไตรมาสภายใน 45 ก่อนแล้วค่อยส่งงบปีอีกครั้งภายใน 30 วัน
หรือ ส่งงบปีเลย ภายในระยะเวลา 60 วัน หลังจากปิดงบการเงินประจำปีนั้นๆ ซึ่งอาจจะส่งได้ช้าสุดคือ เช้าวันถัดไปก่อนตลท เปิดทำการ
ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงฤดูกาลที่ 3 ของปีในการประกาศผลประกอบการ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 157
ช่วงไหนของกรุงเทพน่าอยู่
คำตอบคือช่วงวันหยุดยาว
ทำไมเป็นเช่นนั้นละ
เนื่องจากประชาชนที่ย้ายถิ่นฐานมาทำงานที่กรุงเทพฯได้กลับภูมิลำเนาของตัวเอง
และคนกรุงเทพฯได้ออกไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ออกไปให้ใช้เงินที่อุตสาหะหามาได้บ้าง จึงทำให้กรุงเทพที่แออัดคับคั่งไปด้วยคนนั้นน้อยลงไป
แต่ข้อเสียประการใหญ่คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารปิดกันบ้าง ทำให้ประชาชนไปกระจุกตามห้างกันมากๆ ทำให้บรรดาห้างในกรุงเทพต่างๆ ติดอย่างหนักมากๆๆ แทนที่กระจายออกไปติดตามที่ต่างๆ
คำตอบคือช่วงวันหยุดยาว
ทำไมเป็นเช่นนั้นละ
เนื่องจากประชาชนที่ย้ายถิ่นฐานมาทำงานที่กรุงเทพฯได้กลับภูมิลำเนาของตัวเอง
และคนกรุงเทพฯได้ออกไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ออกไปให้ใช้เงินที่อุตสาหะหามาได้บ้าง จึงทำให้กรุงเทพที่แออัดคับคั่งไปด้วยคนนั้นน้อยลงไป
แต่ข้อเสียประการใหญ่คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารปิดกันบ้าง ทำให้ประชาชนไปกระจุกตามห้างกันมากๆ ทำให้บรรดาห้างในกรุงเทพต่างๆ ติดอย่างหนักมากๆๆ แทนที่กระจายออกไปติดตามที่ต่างๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 158
กลับมาเขียนอะไรให้คิดซักหน่อย
เรื่องของยารักษาอีโบล่านี้เป็นประเด็นที่สำคัญประเด็นหนึ่ง
ประเด็นนั้นคือ ยารักษาอีโบล่ายังไม่ได้ทดสอบกับมนุษย์จริงๆๆจังๆจนกระทั่งมีประชาชนชาว US เป็นโรค
และจำเป็นต้องรักษา จึงใช้ยาตัวนี้ ทำให้เกิดเป็นข้อถกเถึยงกันอย่างมากมาย
ว่าควรหรือไม่ที่ใช้ยาที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์ กับการรักษาชีวิตของมนุษย์
ประเด็นนี้มันเหมือนไทยและอินเดียที่เผชิญหน้ากับ US เมื่อครั้นที่เราใช้สิทธิ์ผลิตยาราคาถูก เพื่อนำมารักษาชีวิตของมนุษย์ นั้นเอง
บางครั้งเราจะเลือกอะไรระหว่าง ไม้บรรทัด กับ ชีวิตคนที่อยู่รอด
เหมือนแผ่นไม้ที่อยู่กลางทะเล แล้วมีคนลอยคอในทะเล 2 คน แต่แผ่นไม้นั้นสามารถรองรับได้แค่ 1 คนเท่านั้น
คนทั้งสองทำเช่นไร
1. ตายทั้งคู่
2. ให้คนใดคนหนึ่งตายไปต่อหน้าต่อตา
3. รอดทั้งคู่
เรื่องของยารักษาอีโบล่านี้เป็นประเด็นที่สำคัญประเด็นหนึ่ง
ประเด็นนั้นคือ ยารักษาอีโบล่ายังไม่ได้ทดสอบกับมนุษย์จริงๆๆจังๆจนกระทั่งมีประชาชนชาว US เป็นโรค
และจำเป็นต้องรักษา จึงใช้ยาตัวนี้ ทำให้เกิดเป็นข้อถกเถึยงกันอย่างมากมาย
ว่าควรหรือไม่ที่ใช้ยาที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์ กับการรักษาชีวิตของมนุษย์
ประเด็นนี้มันเหมือนไทยและอินเดียที่เผชิญหน้ากับ US เมื่อครั้นที่เราใช้สิทธิ์ผลิตยาราคาถูก เพื่อนำมารักษาชีวิตของมนุษย์ นั้นเอง
บางครั้งเราจะเลือกอะไรระหว่าง ไม้บรรทัด กับ ชีวิตคนที่อยู่รอด
เหมือนแผ่นไม้ที่อยู่กลางทะเล แล้วมีคนลอยคอในทะเล 2 คน แต่แผ่นไม้นั้นสามารถรองรับได้แค่ 1 คนเท่านั้น
คนทั้งสองทำเช่นไร
1. ตายทั้งคู่
2. ให้คนใดคนหนึ่งตายไปต่อหน้าต่อตา
3. รอดทั้งคู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 159
ปัจจุบันระบบไอทีได้พัฒนากันอย่างต่อเนื่อง
มีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งตอนน้ำท่วมที่บริษัททุกบริษัทต้องเจอะเจอคือ
ระบบไอทีสามารถย้ายไปทำงานที่อื่นได้ไหม และถามว่าใช้เวลาเท่าไร
จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการบูมของระบบหลังบ้านที่ใช้งาน Virtual machine ยี่ห้อต่างๆๆ
โดยส่วนใหญ่ในประเทศไทย องค์กรขนาดใหญ่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ของ VmWare ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ US ด้วย
ระบบของ VmWare เป็นระบบที่พัฒนามาโดยตลอด ตอนแรกที่ตอบโจทย์คือเรื่องของอุปกรณ์ที่ไม่มีให้ซื้อแต่ระบบจำเป็นต้องใช้งาน ต่อมาเริ่มพัฒนาการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สำหรับ Port ต่างๆเช่น พอร์ตขนาน พอร์ตอนุกรม เป็นลำดับถัดมา
เมื่อพัฒนาต่อยอดยิ่งมากขึ้นก็มีโจทย์ให้ท้าทายมากขึ้น นั้นคือ Tape ที่ใช้สำรองข้อมูลนั้นเขียนช้า และมีราคาแพง ก็ใช้ Disk ในการช่วย Backup ให้หย่อนย่อเวลาของ Production ทำการสำรองข้อมูลในระยะเวลาที่สั้นลง ก่อนทีี่เอา disk ที่สำรองข้อมูลเขียนลง Tape ต่อไป ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานพอควร ก็เกิด Virtual Tape ขึ้นมา
ต่อมาก็มีโจทย์ว่า Disk ที่ใช้มีลักษณะของ SAN ก็เกิด Virtual San เกิดขึ้น ไม่เพียงเกิด Virtual San ยัง เกิด Virtual Switch ที่ใช้งานกับระบบต่อเนื่องไปด้วย
เดี๋ยวนี้ องค์กรซื้อเครื่องจำนวนน้อยลง แต่ทว่ามีการใช้เครื่องที่คุ้มค่ามากขึ้น ต้องการเครื่องที่มีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้งานใช้งานนั้น ผู้ใช้งานเองไม่รู้ว่า อยู่บนระบบ Virtual หรือ เครื่องจริง กันแน่นอน เพราะ ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน จากการพัฒนาของ Software และ Hardware ที่รวดเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ของภาคธุรกิจนั้นเอง
มีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งตอนน้ำท่วมที่บริษัททุกบริษัทต้องเจอะเจอคือ
ระบบไอทีสามารถย้ายไปทำงานที่อื่นได้ไหม และถามว่าใช้เวลาเท่าไร
จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการบูมของระบบหลังบ้านที่ใช้งาน Virtual machine ยี่ห้อต่างๆๆ
โดยส่วนใหญ่ในประเทศไทย องค์กรขนาดใหญ่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ของ VmWare ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ US ด้วย
ระบบของ VmWare เป็นระบบที่พัฒนามาโดยตลอด ตอนแรกที่ตอบโจทย์คือเรื่องของอุปกรณ์ที่ไม่มีให้ซื้อแต่ระบบจำเป็นต้องใช้งาน ต่อมาเริ่มพัฒนาการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สำหรับ Port ต่างๆเช่น พอร์ตขนาน พอร์ตอนุกรม เป็นลำดับถัดมา
เมื่อพัฒนาต่อยอดยิ่งมากขึ้นก็มีโจทย์ให้ท้าทายมากขึ้น นั้นคือ Tape ที่ใช้สำรองข้อมูลนั้นเขียนช้า และมีราคาแพง ก็ใช้ Disk ในการช่วย Backup ให้หย่อนย่อเวลาของ Production ทำการสำรองข้อมูลในระยะเวลาที่สั้นลง ก่อนทีี่เอา disk ที่สำรองข้อมูลเขียนลง Tape ต่อไป ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานพอควร ก็เกิด Virtual Tape ขึ้นมา
ต่อมาก็มีโจทย์ว่า Disk ที่ใช้มีลักษณะของ SAN ก็เกิด Virtual San เกิดขึ้น ไม่เพียงเกิด Virtual San ยัง เกิด Virtual Switch ที่ใช้งานกับระบบต่อเนื่องไปด้วย
เดี๋ยวนี้ องค์กรซื้อเครื่องจำนวนน้อยลง แต่ทว่ามีการใช้เครื่องที่คุ้มค่ามากขึ้น ต้องการเครื่องที่มีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้งานใช้งานนั้น ผู้ใช้งานเองไม่รู้ว่า อยู่บนระบบ Virtual หรือ เครื่องจริง กันแน่นอน เพราะ ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน จากการพัฒนาของ Software และ Hardware ที่รวดเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ของภาคธุรกิจนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 160
วิวัฒนาการการเดินทางของมนุษย์
เริ่มแรกนั้นมนุษย์เดินทางด้วยการใช้กำลังขาเป็นหลัก สามารถเดินทางได้ระยะทางค่อนข้างน้อย ต่อมามนุษย์เริ่มเลี้ยงรู้วิธีการบังคับสัตว์ ฝึกสัตว์ให้เชื่อง จึงมีม้าเป็นเพื่อนคู่ใจในยามเดินทาง มีกองทัพม้าในยามศึกสงคราม ต่อมาพัฒนาเป็นรถเทียมวัว,รถเทียมควาย
รถลาก ต่างๆๆนานา โดยใช้กำลังของคนและสัตว์
เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์เริ่มประดิษฐ์พัฒนาจนถึงการใช้ไอน้ำในการสร้างการสันดาบภายนอก จึงเก็บรถยนต์ เรือกลไฟ ในการเดินทางขึ้น เมื่อเครื่องยนต์พัฒนาเป็นการสันดาบภายใน คราวนี้ไม่เพียงแต่มีรถยนต์ เรือ แต่มี เครื่องบินในการสัญจรเดินทาง
เมื่อพัฒนาต่อไปก็พัฒนาได้เป็นจรวด หรือ กระสวยอวกาศในการไปสำรวจดวงจันทร์ จนกระทั่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จและสามารถสร้างสถานีอวกาศในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้
แต่อย่างไรเสย การพัฒนาการเดินทางของมนุษย์ก็ยังพัฒนากันต่อเนื่องต่อไป
เริ่มแรกนั้นมนุษย์เดินทางด้วยการใช้กำลังขาเป็นหลัก สามารถเดินทางได้ระยะทางค่อนข้างน้อย ต่อมามนุษย์เริ่มเลี้ยงรู้วิธีการบังคับสัตว์ ฝึกสัตว์ให้เชื่อง จึงมีม้าเป็นเพื่อนคู่ใจในยามเดินทาง มีกองทัพม้าในยามศึกสงคราม ต่อมาพัฒนาเป็นรถเทียมวัว,รถเทียมควาย
รถลาก ต่างๆๆนานา โดยใช้กำลังของคนและสัตว์
เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์เริ่มประดิษฐ์พัฒนาจนถึงการใช้ไอน้ำในการสร้างการสันดาบภายนอก จึงเก็บรถยนต์ เรือกลไฟ ในการเดินทางขึ้น เมื่อเครื่องยนต์พัฒนาเป็นการสันดาบภายใน คราวนี้ไม่เพียงแต่มีรถยนต์ เรือ แต่มี เครื่องบินในการสัญจรเดินทาง
เมื่อพัฒนาต่อไปก็พัฒนาได้เป็นจรวด หรือ กระสวยอวกาศในการไปสำรวจดวงจันทร์ จนกระทั่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จและสามารถสร้างสถานีอวกาศในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้
แต่อย่างไรเสย การพัฒนาการเดินทางของมนุษย์ก็ยังพัฒนากันต่อเนื่องต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 161
ปีนี้มีเหตุการณ์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นในตอนต้นปีที่น่าจับตามองคือ การเพิ่ม VAT ของ ญี่ปุ่น
ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวด้วยมาตราการ Double QE หรือ QE กำลัง 2 คือ
ทำทั้งด้านการเงินและการคลังพร้อมกัน พอประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 ออกมาตัวเลข
เป็นติดลบ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย
ยังจำของ แคนเซียสได้หรือเปล่า ว่า
GDP= Y
Y=C+I+G
ในตัวแปรสั้นๆๆง่ายๆๆนั้น ตัว C นั้นซ่อนเรื่องของการบริโภคไว้
โดยที่ C มีตัว T คือภาษีซ่อนอยู่
หากเมื่อภาษีลดลง การบริโภคก็เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน T เพิ่มทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น
บทเรียนของ ญี่ปุ่นเป็นไปตามสมการของแคนเซียส ซึ่งเป็นรูปธรรมอันหนึ่ง
มันแตกต่่างจากการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไร
การขึ้นดอกเบี้ยมัน ผลของมันไม่เกิดขึ้นทันที เหมือนรถที่แตะเบรก เพื่อชะลอความเร็ว กว่าจะหยุดนิ่งการใช้ระยะหรือ
ถ้าคิดว่า คุณใช้ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วคุณเหยียบเบรกทันที คุณใช้ระยะเบรกอย่างน้อย 5-10 เมตร แถมระบบเบรก ABS ทำงานอีกต่างหากด้วย
แต่ภาษีนี้เป็นการทอนกำลังซื้ออย่างทันทีทันใดเลย เช่น VAT 7% เป็น 10% คุณซื้อสินค้าที่ราคา 7 บาทเหมือนกัน
แต่ผลต่างของ VAT ที่คุณจ่ายคือ 0.03 บาท ทันทีที่ซื้อสินค้า แม้นว่ามูลค่าจะน้อยแต่ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์คือเพิ่ม 0.43% ทันทีเลย ทำให้เพิ่มภาระค่าครองชีพทันทีเลย
แต่ก่อนเวลาการขึ้นภาษีนั้น ผู้บริโภค ซื้อสินค้าแบบกักตุนสินค้าก่อน เพื่อให้ค่าครองชีพยังเป็นอัตราเดิมก่อนขึ้นภาษี ไประยะหนึ่ง ซึ่งมันทำให้อัตราการเติบโตของประเทศในไตรมาสก่อนขึ้นภาษี เติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น ไตรมาสก่อนขึ้นนี้เป็นไตรมาสที่วัดใจ หน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องสินค้าภายในประเทศ ว่ากวดขันเรื่องการกักตุนสินค้าหรือเปล่าด้วย แถมเรื่องการผลิตแล้วรออยู่ในคงคลังที่เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อต้นทุนที่ถูกลงนั้นเอง
อีกประเด็นคือ ค่าผ่อนรถ ,ค่าผ่อนบ้าน พวกนี้มีภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ดังนั้นต้องดูที่บิลเวลาจ่ายด้วยล่ะ ว่าภาษีเป็นเช่นไร
น่าจะมองเห็นภาพจากบทเรียนการขึ้นภาษีของญี่ปุ่นไว้แบบนี้
รอวัดใจผู้มีอำนาจว่า ปี 2558 นั้น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ตามที่ประกาศไว้หรือไม่
ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวด้วยมาตราการ Double QE หรือ QE กำลัง 2 คือ
ทำทั้งด้านการเงินและการคลังพร้อมกัน พอประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 2 ออกมาตัวเลข
เป็นติดลบ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย
ยังจำของ แคนเซียสได้หรือเปล่า ว่า
GDP= Y
Y=C+I+G
ในตัวแปรสั้นๆๆง่ายๆๆนั้น ตัว C นั้นซ่อนเรื่องของการบริโภคไว้
โดยที่ C มีตัว T คือภาษีซ่อนอยู่
หากเมื่อภาษีลดลง การบริโภคก็เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน T เพิ่มทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น
บทเรียนของ ญี่ปุ่นเป็นไปตามสมการของแคนเซียส ซึ่งเป็นรูปธรรมอันหนึ่ง
มันแตกต่่างจากการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไร
การขึ้นดอกเบี้ยมัน ผลของมันไม่เกิดขึ้นทันที เหมือนรถที่แตะเบรก เพื่อชะลอความเร็ว กว่าจะหยุดนิ่งการใช้ระยะหรือ
ถ้าคิดว่า คุณใช้ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วคุณเหยียบเบรกทันที คุณใช้ระยะเบรกอย่างน้อย 5-10 เมตร แถมระบบเบรก ABS ทำงานอีกต่างหากด้วย
แต่ภาษีนี้เป็นการทอนกำลังซื้ออย่างทันทีทันใดเลย เช่น VAT 7% เป็น 10% คุณซื้อสินค้าที่ราคา 7 บาทเหมือนกัน
แต่ผลต่างของ VAT ที่คุณจ่ายคือ 0.03 บาท ทันทีที่ซื้อสินค้า แม้นว่ามูลค่าจะน้อยแต่ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์คือเพิ่ม 0.43% ทันทีเลย ทำให้เพิ่มภาระค่าครองชีพทันทีเลย
แต่ก่อนเวลาการขึ้นภาษีนั้น ผู้บริโภค ซื้อสินค้าแบบกักตุนสินค้าก่อน เพื่อให้ค่าครองชีพยังเป็นอัตราเดิมก่อนขึ้นภาษี ไประยะหนึ่ง ซึ่งมันทำให้อัตราการเติบโตของประเทศในไตรมาสก่อนขึ้นภาษี เติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น ไตรมาสก่อนขึ้นนี้เป็นไตรมาสที่วัดใจ หน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องสินค้าภายในประเทศ ว่ากวดขันเรื่องการกักตุนสินค้าหรือเปล่าด้วย แถมเรื่องการผลิตแล้วรออยู่ในคงคลังที่เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อต้นทุนที่ถูกลงนั้นเอง
อีกประเด็นคือ ค่าผ่อนรถ ,ค่าผ่อนบ้าน พวกนี้มีภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ดังนั้นต้องดูที่บิลเวลาจ่ายด้วยล่ะ ว่าภาษีเป็นเช่นไร
น่าจะมองเห็นภาพจากบทเรียนการขึ้นภาษีของญี่ปุ่นไว้แบบนี้
รอวัดใจผู้มีอำนาจว่า ปี 2558 นั้น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ตามที่ประกาศไว้หรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 162
การลงทุนนั้น ถึงแม้นบริษัทที่เราลงทุนนั้น ดีแค่ไหน
หากไร้ซึ่งกำลังของเงินในการซื้อการขาย ก็ทำให้บริษัทกำไรดีแค่ไหน เป็นบริษัทที่แย่ใจเรื่องการลงทุนก็ได้
การลงทุนนั้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญคือ กำลังของเงิน
กำลังเงินที่บ่งชี้เลยว่า หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจของมวลมหาประชาชนนักลงทุนหรือไม่
ยิ่งกำลังเงินมาก แสดงว่า มีผู้สนใจมาก
ในมุมกลับกัน กำลังเงินน้อย กลับกลายเป็นบริษัทม้านอกสายตา ไม่ค่อยมีใครที่เข้าสนใจ
ดังนั้นเป็นโอกาสอันดีที่เราได้เข้าไปศึกษาอย่างถ่วงแท้เลยว่า บริษัทเหล่านั้นทำมาหากินอย่างไร
ซึ่งหากเราไม่ลงมือลงแรง แล้วไปพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจ เรานั้นตกเป็นเบี้ยล่างตลอดเวลา
เราต้องขยันในการทำ ในการค้นคว้าหาความรู้ ไม่ฉะนั้นเราก็ตกยุค หรือตกขบวนรถไปได้
การลงทุนนั้นไม่จำเป็นต้องเรียน Financial มาตรงก็ได้ หรือ เรียนบริหารก็ได้
หากเราเป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบข้างๆตัวของเรา รอบข้างตัวเรานั้นมีผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย
นั้นคืออะไร เราเป็นศูนย์กลางในการเลือกสรรบริษัทที่เราลงทุนด้วยนั้นเอง
เอวังด้วยประการฉะนี้
หากไร้ซึ่งกำลังของเงินในการซื้อการขาย ก็ทำให้บริษัทกำไรดีแค่ไหน เป็นบริษัทที่แย่ใจเรื่องการลงทุนก็ได้
การลงทุนนั้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญคือ กำลังของเงิน
กำลังเงินที่บ่งชี้เลยว่า หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจของมวลมหาประชาชนนักลงทุนหรือไม่
ยิ่งกำลังเงินมาก แสดงว่า มีผู้สนใจมาก
ในมุมกลับกัน กำลังเงินน้อย กลับกลายเป็นบริษัทม้านอกสายตา ไม่ค่อยมีใครที่เข้าสนใจ
ดังนั้นเป็นโอกาสอันดีที่เราได้เข้าไปศึกษาอย่างถ่วงแท้เลยว่า บริษัทเหล่านั้นทำมาหากินอย่างไร
ซึ่งหากเราไม่ลงมือลงแรง แล้วไปพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจ เรานั้นตกเป็นเบี้ยล่างตลอดเวลา
เราต้องขยันในการทำ ในการค้นคว้าหาความรู้ ไม่ฉะนั้นเราก็ตกยุค หรือตกขบวนรถไปได้
การลงทุนนั้นไม่จำเป็นต้องเรียน Financial มาตรงก็ได้ หรือ เรียนบริหารก็ได้
หากเราเป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบข้างๆตัวของเรา รอบข้างตัวเรานั้นมีผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย
นั้นคืออะไร เราเป็นศูนย์กลางในการเลือกสรรบริษัทที่เราลงทุนด้วยนั้นเอง
เอวังด้วยประการฉะนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 163
กลับมานั่งทบทวนอะไรในอดีต ก็พบว่า
ในอดีตนั้น ผมเองก็เคยเข้าร่วมประชุมบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ขาดทุนมาทุกปี
จนปีนั้นที่ผมไปนั้น เป็นปีแรกที่กำไร และเริ่มมีกำไรสะสมเสียด้วย
แต่เหตุการณ์คือ ไม่จ่ายปันผล เพื่อเก็บไว้กับบริษัทในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ปรากฏว่าปีถัดมานั้นบริษัท สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น ตามที่ได้บอกไว้
ซึ่งนัยการจ่ายปันผลนั้น มันมีส่วนที่รองรับไว้คือ
บริษัทจ่ายปันผล นั้นมองว่า ตัวบริษัทไม่สามารถทำให้รายได้งอกเงยขึ้นมาได้มากกว่าที่เป็นหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ บริษัทไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่านักลงทุนที่สามารถสร้างได้ จึงจ่ายปันผลออก
อีกด้านหนึ่ง ปันผลเป็นเรื่องของกระแสเงินสดของนักลงทุนที่ได้รับจากบริษัท หากกระแสเงินสดที่ได้ในรูปเงินปันผลมีมาสม่ำเสมอก็ทำให้นักลงทุนสามารถยึดเป็นอาชีพการลงทุน และสามารถเอาเงินปันผลไปลงทุนใหม่ครั้งหนึ่งได้
เคสนี้ลองไปศึกษาเหตุการณ์ในอดีตดู ในหมวด IT ของ US ก็มีเคสให้ศึกษาหลายตัวอย่าง เช่น Microsoft และ Apple
ปีที่ประกาศจ่ายปันผลเป็นปีแรก ราคาหุ้นร่วงหนัก และ บทวิเคราะห์ออกมาในเชิงไม่สามารถเติบโตได้อย่างเช่นในอดีต แค่จ่ายปันผลเป็นครั้งแรกจากไม่จ่ายเลยซักครั้ง ก็จัดหนักเลย ผิดกับเมืองไทยที่ บริษัทไหนที่จ่ายปันผลเป็นครั้งแรกได้นั้นเป็นบริษัทที่กลับมาจากปากหุบเหว หรือ หลุมแห่งความตาย
ในอดีตนั้น ผมเองก็เคยเข้าร่วมประชุมบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ขาดทุนมาทุกปี
จนปีนั้นที่ผมไปนั้น เป็นปีแรกที่กำไร และเริ่มมีกำไรสะสมเสียด้วย
แต่เหตุการณ์คือ ไม่จ่ายปันผล เพื่อเก็บไว้กับบริษัทในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ปรากฏว่าปีถัดมานั้นบริษัท สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น ตามที่ได้บอกไว้
ซึ่งนัยการจ่ายปันผลนั้น มันมีส่วนที่รองรับไว้คือ
บริษัทจ่ายปันผล นั้นมองว่า ตัวบริษัทไม่สามารถทำให้รายได้งอกเงยขึ้นมาได้มากกว่าที่เป็นหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ บริษัทไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่านักลงทุนที่สามารถสร้างได้ จึงจ่ายปันผลออก
อีกด้านหนึ่ง ปันผลเป็นเรื่องของกระแสเงินสดของนักลงทุนที่ได้รับจากบริษัท หากกระแสเงินสดที่ได้ในรูปเงินปันผลมีมาสม่ำเสมอก็ทำให้นักลงทุนสามารถยึดเป็นอาชีพการลงทุน และสามารถเอาเงินปันผลไปลงทุนใหม่ครั้งหนึ่งได้
เคสนี้ลองไปศึกษาเหตุการณ์ในอดีตดู ในหมวด IT ของ US ก็มีเคสให้ศึกษาหลายตัวอย่าง เช่น Microsoft และ Apple
ปีที่ประกาศจ่ายปันผลเป็นปีแรก ราคาหุ้นร่วงหนัก และ บทวิเคราะห์ออกมาในเชิงไม่สามารถเติบโตได้อย่างเช่นในอดีต แค่จ่ายปันผลเป็นครั้งแรกจากไม่จ่ายเลยซักครั้ง ก็จัดหนักเลย ผิดกับเมืองไทยที่ บริษัทไหนที่จ่ายปันผลเป็นครั้งแรกได้นั้นเป็นบริษัทที่กลับมาจากปากหุบเหว หรือ หลุมแห่งความตาย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 164
วันนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องที่พัฒนาแต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือห้ามละเลยเรื่องของลูกค้า
โดยเฉพาะเรื่องของการกิน
สิ่งที่ผมกำลังเ่ล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องที่ผมเจอะเจอในวันที่ฝนตกหนักในกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่ายก่อนเลิกงาน
ฝนตกหนักมากๆ ทำให้ผมคิดว่า วันนี้ขับรถมาทำงาน อาจจะเจอสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักหน่วงก็เป็นไปได้ ดังนั้นก่อนออกจากที่ทำงานก็หาอะไรทาน ก็ได้ทานก๋วยเตี๋ยวไปก่อน แต่รู้สึกไม่อยู่ท้องเลย ต่อด้วย แฮมเบอร์เกอร์ จากร้านสะดวกซื้อข้างที่ทำงาน สิ่งที่ผมเจอะเจอคือ
เมื่อก่อน แฮมเบอร์เกอร์นั้น มีตู้อบขนมปัง และ มีแผ่นเนื้อสัตว์มาเข้าไมโครเวฟ แต่เนี่ยกลับกลายเป็นมาในถุงพลาสติ้กแล้วเอาเข้า ไมโครเวฟเลย จากนั้นพนักงานก็เอามาให้ทานเลย โดยที่ไม่มีซอส หรือ เครื่องเคียงอะไรเลย (แถมซ้อมมาให้คันบอกว่าใช้ทานเพราะมันร้อน) หากเป็นเมื่อก่อน ถึงร้อนขนาดไหนมันก็มีกระดาษพอที่ทำให้มือไม่ร้อน และมีเครื่องเขียงพร้อมซอสเป็นขวดให้ใส่ (ต่อมาเป็นซองแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย)
ใส่ถุงมาทานในรถ คราวนี้เจอเจอะปัญหาซิ ว่าแฮมเบอร์เกอร์ใส่ถุง มันหยิบอย่างไรทานอ่ะ คนมันหิว งานนี้ทานแบบแทบล้วกปากเลยล่ะเนี่ย หากมีกระดาษห่อหน่อยมันจะรู้ว่า กินจุดไหนดีล่ะเนี่ย
อาจจะไม่ได้ทานแฮมเบอร์เกอร์จากร้านสะดวกซื้ออีกเลย หากเจอะเจอแบบนี้อีก
ความสะดวกมันสะดวกจริงโดยเอาจากถุง แต่ทว่า การทานไม่สะดวกหากใส่ถุงทานสำหรับแฮมเบอร์เกอร์
(หากดูหนังค่ายอเมริกัน คุณสังเกตไหมว่าถึงอย่างไงร้านที่ US มันก็ต้องมีอะไรห่อแฮมเบอร์เกอร์ไม่ใช่ถุงใส่แน่นอน)
โดยเฉพาะเรื่องของการกิน
สิ่งที่ผมกำลังเ่ล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องที่ผมเจอะเจอในวันที่ฝนตกหนักในกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่ายก่อนเลิกงาน
ฝนตกหนักมากๆ ทำให้ผมคิดว่า วันนี้ขับรถมาทำงาน อาจจะเจอสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักหน่วงก็เป็นไปได้ ดังนั้นก่อนออกจากที่ทำงานก็หาอะไรทาน ก็ได้ทานก๋วยเตี๋ยวไปก่อน แต่รู้สึกไม่อยู่ท้องเลย ต่อด้วย แฮมเบอร์เกอร์ จากร้านสะดวกซื้อข้างที่ทำงาน สิ่งที่ผมเจอะเจอคือ
เมื่อก่อน แฮมเบอร์เกอร์นั้น มีตู้อบขนมปัง และ มีแผ่นเนื้อสัตว์มาเข้าไมโครเวฟ แต่เนี่ยกลับกลายเป็นมาในถุงพลาสติ้กแล้วเอาเข้า ไมโครเวฟเลย จากนั้นพนักงานก็เอามาให้ทานเลย โดยที่ไม่มีซอส หรือ เครื่องเคียงอะไรเลย (แถมซ้อมมาให้คันบอกว่าใช้ทานเพราะมันร้อน) หากเป็นเมื่อก่อน ถึงร้อนขนาดไหนมันก็มีกระดาษพอที่ทำให้มือไม่ร้อน และมีเครื่องเขียงพร้อมซอสเป็นขวดให้ใส่ (ต่อมาเป็นซองแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย)
ใส่ถุงมาทานในรถ คราวนี้เจอเจอะปัญหาซิ ว่าแฮมเบอร์เกอร์ใส่ถุง มันหยิบอย่างไรทานอ่ะ คนมันหิว งานนี้ทานแบบแทบล้วกปากเลยล่ะเนี่ย หากมีกระดาษห่อหน่อยมันจะรู้ว่า กินจุดไหนดีล่ะเนี่ย
อาจจะไม่ได้ทานแฮมเบอร์เกอร์จากร้านสะดวกซื้ออีกเลย หากเจอะเจอแบบนี้อีก
ความสะดวกมันสะดวกจริงโดยเอาจากถุง แต่ทว่า การทานไม่สะดวกหากใส่ถุงทานสำหรับแฮมเบอร์เกอร์
(หากดูหนังค่ายอเมริกัน คุณสังเกตไหมว่าถึงอย่างไงร้านที่ US มันก็ต้องมีอะไรห่อแฮมเบอร์เกอร์ไม่ใช่ถุงใส่แน่นอน)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 165
มายาคติหนี้ครัวเรือน
ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมาหนี้ครัวเรือนของชาวไทยได้เพิ่มสูงขึ้น
พุ่งทะยานเหมือนจรวดที่ส่งออกไปยังอวกาศออกจากฐานยิงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2554 (เดี๋ยวก็มีคนถามอีกทำไมเป็นปีนั้น เดี๋ยวอ่านก็รู้ล่ะกัน)
ปี 2554 เป็นปีที่มีมาตราการสำคัญคือ รถยนต์คันแรก และ บ้านคันแรก มาพร้อมกับน้องน้ำที่มาเยือนบ้านคน พร้อมกับเงินช่วยเหลือทั้งภาครัฐ ,ที่บ้าน,สหกรณ์(หากเป็นสมาชิก) มาเป็น Package ในการช่วยเหลือ
พอหมดจากน้องน้ำ คราวนี้ ก็ถึงเวลาซ่อมบ้าน ออกรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่ มหกรรมการกู้ก็เริ่มต้นขึ้นในปีต่อมา (2555) คราวนี้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการซื้อบ้านนั้น มีคงที่ 2 ปี แล้วดอกเบี้ยลอยตัว ดังนั้นกู้ปี 2555 ลอยเบี้ยลอยตัวในปี 2557 พอปี 2557 ราคาที่ดินก็ขึ้นจากเดิม คราวนี้สถานบันการเงินต้องการยอดปล่อยสินเชื่อ ก็หาทางให้เกิดการ refinance แล้วผู้กู้ได้ส่วนต่างในการปล่อยกู้ครั้งใหม่ กับยอดหนี้ครั้งเดิม (เงินทอนในการกู้) แต่ภาระดอกเบี้ยลดลงเป็น ดอกเบี้ยคงที่ไปอีก 2 ปี ยอดหนี้ก็ยังคงที่ แต่ดอกเบี้ยจ่ายลดลง นี้คือ มายาคติอันหนึ่ง
ต่อมาเรื่องของรถยนต์ ก็โครงการรถยนต์คันแรก ถือครองครบ 1 ปีได้ภาษีสรรพาสามิตคืน ดังนั้นยอดสินเชื่อรถยนต์ก็โตตามยอดขายรถยนต์ จากนั้น เมื่อขับๆๆไป สถาบันการเงิน ก็มองเห็นแล้วว่า รถยนต์มันผ่อนส่งได้ระยะหนึ่งแล้วคนผ่อนมีประวัติดี ออกหัวในการผ่อนให้ระยะเวลาเท่าเดิม ดอกเบี้ยมันคงที่อยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีกหน่อยล่ะกัน แต่คุณได้ค่าส่วนต่างของราคาประเมินรถยนต์ ซึ่งในความเห็นส่วนตัวไม่ควรทำเพราะ รถยนต์มือหนึ่งเป็นรถยนต์ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ารถยนต์มือสองอย่างมากๆๆ แถมดอกเบี้ยในวงการนี้เป็นดอกเบี้ยต่อเดือน ต้องทำ เป็นดอกเบี้ยต่อปี ไม่งั้น เสียค่าโง่ได้
พอทั้งซ่อมบ้าน ทั้งกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ไม่พอ เงินเดือนก็ขึ้นมาตอนต้นปี 2554 ทำให้อำนาจในการซื้อก็เพิ่มขึ้น คราวนี้สถานบันการเงินพวกบัตรพลาสติกก็เริ่มมาให้ทำบัตรกันมากขึ้น ออกโปรโมทชั่นทั้งรูดบัตรได้แต้ม ใช้แต้มได้ลด 2 เท่า เอาแต้มไปแลกสินค้าต่างๆๆนานาๆ ไม่พอประเคนบัตรให้มาเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าประวัติดี และแถมพ่วงสินเชื่อบุคคล หากยอดค้างชำระไว้ x เดือนคุณมีสิทธิ์ประโยชน์พิเศษ
ดังนั้น ยอดหนี้สินครัวเรือนมันจะลดลงได้อย่างไร หากยังคงเป็นมหกรรมแบบนี้
ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมาหนี้ครัวเรือนของชาวไทยได้เพิ่มสูงขึ้น
พุ่งทะยานเหมือนจรวดที่ส่งออกไปยังอวกาศออกจากฐานยิงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2554 (เดี๋ยวก็มีคนถามอีกทำไมเป็นปีนั้น เดี๋ยวอ่านก็รู้ล่ะกัน)
ปี 2554 เป็นปีที่มีมาตราการสำคัญคือ รถยนต์คันแรก และ บ้านคันแรก มาพร้อมกับน้องน้ำที่มาเยือนบ้านคน พร้อมกับเงินช่วยเหลือทั้งภาครัฐ ,ที่บ้าน,สหกรณ์(หากเป็นสมาชิก) มาเป็น Package ในการช่วยเหลือ
พอหมดจากน้องน้ำ คราวนี้ ก็ถึงเวลาซ่อมบ้าน ออกรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่ มหกรรมการกู้ก็เริ่มต้นขึ้นในปีต่อมา (2555) คราวนี้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการซื้อบ้านนั้น มีคงที่ 2 ปี แล้วดอกเบี้ยลอยตัว ดังนั้นกู้ปี 2555 ลอยเบี้ยลอยตัวในปี 2557 พอปี 2557 ราคาที่ดินก็ขึ้นจากเดิม คราวนี้สถานบันการเงินต้องการยอดปล่อยสินเชื่อ ก็หาทางให้เกิดการ refinance แล้วผู้กู้ได้ส่วนต่างในการปล่อยกู้ครั้งใหม่ กับยอดหนี้ครั้งเดิม (เงินทอนในการกู้) แต่ภาระดอกเบี้ยลดลงเป็น ดอกเบี้ยคงที่ไปอีก 2 ปี ยอดหนี้ก็ยังคงที่ แต่ดอกเบี้ยจ่ายลดลง นี้คือ มายาคติอันหนึ่ง
ต่อมาเรื่องของรถยนต์ ก็โครงการรถยนต์คันแรก ถือครองครบ 1 ปีได้ภาษีสรรพาสามิตคืน ดังนั้นยอดสินเชื่อรถยนต์ก็โตตามยอดขายรถยนต์ จากนั้น เมื่อขับๆๆไป สถาบันการเงิน ก็มองเห็นแล้วว่า รถยนต์มันผ่อนส่งได้ระยะหนึ่งแล้วคนผ่อนมีประวัติดี ออกหัวในการผ่อนให้ระยะเวลาเท่าเดิม ดอกเบี้ยมันคงที่อยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีกหน่อยล่ะกัน แต่คุณได้ค่าส่วนต่างของราคาประเมินรถยนต์ ซึ่งในความเห็นส่วนตัวไม่ควรทำเพราะ รถยนต์มือหนึ่งเป็นรถยนต์ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ารถยนต์มือสองอย่างมากๆๆ แถมดอกเบี้ยในวงการนี้เป็นดอกเบี้ยต่อเดือน ต้องทำ เป็นดอกเบี้ยต่อปี ไม่งั้น เสียค่าโง่ได้
พอทั้งซ่อมบ้าน ทั้งกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ไม่พอ เงินเดือนก็ขึ้นมาตอนต้นปี 2554 ทำให้อำนาจในการซื้อก็เพิ่มขึ้น คราวนี้สถานบันการเงินพวกบัตรพลาสติกก็เริ่มมาให้ทำบัตรกันมากขึ้น ออกโปรโมทชั่นทั้งรูดบัตรได้แต้ม ใช้แต้มได้ลด 2 เท่า เอาแต้มไปแลกสินค้าต่างๆๆนานาๆ ไม่พอประเคนบัตรให้มาเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าประวัติดี และแถมพ่วงสินเชื่อบุคคล หากยอดค้างชำระไว้ x เดือนคุณมีสิทธิ์ประโยชน์พิเศษ
ดังนั้น ยอดหนี้สินครัวเรือนมันจะลดลงได้อย่างไร หากยังคงเป็นมหกรรมแบบนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 166
ณ เวลานี้ นักลงทุนจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ifrs4 phase 1 ได้แล้ว
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกิจการประกันชีวิตแลวินาศภัย
ผมเตือนท่านไว้ก่อน เพราะ ตอนนี้ บริษัทประกันวินาศภัยเริ่มขยับตัวกันแล้ว
ในการดูตัวร่างหมายเหตุที่เปิดเผยให้แก่นักลงทุน
มีหลายข้อในหมายเหตุที่ผมว่าดีมากๆๆที่เพิ่งเปิดออกมาให้เห็นเห็นคือ
1 สำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ (URP). และ สำรองความเสี่ยฃภัยที่ยังไม่สิ้นสุด (URR)
ซึ่ง URR<URP ไม่แสดง
2 อนุพันธ์ทางการเงิน (ข้อนี้เริ่มเห็นมาช่วงหนึ่งแต่ปรับปรุง)
3 หนี้สินจากสัญญาประกันภัย(พวกสำรองนั้นแหละ)
ในส่วนนี้ที่สำคัญคือ ตารางพัฒนาการค่าสินไหมทดแทน
ตารางนี้ไม่เคยปรากฏจะได้ปรากฏขึ้นมา ทำให้นักลงทุนมองเห็นลึกขึ้น
ว่าจริงๆๆ ค่าสินไหมทดแทนนั้น แต่มันก็มีวงเล็บว่า ifrs4 ที่ใช้นั้นครั้งแรกให้ย้อนหลัง 5 ปี กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติให้เปิดเผยข้อเท็จจริงนั้นในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
นี้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มันเตือนนักลงทุนที่ลงทุนในบริษัทประกันทั้งหลายว่า
เตรียมตัวนับมือข้อมูลมหาศาลในการเปิดเผยงบการเงินตั้งแต่เนิ่นๆๆ เดี๋ยวต้องหายาช่วยย่อยละ
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกิจการประกันชีวิตแลวินาศภัย
ผมเตือนท่านไว้ก่อน เพราะ ตอนนี้ บริษัทประกันวินาศภัยเริ่มขยับตัวกันแล้ว
ในการดูตัวร่างหมายเหตุที่เปิดเผยให้แก่นักลงทุน
มีหลายข้อในหมายเหตุที่ผมว่าดีมากๆๆที่เพิ่งเปิดออกมาให้เห็นเห็นคือ
1 สำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ (URP). และ สำรองความเสี่ยฃภัยที่ยังไม่สิ้นสุด (URR)
ซึ่ง URR<URP ไม่แสดง
2 อนุพันธ์ทางการเงิน (ข้อนี้เริ่มเห็นมาช่วงหนึ่งแต่ปรับปรุง)
3 หนี้สินจากสัญญาประกันภัย(พวกสำรองนั้นแหละ)
ในส่วนนี้ที่สำคัญคือ ตารางพัฒนาการค่าสินไหมทดแทน
ตารางนี้ไม่เคยปรากฏจะได้ปรากฏขึ้นมา ทำให้นักลงทุนมองเห็นลึกขึ้น
ว่าจริงๆๆ ค่าสินไหมทดแทนนั้น แต่มันก็มีวงเล็บว่า ifrs4 ที่ใช้นั้นครั้งแรกให้ย้อนหลัง 5 ปี กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติให้เปิดเผยข้อเท็จจริงนั้นในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
นี้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มันเตือนนักลงทุนที่ลงทุนในบริษัทประกันทั้งหลายว่า
เตรียมตัวนับมือข้อมูลมหาศาลในการเปิดเผยงบการเงินตั้งแต่เนิ่นๆๆ เดี๋ยวต้องหายาช่วยย่อยละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 167
ย้อนกลับไปดูรอบการขึ้นรอบใหญ่ของเรือ
ต้องย้อนกลับไปดูตอนปี 2003 ก่อนหน้านั้น มีวิกฤติทางการเงินคือ 1997 ต้มยำกุ้ง แล้วลุกลามไปยังประเทศต่างๆ
ไล่ตั้งแต่เกาหลีใต้ รัสเซีย อินโดนีเซีย สุดท้ายไปจบที่ Dot Com ปี 2000
แนวทางแก้ไขในตอนนั้น คือลดดอกเบี้ย กดดอกเบี้ยให้ต่ำลง แก้ไขที่สถาบันการเงินก่อน
ก็เหมือนในปัจจุบันที่แก้ไขปัญหาคือ กดดอกเบี้ยให้ต่ำ อุ้มสถานบันการเงิน แต่ภาค Real Sector คือการผลิตนั้น
ยังไม่ได้รับการดูแลเท่าไร
การเกิดวิกฤตินั้น ทำให้สินค้าคงคลังระบายได้ช้า บริษัทในประเทศต่างๆก็มีสินค้าในโกดังเก็บเป็นจำนวนมาก
สินค้าขายไม่ออก ทำให้ไม่เกิดการผลิต ไม่เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกัน นั้นคือ เศรษฐกิจในยุคตกต่ำ
แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้น นั้นคือ ตอนที่สินค้าในโกดังเหลือน้อย หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการผลิตสินค้าเพื่อขาย และสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้ มีการขนส่งสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้
ดังนั้น เศรษฐกิจที่กำลังลุ้นตัวโก่งว่าฟื้นแล้ว ผมเองก็เฝ้ามองว่า เมื่อไรกองเรือมา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้ว่า
เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้แก่เศรษฐกิจได้
ณ ปัจจุบันเรือเป็นตัวขนส่งสินค้าเป็นหลัก นับตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา แล้วนั้น
เรือได้บรรทุกสินค้าได้หลายหลากมากๆๆ ไล่ตั้งแต่ น้ำตาล เครื่องเทศ อาวุธ ประชาชน เลยทีเดียว
หมายเหตุ
การลงทุนในหุ้นเรือนั้น มันมาเป็นรอบของมัน เหมือน Commodity (สินค้าโภคภัณฑ์) ดังนั้น
นักลงทุนเองต้องเข้าใจภาพว่า ภาพมันเกิดจากอะไรที่ทำให้ บริษัทเดินเรือได้กำไร แล้วกำไรนั้นมาจากไหน
นั้นคือสิ่งที่นักลงทุนควรศึกษาไว้ล่ะ
ต้องย้อนกลับไปดูตอนปี 2003 ก่อนหน้านั้น มีวิกฤติทางการเงินคือ 1997 ต้มยำกุ้ง แล้วลุกลามไปยังประเทศต่างๆ
ไล่ตั้งแต่เกาหลีใต้ รัสเซีย อินโดนีเซีย สุดท้ายไปจบที่ Dot Com ปี 2000
แนวทางแก้ไขในตอนนั้น คือลดดอกเบี้ย กดดอกเบี้ยให้ต่ำลง แก้ไขที่สถาบันการเงินก่อน
ก็เหมือนในปัจจุบันที่แก้ไขปัญหาคือ กดดอกเบี้ยให้ต่ำ อุ้มสถานบันการเงิน แต่ภาค Real Sector คือการผลิตนั้น
ยังไม่ได้รับการดูแลเท่าไร
การเกิดวิกฤตินั้น ทำให้สินค้าคงคลังระบายได้ช้า บริษัทในประเทศต่างๆก็มีสินค้าในโกดังเก็บเป็นจำนวนมาก
สินค้าขายไม่ออก ทำให้ไม่เกิดการผลิต ไม่เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกัน นั้นคือ เศรษฐกิจในยุคตกต่ำ
แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้น นั้นคือ ตอนที่สินค้าในโกดังเหลือน้อย หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการผลิตสินค้าเพื่อขาย และสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้ มีการขนส่งสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้
ดังนั้น เศรษฐกิจที่กำลังลุ้นตัวโก่งว่าฟื้นแล้ว ผมเองก็เฝ้ามองว่า เมื่อไรกองเรือมา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้ว่า
เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้แก่เศรษฐกิจได้
ณ ปัจจุบันเรือเป็นตัวขนส่งสินค้าเป็นหลัก นับตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา แล้วนั้น
เรือได้บรรทุกสินค้าได้หลายหลากมากๆๆ ไล่ตั้งแต่ น้ำตาล เครื่องเทศ อาวุธ ประชาชน เลยทีเดียว
หมายเหตุ
การลงทุนในหุ้นเรือนั้น มันมาเป็นรอบของมัน เหมือน Commodity (สินค้าโภคภัณฑ์) ดังนั้น
นักลงทุนเองต้องเข้าใจภาพว่า ภาพมันเกิดจากอะไรที่ทำให้ บริษัทเดินเรือได้กำไร แล้วกำไรนั้นมาจากไหน
นั้นคือสิ่งที่นักลงทุนควรศึกษาไว้ล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 168
เกมเศรษฐี (Get Rich)
เกมเศรษฐี หรือ Get Rich เป็นเกมหนึ่งในโปรแกรม Line ที่เป็นที่นิยมมากในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่นิยมใช้โปรแกรม Line
เกมนี้เป็นเกมง่ายๆๆ โดยพื้นฐานคือเกมเศรษฐีที่เรารู้จักกัน โดยการเล่นนั้น Level 1-5 สามารถเล่มในโหลด Basic ได้ และสามารถเข้าโหมดอื่นๆได้ด้วย ซึ่ง Mode Basic นั้นมีผู้เล่นแค่ 2 คน
การเล่มเหมือนเกมเศรษฐีเลย แต่ทว่ารอบแรกของการเล่นนั้นซื้อได้แค่ ที่ดิน บ้านและคอนโดเท่านั้น ส่วน Hotel ยังไม่สามารถซื้อได้ในรอบแรก ส่วนรอบที่ 2 เป็นต้องไปสามารถซื้อ Hotel ได้
หาก ผู้เล่นที่ผ่านจุด Start ได้รับโบนัสขึ้นต่ำ 300k ซึ่งสามารถซื้อ Hotel ได้ ต้องระวังนิดหนึ่งว่าผู้เล่นที่ผ่านจุด Start แล้ว ซื้อที่ดิน บ้าน คอนโด และ Hotel แล้ว โดยผู้เล่นที่เล่นอยู่ในรอบแรกซื้อไปก็สามารถเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบ(เมืองแนะนำนให้เที่ยวได้) ซึ่งเมื่อพัฒนาเมืองจนถึงขั้นนี้แล้วไม่สามารถโอนถ่ายมือกันได้อีกแล้ว แต่เจ้าของสามารถขายคืนได้เท่านั้น
สิ่งสำคัญของเกมคือ ผู้ชนะคือผู้ที่มีเงินมากที่สุดในเกม ผู้แพ้คือ ล้มละลายมีิหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ หรือ มีเงินน้อยกว่าผู้ชนะ โดยจำกัดอยู่ที่ 24 รอบการพลัดกันโยนลูกเต๋าและเวลาไม่เกิน 30 นาทีต่อรอบการเล่น
ดังนั้นจุดที่สำคัญของเกมนี้ ต้องบริหารเงินสดที่ใช้ในการเล่น ให้ดี และซื้้อสินทรัพย์ในจุดที่น่าสนใจและพัฒนาให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบ ไม่ไปลงในช่องที่คนอื่นเป็นเจ้าของที่ดินนั้นเอง
เกมนี้เป็นเกมที่เหมาะสำหรับนักลงทุนเล่นมากๆๆ เนื่องจากเราได้เห็นภาพในเรื่องเงินสดว่ามีอำนาจมากแค่ไหน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเกมนั้นพัฒนาในสอดคล้องกับเงินสดที่มีได้อย่างไร โดยที่เราไม่ใช่ผู้ที่แพ้ในตาที่เราลงเล่นนั้นเอง
เกมเศรษฐี หรือ Get Rich เป็นเกมหนึ่งในโปรแกรม Line ที่เป็นที่นิยมมากในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่นิยมใช้โปรแกรม Line
เกมนี้เป็นเกมง่ายๆๆ โดยพื้นฐานคือเกมเศรษฐีที่เรารู้จักกัน โดยการเล่นนั้น Level 1-5 สามารถเล่มในโหลด Basic ได้ และสามารถเข้าโหมดอื่นๆได้ด้วย ซึ่ง Mode Basic นั้นมีผู้เล่นแค่ 2 คน
การเล่มเหมือนเกมเศรษฐีเลย แต่ทว่ารอบแรกของการเล่นนั้นซื้อได้แค่ ที่ดิน บ้านและคอนโดเท่านั้น ส่วน Hotel ยังไม่สามารถซื้อได้ในรอบแรก ส่วนรอบที่ 2 เป็นต้องไปสามารถซื้อ Hotel ได้
หาก ผู้เล่นที่ผ่านจุด Start ได้รับโบนัสขึ้นต่ำ 300k ซึ่งสามารถซื้อ Hotel ได้ ต้องระวังนิดหนึ่งว่าผู้เล่นที่ผ่านจุด Start แล้ว ซื้อที่ดิน บ้าน คอนโด และ Hotel แล้ว โดยผู้เล่นที่เล่นอยู่ในรอบแรกซื้อไปก็สามารถเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบ(เมืองแนะนำนให้เที่ยวได้) ซึ่งเมื่อพัฒนาเมืองจนถึงขั้นนี้แล้วไม่สามารถโอนถ่ายมือกันได้อีกแล้ว แต่เจ้าของสามารถขายคืนได้เท่านั้น
สิ่งสำคัญของเกมคือ ผู้ชนะคือผู้ที่มีเงินมากที่สุดในเกม ผู้แพ้คือ ล้มละลายมีิหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ หรือ มีเงินน้อยกว่าผู้ชนะ โดยจำกัดอยู่ที่ 24 รอบการพลัดกันโยนลูกเต๋าและเวลาไม่เกิน 30 นาทีต่อรอบการเล่น
ดังนั้นจุดที่สำคัญของเกมนี้ ต้องบริหารเงินสดที่ใช้ในการเล่น ให้ดี และซื้้อสินทรัพย์ในจุดที่น่าสนใจและพัฒนาให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบ ไม่ไปลงในช่องที่คนอื่นเป็นเจ้าของที่ดินนั้นเอง
เกมนี้เป็นเกมที่เหมาะสำหรับนักลงทุนเล่นมากๆๆ เนื่องจากเราได้เห็นภาพในเรื่องเงินสดว่ามีอำนาจมากแค่ไหน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเกมนั้นพัฒนาในสอดคล้องกับเงินสดที่มีได้อย่างไร โดยที่เราไม่ใช่ผู้ที่แพ้ในตาที่เราลงเล่นนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 169
เมื่อวานนี้นั่ง Mark to market ปรับราคาให้แก่ใบหุ้นที่ได้ถอนออกมา
โดยราคาที่ผมทำการ Mark พวกใบหุ้นคือ
ปรับราคาไป ณ วันที่ 1 ม..ค. 2557 เป็นการ Reset ว่า
ปีนี้ทั้งปีแล้ว ไม่ทำอะไรเลย มีแต่หุ้น พวกนี้ได้ผลตอบแทนเท่าไร
คิดเป็นปีต่อปี ผลปรากฏว่า 21%เลยทีเดียว โดยที่ผมไม่ได้คิดปันผลที่เกิดจากการ
ถือครองหลักทรัพย์เหล่านั้นด้วย เลยเทียบกับ SET index ที่ผลตอบแทนของดัชนีไม่รวมปันผลคือ 21% กว่าเกือบ 22% แพ้กันที่จุดทศนิยมเท่านั้น
Port ใบหุ้นที่ผมมีนั้นมีหุ้นประมาณ 7-8 ตัวเท่านั้นไม่ได้มีการซื้อขายอะไรทั้งสิ้นเลย
ส่วนใบหุ้นอื่นๆ ที่ผมถอนออกมาปีนี้ ผมยังไม่ได้นำมาคิดรวมมูลค่า
แต่ผมย้ายไว้ว่ามีที่มาใหม่ในปีนี้เท่าไร แล้วคิดอีกยอดหนึ่งแทน ในตอนปลายปี
ว่าได้หุ้นมาฟรีจำนวนนั้นสร้างกำไรเท่าไร ในปีแรก แล้วปีที่สองมันจะทำแบบเดียวกันข้างบน คือ reset มูลค่าตอน 1 ม.ค. 2558 แล้วคำนวณ mark to market ในวันที่ต้องการ
ปล.
โครงการใบหุ้น อันนี้เหมือนกับการนั่งทับมือไว้ ไม่ให้ขายหุ้นพวกนี้ทิ้ง
หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่ ตอนขายหลักทรัพย์นั้นๆๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ราคาขาย Cover ราคาที่ซื้อ เหมือนเราทำกิจการซื้อมาขายไป ขายของมีกำไรเรื่อยๆ จนถึงจุดๆๆ ของที่นำมาขายนั้นต้นทุนได้คืนมาหมดแล้ว เราสามารถขายอย่างไรก็ได้
วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่คุณแม่ของผมบอกไว้ นั้นเอง
เป็นหลักการขายง่ายๆๆ ขายให้มัน Cover ต้นทุน ก่อนแล้วค่อยเก็บกำไร
โดยราคาที่ผมทำการ Mark พวกใบหุ้นคือ
ปรับราคาไป ณ วันที่ 1 ม..ค. 2557 เป็นการ Reset ว่า
ปีนี้ทั้งปีแล้ว ไม่ทำอะไรเลย มีแต่หุ้น พวกนี้ได้ผลตอบแทนเท่าไร
คิดเป็นปีต่อปี ผลปรากฏว่า 21%เลยทีเดียว โดยที่ผมไม่ได้คิดปันผลที่เกิดจากการ
ถือครองหลักทรัพย์เหล่านั้นด้วย เลยเทียบกับ SET index ที่ผลตอบแทนของดัชนีไม่รวมปันผลคือ 21% กว่าเกือบ 22% แพ้กันที่จุดทศนิยมเท่านั้น
Port ใบหุ้นที่ผมมีนั้นมีหุ้นประมาณ 7-8 ตัวเท่านั้นไม่ได้มีการซื้อขายอะไรทั้งสิ้นเลย
ส่วนใบหุ้นอื่นๆ ที่ผมถอนออกมาปีนี้ ผมยังไม่ได้นำมาคิดรวมมูลค่า
แต่ผมย้ายไว้ว่ามีที่มาใหม่ในปีนี้เท่าไร แล้วคิดอีกยอดหนึ่งแทน ในตอนปลายปี
ว่าได้หุ้นมาฟรีจำนวนนั้นสร้างกำไรเท่าไร ในปีแรก แล้วปีที่สองมันจะทำแบบเดียวกันข้างบน คือ reset มูลค่าตอน 1 ม.ค. 2558 แล้วคำนวณ mark to market ในวันที่ต้องการ
ปล.
โครงการใบหุ้น อันนี้เหมือนกับการนั่งทับมือไว้ ไม่ให้ขายหุ้นพวกนี้ทิ้ง
หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่ ตอนขายหลักทรัพย์นั้นๆๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ราคาขาย Cover ราคาที่ซื้อ เหมือนเราทำกิจการซื้อมาขายไป ขายของมีกำไรเรื่อยๆ จนถึงจุดๆๆ ของที่นำมาขายนั้นต้นทุนได้คืนมาหมดแล้ว เราสามารถขายอย่างไรก็ได้
วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่คุณแม่ของผมบอกไว้ นั้นเอง
เป็นหลักการขายง่ายๆๆ ขายให้มัน Cover ต้นทุน ก่อนแล้วค่อยเก็บกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 170
สิ้นเดือน กันยายน ของทุกปีนั้น สำคัญไฉน
สิ้นเดือนกันยายนของทุกปีนั้น เป็นวันที่ของงบการเงินที่ใช้คำนวณค่าสถิติ ที่ใช้ใน SETTRADE และ SET นั้นเอง
(เมื่อหลายปีที่แล้ว ช่องหลายสี มีเหตุการปิดกระโดดก็ สิ้นเดือนกันยายน)
สิ้นเดือน กันยายนของทุกปี เป็นวันที่คนรับราชการครบอายุ 60 ปี เกษียณอายุในการทำงาน
(อาจจะมีบางท่านได้ต่ออายุราชการครั้งละ 1 ปีต่อครั้งก็ได้)
สิ้นเดือน กันยายนของทุกปี เป็นวันปิดงบของประเทศไทย
เท่าที่เก็บข้อมูลมาได้มีเท่านี้ละ
สิ้นเดือนกันยายนของทุกปีนั้น เป็นวันที่ของงบการเงินที่ใช้คำนวณค่าสถิติ ที่ใช้ใน SETTRADE และ SET นั้นเอง
(เมื่อหลายปีที่แล้ว ช่องหลายสี มีเหตุการปิดกระโดดก็ สิ้นเดือนกันยายน)
สิ้นเดือน กันยายนของทุกปี เป็นวันที่คนรับราชการครบอายุ 60 ปี เกษียณอายุในการทำงาน
(อาจจะมีบางท่านได้ต่ออายุราชการครั้งละ 1 ปีต่อครั้งก็ได้)
สิ้นเดือน กันยายนของทุกปี เป็นวันปิดงบของประเทศไทย
เท่าที่เก็บข้อมูลมาได้มีเท่านี้ละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 172
ตอนนี้ประเทศพม่าได้ประกาศรายชื่อธนาคารต่างประเทศที่สามารถเปิดให้บริการในประเทศพม่าได้
โดยรายละเอียดออกเป็นข่าวแล้วที่
http://online.wsj.com/articles/myanmar- ... 1412141121
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์สำคัญ แต่ทำไมหนอ ธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ได้รับเกียรติในการทำธุรกิจในประเทศพม่านั้น ไม่ยอมประกาศว่าตัวเองได้รับสิทธิ์นั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันเป็นสิ่งที่น่าสังเกตไว้ว่า มันเกิด อสมมาตรในการรับรู้ข่าวสารหรือเปล่าในเรื่องนี้
เมื่อเขียนเรื่องของพม่าแล้ว ก็ต้องย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่กำเนิดวิกฤติในทวีปยุโรป
ซึ่งได้แก่ PIIGS คือ โปรตุเกส,ไอซ์แลนด์,อิตาลี,กรีซ ,และสเปน
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาวิกฤติคือ การกู้หนี้จากต่างประเทศภายในอียูด้วยกันเอง เนื่องจากกู้ภายในประเทศดอกเบี้ยมันแพงกว่ากู้จากต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศภายในอียูด้วยกัน การกู้ดังกล่าวทำให้เกิดการกู้สร้าง ทั้งบ้านเรือน ถนนหนทาง สนามบิน แ่ต่ทว่าเมื่อสร้างแล้วก็มีคนซื้อ คนซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ก็ต้องกู้ ก็เอาเงินมาจากการกู้ต่างประเทศเหมือนกัน ดังนั้น มันจึงเกิดภาพของการกู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น จนกระทั่งเป็นฟองสบู่ เมื่อฟองสบู่แตกก็ทำให้คนไม่มีงานทำ ต่อคิวหน้าบริษัทจัดหางาน คนต่างแดนที่เดินทางเข้ามาขายแรงงานก็ออกเดินทางไปยังประเทศอื่นๆต่อไป คนในประเทศก็ต้องแสวงหาทางที่บ้าน,รถยนต์หรือสิ่งต่างๆที่กู้มาไม่ถูกยึดโดยสถานบันการเงิน เจ้าของก็ไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้ เพราะราคาของสินทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรง และมูลค่าน้อยกว่าตอนซื้อมามากมาย
ภาพเหล่านั้นมันคุ้นๆๆไม่ครับ ทั้งจากอาการที่เกิดขึ้น ทั้งจากภาพที่เกิดขึ้น
เหมือนต้มยำกุ้งของประเทศไทยเลย แต่คราวนี้ไปเกิดที่ ยุโรปแทน
ึ
แต่คำถามในใจของผมคือ ตอนที่ประเทศของเราเข้าร่วมเป็น AEC แล้วนั้น
มันจะเจริญตามรอยกลุ่มประเทศต้นแบบ(อียู) ที่ประสบเจอะเจอกับเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า
คือประเทศที่เจริญเติบโตหรือกำลังพัฒนาที่น้อย ประเทศชั้นแนวหน้าของกลุ่ม นั้นดำเนินการกู้ยืมจากประเทศชั้นแนวหน้าของกลุ่ม จากดอกเบี้ยถูกไปให้ดอกเบี้ยแพงกู้ กินส่วนต่างของดอกเบี้ยนั้นเอง และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้นเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้เกิดฟองสบู่หรือเปล่า
เนี่ยแหละบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วทำให้เกิดคำถามในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และดำเนินอยู่
แต่ทว่าต้องบอกก่อนว่า เหตุการณ์ที่บอกว่า AEC ดำเนินการตามรอย EU นั้น มันเพียงแค่ Simple เดียวที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ทว่า การกู้ยืมจากประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำไปยังประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงนั้น มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ฝันร้ายในอดีต มาหลอกหลอนในปัจจุบันได้ เพราะความโลภของมนุษย์ที่อยู่ในใจนั้นเอง
โดยรายละเอียดออกเป็นข่าวแล้วที่
http://online.wsj.com/articles/myanmar- ... 1412141121
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์สำคัญ แต่ทำไมหนอ ธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ได้รับเกียรติในการทำธุรกิจในประเทศพม่านั้น ไม่ยอมประกาศว่าตัวเองได้รับสิทธิ์นั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันเป็นสิ่งที่น่าสังเกตไว้ว่า มันเกิด อสมมาตรในการรับรู้ข่าวสารหรือเปล่าในเรื่องนี้
เมื่อเขียนเรื่องของพม่าแล้ว ก็ต้องย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่กำเนิดวิกฤติในทวีปยุโรป
ซึ่งได้แก่ PIIGS คือ โปรตุเกส,ไอซ์แลนด์,อิตาลี,กรีซ ,และสเปน
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาวิกฤติคือ การกู้หนี้จากต่างประเทศภายในอียูด้วยกันเอง เนื่องจากกู้ภายในประเทศดอกเบี้ยมันแพงกว่ากู้จากต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศภายในอียูด้วยกัน การกู้ดังกล่าวทำให้เกิดการกู้สร้าง ทั้งบ้านเรือน ถนนหนทาง สนามบิน แ่ต่ทว่าเมื่อสร้างแล้วก็มีคนซื้อ คนซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ก็ต้องกู้ ก็เอาเงินมาจากการกู้ต่างประเทศเหมือนกัน ดังนั้น มันจึงเกิดภาพของการกู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น จนกระทั่งเป็นฟองสบู่ เมื่อฟองสบู่แตกก็ทำให้คนไม่มีงานทำ ต่อคิวหน้าบริษัทจัดหางาน คนต่างแดนที่เดินทางเข้ามาขายแรงงานก็ออกเดินทางไปยังประเทศอื่นๆต่อไป คนในประเทศก็ต้องแสวงหาทางที่บ้าน,รถยนต์หรือสิ่งต่างๆที่กู้มาไม่ถูกยึดโดยสถานบันการเงิน เจ้าของก็ไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้ เพราะราคาของสินทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรง และมูลค่าน้อยกว่าตอนซื้อมามากมาย
ภาพเหล่านั้นมันคุ้นๆๆไม่ครับ ทั้งจากอาการที่เกิดขึ้น ทั้งจากภาพที่เกิดขึ้น
เหมือนต้มยำกุ้งของประเทศไทยเลย แต่คราวนี้ไปเกิดที่ ยุโรปแทน
ึ
แต่คำถามในใจของผมคือ ตอนที่ประเทศของเราเข้าร่วมเป็น AEC แล้วนั้น
มันจะเจริญตามรอยกลุ่มประเทศต้นแบบ(อียู) ที่ประสบเจอะเจอกับเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า
คือประเทศที่เจริญเติบโตหรือกำลังพัฒนาที่น้อย ประเทศชั้นแนวหน้าของกลุ่ม นั้นดำเนินการกู้ยืมจากประเทศชั้นแนวหน้าของกลุ่ม จากดอกเบี้ยถูกไปให้ดอกเบี้ยแพงกู้ กินส่วนต่างของดอกเบี้ยนั้นเอง และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้นเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้เกิดฟองสบู่หรือเปล่า
เนี่ยแหละบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วทำให้เกิดคำถามในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และดำเนินอยู่
แต่ทว่าต้องบอกก่อนว่า เหตุการณ์ที่บอกว่า AEC ดำเนินการตามรอย EU นั้น มันเพียงแค่ Simple เดียวที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ทว่า การกู้ยืมจากประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำไปยังประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงนั้น มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ฝันร้ายในอดีต มาหลอกหลอนในปัจจุบันได้ เพราะความโลภของมนุษย์ที่อยู่ในใจนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 173
การแจกคูปองทีวีดิจิตอล กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การแจกคูปองทีวีดิจิตอลใน 21 จังหวัด ในระยะที่ 1 นั้นเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเป็นหลัก ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะ ซุ่มที่แลก set top box คือในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ที่มี booth ของการรับแลกอยู่ ไปแลกแล้วก็มีการจับจ่ายซื้อสินค้ามีการเดินทางของประชาชนเกิดขึ้น เป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยโดยตรงเลยทีเดียว เหมือนก่อนหน้านี้ที่ สำนักงานประกันสังคม แจกคูปอง 2,000 บาทให้แก่ผู้มีรายน้อยกว่า 15,000 บาท จับจ่ายใช้สอย นั้นเอง แต่ทว่ารอบนี้ คูปองจำนวน 690 บาทนั้น มีข้อจำกัดในการจับจ่ายคือ ซื้อ Set top box หรือ TV ที่มีภาครับ Ditatal TV แบบ DB2 ได้เท่านั้น
มาดูบริษัทที่ได้มีส่วนร่วม ก็ต่างก็ออกตัวแรงว่าเป้าคือ 1 ล้านกล่องกันเป็นแถว แต่จริงๆ สงครามมันเพิ่งเริ่มในส่วนของบริษัทที่ได้รับ เพราะ ทว่าโปรโมทชั่นต่างหากที่ประชาชนรอ เพราะตอนนี้ราคา 690 บาทไม่ได้เสาอากาศ สิ่งที่ต้องการคือเสาอากาศ ถ้าหากใครให้มากกว่าประชาชนก็ซื้อแน่นอน
อีกอย่างหนึ่ง คูปองนั้น ขึ้นเงินได้แน่นอน ดังนั้นไม่โดนบีบแน่นอน แค่ประชาชนนำมาแลกสินค้าเท่านั้น แต่ในด้านกลับกัน คือคุณภาพของสินค้ามันห่วยหรือเปล่า เป็นที่น่ากังขาเลย ถึงแม้นว่า กสทช ให้ประกันสินค้า 2 ปีก็ตาม
เอวังด้วยประการฉะนี้
การแจกคูปองทีวีดิจิตอลใน 21 จังหวัด ในระยะที่ 1 นั้นเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเป็นหลัก ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะ ซุ่มที่แลก set top box คือในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ที่มี booth ของการรับแลกอยู่ ไปแลกแล้วก็มีการจับจ่ายซื้อสินค้ามีการเดินทางของประชาชนเกิดขึ้น เป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยโดยตรงเลยทีเดียว เหมือนก่อนหน้านี้ที่ สำนักงานประกันสังคม แจกคูปอง 2,000 บาทให้แก่ผู้มีรายน้อยกว่า 15,000 บาท จับจ่ายใช้สอย นั้นเอง แต่ทว่ารอบนี้ คูปองจำนวน 690 บาทนั้น มีข้อจำกัดในการจับจ่ายคือ ซื้อ Set top box หรือ TV ที่มีภาครับ Ditatal TV แบบ DB2 ได้เท่านั้น
มาดูบริษัทที่ได้มีส่วนร่วม ก็ต่างก็ออกตัวแรงว่าเป้าคือ 1 ล้านกล่องกันเป็นแถว แต่จริงๆ สงครามมันเพิ่งเริ่มในส่วนของบริษัทที่ได้รับ เพราะ ทว่าโปรโมทชั่นต่างหากที่ประชาชนรอ เพราะตอนนี้ราคา 690 บาทไม่ได้เสาอากาศ สิ่งที่ต้องการคือเสาอากาศ ถ้าหากใครให้มากกว่าประชาชนก็ซื้อแน่นอน
อีกอย่างหนึ่ง คูปองนั้น ขึ้นเงินได้แน่นอน ดังนั้นไม่โดนบีบแน่นอน แค่ประชาชนนำมาแลกสินค้าเท่านั้น แต่ในด้านกลับกัน คือคุณภาพของสินค้ามันห่วยหรือเปล่า เป็นที่น่ากังขาเลย ถึงแม้นว่า กสทช ให้ประกันสินค้า 2 ปีก็ตาม
เอวังด้วยประการฉะนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 174
วันนี้อยากเขียนสองเรื่องล่ะ
โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องของการโปรยเงินให้เกษตรกร ที่ปลูกยางหรือพืชอื่นๆที่ รัฐ ช่วยเหลือ
นั้นเปรียบได้ว่า เกษตรกรได้เงินจากเงินช่วยเหลือ โดยเทคนิคในการใช้ชื่อโครงการ นั้นเอง
ดังนั้น จับตาดูว่า เงินที่อัดไปตรงๆผ่านมือเกษตรกรในพื้นที่ๆต่างนั้น ได้ผลแค่ไหน
เรื่องที่สองคือ การไปดูหนังการ์ตูน เรื่อง Saint Seiya- Legend of Sanctuary
มันคือการ์ตูนที่นั่งดูเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ดูการ์ตูน และ อ่านหนังสือการ์ตูนอีกต่างหาก
แต่รอบนี้ดูแล้วก็อมยิ้ม เพราะคนสร้างตีความใหม่ทั้งหมดเลย
ใครที่เป็นแฟนๆๆการ์ตูนเรื่องนี้ควรไปดูครับ
http://www.youtube.com/watch?v=SttjhDRc_4M
โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องของการโปรยเงินให้เกษตรกร ที่ปลูกยางหรือพืชอื่นๆที่ รัฐ ช่วยเหลือ
นั้นเปรียบได้ว่า เกษตรกรได้เงินจากเงินช่วยเหลือ โดยเทคนิคในการใช้ชื่อโครงการ นั้นเอง
ดังนั้น จับตาดูว่า เงินที่อัดไปตรงๆผ่านมือเกษตรกรในพื้นที่ๆต่างนั้น ได้ผลแค่ไหน
เรื่องที่สองคือ การไปดูหนังการ์ตูน เรื่อง Saint Seiya- Legend of Sanctuary
มันคือการ์ตูนที่นั่งดูเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ดูการ์ตูน และ อ่านหนังสือการ์ตูนอีกต่างหาก
แต่รอบนี้ดูแล้วก็อมยิ้ม เพราะคนสร้างตีความใหม่ทั้งหมดเลย
ใครที่เป็นแฟนๆๆการ์ตูนเรื่องนี้ควรไปดูครับ
http://www.youtube.com/watch?v=SttjhDRc_4M
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 175
วันนี้ขอเขียนสองเรื่อง
เรื่องแรกคือ การเลือกกองทุน LTF ของผมนั้น ผมเน้นที่กองไม่จ่ายปันผล มันตรงกันข้ามกับวงการเงินที่บอกว่าต้องเลือกกองทุนที่จ่ายปันผล ทำไมเป็นแบบนั้นหรือ
คำตอบของผมคือ เมื่อจ่ายปันผล ออกมา สมมติว่า 100 บาท ผมต้องเอาเงิน 100 บาทไปคิดภาษีตอนปลายปีด้วย
ถ้าหาก หัก ณ ที่จ่าย ไว้ ก็หักไว้ 10% ทำให้เหลือเงินจริงๆ 90 บาท ซึ่ง 10% นิสามารถคิดรวมกับภาษีตอนปลาย หรือไม่ก็ได้ ถ้าคิดแล้ว อาจจะได้คืน ถ้าหากคุณเป็นบุคคลที่มีรายได้น้อยกว่า 300,000 บาทตอ่ปี อาจจะได้เท่าทุนคือได้คืน10% ตอนปลายปีหากรายได้ไม่ถึง 500,000 บาท แต่ทว่าขาดทุนเมื่อรายได้ เกิน 500,000 บาทต่อปี
ซึ่งไม่รวมมูลค่าลดลงตามเวลา (time value of money) เพราะกว่าจะยื่นภาษี กว่าจะพิจารณา กว่าจะได้เงินคืน
ทำให้เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมไม่คิดหากองทุน LTF ที่จ่ายปันผล หาแต่กองทุน LTF ที่ไม่จ่ายปันผลเป็นหลัก
ไม่จ่ายปันผล กองทุนก็เอาเงินปันผลไปลงทุนต่อ ทำให้ NAV เพิ่มเติม นั้นเอง ในประเด็นนี้เปรียบเทียบได้ว่า
บริษัทไม่จ่ายปันผล เก็บเิงินปันผลไปลงทุนต่อ นั้นเอง ทำให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่จ่ายปันผล (เงินมันต่อเงินนั้นเอง)
เรื่องที่สองที่เขียน คือ เรื่องของวงจรของรถยนต์ ที่มีผลจากรถยนต์คันแรก
ทำไมผมชอบเขียนเรื่องรถยนต์มากๆ เพราะรถยนต์นี้เป็นเหมือนสิ่งที่บ่งบอกฐานะของเจ้าของ ไม่เพียงเท่านั้น
มันคือ การบริโภคของเจ้าของรถ เนื่องจาก ล้อหมุนได้ ก็ต้องมี น้ำมันใส่รถยนต์ มีน้ำใส่หม้อน้ำ มีเงินจ่ายค่าภาษีป้าย ให้เงินบริษัทประกันภัยออกพรบ.เป็นอย่างน้อย ไปสูบลมเข้าล้อรถยนต์ เมื่อรถมีปัญหาก็เข้าอู่/ศูนย์เพื่อแก้ไข มันเป็นวงจรที่ใหญ่มากๆ เมื่อโดนมาตราการที่ว่า ถือครอง 5 ปี นั้นคืออะไร นั้นคือ การตัดวงจรการขายรถยนต์มือหนึ่งเป็นมือสองลง
วงจรการขายรถยนต์มือสองนั้น Supplier คือ ผู้ซื้อรถยต์มือหนึ่ง ถ้าไม่มีคนซื้อรถยนต์มือหนึ่ง ของก็ไม่มีในตลาด นั้นเอง
มือคนถือครองรถยนต์นานขึ้น ทำให้รถยนต์มือหนึ่งขายไม่ออกนั้นเอง
โดยส่วนใหญ่คนที่ซื้อรถยนต์ใหม่ได้นั้น ต้องมีกำลัีงเงิน เมื่อซื้อรถยนต์คันหนึ่งแล้ว ใช้งานไประยะก็ต้องการเปลี่ยนรถยนต์ ก็ต้องขายรถยนต์คันเดิมเป็นรถยนต์มือสองเพื่อเป็นทุนรอนในการซื้อรถคันถัดไป ดังนั้น วงจรของรถยนต์คันแรกนั้น มันเกิดการขายเป็นรถยนต์มือสองในปี 2560-2562 นั้นเอง จึงเกิดตลาดรถยนต์ทดแทนรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก
อาจจะมีคนเถียงว่า เคสที่ไม่ถือครองครบก็ 5 ปีก็ได้ ก็โอนลอยเอาล่ะกัน แต่นั้นคือความเสี่ยงอีก ว่า้ถ้าไม่โอนเมื่อรถเกิดปัญหาชื่อของเจ้าของรถก็ปรากฏ ก็ต้องไล่กันเป็นลูกโซ่เลย ทำให้เสียเวลาโดยใช้เหตุหรือเปล่า
ยังมีอีก ถือครองไม่ครบ 5 ปีต้องคืนเงินให้แก่กรมสรรพามิต ด้วย
สิ่งนี้เคยเกิดมาไหม ก็บอกว่าเคยเกิดมาแล้ว แต่ไม่อัดมาแบบนี้มาก่อน (เกิดในช่วง 2546-2548 ในช่วงนั้นตลาดรถยนต์ขยายตัวอย่างมากเหมือนช่วง 2555-2556)
เรื่องแรกคือ การเลือกกองทุน LTF ของผมนั้น ผมเน้นที่กองไม่จ่ายปันผล มันตรงกันข้ามกับวงการเงินที่บอกว่าต้องเลือกกองทุนที่จ่ายปันผล ทำไมเป็นแบบนั้นหรือ
คำตอบของผมคือ เมื่อจ่ายปันผล ออกมา สมมติว่า 100 บาท ผมต้องเอาเงิน 100 บาทไปคิดภาษีตอนปลายปีด้วย
ถ้าหาก หัก ณ ที่จ่าย ไว้ ก็หักไว้ 10% ทำให้เหลือเงินจริงๆ 90 บาท ซึ่ง 10% นิสามารถคิดรวมกับภาษีตอนปลาย หรือไม่ก็ได้ ถ้าคิดแล้ว อาจจะได้คืน ถ้าหากคุณเป็นบุคคลที่มีรายได้น้อยกว่า 300,000 บาทตอ่ปี อาจจะได้เท่าทุนคือได้คืน10% ตอนปลายปีหากรายได้ไม่ถึง 500,000 บาท แต่ทว่าขาดทุนเมื่อรายได้ เกิน 500,000 บาทต่อปี
ซึ่งไม่รวมมูลค่าลดลงตามเวลา (time value of money) เพราะกว่าจะยื่นภาษี กว่าจะพิจารณา กว่าจะได้เงินคืน
ทำให้เป็นประเด็นหนึ่งที่ผมไม่คิดหากองทุน LTF ที่จ่ายปันผล หาแต่กองทุน LTF ที่ไม่จ่ายปันผลเป็นหลัก
ไม่จ่ายปันผล กองทุนก็เอาเงินปันผลไปลงทุนต่อ ทำให้ NAV เพิ่มเติม นั้นเอง ในประเด็นนี้เปรียบเทียบได้ว่า
บริษัทไม่จ่ายปันผล เก็บเิงินปันผลไปลงทุนต่อ นั้นเอง ทำให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่จ่ายปันผล (เงินมันต่อเงินนั้นเอง)
เรื่องที่สองที่เขียน คือ เรื่องของวงจรของรถยนต์ ที่มีผลจากรถยนต์คันแรก
ทำไมผมชอบเขียนเรื่องรถยนต์มากๆ เพราะรถยนต์นี้เป็นเหมือนสิ่งที่บ่งบอกฐานะของเจ้าของ ไม่เพียงเท่านั้น
มันคือ การบริโภคของเจ้าของรถ เนื่องจาก ล้อหมุนได้ ก็ต้องมี น้ำมันใส่รถยนต์ มีน้ำใส่หม้อน้ำ มีเงินจ่ายค่าภาษีป้าย ให้เงินบริษัทประกันภัยออกพรบ.เป็นอย่างน้อย ไปสูบลมเข้าล้อรถยนต์ เมื่อรถมีปัญหาก็เข้าอู่/ศูนย์เพื่อแก้ไข มันเป็นวงจรที่ใหญ่มากๆ เมื่อโดนมาตราการที่ว่า ถือครอง 5 ปี นั้นคืออะไร นั้นคือ การตัดวงจรการขายรถยนต์มือหนึ่งเป็นมือสองลง
วงจรการขายรถยนต์มือสองนั้น Supplier คือ ผู้ซื้อรถยต์มือหนึ่ง ถ้าไม่มีคนซื้อรถยนต์มือหนึ่ง ของก็ไม่มีในตลาด นั้นเอง
มือคนถือครองรถยนต์นานขึ้น ทำให้รถยนต์มือหนึ่งขายไม่ออกนั้นเอง
โดยส่วนใหญ่คนที่ซื้อรถยนต์ใหม่ได้นั้น ต้องมีกำลัีงเงิน เมื่อซื้อรถยนต์คันหนึ่งแล้ว ใช้งานไประยะก็ต้องการเปลี่ยนรถยนต์ ก็ต้องขายรถยนต์คันเดิมเป็นรถยนต์มือสองเพื่อเป็นทุนรอนในการซื้อรถคันถัดไป ดังนั้น วงจรของรถยนต์คันแรกนั้น มันเกิดการขายเป็นรถยนต์มือสองในปี 2560-2562 นั้นเอง จึงเกิดตลาดรถยนต์ทดแทนรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก
อาจจะมีคนเถียงว่า เคสที่ไม่ถือครองครบก็ 5 ปีก็ได้ ก็โอนลอยเอาล่ะกัน แต่นั้นคือความเสี่ยงอีก ว่า้ถ้าไม่โอนเมื่อรถเกิดปัญหาชื่อของเจ้าของรถก็ปรากฏ ก็ต้องไล่กันเป็นลูกโซ่เลย ทำให้เสียเวลาโดยใช้เหตุหรือเปล่า
ยังมีอีก ถือครองไม่ครบ 5 ปีต้องคืนเงินให้แก่กรมสรรพามิต ด้วย
สิ่งนี้เคยเกิดมาไหม ก็บอกว่าเคยเกิดมาแล้ว แต่ไม่อัดมาแบบนี้มาก่อน (เกิดในช่วง 2546-2548 ในช่วงนั้นตลาดรถยนต์ขยายตัวอย่างมากเหมือนช่วง 2555-2556)
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 176
ขอบคุณครับ แวะเข้ามาแอบอ่านเป็นระยะครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 177
วันนี้พอดีที่ผมได้ไปร่วมงานของ TMA 2014
(ดูข้อมูลได้ที่ http://tma.or.th/ )
เป็นงานที่ดีสำหรับการส่งผลงานเข้าประกวดของคนวงการไอที รางวัลหนึ่งเลย
(รางวัลได้แค่แท่นอาคีริสมาตั้งโชว์เท่านั้นไม่มีเป็นตัวเงิน แต่ทว่าผลของมันคือ คนไอทีเข้าใจธุรกิจหรือ ธุรกิจมาใกล้กับ IT มากขึ้น)
ทำไมผมบอกว่าเป็นรางวัลของคนไอที เพราะ เดี๋ยวนี้ คนไอที นั้นไม่ใช่แค่ทำแต่โปรแกรม ดูแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านเท่านั้น คุยกับผู้คนไม่ค่อยถูกคอ เพราะทำงานกับสิ่งไม่มีชีวิตเท่าไร เมื่อเจอเจอะคนทำให้คุยยาก หรือคุยไม่รู้เรื่อง หรือ เก็บตัวเงียบนั้นเอง แต่คนพวกนี้ไม่ใช่คนไม่เก่ง แค่โคตะระเก่งมากๆ เก่งในด้านที่เฉพาะมากๆ
คนไอทีเหล่านี้เป็นกำลังในการพัฒนาตัวองค์กร เพื่อให้องค์กรพัฒนาประเทศต่อไป
มันมีโครงการไอทีมากๆในระดับขององค์กรทั้งภาครัฐ ,เอกชน,และองค์ไม่แสวงผลประโยชน์ทำงานเพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจ ,หรือ สนับสนุนหน่วยงานต่างๆภายในตัวบริษัท+กลุ่มบริษัทให้มีการสอดคล้องกันเหมือนการฟังเพลงจากวงออเคสตร้า ซักเพลง ,หรือการใช้ IT เพื่อการเรียนรู้ +การวัดผลการเรียนรู้ แก่พนักงาน+เจ้าหน้าที่เพื่อฝึกอบรม หรือ สิ่งที่เป็นนวัตนกรรมใหม่ๆ จากภายในองค์กรเองก็ตาม
แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนไอทีนั้น เป็นผู้ที่น่าสงสารอย่างมากมาย คือ เข้าใจแต่คนที่ทำ มิได้เข้าใจภาพรวมว่าทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพราะอะไร ทำไมต้องทำ ทำไมต้องมานั่งทำอะไรต่อมิอะไรด้วย ในเมื่อใช้งานได้ สิ่งนี้ต้องปรับการเข้าใจให้ตรงกับสภาพของธุรกิจต่างๆว่า ธุรกิจนั้นดำเนินการได้อย่างไร
วันนี้มีตัวอย่างที่ดี นำให้แบ่งปันความรู้ (แต่น่าเสียดายว่าผมฟังไม่หมดมีโทรศัพท์เรื่องงานมาเป็นระยะตอนนี้)
มีบริษัทหนึ่งพัฒนาเพื่อตั้งศูนย์กระจายสินค้าตามภูิมิภาคโดยเดินเข้าหาพวกยี่ปั้วใหญ่ๆ มาเป็นศูนย์กระจายสินค้า จนการทำแบบนี้ทำให้บริษัทซอฟแวร์แห่งหนึ่งที่ใช้งานกันในอุตสาหกรรมเอาไปทำเป็นมาตราฐานเลยทีเดียว
บริษัทที่สองเป็นบริษัททางด้านสุขภาพ ทำอย่างไรให้รถของโรงพยาบาลในเครือใช้งานร่วมกันในการรับส่งผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ผู้ป่วยเชื่อใจในระบบของโรงพยาบาลว่ามีความแม่นยำในการทำการรักษาพยาบาล,สามารถสร้างโปรแกรมในการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทที่สามเป็นบริษัทผู้นำตลาดด้าน ICT แต่ทว่าผู้ไม่ได้ฟังคนนี้พูดเท่าไรพอดีงานเข้า
สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่นักลงทุนน่าไปฟัง น่าไปร่วมกิจกรรม เพื่อให้เรารู้ว่า กิจการนั้น มีของดีอยู่ที่ไหน
บ้างครั้งเราละเลยไป ดูแต่กิจการว่าทำอะไร แต่ทว่าเราลืมดูว่า หลังบ้านนั้น คือ การใช้ ICT มาประยุกต์กับธุรกิจแค่ไหน อย่ามองว่า ICT คือค่าใช้จ่าย แต่มองว่า ICT มันคือสิ่งที่ถ้าหากคุณมีแล้ว คุณสามารถได้เปรียบกับคนอื่นแค่ไหน มีแล้วทำให้องค์กรของคุณนั้น ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา ลดการใช้ทรัพยากรต่างๆลงได้อย่างไร ที่สำคัญคือ มันสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า Suppiler และ ผู้ที่เกี่ยวข้องได้แค่ไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดบุคคลากรในระดับสูงคือตำแหน่ง CIO(Chief Information Officer ) เกิดขึ้น
(ดูข้อมูลได้ที่ http://tma.or.th/ )
เป็นงานที่ดีสำหรับการส่งผลงานเข้าประกวดของคนวงการไอที รางวัลหนึ่งเลย
(รางวัลได้แค่แท่นอาคีริสมาตั้งโชว์เท่านั้นไม่มีเป็นตัวเงิน แต่ทว่าผลของมันคือ คนไอทีเข้าใจธุรกิจหรือ ธุรกิจมาใกล้กับ IT มากขึ้น)
ทำไมผมบอกว่าเป็นรางวัลของคนไอที เพราะ เดี๋ยวนี้ คนไอที นั้นไม่ใช่แค่ทำแต่โปรแกรม ดูแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านเท่านั้น คุยกับผู้คนไม่ค่อยถูกคอ เพราะทำงานกับสิ่งไม่มีชีวิตเท่าไร เมื่อเจอเจอะคนทำให้คุยยาก หรือคุยไม่รู้เรื่อง หรือ เก็บตัวเงียบนั้นเอง แต่คนพวกนี้ไม่ใช่คนไม่เก่ง แค่โคตะระเก่งมากๆ เก่งในด้านที่เฉพาะมากๆ
คนไอทีเหล่านี้เป็นกำลังในการพัฒนาตัวองค์กร เพื่อให้องค์กรพัฒนาประเทศต่อไป
มันมีโครงการไอทีมากๆในระดับขององค์กรทั้งภาครัฐ ,เอกชน,และองค์ไม่แสวงผลประโยชน์ทำงานเพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจ ,หรือ สนับสนุนหน่วยงานต่างๆภายในตัวบริษัท+กลุ่มบริษัทให้มีการสอดคล้องกันเหมือนการฟังเพลงจากวงออเคสตร้า ซักเพลง ,หรือการใช้ IT เพื่อการเรียนรู้ +การวัดผลการเรียนรู้ แก่พนักงาน+เจ้าหน้าที่เพื่อฝึกอบรม หรือ สิ่งที่เป็นนวัตนกรรมใหม่ๆ จากภายในองค์กรเองก็ตาม
แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนไอทีนั้น เป็นผู้ที่น่าสงสารอย่างมากมาย คือ เข้าใจแต่คนที่ทำ มิได้เข้าใจภาพรวมว่าทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพราะอะไร ทำไมต้องทำ ทำไมต้องมานั่งทำอะไรต่อมิอะไรด้วย ในเมื่อใช้งานได้ สิ่งนี้ต้องปรับการเข้าใจให้ตรงกับสภาพของธุรกิจต่างๆว่า ธุรกิจนั้นดำเนินการได้อย่างไร
วันนี้มีตัวอย่างที่ดี นำให้แบ่งปันความรู้ (แต่น่าเสียดายว่าผมฟังไม่หมดมีโทรศัพท์เรื่องงานมาเป็นระยะตอนนี้)
มีบริษัทหนึ่งพัฒนาเพื่อตั้งศูนย์กระจายสินค้าตามภูิมิภาคโดยเดินเข้าหาพวกยี่ปั้วใหญ่ๆ มาเป็นศูนย์กระจายสินค้า จนการทำแบบนี้ทำให้บริษัทซอฟแวร์แห่งหนึ่งที่ใช้งานกันในอุตสาหกรรมเอาไปทำเป็นมาตราฐานเลยทีเดียว
บริษัทที่สองเป็นบริษัททางด้านสุขภาพ ทำอย่างไรให้รถของโรงพยาบาลในเครือใช้งานร่วมกันในการรับส่งผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำให้ผู้ป่วยเชื่อใจในระบบของโรงพยาบาลว่ามีความแม่นยำในการทำการรักษาพยาบาล,สามารถสร้างโปรแกรมในการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทที่สามเป็นบริษัทผู้นำตลาดด้าน ICT แต่ทว่าผู้ไม่ได้ฟังคนนี้พูดเท่าไรพอดีงานเข้า
สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่นักลงทุนน่าไปฟัง น่าไปร่วมกิจกรรม เพื่อให้เรารู้ว่า กิจการนั้น มีของดีอยู่ที่ไหน
บ้างครั้งเราละเลยไป ดูแต่กิจการว่าทำอะไร แต่ทว่าเราลืมดูว่า หลังบ้านนั้น คือ การใช้ ICT มาประยุกต์กับธุรกิจแค่ไหน อย่ามองว่า ICT คือค่าใช้จ่าย แต่มองว่า ICT มันคือสิ่งที่ถ้าหากคุณมีแล้ว คุณสามารถได้เปรียบกับคนอื่นแค่ไหน มีแล้วทำให้องค์กรของคุณนั้น ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลา ลดการใช้ทรัพยากรต่างๆลงได้อย่างไร ที่สำคัญคือ มันสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า Suppiler และ ผู้ที่เกี่ยวข้องได้แค่ไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดบุคคลากรในระดับสูงคือตำแหน่ง CIO(Chief Information Officer ) เกิดขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 178
น้ำมันลดลงมีผลดีกับเศรษฐกิจอย่างไร
มันเป็นคำถามที่น่าหาคำตอบอย่างยิ่ง แต่ทว่าก่อนตอบคำถามนี้ได้ต้องตอบโครงสร้างของการผลิตว่าใช้น้ำมันประเภทไหน เสียก่อน
น้ำมันในประเทศไทยแบ่งออกเป็น น้ำมัน C ต่ำๆ อันนี้ใช้กับเครื่องบิน ,น้ำมันเบนซิน ใช้กับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (แบบเพียวไม่มีขายเท่าไร มีแต่แบบผสมแอลกฮอลล์ เป็นก๊าซโซฮอลล์) ,น้ำมันดีเซล ใช้กับเครื่องจักร+รถบรรทุก+รถกะบะ ซึ่งเป็นน้ำมันที่สำคัญ +ผลิตไฟฟ้าได้ (แต่เมืองไทยไม่ค่อยได้ใช้งาน มีโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่ทว่าขนไปช่วยญี่ปุ่นไม่รู้ว่ากลับมาหรือยัง) ,น้ำมันเตาอันนี้เป็นน้ำมันในภาคอุตสาหกรรมเหมือนกัน ส่วนสุดท้ายคือ ยางมะตอย ไว้ราดถนน ทำทางนั้นเอง
ณ เวลานี้ที่น้ำมันลดลงและที่นักลงทุนรับรู้ส่วนใหญ่คือ น้ำมันเบนซิน,ดีเซล และมีราคาน้ำมันดิบที่เป็นต้นทางที่สามารถหาข้อมูลได้โดยทั่วไป
น้ำมันดิบนี้เป็นต้นทาง เมื่อต้ย นทางราคาลดลง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ราคาลดลง (แต่ต้องดูค่าเงินบาทด้วย เพราะเมื่อเร็วๆๆนี้ ราคาน้ำมันดิบลดลงแต่เงินบาทอ่อนค่า สุดท้ายคือไม่ได้ปรับราคาเพราะค่าเงิน)
ส่วนน้ำมันเบนซินนี้คือ รถยนต์กับแมงกะไซด์เป็นตัวแทนของการบริโภคคือ C ได้เลย เพราะ เดินทางไปไหนด้วยรถส่วนตัวก็ใช้น้ำมันตัวนี้เป็นหลัก แต่ทว่า เมื่อรัฐพยุงราคาน้ำมัน ด้วยการไม่ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดีเซลก็มีผู้ผลิตรถยนต์ออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมา ทำให้มีการบิดเบี้ยวของการใช้งานบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ในภาคการขนส่ง สินค้าซีึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิตนั้นเอง และขนส่งสาธารณะต่างๆเช่น รถเมล์ เรือด่วน รถไฟ เป็นต้น ใช้งาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคขนส่ง
ดังนั้นเมื่อ น้ำมันดีเซล คงตัวหรือปรับลดลง นั้นหมายถึงต้นทุนในการผลิต การเดินทางสาธารณะลดลงไปด้วย
ส่วนน้ำมันเบนซินนั้น ทำให้ค่าครองชีพลดลง แต่ทว่า ประชาชนตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีกำลังผ่อนรถ +ผ่อนบ้านเท่าไร ดังนั้นต้องจับตาดูปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินว่า เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่า C ยังมีกำลังบริโภคในสิ่งที่จำเป็นอยู่
(ดูอัตราการใช้อย่างเดียวมิได้ เดี๋ยวโดนหลอกอีก ต้องดูปริมาณสำรองควบคู่ด้ว เพราะประเทศไทยมีกฏระเบียบในการสำรองน้ำมันไว้ที่ 43 วัน ประกาศเมื่อ 1 พ.ย. 2556 ดังนั้น ถ้าหากใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการสำรองน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย มิใช่ใช้เพิ่มขึ้นแต่ยอดการสำรองกลับเ่ท่าเดิมหรือลดลง มันน่าสงสัยว่า ก่อสร้างคลังไม่คลัง หรือ ตัวเลขมันหลอกตา อันนี้คือการตรวจสอบข้อมูล)
ดังนั้นการลดลงของน้ำมัน มีส่งผลไปสู่การผลิต การขนส่ง การบริโภค โดยตรง
ถ้าหากใครมีเวลา ควรไปศึกษา ตอนปี 2518-2519 ดูว่าช่วงน้ำมันขึ้นราคา เป็นเช่นไร
หรือใกล้กว่านั้นหน่อยก็ 2007-2008 ที่เป็นช่วงน้ำมันพีครอบล่าสุด
มันเป็นคำถามที่น่าหาคำตอบอย่างยิ่ง แต่ทว่าก่อนตอบคำถามนี้ได้ต้องตอบโครงสร้างของการผลิตว่าใช้น้ำมันประเภทไหน เสียก่อน
น้ำมันในประเทศไทยแบ่งออกเป็น น้ำมัน C ต่ำๆ อันนี้ใช้กับเครื่องบิน ,น้ำมันเบนซิน ใช้กับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (แบบเพียวไม่มีขายเท่าไร มีแต่แบบผสมแอลกฮอลล์ เป็นก๊าซโซฮอลล์) ,น้ำมันดีเซล ใช้กับเครื่องจักร+รถบรรทุก+รถกะบะ ซึ่งเป็นน้ำมันที่สำคัญ +ผลิตไฟฟ้าได้ (แต่เมืองไทยไม่ค่อยได้ใช้งาน มีโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่ทว่าขนไปช่วยญี่ปุ่นไม่รู้ว่ากลับมาหรือยัง) ,น้ำมันเตาอันนี้เป็นน้ำมันในภาคอุตสาหกรรมเหมือนกัน ส่วนสุดท้ายคือ ยางมะตอย ไว้ราดถนน ทำทางนั้นเอง
ณ เวลานี้ที่น้ำมันลดลงและที่นักลงทุนรับรู้ส่วนใหญ่คือ น้ำมันเบนซิน,ดีเซล และมีราคาน้ำมันดิบที่เป็นต้นทางที่สามารถหาข้อมูลได้โดยทั่วไป
น้ำมันดิบนี้เป็นต้นทาง เมื่อต้ย นทางราคาลดลง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ราคาลดลง (แต่ต้องดูค่าเงินบาทด้วย เพราะเมื่อเร็วๆๆนี้ ราคาน้ำมันดิบลดลงแต่เงินบาทอ่อนค่า สุดท้ายคือไม่ได้ปรับราคาเพราะค่าเงิน)
ส่วนน้ำมันเบนซินนี้คือ รถยนต์กับแมงกะไซด์เป็นตัวแทนของการบริโภคคือ C ได้เลย เพราะ เดินทางไปไหนด้วยรถส่วนตัวก็ใช้น้ำมันตัวนี้เป็นหลัก แต่ทว่า เมื่อรัฐพยุงราคาน้ำมัน ด้วยการไม่ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดีเซลก็มีผู้ผลิตรถยนต์ออกรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมา ทำให้มีการบิดเบี้ยวของการใช้งานบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ในภาคการขนส่ง สินค้าซีึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิตนั้นเอง และขนส่งสาธารณะต่างๆเช่น รถเมล์ เรือด่วน รถไฟ เป็นต้น ใช้งาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคขนส่ง
ดังนั้นเมื่อ น้ำมันดีเซล คงตัวหรือปรับลดลง นั้นหมายถึงต้นทุนในการผลิต การเดินทางสาธารณะลดลงไปด้วย
ส่วนน้ำมันเบนซินนั้น ทำให้ค่าครองชีพลดลง แต่ทว่า ประชาชนตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีกำลังผ่อนรถ +ผ่อนบ้านเท่าไร ดังนั้นต้องจับตาดูปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินว่า เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่า C ยังมีกำลังบริโภคในสิ่งที่จำเป็นอยู่
(ดูอัตราการใช้อย่างเดียวมิได้ เดี๋ยวโดนหลอกอีก ต้องดูปริมาณสำรองควบคู่ด้ว เพราะประเทศไทยมีกฏระเบียบในการสำรองน้ำมันไว้ที่ 43 วัน ประกาศเมื่อ 1 พ.ย. 2556 ดังนั้น ถ้าหากใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการสำรองน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย มิใช่ใช้เพิ่มขึ้นแต่ยอดการสำรองกลับเ่ท่าเดิมหรือลดลง มันน่าสงสัยว่า ก่อสร้างคลังไม่คลัง หรือ ตัวเลขมันหลอกตา อันนี้คือการตรวจสอบข้อมูล)
ดังนั้นการลดลงของน้ำมัน มีส่งผลไปสู่การผลิต การขนส่ง การบริโภค โดยตรง
ถ้าหากใครมีเวลา ควรไปศึกษา ตอนปี 2518-2519 ดูว่าช่วงน้ำมันขึ้นราคา เป็นเช่นไร
หรือใกล้กว่านั้นหน่อยก็ 2007-2008 ที่เป็นช่วงน้ำมันพีครอบล่าสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 179
วันนี้ไปนั่งดู the Hunter game
ทำให้นั่งคิดอะไรเรื่องหนึ่งได้ คือ นักลงทุนแนวทางเน้นคุณค่านั้นเรียนรู้กิจการเป็นหลัก
แต่ทว่า คิดที่เราได้มองดูคือธุรกิจของกิจการ แต่สิ่งที่ผมคิดได้เพิ่มเติมจากการเรียนรู้ในยามดูหนังเรื่องนี้ (อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้) คือ นักลงทุนไม่เคยถามว่า กิจการนั้น มันทำมาหารับประทานจากอะไร
ตัวอย่างเช่น DHL นั้นหารับประทานจากน้ำหนักและการจัดส่ง เหมือนไปรษณีย์ไทยเลย ที่หากตาชั่งที่ใช้ชั่งสินของที่ส่งไม่ตรง และ คิดระยะทางผิด ก็ทำให้ลูกค้ามีปัญหาได้
ตัวอย่างถัดไป บริษัทมือถือ นั้น ผู้ใช้งานโทรได้ ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือได้ มิใช้ เอามือถือมาแทนสากกะบือไปตำส้มตำ เป็นต้น
ดังนั้น การลงทุนกิจการหนึ่ง ควรตอบคำถามว่า กิจการนั้นทำมาหารับประทานจากอะไร
ทำให้นั่งคิดอะไรเรื่องหนึ่งได้ คือ นักลงทุนแนวทางเน้นคุณค่านั้นเรียนรู้กิจการเป็นหลัก
แต่ทว่า คิดที่เราได้มองดูคือธุรกิจของกิจการ แต่สิ่งที่ผมคิดได้เพิ่มเติมจากการเรียนรู้ในยามดูหนังเรื่องนี้ (อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้) คือ นักลงทุนไม่เคยถามว่า กิจการนั้น มันทำมาหารับประทานจากอะไร
ตัวอย่างเช่น DHL นั้นหารับประทานจากน้ำหนักและการจัดส่ง เหมือนไปรษณีย์ไทยเลย ที่หากตาชั่งที่ใช้ชั่งสินของที่ส่งไม่ตรง และ คิดระยะทางผิด ก็ทำให้ลูกค้ามีปัญหาได้
ตัวอย่างถัดไป บริษัทมือถือ นั้น ผู้ใช้งานโทรได้ ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือได้ มิใช้ เอามือถือมาแทนสากกะบือไปตำส้มตำ เป็นต้น
ดังนั้น การลงทุนกิจการหนึ่ง ควรตอบคำถามว่า กิจการนั้นทำมาหารับประทานจากอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 180
วันนี้ขอเขียนเรื่องความหนาของหนังสือหน่อย ว่าทำไมยิ่งหนายิ่งต้องอ่าน ยิ่งบางยิ่งไม่น่าอ่าน
ลองไปเปรียบเทียบกับหนังสือต่างประเทศดูเอาล่ะกัน ตัวอย่างของผมคือ Asset Pricing นี้แหละเป็นตัวอย่างที่ดี
หากเป็นหนังสือ ระดับปริญญาเอกเรียนนั้นความหนา 346 หน้า มีจำนวน 6 บทเท่านั้นเอง (ผมเองอ่านไปประมาณ 2-3 หน้า ก็มึนมากๆๆ แถมยากด้วย อธิบายจักรวาลของการประเมินมูลค่าด้วยคำสั้นๆ แต่ไม่ได้ขยายความ ถ้าเป็นแบบนี้โยนทิ้งครับ) สั้นแต่อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่อธิบาย เบื้องหลังคืออะไร แต่บอกเลยว่าคืออะไร ไม่มีที่มาที่ไป มีทฤษฏีซ่อนอยู่เพียบ
แต่ถ้าหนังสือ The Intelligent Investment หนามากๆๆ เป็นระดับ 804 หน้านี้ก็อ่านได้เพลิน ซึ่งความหนาประมาณ 2 เท่าของเล่มแรก และไม่ค่อยมีการประเมินมูลค่าเท่าไร ยกแค่เหตุการณ์จริงๆมาอธิบาย และอธิบายแค่ไม่กี่ประเมินของหลักทรัพย์ (ในหนังสืออธิบายหลักๆๆคือ หุ้นกับหุ้นกู้) เนี่ยแหละเป็นหนังสือที่ควรคู่กับการอ่าน
ทำไมหรือไม่มีตัวเลขหรือตัวแปลอะไรที่วุ่นวาย ไม่มีทฤษฏีทางด้านคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้อง ไม่มีข้อสมมติฐานที่ทำให้โลกความจริงไปสู่โลกสมมติ (จากโลกซับซ้อนเป็นโลกแบบตรงไปตรงมา) รายละเอียดความเป็นมาไปในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์บอกหมด ซึ่งเนี่ยคือความหนาที่นักลงทุนหรือแม้นกระทั่งนักเรียน/นักศึกษาไม่อ่านกัน
นักลงทุนต้องแก้ไขนิสัยเหล่านั้น ให้กลายเป็น ยิ่งหนาเท่าไร ยิ่งควรอ่าน แล้วยิ่งบางเท่าไร ต้องยิ่งตั้งคำถามว่า มันครบแล้วหรือ มีอะไรขาดไปหรือเปล่า หรือ ถึงแม้นครบถ้วนแต่แฝงไปด้วยข้อสมมติฐานเพียบเลย
(หากใครที่ได้อ่าน Paper ในทางวิชาการก็ดี ถ้าอ่านที่ส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หน้าไม่เกิน 30 หน้า แต่เล่มจริงๆ มาเป็น 500 หน้า มันคือการย่อแล้วย่ออีก ยิ่งเขียนอ่านไม่รู้เรื่องยิ่งดี มันคือการกลั่นกรองนั้นเอง ทำให้อ่านแล้วงงหรือ ?????? เต็มหัว เห็นดวงนั้นเอง)
ลองเอาไปพิจารณาละกัน
ลองไปเปรียบเทียบกับหนังสือต่างประเทศดูเอาล่ะกัน ตัวอย่างของผมคือ Asset Pricing นี้แหละเป็นตัวอย่างที่ดี
หากเป็นหนังสือ ระดับปริญญาเอกเรียนนั้นความหนา 346 หน้า มีจำนวน 6 บทเท่านั้นเอง (ผมเองอ่านไปประมาณ 2-3 หน้า ก็มึนมากๆๆ แถมยากด้วย อธิบายจักรวาลของการประเมินมูลค่าด้วยคำสั้นๆ แต่ไม่ได้ขยายความ ถ้าเป็นแบบนี้โยนทิ้งครับ) สั้นแต่อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่อธิบาย เบื้องหลังคืออะไร แต่บอกเลยว่าคืออะไร ไม่มีที่มาที่ไป มีทฤษฏีซ่อนอยู่เพียบ
แต่ถ้าหนังสือ The Intelligent Investment หนามากๆๆ เป็นระดับ 804 หน้านี้ก็อ่านได้เพลิน ซึ่งความหนาประมาณ 2 เท่าของเล่มแรก และไม่ค่อยมีการประเมินมูลค่าเท่าไร ยกแค่เหตุการณ์จริงๆมาอธิบาย และอธิบายแค่ไม่กี่ประเมินของหลักทรัพย์ (ในหนังสืออธิบายหลักๆๆคือ หุ้นกับหุ้นกู้) เนี่ยแหละเป็นหนังสือที่ควรคู่กับการอ่าน
ทำไมหรือไม่มีตัวเลขหรือตัวแปลอะไรที่วุ่นวาย ไม่มีทฤษฏีทางด้านคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้อง ไม่มีข้อสมมติฐานที่ทำให้โลกความจริงไปสู่โลกสมมติ (จากโลกซับซ้อนเป็นโลกแบบตรงไปตรงมา) รายละเอียดความเป็นมาไปในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์บอกหมด ซึ่งเนี่ยคือความหนาที่นักลงทุนหรือแม้นกระทั่งนักเรียน/นักศึกษาไม่อ่านกัน
นักลงทุนต้องแก้ไขนิสัยเหล่านั้น ให้กลายเป็น ยิ่งหนาเท่าไร ยิ่งควรอ่าน แล้วยิ่งบางเท่าไร ต้องยิ่งตั้งคำถามว่า มันครบแล้วหรือ มีอะไรขาดไปหรือเปล่า หรือ ถึงแม้นครบถ้วนแต่แฝงไปด้วยข้อสมมติฐานเพียบเลย
(หากใครที่ได้อ่าน Paper ในทางวิชาการก็ดี ถ้าอ่านที่ส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หน้าไม่เกิน 30 หน้า แต่เล่มจริงๆ มาเป็น 500 หน้า มันคือการย่อแล้วย่ออีก ยิ่งเขียนอ่านไม่รู้เรื่องยิ่งดี มันคือการกลั่นกรองนั้นเอง ทำให้อ่านแล้วงงหรือ ?????? เต็มหัว เห็นดวงนั้นเอง)
ลองเอาไปพิจารณาละกัน