มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยที่ผมพึ่งรู้จักเวป thaivi ก่อนตั้งเป็นสมาคมไม่กี่เดือน แต่เมื่อผมรู้จักและเข้าเวปดูข้อมูล ทำให้ผมรู้สึกว่าเวปนี้มีประโยชน์มาก ทำให้ผมประหยัดเวลาหาข้อมูลได้อย่างมาก และรับรู้ถึงความมีประโยชน์ของการเผื่อแผ่ความรู้แก่บุคคลอื่นๆอย่างมาก ถึงผมจะลงทุนมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการ vi อย่างมาก พึ่งมารู้จักว่า vi เป็นอย่างไรก็เมื่อเข้ามาเวปนี้ และตระหนักอย่างมากว่า จริงแล้วที่เราลงทุนมาก่อนนี้มันเหมือนกันเลย คือลงทุนระยะยาว ไม่เล่นหุ้นปั่น และที่ขาดไม่ได้คือประสบการ์ณการเสียหายอย่างหนัก จนพอร์ตเหลือไม่ถือ 20% แต่ผมไม่ยอมแพ้และยังคงมีความเพียรต่อไป ผมขอแชร์มุมมองการลงทุนของผมให้เพื่อนนักลงทุนดูครับ บางอย่างอาจจะดูแปลกๆ แต่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมคิดและตกผลึกจากประสบการ์ณโดยตรงครับ ถ้าทางเวปเห็นว่าไม่มีประโยชน์สามารถลบทิ้งได้เลยนะครับ ขอให้เพื่อนนักลงทุนทุกคนโชคดีและมีความสุขนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 2
วิกฤตตลาดนัด / ลูกหิน 0001
วิกฤตที่ผ่านมาหลากหลายครั้งในระบบการเงิน ผมมักจะเปรียบเทียบเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเหมือนกับกิจกรรมที่ตลาดนัดแถวๆบ้านครับ ตัวอย่างเช่น
เหตุการ์ณแรกถ้าเราทำกิจกรรมอยู่ในตลาดที่คึกคัก แล้วอยู่ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น แล้วมีคนตะโกนว่าระเบิด ผู้คนก็จะตะหนกตกใจกันอย่างมาก ทิ้งของทุกอย่างและวิ่งหนีตายกันออกมา โดยมิได้คำนึงว่าระเบิดมันระเบิดไปแล้ว คนที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็เกิดขึ้นแล้ว แล้วทำไมคนกลับทิ้งข้าวของวิ่งหนีกันไปหมด ทั้งๆที่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องกลับมาหาซื้อของกินเพื่อดำรงชีพในตลาดนี้เหมือนเดิม ซึ่งคนที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเพราะระเบิด กับมีน้อยกว่าตอนที่คนหนีออกมาแล้วเหยียบกันตาย (ข้อนี้ผมเปรียบเทียบกับวิกฤตซับไพรม์ครับ)
เหตุการ์ณที่สองมีข่าวว่าระเบิดที่วางไว้ในตลาดจะระเบิด แต่ด้วยทุกคนก็ต้องดำรงชีพ จึงต้องไปตลาดอยู่ดี โดยแต่ละคนเดินด้วยความระมัดระวังหาที่กำบังหรือโล่ป้องกันไว้ และรอวันที่จะเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งเมื่อระเบิดเกิดขึ้นจริง ผู้คนกลับแตกต่างกับครั้งแรก พอระเบิดเสร็จก็กลับสบายใจและเดินในตลาดต่อไป ไม่วิ่งหนีไปไหนเหมือนครั้งแรก และพูดขึ้นอีกว่าโอเคระเบิดเสร็จสะทีจะได้ทำมาหากินกันต่อ (ข้อนี้ผมเปรียบเทียบกับวิกฤตยูโรโซนครับ)
ข้อสรุปที่ผมได้คือวิกฤตที่เกิดขึ้นจะน่ากลัวมากถ้าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้หรือระวังมาก่อน แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่รู้และรับข่าวสารและทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว กับไม่ได้รุนแรงมาก ทั้งที่ทั้ง 2 เหตุการ์ณเป็นระเบิดเหมือนกัน แต่ครั้งแรก มีสิ่งของมีค่าถูกทิ้งไว้มากมาย และมีผู้คนเหยียบกันตายอีก ดังที่เกิดตอนซับไพรม์ กลุ่มทุนทั่วโลกแข่งกันขาย ยิ่งขายยิ่งลงยิ่งลงยิ่งขาย ทำให้ทุกคนบาดเจ็บเกินกว่าเหตุ แต่ก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่เดินเข้าไปเก็บของที่ยังใช้ได้และเมื่อตลาดเปิดวันรุ่งขึ้นก็นำมาเรียงขายใหม่
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
วิกฤตที่ผ่านมาหลากหลายครั้งในระบบการเงิน ผมมักจะเปรียบเทียบเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเหมือนกับกิจกรรมที่ตลาดนัดแถวๆบ้านครับ ตัวอย่างเช่น
เหตุการ์ณแรกถ้าเราทำกิจกรรมอยู่ในตลาดที่คึกคัก แล้วอยู่ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น แล้วมีคนตะโกนว่าระเบิด ผู้คนก็จะตะหนกตกใจกันอย่างมาก ทิ้งของทุกอย่างและวิ่งหนีตายกันออกมา โดยมิได้คำนึงว่าระเบิดมันระเบิดไปแล้ว คนที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็เกิดขึ้นแล้ว แล้วทำไมคนกลับทิ้งข้าวของวิ่งหนีกันไปหมด ทั้งๆที่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องกลับมาหาซื้อของกินเพื่อดำรงชีพในตลาดนี้เหมือนเดิม ซึ่งคนที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเพราะระเบิด กับมีน้อยกว่าตอนที่คนหนีออกมาแล้วเหยียบกันตาย (ข้อนี้ผมเปรียบเทียบกับวิกฤตซับไพรม์ครับ)
เหตุการ์ณที่สองมีข่าวว่าระเบิดที่วางไว้ในตลาดจะระเบิด แต่ด้วยทุกคนก็ต้องดำรงชีพ จึงต้องไปตลาดอยู่ดี โดยแต่ละคนเดินด้วยความระมัดระวังหาที่กำบังหรือโล่ป้องกันไว้ และรอวันที่จะเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งเมื่อระเบิดเกิดขึ้นจริง ผู้คนกลับแตกต่างกับครั้งแรก พอระเบิดเสร็จก็กลับสบายใจและเดินในตลาดต่อไป ไม่วิ่งหนีไปไหนเหมือนครั้งแรก และพูดขึ้นอีกว่าโอเคระเบิดเสร็จสะทีจะได้ทำมาหากินกันต่อ (ข้อนี้ผมเปรียบเทียบกับวิกฤตยูโรโซนครับ)
ข้อสรุปที่ผมได้คือวิกฤตที่เกิดขึ้นจะน่ากลัวมากถ้าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้หรือระวังมาก่อน แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่รู้และรับข่าวสารและทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว กับไม่ได้รุนแรงมาก ทั้งที่ทั้ง 2 เหตุการ์ณเป็นระเบิดเหมือนกัน แต่ครั้งแรก มีสิ่งของมีค่าถูกทิ้งไว้มากมาย และมีผู้คนเหยียบกันตายอีก ดังที่เกิดตอนซับไพรม์ กลุ่มทุนทั่วโลกแข่งกันขาย ยิ่งขายยิ่งลงยิ่งลงยิ่งขาย ทำให้ทุกคนบาดเจ็บเกินกว่าเหตุ แต่ก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่เดินเข้าไปเก็บของที่ยังใช้ได้และเมื่อตลาดเปิดวันรุ่งขึ้นก็นำมาเรียงขายใหม่
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 3
ลูกบอลกับการลงทุน / ลูกหิน 0002
ผมมักเปรียบการลงทุนเสมือนลูกบอลหลากสีหลายขนาด และมีคนสร้างกรอบการลงทุนโดยใช้ตลาดหุ้นเป็นสื่อกลาง โดยเริ่มจากตีกรอบกติกาเป็นเส้นรอบวงไว้ และโยนลูกบอลเหล่านั้นเข้าไปในกรอบ ให้ลูกบอลกระดอนขึ้นลง ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ตามธรรมชาติที่อยากได้บอลมักจะเข้าไปจับบอลที่จับได้ง่ายโดดเด่นและเห็นชัด นั้นคือบอลที่มีสีสันสวยงาม กระดอนขึ้นสูง และบางลูกอาจจะกระดอนไม่เป็นทิศทางแต่หวือหวา ซึ่งเปรียบกับการลงทุนแล้วคือ
1.คนส่วนใหญ่มักจะซื้อราคาสูง เพราะจุดสูงสุดบอลจะหมดแรงและค้างอยู่ชั่วขณะทำให้จับได้ง่าย
2. คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเมื่อมีข่าวดีหรือบริษัทดีมากๆแล้ว เหมือนบอลที่มีสีฉูดฉาดสังเกตุง่าย
3.คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเมื่อเห็นราคาหวือหวา เปรียบเสมือนบอลที่กระดอนไม่เป็นทิศทางทำให้สามารถเล่นบอลได้อย่างสนุก
แต่ความผิดพลาดดังกล่าว ทำให้การลงทุนของคนส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะซื้อในราคาที่แพง ทุกคนรู้ข่าวหรือรับรู้ว่าดีมากแล้ว แถมบางบริษัทไม่มีทิศทาง อาจจะกระดอนออกนอกกรอบกติกาก็เป็นได้
ส่วนสไตล์การลงทุนของผม ผมมักจะก้มลงและมองการเคลื่อนไหวของบอลแต่ละกลุ่ม โดยผมจะอดทนหาบอลที่กระดอนอย่างมั่นคง สีสันไม่ฉุดฉาด และไม่ได้รับความสนใจ แล้วอดทนรอ เมื่อถึงจุดเหมาะสมจึงเข้าไปจับบอลไว้ และรอบอลกระดอนขึ้นอย่างโดดเด่น พร้อมที่จะมีผู้คนมาแต้มสีสันให้
ในโลกของการลงทุนการหาบอลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องรอเป็นปีๆ จึงจะพบบอลดังกล่าวสัก 1 ลูก ซึ่งผมก็คิว่าเพียงพอแล้วสำหรับการลงทุน ซึ่งการทำน้อยอย่างแต่ทำอย่างจริงจังน่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
ผมมักเปรียบการลงทุนเสมือนลูกบอลหลากสีหลายขนาด และมีคนสร้างกรอบการลงทุนโดยใช้ตลาดหุ้นเป็นสื่อกลาง โดยเริ่มจากตีกรอบกติกาเป็นเส้นรอบวงไว้ และโยนลูกบอลเหล่านั้นเข้าไปในกรอบ ให้ลูกบอลกระดอนขึ้นลง ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ตามธรรมชาติที่อยากได้บอลมักจะเข้าไปจับบอลที่จับได้ง่ายโดดเด่นและเห็นชัด นั้นคือบอลที่มีสีสันสวยงาม กระดอนขึ้นสูง และบางลูกอาจจะกระดอนไม่เป็นทิศทางแต่หวือหวา ซึ่งเปรียบกับการลงทุนแล้วคือ
1.คนส่วนใหญ่มักจะซื้อราคาสูง เพราะจุดสูงสุดบอลจะหมดแรงและค้างอยู่ชั่วขณะทำให้จับได้ง่าย
2. คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเมื่อมีข่าวดีหรือบริษัทดีมากๆแล้ว เหมือนบอลที่มีสีฉูดฉาดสังเกตุง่าย
3.คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเมื่อเห็นราคาหวือหวา เปรียบเสมือนบอลที่กระดอนไม่เป็นทิศทางทำให้สามารถเล่นบอลได้อย่างสนุก
แต่ความผิดพลาดดังกล่าว ทำให้การลงทุนของคนส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะซื้อในราคาที่แพง ทุกคนรู้ข่าวหรือรับรู้ว่าดีมากแล้ว แถมบางบริษัทไม่มีทิศทาง อาจจะกระดอนออกนอกกรอบกติกาก็เป็นได้
ส่วนสไตล์การลงทุนของผม ผมมักจะก้มลงและมองการเคลื่อนไหวของบอลแต่ละกลุ่ม โดยผมจะอดทนหาบอลที่กระดอนอย่างมั่นคง สีสันไม่ฉุดฉาด และไม่ได้รับความสนใจ แล้วอดทนรอ เมื่อถึงจุดเหมาะสมจึงเข้าไปจับบอลไว้ และรอบอลกระดอนขึ้นอย่างโดดเด่น พร้อมที่จะมีผู้คนมาแต้มสีสันให้
ในโลกของการลงทุนการหาบอลดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องรอเป็นปีๆ จึงจะพบบอลดังกล่าวสัก 1 ลูก ซึ่งผมก็คิว่าเพียงพอแล้วสำหรับการลงทุน ซึ่งการทำน้อยอย่างแต่ทำอย่างจริงจังน่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 4
ได้ข้อคิดดีๆเพียบขอบคุณมากครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 5
เยี่ยมลูกหิน เขียน:และที่ขาดไม่ได้คือประสบการ์ณการเสียหายอย่างหนัก จนพอร์ตเหลือไม่ถือ 20% แต่ผมไม่ยอมแพ้และยังคงมีความเพียรต่อไป
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 6
คุณลูกหินมาจากประสบการณ์ความผิดพลาดมาก่อน เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เราลงทุนอย่างมีสติด้วยความรอบคอบระมัดระวังครับ ตามที่บัฟเฟทมักเตื่อนสติผู้ลงทุนว่า
ข้อ 1 อย่าขาดทุน
ข้อ 2 ถ้ายังขาดทุน ให้กลับไปทบทวนข้อ 1 ใหม่
แสดงให้เห็นถึงการลงทุนของบัฟเฟทที่เน้นให้ผู้ลงทุนต้องมีความระมัดระวังและให้ความสำคัญลำดับแรก ๆ กับความปลอดภัยในการลงทุนก่อนที่จะไปแสวงหาผลตอบแทนเสียอีกครับ
ข้อ 1 อย่าขาดทุน
ข้อ 2 ถ้ายังขาดทุน ให้กลับไปทบทวนข้อ 1 ใหม่
แสดงให้เห็นถึงการลงทุนของบัฟเฟทที่เน้นให้ผู้ลงทุนต้องมีความระมัดระวังและให้ความสำคัญลำดับแรก ๆ กับความปลอดภัยในการลงทุนก่อนที่จะไปแสวงหาผลตอบแทนเสียอีกครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 8
ปูเสื่อรอฟัง พี่ลูกหิน ต่อ...
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับ
อ่านแล้วจินตนาการตาม เห็นภาพสนุกดี
อ่านแล้วจินตนาการตาม เห็นภาพสนุกดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 14
ความสำคัญของแผลเป็น / ลูกหิน 0003
แผลเป็นอย่างที่เราทราบกัน ก็คือการบาดเจ็บของร่างกายจนมิสามารถฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้ ได้แต่ทิ้งรอยแผลไว้ชั่วชีวิต ผมคิดว่าแผลเป็นสำหรับการลงทุนนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าเราบาดเจ็บหนักขนาดเกิดแผลเป็นได้นั้น ก็คงจะสร้างความทรงจำให้เราไปตลอดชีวิตเช่นกัน ผมมักนึกถึงกาต้มน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในครัว คนที่ไม่เคยถูกน้ำร้อนลวกก็คงไม่สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเราจะเตือนลูกๆเช่นไรว่า อย่าเข้าไปในครัวเดี๋ยวน้ำร้อนหล่นใส่ ผมก็มักจะจะเห็นว่า ลูกๆมักจะมองมาที่เราเวลาเราเตือนเท่านั้น และไม่เข้าไปในครัวเพียงเพราะกลัวเราตำหนิ แต่เวลาลับหลังผมกลับพบว่าลูกๆวิ่งเข้าวิ่งออกกันอย่างสนุกสนาน เพราะว่าในครัวมีของกินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนม ผลไม้ น้ำหวาน เป็นต้น โดยมิได้คำนึงถึงสิ่งที่ควรระวัง และเมื่อเวลาผ่านไปลูกๆก็ยิ่งจะชำนาญในการเข้าห้องครัวมากขึ้น สามารถใช้เก้าอี้ปีนหยิบของในที่สูงได้ ซึ่งแต่ก่อนกลับไม่กล้าทำ จนว่าหนึ่งลูกๆก็ได้ทำกาน้ำร้อนตกลงมา สร้างความเจ็บปวดให้กับลูกๆเป็นอย่างมาก หลังจากวันนั้นผมแทบไม่ต้องเตือนลูกๆเกี่ยวกับกาน้ำร้อนอีกเลย แม้กระทั่งเดินเข้าไปใกล้ไอน้ำยังไม่กล้า ไม่เหมือนก่อนโดนน้ำร้อนลวก มักชอบเอามองปัดไอน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน
ซึ่งผมคิดว่า แผลเป็นสำหรับการลงทุนนั้นสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะมีคนบอกเล่าอย่างไร อ่านมามากเท่าไหน เราก็ไม่อาจรับรู้ถึงรสชาติได้แน่ ได้แต่จินตนาการว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสมอ เปรียบเสมือน มีคนบอกว่าอาหารร้านนี้กลมกล่อมมาก ให้เราจินตนาการอย่างไรก็สู้เราลิ้มลองเองไม่ได้ การลงทุนนั้นผมมักเปรียบเสมือนว่าเรากำลังเดินเข้าไปในห้องครัว มีทั้งอาหาร ขนม กาน้ำร้อน เตาแก๊ส มีด จานชาม ซึ่งสามารถให้ทั้งความสุขและทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นถ้านักลงทุนคนใดที่คิดจะลงทุนไปตลอดชีวิต ทำไมไม่เข้าไปลองจับมีด ต้มน้ำร้อน ทำจานตกแตก เพื่อสร้างแผลเป็นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเราก็คงจะเหมือนเด็กๆที่ระมัดระวังสุดขีด ถึงจะรู้ว่ามีขนมอยู่ข้างกาน้ำ ซึ่งคิดว่าเอื้อมมือไปหยิบออกมาแล้ว น้ำก็ยังไม่น่าจะเดือด สำหรับผู้ลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น ผมคิดว่าการสร้างแผลเป็นนั้นสำคัญกว่าการสร้างผลตอบแทนเป็นอันมาก โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย ยังมีเวลาและกำลังในการทำงานอีกมาก ควรจะทุ่มเทเงินที่มากพอจะทำให้เราจดจำไปชั่วชีวิตได้ มิใช่เงินส่วนน้อยจนสร้างได้แค่แผลถลอกแล้วสักพักก็หายเอง เพราะถึงผิดพลาดอย่างหนัก เราก็ยังมีเวลาและกำลังที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ เปรียบเสมือนเราส่งเสียตนเองเรียนต่อจนจบ
อดีตการลงทุนของผม ผมมักเปรียบเหมือนกับเราถูกมีดปักบนร่างกาย หลังจากนั้นเราตั้งใจจะเป็นนักลงทุนระยะยาวเราก็สามารถทนถือได้หลายๆปี แต่เวลาผ่านไป เหมือนมีคนจับมีดค่อยๆแทงไปวันละนิดจนทะลุร่างกายเราไป เนื่องจากผมเป็นคนตั้งใจจะทำอะไรก็จะพยายามทำให้ได้ แต่เวลาผ่านไปมีดก็ถูกดึงออก และแทงเข้ามาที่จุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทรมานอย่างยาวนานที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ยังลุกขึ้นมาใหม่ ร่างกายที่บาดเจ็บทิ้งแผลเป็นไว้มากมาย ทำให้ผมระมัดระวังในการลงทุนอย่างที่สุด และยังคอยพัฒนาตัวและคอยมองหาสิ่งที่ควรระวังมากกว่าอาหารอย่างมาก ถึงตอนนี้ผมเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าผมสามารถย้อนอดีตได้ผมจะทำอย่างไร ผมคิดว่าถึงอย่างไรผมก็จะให้เหตุการ์ณทั้งหมดในอดีตเป็นเหมือนเดิมทั้งหมด เพราะผมคิดว่าดีมากสำหรัญอนาคตของผม เพราะมันทำให้ผมสงบขึ้น อวดดีลดลง รู้จักแบ่งปันมากขึ้น มีสติมากขึ้น ใจเย็นลง และสิ่งสุดท้ายคือพอเพียง เพราะแค่เราเพียงพอเราก็แทบจะพบความสุขได้ทันที และมีความสุขมากกว่าตัวเลขในพอร์ตเป็นอย่างมาก
ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขครับ
แผลเป็นอย่างที่เราทราบกัน ก็คือการบาดเจ็บของร่างกายจนมิสามารถฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้ ได้แต่ทิ้งรอยแผลไว้ชั่วชีวิต ผมคิดว่าแผลเป็นสำหรับการลงทุนนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าเราบาดเจ็บหนักขนาดเกิดแผลเป็นได้นั้น ก็คงจะสร้างความทรงจำให้เราไปตลอดชีวิตเช่นกัน ผมมักนึกถึงกาต้มน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในครัว คนที่ไม่เคยถูกน้ำร้อนลวกก็คงไม่สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าเราจะเตือนลูกๆเช่นไรว่า อย่าเข้าไปในครัวเดี๋ยวน้ำร้อนหล่นใส่ ผมก็มักจะจะเห็นว่า ลูกๆมักจะมองมาที่เราเวลาเราเตือนเท่านั้น และไม่เข้าไปในครัวเพียงเพราะกลัวเราตำหนิ แต่เวลาลับหลังผมกลับพบว่าลูกๆวิ่งเข้าวิ่งออกกันอย่างสนุกสนาน เพราะว่าในครัวมีของกินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนม ผลไม้ น้ำหวาน เป็นต้น โดยมิได้คำนึงถึงสิ่งที่ควรระวัง และเมื่อเวลาผ่านไปลูกๆก็ยิ่งจะชำนาญในการเข้าห้องครัวมากขึ้น สามารถใช้เก้าอี้ปีนหยิบของในที่สูงได้ ซึ่งแต่ก่อนกลับไม่กล้าทำ จนว่าหนึ่งลูกๆก็ได้ทำกาน้ำร้อนตกลงมา สร้างความเจ็บปวดให้กับลูกๆเป็นอย่างมาก หลังจากวันนั้นผมแทบไม่ต้องเตือนลูกๆเกี่ยวกับกาน้ำร้อนอีกเลย แม้กระทั่งเดินเข้าไปใกล้ไอน้ำยังไม่กล้า ไม่เหมือนก่อนโดนน้ำร้อนลวก มักชอบเอามองปัดไอน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน
ซึ่งผมคิดว่า แผลเป็นสำหรับการลงทุนนั้นสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะมีคนบอกเล่าอย่างไร อ่านมามากเท่าไหน เราก็ไม่อาจรับรู้ถึงรสชาติได้แน่ ได้แต่จินตนาการว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เสมอ เปรียบเสมือน มีคนบอกว่าอาหารร้านนี้กลมกล่อมมาก ให้เราจินตนาการอย่างไรก็สู้เราลิ้มลองเองไม่ได้ การลงทุนนั้นผมมักเปรียบเสมือนว่าเรากำลังเดินเข้าไปในห้องครัว มีทั้งอาหาร ขนม กาน้ำร้อน เตาแก๊ส มีด จานชาม ซึ่งสามารถให้ทั้งความสุขและทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นถ้านักลงทุนคนใดที่คิดจะลงทุนไปตลอดชีวิต ทำไมไม่เข้าไปลองจับมีด ต้มน้ำร้อน ทำจานตกแตก เพื่อสร้างแผลเป็นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเราก็คงจะเหมือนเด็กๆที่ระมัดระวังสุดขีด ถึงจะรู้ว่ามีขนมอยู่ข้างกาน้ำ ซึ่งคิดว่าเอื้อมมือไปหยิบออกมาแล้ว น้ำก็ยังไม่น่าจะเดือด สำหรับผู้ลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น ผมคิดว่าการสร้างแผลเป็นนั้นสำคัญกว่าการสร้างผลตอบแทนเป็นอันมาก โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย ยังมีเวลาและกำลังในการทำงานอีกมาก ควรจะทุ่มเทเงินที่มากพอจะทำให้เราจดจำไปชั่วชีวิตได้ มิใช่เงินส่วนน้อยจนสร้างได้แค่แผลถลอกแล้วสักพักก็หายเอง เพราะถึงผิดพลาดอย่างหนัก เราก็ยังมีเวลาและกำลังที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ เปรียบเสมือนเราส่งเสียตนเองเรียนต่อจนจบ
อดีตการลงทุนของผม ผมมักเปรียบเหมือนกับเราถูกมีดปักบนร่างกาย หลังจากนั้นเราตั้งใจจะเป็นนักลงทุนระยะยาวเราก็สามารถทนถือได้หลายๆปี แต่เวลาผ่านไป เหมือนมีคนจับมีดค่อยๆแทงไปวันละนิดจนทะลุร่างกายเราไป เนื่องจากผมเป็นคนตั้งใจจะทำอะไรก็จะพยายามทำให้ได้ แต่เวลาผ่านไปมีดก็ถูกดึงออก และแทงเข้ามาที่จุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทรมานอย่างยาวนานที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ยังลุกขึ้นมาใหม่ ร่างกายที่บาดเจ็บทิ้งแผลเป็นไว้มากมาย ทำให้ผมระมัดระวังในการลงทุนอย่างที่สุด และยังคอยพัฒนาตัวและคอยมองหาสิ่งที่ควรระวังมากกว่าอาหารอย่างมาก ถึงตอนนี้ผมเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าผมสามารถย้อนอดีตได้ผมจะทำอย่างไร ผมคิดว่าถึงอย่างไรผมก็จะให้เหตุการ์ณทั้งหมดในอดีตเป็นเหมือนเดิมทั้งหมด เพราะผมคิดว่าดีมากสำหรัญอนาคตของผม เพราะมันทำให้ผมสงบขึ้น อวดดีลดลง รู้จักแบ่งปันมากขึ้น มีสติมากขึ้น ใจเย็นลง และสิ่งสุดท้ายคือพอเพียง เพราะแค่เราเพียงพอเราก็แทบจะพบความสุขได้ทันที และมีความสุขมากกว่าตัวเลขในพอร์ตเป็นอย่างมาก
ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 16
ธุรกิจกับสิ่งมีชีวิต / ลูกหิน 0004
ธุรกิจบนโลกใบนี้มีหลากหลายลักษณะและหลายประเภทมาก ซึ่งผมมักเปรียบธุรกิจทุกประเภทกับสิ่งมีชีวิต โดยผมมักมองธุรกิจทั้งหมดจะมีช่วงวงจรชีวิตเสมือนสิ่งมีชีวิต คือ 1.อายุไข 2.ช่วงเวลาของชีวิต 3.ประเภทของสิ่งมีชีวิต
1. อายุไข ทุกธุรกิจบนโลกมักมีอายุไข ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจบางประเภทก็ต้องล้มหายตายจากไปแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยถ้าต้องการคงอยู่ ก็ต้องเปลี่ยนประเภทไปบ้าง ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า ธุรกิจบางประเภทน่าจะคงอยู่ได้ ซึ่งผมมองว่าธุรกิจที่จะอยู่ได้ต่อไป ต้องทำธุรกิจหลายประเภทเท่านั้น เช่นบริษัทปูนซีเมนไทย ที่ไม่ได้มีแต่วัสดุก่อสร้าง กระดาษ ปิโตเคมี หรือแค่พลังงานทดแทนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดปัญหากับบางประเภท จึงยังสามารถพึ่งพาและปรับเปลี่ยนได้ โดยธุรกิจบางประเภทในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่อาจมองว่าไม่มีทางหายไปได้ เช่น ถ้าพูดถึงยานพาหนะ คนทั่วโลกคงนึกถึงโตโยต้า ถ้าพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ คงนึกถึงมาม่า แต่ถ้าลองมองย้อนไปในอดีตก่อนมีรถยนตร์ ซึ่งสมัยก่อนคนใช้ม้าเป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ เจ้าของฟาร์มเพาะพันธุ์ม้าที่ใหญ่มากคงจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่ปัจจุบันเรากลับไม่พบเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ เหลือให้เห็นแต่การเพาะพันธุ์จำหน่ายเพื่อการกีฬา สวนสัตว์ หรือเพื่อการบริโภคเท่านั้น และถ้าพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทุกคนยิ่งมองว่าการที่จะล้มตายไปเป็นไปได้ยากเข้าไปใหญ่ เพราะเศรษฐกิจดี คนก็บริโภคตามค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งเติบโตมากขึ้นอีก เนื่องจากคนไม่มีเงินจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ผมมักวิเคราะห์ถึงจุดเด่นและด้อยในธุรกิจต่างๆมากกว่า เช่นถ้านักวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาสิ่งที่สามารถนำเราไปถึงที่หมายได้เร็วกว่า สะดวก ถูกกว่า และเข้าถึงได้ง่าย ยานยนตร์อาจถึงยุคที่ต้องล่มสลายลงก็เป็นได้ ซึ่งผมให้คำจำกัดความสิ่งนี้ว่า นวัตกรรมกลืนกินธุรกิจ ต่อมาคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมมักวิเคราะห์ว่า ที่ธุรกิจนี้สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นเวลานานได้ มาจากขนาดของสินค้าต่อราคา ทำให้ค่าขนส่งคือต้นทุนที่มีนัยยะกับราคาสินค้ามาก เพราะสินค้าขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับราคาซองละ 6 บาท โดยเราจะเห็นได้ว่าสินค้าราคาถูกเกือบทุกประเภทจากจีน เข้ามาขายในประเทศไทยและตีตลาดได้อย่างมาก แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศเวลานำเข้ามา กับมีราคาแพงมากกว่าหลายเท่า ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงเลือกซื้อสินค้าในประเทศ ส่วนการที่บริษัทต่างประเทศจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิต และแข่งขันได้คงใช้เวลานานมาก จนทำให้ธุรกิจในประเทศสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และทำการป้องกันได้ดี แต่ถ้านวัตกรรมพัฒนาจนลบจุดเด่นนี้ได้ ก็เป็นสิ่งที่น่าติดตาม เช่นล่าสุดโค็กเริ่มผลิตเครื่องผสมน้ำอัดลมดื่มเองที่บ้านได้ ซึ่งผมมองว่าอีกหน่อยน้ำอัดลมอาจถูกลงได้อีกเพราะราคาค่าขนส่งไม่ได้มีนัยยะที่สำคัญมากเท่าเดิมอีก ซึ่งถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับบะหมี่สำเร็จรูปอาจจะมีอะไรๆเปลี่ยนไปมากก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าธุรกิจทั้งสองประเภทนี้จะต้องล้มหายไป เพียงแต่ว่า คงต้องดูว่าธุรกิจดังกล่าวสามารถนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้มากเท่าใดต่างหาก
2. ระยะของช่วงชีวิต ผมชอบมองธุรกิจกับสิ่งมีชีวิตเป็น 3 ช่วง คือ วัยเด็ก วัยทำงาน วัยชรา
- โดยวัยเด็กมักจะมีค่าใช้จ่ายมากและไม่สามารถหาเงินได้ โดยในวัยเด็กส่วนใหญ่มักเสียเงินไปกับการกิน เที่ยว เรียน เปรียบเหมือนธุรกิจตอนเริ่มต้นมักจะต้องใช้เงินทุนสูง โดยยังไม่สามารถทำรายได้ที่มากพอ หรือคุ้มค่าในระยะเวลาอันสั้น
- วัยทำงานคือวัยที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี เสมือนเราเห็นเด็กที่เติบโตมาเรียนเก่ง สายอาชีพเป็นที่ต้องการมาก ขยันและอดทน ซึ่งถ้านักลงทุนท่านใดมองเห็นอนาคตของวัยทำงานก่อน ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี
- วัยชราคือวัยที่เริ่มป่วย ร่างกายเริ่มถอดถอย และมีแต่เสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เปรียบได้กับธุรกิจตะวันตกดินส่วนใหญ่ ที่ต้องแก้ไข ลงทุนอย่างหนัก ก่อนที่อาจจะกลับมาเกิดให้ได้อีกครั้ง
3. ประเภทของสิ่งมีชีวิต ผมมักเปรียบธุรกิจแต่ละประเภทกับสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ เช่นยุงมีอายุเจ็ดวัน ซึ่งช่วงเวลาทำงานสั้นมาก เปรียบได้กับหุ้นวัฐจักรทั่วๆไป หรือธุรกิจฉาบฉวยที่โตอย่างรวดเร็วผิดปกติ ส่วนปลาคราฟมีอายุเป็นร้อยปี ซึ่งมีหลายธุรกิจเป็นแบบนี้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักไม่ชอบที่จะลงทุนเพราะน่าเบื่อ ไม่ค่อยหวือหวา ไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมมักชอบลงทุนในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยาวมากๆไว้ก่อน เพราะเวลามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น อายุที่ยืนของธุรกิจก็สามารถรอจนถึงเวลาเหตุการ์ณสงบได้ แต่ธุรกิจที่อายุสั้นบางทีก็ไม่สามารถรอได้จนถึงเวลาดังกล่าว
โดยสรุปผมมักจะเลือกลงทุนโดยที่จะตัดวัยเด็กและวัยชราของช่วงชีวิตธุรกิจออก เพราะบางธุรกิจใช้เวลาในวัยเด็กถึงสามสี่สิบปีก็มี และเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีอายุยืน ผ่านโรคระบาดและเหตุการ์ณต่างๆที่ร้ายแรง จนได้พิสูตรแล้วว่า แกร่งพอที่จะนำพาการเจริญเติบโตให้กับเราในระยะยาวได้ครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
ธุรกิจบนโลกใบนี้มีหลากหลายลักษณะและหลายประเภทมาก ซึ่งผมมักเปรียบธุรกิจทุกประเภทกับสิ่งมีชีวิต โดยผมมักมองธุรกิจทั้งหมดจะมีช่วงวงจรชีวิตเสมือนสิ่งมีชีวิต คือ 1.อายุไข 2.ช่วงเวลาของชีวิต 3.ประเภทของสิ่งมีชีวิต
1. อายุไข ทุกธุรกิจบนโลกมักมีอายุไข ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจบางประเภทก็ต้องล้มหายตายจากไปแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยถ้าต้องการคงอยู่ ก็ต้องเปลี่ยนประเภทไปบ้าง ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า ธุรกิจบางประเภทน่าจะคงอยู่ได้ ซึ่งผมมองว่าธุรกิจที่จะอยู่ได้ต่อไป ต้องทำธุรกิจหลายประเภทเท่านั้น เช่นบริษัทปูนซีเมนไทย ที่ไม่ได้มีแต่วัสดุก่อสร้าง กระดาษ ปิโตเคมี หรือแค่พลังงานทดแทนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดปัญหากับบางประเภท จึงยังสามารถพึ่งพาและปรับเปลี่ยนได้ โดยธุรกิจบางประเภทในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่อาจมองว่าไม่มีทางหายไปได้ เช่น ถ้าพูดถึงยานพาหนะ คนทั่วโลกคงนึกถึงโตโยต้า ถ้าพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ คงนึกถึงมาม่า แต่ถ้าลองมองย้อนไปในอดีตก่อนมีรถยนตร์ ซึ่งสมัยก่อนคนใช้ม้าเป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ เจ้าของฟาร์มเพาะพันธุ์ม้าที่ใหญ่มากคงจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่ปัจจุบันเรากลับไม่พบเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ เหลือให้เห็นแต่การเพาะพันธุ์จำหน่ายเพื่อการกีฬา สวนสัตว์ หรือเพื่อการบริโภคเท่านั้น และถ้าพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทุกคนยิ่งมองว่าการที่จะล้มตายไปเป็นไปได้ยากเข้าไปใหญ่ เพราะเศรษฐกิจดี คนก็บริโภคตามค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งเติบโตมากขึ้นอีก เนื่องจากคนไม่มีเงินจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ผมมักวิเคราะห์ถึงจุดเด่นและด้อยในธุรกิจต่างๆมากกว่า เช่นถ้านักวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาสิ่งที่สามารถนำเราไปถึงที่หมายได้เร็วกว่า สะดวก ถูกกว่า และเข้าถึงได้ง่าย ยานยนตร์อาจถึงยุคที่ต้องล่มสลายลงก็เป็นได้ ซึ่งผมให้คำจำกัดความสิ่งนี้ว่า นวัตกรรมกลืนกินธุรกิจ ต่อมาคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมมักวิเคราะห์ว่า ที่ธุรกิจนี้สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นเวลานานได้ มาจากขนาดของสินค้าต่อราคา ทำให้ค่าขนส่งคือต้นทุนที่มีนัยยะกับราคาสินค้ามาก เพราะสินค้าขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับราคาซองละ 6 บาท โดยเราจะเห็นได้ว่าสินค้าราคาถูกเกือบทุกประเภทจากจีน เข้ามาขายในประเทศไทยและตีตลาดได้อย่างมาก แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศเวลานำเข้ามา กับมีราคาแพงมากกว่าหลายเท่า ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงเลือกซื้อสินค้าในประเทศ ส่วนการที่บริษัทต่างประเทศจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิต และแข่งขันได้คงใช้เวลานานมาก จนทำให้ธุรกิจในประเทศสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และทำการป้องกันได้ดี แต่ถ้านวัตกรรมพัฒนาจนลบจุดเด่นนี้ได้ ก็เป็นสิ่งที่น่าติดตาม เช่นล่าสุดโค็กเริ่มผลิตเครื่องผสมน้ำอัดลมดื่มเองที่บ้านได้ ซึ่งผมมองว่าอีกหน่อยน้ำอัดลมอาจถูกลงได้อีกเพราะราคาค่าขนส่งไม่ได้มีนัยยะที่สำคัญมากเท่าเดิมอีก ซึ่งถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับบะหมี่สำเร็จรูปอาจจะมีอะไรๆเปลี่ยนไปมากก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าธุรกิจทั้งสองประเภทนี้จะต้องล้มหายไป เพียงแต่ว่า คงต้องดูว่าธุรกิจดังกล่าวสามารถนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้มากเท่าใดต่างหาก
2. ระยะของช่วงชีวิต ผมชอบมองธุรกิจกับสิ่งมีชีวิตเป็น 3 ช่วง คือ วัยเด็ก วัยทำงาน วัยชรา
- โดยวัยเด็กมักจะมีค่าใช้จ่ายมากและไม่สามารถหาเงินได้ โดยในวัยเด็กส่วนใหญ่มักเสียเงินไปกับการกิน เที่ยว เรียน เปรียบเหมือนธุรกิจตอนเริ่มต้นมักจะต้องใช้เงินทุนสูง โดยยังไม่สามารถทำรายได้ที่มากพอ หรือคุ้มค่าในระยะเวลาอันสั้น
- วัยทำงานคือวัยที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี เสมือนเราเห็นเด็กที่เติบโตมาเรียนเก่ง สายอาชีพเป็นที่ต้องการมาก ขยันและอดทน ซึ่งถ้านักลงทุนท่านใดมองเห็นอนาคตของวัยทำงานก่อน ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี
- วัยชราคือวัยที่เริ่มป่วย ร่างกายเริ่มถอดถอย และมีแต่เสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เปรียบได้กับธุรกิจตะวันตกดินส่วนใหญ่ ที่ต้องแก้ไข ลงทุนอย่างหนัก ก่อนที่อาจจะกลับมาเกิดให้ได้อีกครั้ง
3. ประเภทของสิ่งมีชีวิต ผมมักเปรียบธุรกิจแต่ละประเภทกับสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ เช่นยุงมีอายุเจ็ดวัน ซึ่งช่วงเวลาทำงานสั้นมาก เปรียบได้กับหุ้นวัฐจักรทั่วๆไป หรือธุรกิจฉาบฉวยที่โตอย่างรวดเร็วผิดปกติ ส่วนปลาคราฟมีอายุเป็นร้อยปี ซึ่งมีหลายธุรกิจเป็นแบบนี้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักไม่ชอบที่จะลงทุนเพราะน่าเบื่อ ไม่ค่อยหวือหวา ไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมมักชอบลงทุนในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยาวมากๆไว้ก่อน เพราะเวลามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น อายุที่ยืนของธุรกิจก็สามารถรอจนถึงเวลาเหตุการ์ณสงบได้ แต่ธุรกิจที่อายุสั้นบางทีก็ไม่สามารถรอได้จนถึงเวลาดังกล่าว
โดยสรุปผมมักจะเลือกลงทุนโดยที่จะตัดวัยเด็กและวัยชราของช่วงชีวิตธุรกิจออก เพราะบางธุรกิจใช้เวลาในวัยเด็กถึงสามสี่สิบปีก็มี และเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีอายุยืน ผ่านโรคระบาดและเหตุการ์ณต่างๆที่ร้ายแรง จนได้พิสูตรแล้วว่า แกร่งพอที่จะนำพาการเจริญเติบโตให้กับเราในระยะยาวได้ครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 17
มุมมองกับการลงทุน / ลูกหิน 0005
ในความคิดของผม การลงทุนนอกจากทฤษฏีและหลักการต่างๆในการลงทุน ที่มีส่วนสำคัญในการประเมิณมูลค่ากิจการแล้ว อีกส่วนนึงที่สำคัญมากๆก็คือ มุมมองต่อสิ่งรอบข้างที่เราเห็น นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะลองใช้ผลิตภัณฑ์ ดูผู้บริหาร เข้าไปถึงบริษัท พบปะลูกค้าและพนักงาน แต่สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญสูงสุดสำหรับการลงทุนก็คือ การพัฒนามุมมองที่ชัดเจน เปรียบเสมือนเราใส่แว่นตาที่ใสสะอาดเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อเปรียบเทียบดูนะครับ
ในสมัยก่อนผมมักมองดูกิจการต่างๆว่าบริษัทนี้ดีไม่ดีอย่างไร บริษัทนี้ดีแน่ บริษัทนี้แย่แน่ๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับพบว่ามันมีทั้งถูกและผิดคละเคล้ากันไป ผมก็กลับมาพิจารณาตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น โดยมองมาที่มุมมองของตนเองเป็นหลัก โดยเปรียบเทียบง่ายๆโดย
เมื่อก่อนเวลาผมไปทานอาหารบุฟเฟ่กับเพื่อนๆ ผมก็มองว่าร้านค้าบรรยากาศดี อาหารอร่อย ราคาคุ้มค่า ซึ่งเพื่อนๆทุกคนที่เคยมาทานแล้วบอกว่าดี ซึ่งครั้งแรกที่ผมมาใช้บริการผมก็คิดตรงกันกับคนส่วนใหญ่ โดยในช่วงเวลาเดียวกันแล้วเปรียบเป็นหุ้น เราก็ตรวจสอบดูอย่างดี ทั้งสัมผัสเองและดูจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นหุ้นที่ราคาไม่แพงแล้ว สรุปเป็นแบบนี้ผมก็ซื้อหุ้นทันที แต่เมื่อผมซื้อหุ้นเสร็จแล้ว ผมก็ยังกลับใช้บริการเพื่อตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จนวันนึงผมใช้กลับบริการอีก กลับพบว่าอาหารปริมาณน้อยลง พนักงานหน้าตาปูดบึ้ง ไม้จิ้มฟันและกระดาษเช็ดชู่ก็ไม่ค่อยมี ลูกค้าก็น้อยลง เจ้าของร้านก็หงุดหงิด ซึ่งถ้าเปรียบเป็นหุ้นก็คือราคาไม่ไปไหนแถมราคายังปรับตัวลงไปอีก ผมก็สรุปอย่างง่ายๆโดยทันทีว่า เพราะบริการแบบนี้ ลดคุณภาพแบบนี้ มารยาทแบบนี้ ต้องไปไม่รอดแน่ๆ ซึ่งเปรียบกับหุ้นเราก็กลับไปขายทิ้งทันที และก็ขาดทุนไป ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้ และผมก็เฝ้าถามตนเองอยู่เสมอว่า ทำไมถึงไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ทุ่มเทวิเคราะห์ทั้งทฤษฏี และปฏิบัติอย่างเติมที่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีผมโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ปลงมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น สงบลง และเริ่มปรับมุมมองที่เราเคยคิดหรือปฏิบัติ โดยที่ผมสังเกตุได้ชัดเจนก็คือเมื่อมุมมองเปลี่ยน ความประพฤติก็จะเปลี่ยนตาม ผลก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังตัวอย่างนี้นะครับ
ผมก็ไปกินอาหารร้านใหม่ที่มีลักษณะคล้ายๆเดิม และค่อยปรับมุมมอง และสังเกตุการเปลี่ยนแปลง ว่าทำไมร้านที่ทุกอย่างดูดีตั้งแต่ต้น เมื่อผ่านไปสักพักทำไมถึงแย่ลง ผมสรุปได้ดังนี้นะครับ
เมื่อผมเข้าไปใช้บริการ ผมเห็นพนักงานเสริฟกำลังบริการกลุ่มลูกค้าที่มาก่อนหน้า โดยพนักงานเสริฟกำลังตักอาหารให้ลูกค้าปริมาณมาก ใส่ไม้จิ้มฟันและกระดาษเต็มกล่อง เจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใส่ แต่ผมพบว่าลูกค้าที่เข้าไปนั่งทานที่ร้าน กลับพูดกันว่ากินเต็มที่เอาให้คุ้ม เมื่อทานเสร็จกลุ่มเดิมก็บอกอีกว่า ไม้จิ้มฟันสะอาดมากอยู่ในห่อมิดชิด เอาไปไว้ใช้ในรถดีกว่า กระดาษเช็ดชู่นี่ก็ด้วยนุ่มดีมาก เอาไปด้วยละกัน เหลือไว้ในกล่องนิดหน่อยก็พอ หลังจากเช็คบิลเสร็จก็ไม่ทิปพนักงานเสริฟ กลับพูดว่าร้านหรูๆแบบนี้กำไรดี เค้าคงบวกไว้กลับราคาอาหารแล้ว หลักจากที่กลุ่มดังกล่าวกลับออกไป ผมกลับพบเจ้าของร้านทำหน้าเคร่งเครียด เรียกพนักงานเสิรฟไปต่อว่าหลังร้านว่า ตักอาหารให้มากขนาดนี้ขาดทุนมากเลยรู้ไหม แล้วกระดาษกลับเช็ดชู่และไม้จิ้มฟันต่อไปไม่ต้องใส่มากๆ ยอมใส่บ่อยหน่อยก็แล้วกัน พอพนักงานเสริฟออกมาจากหลังร้านด้วยอาการหงุดหงิด ผมก็ได้ยินเค้าบ่นว่า ทิปก็ไม่ได้เงินเดือนก็น้อย งานก็หนัก ทำงานก็เต็มที่แล้ว ทนไม่ไหวเดี๋ยวก็ลาออกละกัน และเดินมาบริการผมด้วยหน้าตาบูดบึ้ง และเหตุการ์ณทั้งหมดก็เกิดขึ้นเหมือนกับร้านแรกที่ผมไปทานครั้งหลัง หลังจากผมทานเสร็จผมก็ทิปให้พนักงานคนนั้นมากเป็นพิเศษ และพูดกับน้องเค้าว่าลูกค้ามีหลากหลายนะ ต้องอดทนหน่อย และก่อนออกจากร้านก็ชมเจ้าของร้านว่าอาหารอร่อยมากนะครับ สิ่งที่ผมเห็นหลังจากออกจากร้านก็คือ รอยิ้มของทั้งสองคนและต้อนรับลูกค้ารายใหม่ด้วยรอยิ้มอีกครั้ง ซึ่งผมมาคิดว่าจริงๆแล้วเมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้ เราเป็นคนทำกรรมนี้เอง และกรรมนั้นก็กลับมาที่เราเอง โดยเราขาดทุนไม่ว่าจะทำดีเท่าใดก็ตาม ถ้าไม่ปรับมุมมองในเชิงบวก เราก็จะมีแต่ความอยากได้อยากมี อยากกำไร และโลภมากจนขาดสมาธิและปัญญาในการวิเคราะห์ถึงมุมมองเชิงลึกที่รู้จักเข้าใจ ธรรมชาติของธุรกิจนั้น และรู้จักช่วงชีวิตและวัฐจักรที่รุ่งเรืองและร่วงโรย โดยทำให้เราสามารถลงทุนได้ดีในระยะยาวครับ โดยการลงทุนนั้นเมื่อเรามีมุมมองที่ชัดเจนมากขึ้น ก็จะทำให้เราเห็นผลบวกและผลลบกับกิจการที่เราลงทุนนั้น อย่างถูกช่วงถูกจังหวะนั้นเอง
ซึ่งการลงทุนในปัจจุบันของผม ผมมักใช้มุมมองเชิงบวกรู้สึกดีทั้งกับธุรกิจ ผู้บริหาร พนักงาน และผมเชื่อว่าเมื่อเรามีมุมมองเชิงบวกจิตใจเรา เราก็แจ่มใส ไม่ขุ่นมั่ว มองเห็นทุกอย่างชัดเจน เห็นทั้งช่วงเติบโตและร่วงโรยอย่างชัดเจน ผู้บริหารก็รู้สึกดีและให้การตอบรับที่ดี ซึ่งผลตอบแทนและความปลอดภัย ก็แตกต่างกับช่วงที่ลงทุนแต่ก่อนอย่างมากครับ
สำหรับเพื่อนๆนักลงทุน ผมคิดว่าถ้าลองนำมุมมองขั้นลึกและเชิงบวก มาลองประยุกใช้กับชีวิตประจำวันและการลงทุน ในระยะยาวผมคิดว่าเพื่อนๆคงจะได้รับผลตอบแทนที่ดีทั้งสองด้าน ทั้งชีวิตประจำวันและการลงทุนเป็นอย่างดีนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
ในความคิดของผม การลงทุนนอกจากทฤษฏีและหลักการต่างๆในการลงทุน ที่มีส่วนสำคัญในการประเมิณมูลค่ากิจการแล้ว อีกส่วนนึงที่สำคัญมากๆก็คือ มุมมองต่อสิ่งรอบข้างที่เราเห็น นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะลองใช้ผลิตภัณฑ์ ดูผู้บริหาร เข้าไปถึงบริษัท พบปะลูกค้าและพนักงาน แต่สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญสูงสุดสำหรับการลงทุนก็คือ การพัฒนามุมมองที่ชัดเจน เปรียบเสมือนเราใส่แว่นตาที่ใสสะอาดเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อเปรียบเทียบดูนะครับ
ในสมัยก่อนผมมักมองดูกิจการต่างๆว่าบริษัทนี้ดีไม่ดีอย่างไร บริษัทนี้ดีแน่ บริษัทนี้แย่แน่ๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับพบว่ามันมีทั้งถูกและผิดคละเคล้ากันไป ผมก็กลับมาพิจารณาตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น โดยมองมาที่มุมมองของตนเองเป็นหลัก โดยเปรียบเทียบง่ายๆโดย
เมื่อก่อนเวลาผมไปทานอาหารบุฟเฟ่กับเพื่อนๆ ผมก็มองว่าร้านค้าบรรยากาศดี อาหารอร่อย ราคาคุ้มค่า ซึ่งเพื่อนๆทุกคนที่เคยมาทานแล้วบอกว่าดี ซึ่งครั้งแรกที่ผมมาใช้บริการผมก็คิดตรงกันกับคนส่วนใหญ่ โดยในช่วงเวลาเดียวกันแล้วเปรียบเป็นหุ้น เราก็ตรวจสอบดูอย่างดี ทั้งสัมผัสเองและดูจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นหุ้นที่ราคาไม่แพงแล้ว สรุปเป็นแบบนี้ผมก็ซื้อหุ้นทันที แต่เมื่อผมซื้อหุ้นเสร็จแล้ว ผมก็ยังกลับใช้บริการเพื่อตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จนวันนึงผมใช้กลับบริการอีก กลับพบว่าอาหารปริมาณน้อยลง พนักงานหน้าตาปูดบึ้ง ไม้จิ้มฟันและกระดาษเช็ดชู่ก็ไม่ค่อยมี ลูกค้าก็น้อยลง เจ้าของร้านก็หงุดหงิด ซึ่งถ้าเปรียบเป็นหุ้นก็คือราคาไม่ไปไหนแถมราคายังปรับตัวลงไปอีก ผมก็สรุปอย่างง่ายๆโดยทันทีว่า เพราะบริการแบบนี้ ลดคุณภาพแบบนี้ มารยาทแบบนี้ ต้องไปไม่รอดแน่ๆ ซึ่งเปรียบกับหุ้นเราก็กลับไปขายทิ้งทันที และก็ขาดทุนไป ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้ และผมก็เฝ้าถามตนเองอยู่เสมอว่า ทำไมถึงไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ทุ่มเทวิเคราะห์ทั้งทฤษฏี และปฏิบัติอย่างเติมที่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีผมโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ปลงมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น สงบลง และเริ่มปรับมุมมองที่เราเคยคิดหรือปฏิบัติ โดยที่ผมสังเกตุได้ชัดเจนก็คือเมื่อมุมมองเปลี่ยน ความประพฤติก็จะเปลี่ยนตาม ผลก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังตัวอย่างนี้นะครับ
ผมก็ไปกินอาหารร้านใหม่ที่มีลักษณะคล้ายๆเดิม และค่อยปรับมุมมอง และสังเกตุการเปลี่ยนแปลง ว่าทำไมร้านที่ทุกอย่างดูดีตั้งแต่ต้น เมื่อผ่านไปสักพักทำไมถึงแย่ลง ผมสรุปได้ดังนี้นะครับ
เมื่อผมเข้าไปใช้บริการ ผมเห็นพนักงานเสริฟกำลังบริการกลุ่มลูกค้าที่มาก่อนหน้า โดยพนักงานเสริฟกำลังตักอาหารให้ลูกค้าปริมาณมาก ใส่ไม้จิ้มฟันและกระดาษเต็มกล่อง เจ้าของร้านยิ้มแย้มแจ่มใส่ แต่ผมพบว่าลูกค้าที่เข้าไปนั่งทานที่ร้าน กลับพูดกันว่ากินเต็มที่เอาให้คุ้ม เมื่อทานเสร็จกลุ่มเดิมก็บอกอีกว่า ไม้จิ้มฟันสะอาดมากอยู่ในห่อมิดชิด เอาไปไว้ใช้ในรถดีกว่า กระดาษเช็ดชู่นี่ก็ด้วยนุ่มดีมาก เอาไปด้วยละกัน เหลือไว้ในกล่องนิดหน่อยก็พอ หลังจากเช็คบิลเสร็จก็ไม่ทิปพนักงานเสริฟ กลับพูดว่าร้านหรูๆแบบนี้กำไรดี เค้าคงบวกไว้กลับราคาอาหารแล้ว หลักจากที่กลุ่มดังกล่าวกลับออกไป ผมกลับพบเจ้าของร้านทำหน้าเคร่งเครียด เรียกพนักงานเสิรฟไปต่อว่าหลังร้านว่า ตักอาหารให้มากขนาดนี้ขาดทุนมากเลยรู้ไหม แล้วกระดาษกลับเช็ดชู่และไม้จิ้มฟันต่อไปไม่ต้องใส่มากๆ ยอมใส่บ่อยหน่อยก็แล้วกัน พอพนักงานเสริฟออกมาจากหลังร้านด้วยอาการหงุดหงิด ผมก็ได้ยินเค้าบ่นว่า ทิปก็ไม่ได้เงินเดือนก็น้อย งานก็หนัก ทำงานก็เต็มที่แล้ว ทนไม่ไหวเดี๋ยวก็ลาออกละกัน และเดินมาบริการผมด้วยหน้าตาบูดบึ้ง และเหตุการ์ณทั้งหมดก็เกิดขึ้นเหมือนกับร้านแรกที่ผมไปทานครั้งหลัง หลังจากผมทานเสร็จผมก็ทิปให้พนักงานคนนั้นมากเป็นพิเศษ และพูดกับน้องเค้าว่าลูกค้ามีหลากหลายนะ ต้องอดทนหน่อย และก่อนออกจากร้านก็ชมเจ้าของร้านว่าอาหารอร่อยมากนะครับ สิ่งที่ผมเห็นหลังจากออกจากร้านก็คือ รอยิ้มของทั้งสองคนและต้อนรับลูกค้ารายใหม่ด้วยรอยิ้มอีกครั้ง ซึ่งผมมาคิดว่าจริงๆแล้วเมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้ เราเป็นคนทำกรรมนี้เอง และกรรมนั้นก็กลับมาที่เราเอง โดยเราขาดทุนไม่ว่าจะทำดีเท่าใดก็ตาม ถ้าไม่ปรับมุมมองในเชิงบวก เราก็จะมีแต่ความอยากได้อยากมี อยากกำไร และโลภมากจนขาดสมาธิและปัญญาในการวิเคราะห์ถึงมุมมองเชิงลึกที่รู้จักเข้าใจ ธรรมชาติของธุรกิจนั้น และรู้จักช่วงชีวิตและวัฐจักรที่รุ่งเรืองและร่วงโรย โดยทำให้เราสามารถลงทุนได้ดีในระยะยาวครับ โดยการลงทุนนั้นเมื่อเรามีมุมมองที่ชัดเจนมากขึ้น ก็จะทำให้เราเห็นผลบวกและผลลบกับกิจการที่เราลงทุนนั้น อย่างถูกช่วงถูกจังหวะนั้นเอง
ซึ่งการลงทุนในปัจจุบันของผม ผมมักใช้มุมมองเชิงบวกรู้สึกดีทั้งกับธุรกิจ ผู้บริหาร พนักงาน และผมเชื่อว่าเมื่อเรามีมุมมองเชิงบวกจิตใจเรา เราก็แจ่มใส ไม่ขุ่นมั่ว มองเห็นทุกอย่างชัดเจน เห็นทั้งช่วงเติบโตและร่วงโรยอย่างชัดเจน ผู้บริหารก็รู้สึกดีและให้การตอบรับที่ดี ซึ่งผลตอบแทนและความปลอดภัย ก็แตกต่างกับช่วงที่ลงทุนแต่ก่อนอย่างมากครับ
สำหรับเพื่อนๆนักลงทุน ผมคิดว่าถ้าลองนำมุมมองขั้นลึกและเชิงบวก มาลองประยุกใช้กับชีวิตประจำวันและการลงทุน ในระยะยาวผมคิดว่าเพื่อนๆคงจะได้รับผลตอบแทนที่ดีทั้งสองด้าน ทั้งชีวิตประจำวันและการลงทุนเป็นอย่างดีนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณ ท่านลูกหินมากครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 20
กิจการแห่งอนาคต / ลูกหิน 0006
สำหรับนักลงทุน สิ่งทุกคนพยายามตามหาคือกิจการที่จะเติบโต 10 เท่าใน 10 ปี ซึ่งเท่ากับราคาหุ้นต้องขึ้นต่อเนื่อง 26 % ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากที่เราจะรู้ได้ สำหรับผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดจะถูกต้องหรือไม่ คงต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สิ่งที่ผมคอยสังเกตุว่ากิจการใดที่จะเติบโตแบบนั้นได้ ผมเห็นคุณสมบัติหลายๆข้อที่ตรงกัน ที่จำเป็นต้องมีเป็นส่วนใหญ่ดังนี้
1.ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆจะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าใน 10 ปี เช่น ถ้ายอดขายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมปีนี้ 10000 ล้าน 10 ปีข้างหน้าต้องเพิ่มเป็น 30000 ล้านเป็นต้น
2. ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยากได้หรืออยากใช้ จากจิตใต้สำนึกความต้องการของผู้บริโภคเอง และยังคงอยากได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาที่ยาวนาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
3.คู่แข่งในอุตสาหกรรมกำลังลดลง ในขณะที่อุตสาหกรรมโดยรวมกำลังเติบโต ไม่ว่าจะด้วยประสบปัญหาขาดทุน ควบรวม หรืออื่นๆ
4. ตลาดไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรต่อกลุ่มดังกล่าว เช่นอาจจะมี PE เฉลี่ยต่ากว่าตลาดมาก ซึ่งอาจจะมี PE ประมาณ 10 เท่า
5. กิจการดังกล่าวสามารถก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจได้ดี โดยอาจจะได้รับผลกระทบชั่วคราว และสามารถกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมได้
6. บริษัทนั้น จะต้องสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ได้มากกว่าการเติบโตโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
7. จะต้องเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมที่เหนือคู่แข่ง และนำหน้าคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ
8. ต้องเป็นสินค้าจำเป็นไม่ฉาบฉวย หรือโตแบบชั่วคราว
9. หาบริษัทที่เป็นผู้นำที่มีลักษณะเด่น และเป็นบริษัทที่จะอยู่นำหน้าในอุตสาหกรรมใน 10 ปีข้างหน้า
ที่ผมกล่าวข้างต้นเป็นข้อสรุปโดยคร่าวๆ โดยผมจะอธิบายเพิ่มเติมดังนี้ ก่อนที่ค่ากลุ่มปลีกและกลุ่มโรงพยาบาลจะเป็นหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี ก่อนนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่กลับมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่หน้าเบื่อและไม่ไปไหน เช่น หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน ราคา กลับต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นถึงกระแสเงิน และความต้องการที่จะไหลเข้าในมาอนาคตต่างหาก แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะรู้ถึงความต้องการในปัจจุบัน ราคาหุ้นจะได้รับผลของความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกปรับค่า PE ขึ้นทั้งกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่าเป็นเมกกะเทรน แต่ในฐานะนักลงทุนคงต้องมองไปในอนาคตไม่ใช้ปัจจุบัน ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ว่าแดดกำลังจะออกหรือฝนกำลังจะตกต่างหาก
ในภาวะปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่รู้สึกลำบาก เงินไม่ค่อยพอกับค่าใช้จ่าย ซื้อของชิ้นเล็กลงและปริมาณน้อยลง มีเหตุผลมากขึ้น ยิ่งเป็นที่ยากลำบากที่จะหากิจการอุตสาหกรรมที่เติบโต ภายใต้การแข่งขันที่สูงมาก ยังไม่รวมถึงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและกระแสเงินไหลออก ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดทุนไม่มากก็น้อย แต่สำหรับผมกลับมองว่าดอกเบี้ยอาจไม่สามารถขึ้นได้มากอย่างที่ตลาดคาดหวังอีกนาน เพราะเศรษฐกิจโลกในความเป็นจริงยังเปราะบางมาก ซึ่งถึงเวลาจริงอาจจะมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบาง แต่ก็คงไม่มากดังที่ทุกคนคาดหวัง ส่วนกระแสเงินไหลออก ผมกลับมองการเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาและวิวัฒนาการของประเทศเราเป็นหลัก เช่น ในสมัยก่อนเวลาต่างประเทศขายหุ้นดัชนีก็ตกลงอย่างรุนแรง แต่ปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศมีความรู้มากขึ้น ลงทุนบนเหตุผลมากขึ้น ซึ่งทำให้ความผันผวนของตลาดทุนในประเทศลดลงอย่างมาก เหมือนกลับประเทศญี่ปุ่นเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เริ่มพัฒนาและมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จนนักลงทุนในประเทศเป็นผู้นำตลาดเอง และมีการปรับ PE พื้นฐานในประเทศอย่างโดดเด่นเป็นเวลานาน สำหรับประเทศไทยผมมองว่าส่วนหนึ่ง ปัญญาชนในประเทศเข้าสู่ยุคยากลำบาก เช่นสมัยก่อน รุ่นปู่แค่ขยันอาจรวยได้ง่ายๆ รุ่นพ่ออาจจะมองว่าซื้อตึกแถวสัก 2-3 ห้อง แล้วก็ขายวัสดุก่อสร้างหรือขายโช่วห่วยก็รวยแล้ว แต่ปัจจุบันการขยายธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เน้นยอดขาย แต่มาร์จิ้นน้อยมาก ทำให้ความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจใหม่ที่กำไรดีมากๆเกิดขึ้นได้ยากมาก ไม่ได้ง่ายอย่างในอดีต กลุ่มคนที่มีความสามารถส่วนใหญ่จึงพยายามเอาตัวรอด เพื่อให้อยู่ได้ มั่งคั่งได้ รูปแบบจึงเปลี่ยนไป โดยแทนที่จะลงทุนลงแรงเอง เสี่ยงเอง ก็เปลี่ยนมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ที่กำลังกลืนกินธุรกิจเก่าแก่ของคนรุ่นก่อน ซึ่งผมคิดว่าถ้าการทำธุรกิจนั้นไม่ยากดังปัจจุบัน ก็อาจจะมีนักลงทุนในปัจจุบันจำนวนมาก ทำธุรกิจและเป็นเศรษฐีแบบสมัยก่อนมากมาย ส่วนการพัฒนาของค่า PE ในประเทศคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก เช่น ทำไมเราไปเที่ยวบางประเทศเราต้องกินน้ำเปล่าขวดละ 20 ทั้งที่บ้านเราขวดละ 5 บาท เราก็ต้องถามตนเองว่า แล้วเราจะไปเที่ยวในประเทศนั้นหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าถ้าประเทศนั้นดีพอ ก็คงทำให้เราต้องเดินทางไป และซื้อน้ำขวดละ 20 ดื่ม เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งก็คงจะต้องกลับมาลงทุนในไม่ช้า ด้วยเหตุผลที่ว่า มาแล้วเที่ยวแล้วมีความสุข มาลงทุนแล้วมีกำไร
สำหรับผม ผมกลับมองไปที่ต้นเหตุของเงินที่กำลังจะไหลไป โดยผู้บริโภคว่าคิดอย่างไรในภาวะปัจจุบันที่ลำบากขนาดนี้ เงินที่หามาได้ หายากกว่าสมัยก่อนมากๆ โดยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เมื่อลำบากมากขึ้น ธรรมชาติก็จะสร้างระบบปกป้องตนเอง โดยมีลูกลดลง เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่มาก และจะเลี้ยงดูแบบสมัยก่อนไม่ได้ เพราะทุกคนทราบดีว่าในอนาคตการแข่งขันสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อคนเริ่มตั้งการ์ดป้องกันตนเอง นักลงทุนก็ต้องพยายามหาว่า เงินที่ได้ทุกเดือนแล้วเงินหายไปไหน ซึ่งหนี้สินที่มีมากขึ้น ยิ่งทำให้การป้องกันตัวของผู้คนยิ่งเร่งตัวเร็วมากขึ้นด้วย แถมยังรวดเร็วและยาวนาน ในฐานะของนักลงทุน เราก็ต้องพยายามหาให้ได้ว่า เมื่อผู้คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ แล้วเค้าจะเอาเงินที่หาได้ไปทำอะไรต่อไป เอาเงินไปไว้ไหน ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ได้เราก็อาจจะพบหุ้น 10 เด้ง ใน 10 ปีก็เป็นได้
ถ้าพูดถึงสภาวะโดยรวมที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และเงินอาจไหลออก ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ยิ่งต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาระยะห่างและความสมดูลย์ ระหว่างค่าเงิน เงินเฟ้อและการเติบโตของธุรกิจในประเทศ ในฐานะนักลงทุนเราก็ต้องมาดูที่กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่มีหนี้ และนำกระแสเงินสดรับล่วงหน้านำไปทำประโยชน์ได้ ต้านทานกระแสเงินไหลออกได้ มิได้มีผลกระทบต้องค่าเงินไม่ว่าจะแข็งขึ้นหรืออ่อนลง กลุ่มอุตสาหกรรมโตขึ้นโดยมาจากผู้บริโภคเป็นหลัก คู่แข่งลดลง สงครามราคาเริ่มลดลง สุดท้ายนักลงทุนที่มองเห็นก่อน รับรู้ก่อน ในอนาคตก็คงได้รับผลตอบแทนที่ดีและปลอดภัยนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
สำหรับนักลงทุน สิ่งทุกคนพยายามตามหาคือกิจการที่จะเติบโต 10 เท่าใน 10 ปี ซึ่งเท่ากับราคาหุ้นต้องขึ้นต่อเนื่อง 26 % ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากที่เราจะรู้ได้ สำหรับผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดจะถูกต้องหรือไม่ คงต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สิ่งที่ผมคอยสังเกตุว่ากิจการใดที่จะเติบโตแบบนั้นได้ ผมเห็นคุณสมบัติหลายๆข้อที่ตรงกัน ที่จำเป็นต้องมีเป็นส่วนใหญ่ดังนี้
1.ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆจะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าใน 10 ปี เช่น ถ้ายอดขายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมปีนี้ 10000 ล้าน 10 ปีข้างหน้าต้องเพิ่มเป็น 30000 ล้านเป็นต้น
2. ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยากได้หรืออยากใช้ จากจิตใต้สำนึกความต้องการของผู้บริโภคเอง และยังคงอยากได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาที่ยาวนาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
3.คู่แข่งในอุตสาหกรรมกำลังลดลง ในขณะที่อุตสาหกรรมโดยรวมกำลังเติบโต ไม่ว่าจะด้วยประสบปัญหาขาดทุน ควบรวม หรืออื่นๆ
4. ตลาดไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรต่อกลุ่มดังกล่าว เช่นอาจจะมี PE เฉลี่ยต่ากว่าตลาดมาก ซึ่งอาจจะมี PE ประมาณ 10 เท่า
5. กิจการดังกล่าวสามารถก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจได้ดี โดยอาจจะได้รับผลกระทบชั่วคราว และสามารถกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมได้
6. บริษัทนั้น จะต้องสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ได้มากกว่าการเติบโตโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
7. จะต้องเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมที่เหนือคู่แข่ง และนำหน้าคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ
8. ต้องเป็นสินค้าจำเป็นไม่ฉาบฉวย หรือโตแบบชั่วคราว
9. หาบริษัทที่เป็นผู้นำที่มีลักษณะเด่น และเป็นบริษัทที่จะอยู่นำหน้าในอุตสาหกรรมใน 10 ปีข้างหน้า
ที่ผมกล่าวข้างต้นเป็นข้อสรุปโดยคร่าวๆ โดยผมจะอธิบายเพิ่มเติมดังนี้ ก่อนที่ค่ากลุ่มปลีกและกลุ่มโรงพยาบาลจะเป็นหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี ก่อนนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่กลับมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่หน้าเบื่อและไม่ไปไหน เช่น หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน ราคา กลับต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นถึงกระแสเงิน และความต้องการที่จะไหลเข้าในมาอนาคตต่างหาก แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะรู้ถึงความต้องการในปัจจุบัน ราคาหุ้นจะได้รับผลของความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกปรับค่า PE ขึ้นทั้งกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่าเป็นเมกกะเทรน แต่ในฐานะนักลงทุนคงต้องมองไปในอนาคตไม่ใช้ปัจจุบัน ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ว่าแดดกำลังจะออกหรือฝนกำลังจะตกต่างหาก
ในภาวะปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่รู้สึกลำบาก เงินไม่ค่อยพอกับค่าใช้จ่าย ซื้อของชิ้นเล็กลงและปริมาณน้อยลง มีเหตุผลมากขึ้น ยิ่งเป็นที่ยากลำบากที่จะหากิจการอุตสาหกรรมที่เติบโต ภายใต้การแข่งขันที่สูงมาก ยังไม่รวมถึงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและกระแสเงินไหลออก ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดทุนไม่มากก็น้อย แต่สำหรับผมกลับมองว่าดอกเบี้ยอาจไม่สามารถขึ้นได้มากอย่างที่ตลาดคาดหวังอีกนาน เพราะเศรษฐกิจโลกในความเป็นจริงยังเปราะบางมาก ซึ่งถึงเวลาจริงอาจจะมีการปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบาง แต่ก็คงไม่มากดังที่ทุกคนคาดหวัง ส่วนกระแสเงินไหลออก ผมกลับมองการเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาและวิวัฒนาการของประเทศเราเป็นหลัก เช่น ในสมัยก่อนเวลาต่างประเทศขายหุ้นดัชนีก็ตกลงอย่างรุนแรง แต่ปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศมีความรู้มากขึ้น ลงทุนบนเหตุผลมากขึ้น ซึ่งทำให้ความผันผวนของตลาดทุนในประเทศลดลงอย่างมาก เหมือนกลับประเทศญี่ปุ่นเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เริ่มพัฒนาและมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จนนักลงทุนในประเทศเป็นผู้นำตลาดเอง และมีการปรับ PE พื้นฐานในประเทศอย่างโดดเด่นเป็นเวลานาน สำหรับประเทศไทยผมมองว่าส่วนหนึ่ง ปัญญาชนในประเทศเข้าสู่ยุคยากลำบาก เช่นสมัยก่อน รุ่นปู่แค่ขยันอาจรวยได้ง่ายๆ รุ่นพ่ออาจจะมองว่าซื้อตึกแถวสัก 2-3 ห้อง แล้วก็ขายวัสดุก่อสร้างหรือขายโช่วห่วยก็รวยแล้ว แต่ปัจจุบันการขยายธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เน้นยอดขาย แต่มาร์จิ้นน้อยมาก ทำให้ความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจใหม่ที่กำไรดีมากๆเกิดขึ้นได้ยากมาก ไม่ได้ง่ายอย่างในอดีต กลุ่มคนที่มีความสามารถส่วนใหญ่จึงพยายามเอาตัวรอด เพื่อให้อยู่ได้ มั่งคั่งได้ รูปแบบจึงเปลี่ยนไป โดยแทนที่จะลงทุนลงแรงเอง เสี่ยงเอง ก็เปลี่ยนมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ที่กำลังกลืนกินธุรกิจเก่าแก่ของคนรุ่นก่อน ซึ่งผมคิดว่าถ้าการทำธุรกิจนั้นไม่ยากดังปัจจุบัน ก็อาจจะมีนักลงทุนในปัจจุบันจำนวนมาก ทำธุรกิจและเป็นเศรษฐีแบบสมัยก่อนมากมาย ส่วนการพัฒนาของค่า PE ในประเทศคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก เช่น ทำไมเราไปเที่ยวบางประเทศเราต้องกินน้ำเปล่าขวดละ 20 ทั้งที่บ้านเราขวดละ 5 บาท เราก็ต้องถามตนเองว่า แล้วเราจะไปเที่ยวในประเทศนั้นหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าถ้าประเทศนั้นดีพอ ก็คงทำให้เราต้องเดินทางไป และซื้อน้ำขวดละ 20 ดื่ม เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งก็คงจะต้องกลับมาลงทุนในไม่ช้า ด้วยเหตุผลที่ว่า มาแล้วเที่ยวแล้วมีความสุข มาลงทุนแล้วมีกำไร
สำหรับผม ผมกลับมองไปที่ต้นเหตุของเงินที่กำลังจะไหลไป โดยผู้บริโภคว่าคิดอย่างไรในภาวะปัจจุบันที่ลำบากขนาดนี้ เงินที่หามาได้ หายากกว่าสมัยก่อนมากๆ โดยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เมื่อลำบากมากขึ้น ธรรมชาติก็จะสร้างระบบปกป้องตนเอง โดยมีลูกลดลง เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่มาก และจะเลี้ยงดูแบบสมัยก่อนไม่ได้ เพราะทุกคนทราบดีว่าในอนาคตการแข่งขันสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อคนเริ่มตั้งการ์ดป้องกันตนเอง นักลงทุนก็ต้องพยายามหาว่า เงินที่ได้ทุกเดือนแล้วเงินหายไปไหน ซึ่งหนี้สินที่มีมากขึ้น ยิ่งทำให้การป้องกันตัวของผู้คนยิ่งเร่งตัวเร็วมากขึ้นด้วย แถมยังรวดเร็วและยาวนาน ในฐานะของนักลงทุน เราก็ต้องพยายามหาให้ได้ว่า เมื่อผู้คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ แล้วเค้าจะเอาเงินที่หาได้ไปทำอะไรต่อไป เอาเงินไปไว้ไหน ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์ได้เราก็อาจจะพบหุ้น 10 เด้ง ใน 10 ปีก็เป็นได้
ถ้าพูดถึงสภาวะโดยรวมที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และเงินอาจไหลออก ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ยิ่งต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาระยะห่างและความสมดูลย์ ระหว่างค่าเงิน เงินเฟ้อและการเติบโตของธุรกิจในประเทศ ในฐานะนักลงทุนเราก็ต้องมาดูที่กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่มีหนี้ และนำกระแสเงินสดรับล่วงหน้านำไปทำประโยชน์ได้ ต้านทานกระแสเงินไหลออกได้ มิได้มีผลกระทบต้องค่าเงินไม่ว่าจะแข็งขึ้นหรืออ่อนลง กลุ่มอุตสาหกรรมโตขึ้นโดยมาจากผู้บริโภคเป็นหลัก คู่แข่งลดลง สงครามราคาเริ่มลดลง สุดท้ายนักลงทุนที่มองเห็นก่อน รับรู้ก่อน ในอนาคตก็คงได้รับผลตอบแทนที่ดีและปลอดภัยนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 22
ขอบคุณมากครับ
ได้แง่คิดและประสบการณ์มากมายเลยครับ
รอตามอ่านตอนต่อไปนะครับ
ได้แง่คิดและประสบการณ์มากมายเลยครับ
รอตามอ่านตอนต่อไปนะครับ
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 23
ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วงงๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะเขียนจากความนึกคิดของตัวเองนะครับ อาจจะไม่ตรงกับตำราต่างๆ ทำให้เข้าใจยากหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ (84360 ? 888 ? 6 ? 11.25 ? 8 ? 18.5 ? 29 = ? 21/08/57)
-
- Verified User
- โพสต์: 1448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณครับพี่ลูกหิน
ได้อ่านแนวคิดที่ตกผลึก และได้เรียนรู้ จาก คนที่เป็นทั้งนักลงทุน นักธุรกิจ คนสู้ชีวิต และผู้มีจิตใจดีอย่างพี่
ดีจริงๆ ครับ
ขอบคุณมากครับพี่ เราหายกันแล้วน้าาา
ออกจะยาวนิดๆ ขอ save ไว้อ่านกลับไปกลับมานะครับ
ได้อ่านแนวคิดที่ตกผลึก และได้เรียนรู้ จาก คนที่เป็นทั้งนักลงทุน นักธุรกิจ คนสู้ชีวิต และผู้มีจิตใจดีอย่างพี่
ดีจริงๆ ครับ
ขอบคุณมากครับพี่ เราหายกันแล้วน้าาา
ออกจะยาวนิดๆ ขอ save ไว้อ่านกลับไปกลับมานะครับ
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 728
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 26
เยี่ยมครับ คนที่เขียนเนื้อหาแบบนี้ได้ คงต้องมีประสบการณ์ที่ตกผลึกมาอย่างดี
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 27
มือใหม่ขอขอบคุณมากครับ ได้ทัศนคติที่ดีมากครับ
- Pyrostrikes
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1000
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 29
ผมตามอ่านมาตลอด งานเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการบงทุน และมุมมองที่สะท้อนความเป็นจริงในอดีต ปัจจุบัน และอาจรวมถึงอนาคต ได้เยี่ยมมากครับ
Nothing comes for free...
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองการลงทุนของผมครับ (ลูกหิน)
โพสต์ที่ 30
พื้นดินกับดวงดาว / ลูกหิน 0007 (04/09/2014)
ปัจจุบันผมมักมองกลุ่มคนทำกิจกรรมซื้อขายหุ้น โดยผมมักเปรียบเทียบกับมนุษย์ที่ชอบดวงดาว ผมจะยกตัวอย่างดังนี้นะครับ
คนส่วนใหญ่ชอบมองดวงดาวและไฝ่ฝันถึงดวงดาวที่สวยงาม โดยพยายามให้ได้มาสักดวง เปรียบเสมือนนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นที่เจิดจรัส สวยงาม และสูงส่ง โดยเมื่อคิดได้ดังนี้ จึงนำไปสู่ความประพฤติแบบที่ว่าดังนี้ พยายามกระโดดเพื่อไขว่คว้าดาวมาให้ได้ พยายามกระโดดให้สูงขึ้นๆ โดยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยคว้าดาวได้สักดวง และยิ่งกระโดดสูงเท่าใด ก็ตกลงมาแรงมากเท่ากับความสูงที่กระโดดขึ้นไปเท่านั้น และกระแทกพื้นบาดเจ็บมากเช่นกัน และดวงดาวก็โคจรไปเรื่อยๆไม่เคยหยุดนิ่ง สลับผลัดเปลี่ยนกันมาให้เราดูความเจิดจรัส และกระตุ้นความอยากได้ ให้มีมากขึ้นไปอีก แต่คนส่วนใหญ่กลับมิได้มองเลยว่า ตั้งแต่เกิดเราก็ยืนอยู่บนพื้นดิน ไม่ว่าเราจะกระโดดไปสูงเท่าใด เราก็ต้องกลับมาสู่พื้นดินเหมือนเดิม ผมเปรียบดวงดาวเสมือน หุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวัง โดยมนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อกระโดดขึ้นไปแล้ว ในช่วงเวลาที่ลอยตัวอยู่ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ใกล้ดวงดาวมากขึ้น เหมือนกับว่าตนจะคว้าดาวไว้ได้สักดวง แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นแค่ความฝัน เพราะไม่มีมนุษย์คนใดคว้าดาวติดมือกลับมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ที่คว้าดาวกลับลงมาได้ มันกลับไม่ใช่ดาว แต่เป็นพลุที่ถูกจุดขึ้นไปโดยมนุษย์คนอื่น ซึ่งถูกยิงขึ้นไปจากพื้นดิน สวยงามและเจิดจรัส มนุษย์ส่วนใหญ่จึงกระโดดคว้าดาวกลางอากาศ โดยในจังหวะที่ลอยตัวขึ้นไปจับ อาจจะมีแรงส่งทำให้เราลอยสูงขึ้นอีกหน่อย ซึ่งยิ่งทำให้รู้สึกดี แต่ไม่ช้าไม่นาน มนุษย์คนนั้นก็ต้องตกสู่พื้น และเมื่อมองมาที่มือ จึงได้รู้ว่าสิ่วที่ไขว่คว้าไว้ได้นั้น มิใช่ดวงดาว แต่เป็นพลุที่ทั้งกำลังจะดับลง ส่วนมือที่ถือพลุไว้ ทำให้ทั้งร้อนทั้งแสบมือมาก ซึ่งทำให้เราบาดเจ็บ แล้วสักพักก็มีพลุยิงขึ้นไปใหม่อีก ผมเปรียบสถานะการ์ณนี้กับ หุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวังนะครับ สิ่งที่นักลงทุนพึ่งระวังคือ คนที่จุดพลุ เค้าต้องใช้เงินซื้อพลุมา ถ้าเค้าจุดรอบแรกแล้วไม่คุ้ม รอบหน้าก็คงมีคนจุดพลุลดลง แต่ถ้าจุดแล้วได้ผลดี ก็จะมีคนจุดพลุมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนความหวังว่าถ้าเรากระโดดจับพลุแล้วลอยขึ้นไปต่อ โดยระหว่างนั้นรีบส่งให้บุคคลอื่น ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าเราไม่ใช่เป็นคนจุดพลุ เราไม่มีทางรู้ว่าพลุที่ซื้อมาเป็นประเภทใด จะระเบิดตอนไหน สำหรับนักลงทุน ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราไม่ควรไปเล่นกับไฟ เพราะอันตราย และสร้างความเสียหายได้อย่างมาก
ส่วนอีกมุมมองนึงที่ผมมองคือ เราเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์บก ถึงกระโดดขึ้นไปสูงแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตกลงมาสู่พื้นดินอยู่ดี ผมจึงก้มหน้าหาสิ่งที่มีอยู่และไม่เปลี่ยนแปลง นั้นก็คือพื้นดินนั้นเอง พื้นดินคือสิ่งที่เราต้องอยู่เป็นส่วนใหญ่ มิใช่ดวงดาว ผมมักก้มหน้าหาต้นไม้ที่กำลังเติบโตและยั่งยืน ค่อยๆวิเคราะห์ ค่อยๆรดน้ำ แล้วคอยดูการเจริญเติบโตของมัน เปรียบเสมือนหุ้นพื้นฐาน ซึ่งดูแล้วน่าเบื่อ ค่อยๆโต ไม่ทันใจ และไม่ตื่นเต้น แถมพื้นดินยังสกปรกอีกต่างหาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้ที่เราปลูกกลับเติบโตสูงตระหง่าน จนยอดไม้ของเราบดบังดวงดาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ และเราก็รอผลไม้ที่ออกผลงามนั้นหล่นลงมา นั่งกินอย่างมีความสุข สิ่งที่ผมคิดว่าควรทำคือ เราเป็นมนุษย์ ยืนอยู่บนพื้นดิน เราไม่ควรฝันในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ก้มหน้ามองพื้นดินซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ต้น ถึงดินจะสกปรก แต่ก็เป็นต้นกำเนิดของต้นไม้ใหญ่ เราควรหาต้นไม้ที่แข็งแรงต้านทานพายุได้ แล้วเติบโตไปกับมัน จนวันนึงกิ่งใบของต้นไม้บดบังดวงดาวที่โคจรไปเรื่อยๆ เราก็จะพบกับความสงบครับ ไม่ต้องคอยมองแสงวูบวาบให้เสียสมาธิอีก
สรุปคือ นักลงทุนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นเสียหายในหุ้น เพราะชอบเล่นหุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวัง ส่วนนักลงทุนส่วนน้อยที่จะอดทนดูหุ้นดังกล่าวขึ้นๆลงๆ โดยมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือเข้าไปยุ่ง และก้มหน้าหาต้นไม้ที่ดีและรดน้ำ พรวนดินต่อไป แถมยังอาจถูกเปรียบเทียบและดูถูกจากนักลงทุนส่วนใหญ่ สิ่งที่ผมแนะนำได้คือ ตั้งมั่นในเหตุและผล เชื่อถือในสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาแล้วด้วยหลักการ ต้องรับรู้อยู่เสมอว่านักลงทุนส่วนใหญ่เสียหายในหุ้น และมนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม
สถานะการ์ณปัจจุบัน นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มมองว่าตลาดหุ้นเมืองไทยแพง ซึ่งถูกครับเมื่อเทียบกับอดีต แต่ตลาดหุ้นคืออนาคตครับมิใช่อดีต ซึ่งผมจะอธิบายดังนี้ครับ
ภาวะปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีปัญหามาก เงินเฟ้อที่ต่ำ ดอกเบี้ยที่ต่ำ และจะต่ำต่อไปอีกนาน ซึ่งอาจจะกินเวลายาวนานเป็น 10 ปี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนแน่นอนครับ โดยผมจะอธิบายดังนี้
การที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยต่ำ เกิดจากการป้องกันตนเองของแต่ละประเทศที่มีเศรษฐกิจเปราะบาง ซึ่งไม่อาจจะขึ้นได้ง่ายๆ ซึ่งมาจากสององค์ประกอบหลักครับ
1.ผลจากการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการขยายมากๆ โดยพยายามเพิ่มยอดขาย และลดอัตรามาร์จิ้นลง แต่ทุกอย่างมิได้มาฟรีๆ โดยธุรกิจที่ขยายตัวมากขึ้น กลับทำลายชนชั้นกลางมากขึ้น โดยการแย่งลูกค้าที่เค้ามีอยู่ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักเรียกว่า economy of scale เช่น ค้าปลีกกินโชว่ห่วย ร้านวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่กินร้านห้องแถว และอันดับต่อไปคือร้านขายยาและหมอฟัน แต่จริงๆแล้วคือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งเมื่อปลาเล็กอยู่ลำบากขึ้น หากินยากขึ้น ผลก็คือ ปลาเล็กมีลูกลดลง เพิ่มคุณภาพมากขึ้น พัฒนาลูกอย่างเติมที่ เพื่อหวังว่าลูกๆจะพออยู่รอได้ในอนาคต แต่เมื่อฝูงปลาเล็กมีจำนวนลดลง ก็ทำให้ปลาใหญ่หาปลาเล็กกินลำบาก นั้นก็คือเด็กเกิดน้อยลง บริโภคลดลง ป้องกันตัวเองมากขึ้น ทำให้การหากินของปลาใหญ่มีปัญหา จนทำให้ปลาใหญ่ต้องกินกันเอง เพื่อความอยู่รอด ดังที่เราเห็นคือการปิดกิจการขนาดเล็ก และควบรวมกิจการครับ (นี่คือวัฐจักรครับ แก้ไม่ได้ครับ ซึ่งจะสลับกันเป็นวงกลมครับ คือผลกรรมวันนี้ สะท้อนผลในอนาคตครับ)
2.การปกป้องตนเองของแต่ละประเทศ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยและลดการอัดฉีด ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นอีก เพราะเมื่อเศรษฐกิจในโลกเปราะบางมาก ยิ่งทำให้ผู้บริโภคป้องกันตนเอง และแก้ยาก ตัวอย่างเช่น การฟื้นตัวของประเทศอเมริกา หลายๆคนมองว่าเริ่มฟื้น การซื้อสินค้าคงทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเรามองกันดีๆ ก็จะรู้ว่ามิได้เป็นเช่นนั้นเลย การบริโภคสินค้าคงทนมากขึ้น เช่นรถยนตร์ อาจจะเกิดจากการอั้นมานาน เช่นถ้าเราเห็นเศรษฐกิจไม่ดี เราคงทนใช้รถเก่า เราก็ต้องถามตัวเองว่า แล้วเราจะทนได้นานแค่ไหน 8 ปีหรือ 10 ปีดี วิกฤติซับไพร์มเกิดขึ้นมา 6 ปีแล้ว การที่เราเห็นผู้คนเริ่มซื้อ ไม่ได้หมายถึงฟื้นตัว อาจจะเกิดจากทนใช้ของเก่าไม่ไหว เพราะมีปัญหามากก็เป็นได้ และการโตที่เกิดขึ้นยังเกิดจากฐานที่ต่ำในปีก่อนด้วย ส่วนอัตราว่างงานที่ลดลง ถ้าลงลึกไปดูกันจริงๆ ตัวเลขลดลงเล็กน้อย แต่ความจริงคนผู้คนบางส่วนสิ้นหวัง และเริ่มหาอาชีพอิสระทำกันมากกว่าครับ จะได้ไม่ต้องอยู่ในกฏระเบียบของการจัดหางาน ส่วนประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว) ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรคนก็ไม่ยอมใช้เงิน เพราะสิ่งที่เค้าปลูกฝั่งกันมาคือ ความรู้ที่ดีเลิศและมีเหตุผล ทำให้การใช้เงินแบบไร้เหตุผลยิ่งยากขึ้นไปอีก ซึ่งญี่ปุ่นคงไม่สามารถทำให้เงินสะพัด และขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในเวลาอันใกล้ นอกจากต้องรอประเทศอื่นๆเติบโตเข้ามาใกล้เคียงกับญี่ปุ่น ซึ่งคงใช้เวลาอีกเป็น 10 ปี การที่ประเทศส่วนใหญ่ทั้งโลก เสพติดต้นทุนทางการเงินที่ต่ำอย่างยาวนาน บวกกับเศรษฐกิจเปราะบาง คนส่วนใหญ่เข้าสู่วัยชรา และการเสพติดดอกเบี้ยต่ำของกิจการขนาดใหญ่ของโลก คงไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยง่าย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ในความคิดของผมคือ อัตราเงินเฟ้อต่ำมากในทั่วโลก ทำให้แรงผักดันในการขึ้นดอกเบี้ยยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นไปอีก เศรษฐกิจโลกคงเติบโตช้ามาก การแย่งชิ่งกันลดค่าเงินของประเทศที่พัฒนา เพื่อให้ตนเองสามารถส่งออก โดยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ก็คือ QE ที่จะเกิดขึ้นในประเทศชั้นนำวนเวียนกันไป ทั้งทางลับและเปิดเผย และบางประเทศอาจจะมีการอัดฉีดเพิ่มซ้ำหลายรอบก็เป็นได้ ซึ่งเวลาเราวิเคราะห์กิจการ เรามักดูว่าผลกระทบกับกิจการที่เราสนใจนั้น ชั่วคราวหรือถาวร นักลงทุนที่ดีก็ควรคิดว่าผลที่เกิดขึ้นกับโลก เป็นชั่วคราวหรือถาวร ถ้า 10 ปีผมถือว่าค่อนข้างมีผลกระทบในระยะยาวครับ จึงทำให้เราต้องมาประเมินการลงทุนเราใหม่ เพื่อตามให้ทันโลกครับ ส่วนผลที่เริ่มเกิดขึ้นกับตลาดทุนคือ ค่าพีอีเฉลี่ยหุ้นทั่วโลกจะถูกปรับตัวขึ้นในระยะยาวครับ การที่เรายึดติดกับอดีต ก็อาจจะทำให้เราผิดพลาดการลงทุนที่ดีก็เป็นได้ครับ ซึ่งในฐานะนักลงทุน ผมก็คงต้องก้มหน้าปลูกต้นไม้ต่อ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อ ส่วนที่นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่า หุ้นตัวเล็กตัวน้อยมีแรงเก็งกำไรกันอย่างมาก ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้น แต่ผมคิดว่าเมื่อวันนึงพลุที่ถืออยู่แตก หรือเกิดเหตุการ์ณดาวตก ผู้คนที่อยู่บนพื้นดินคงแตกตื่น วิ่งกันโกลาหล ซึ่งแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พื้นดินสั่นไหวและทำให้ต้นไม้ที่ผมปลูกไหวแอ่นไปบ้าง แต่เหตุการ์ณดังกล่าวเมื่อผ่านพ้นไป ผู้คนหนีหายหมด พื้นดินหยุดสั่นไหว ผมก็คงนั่งอยู่กินผลไม้อยู่ใต้ต้นไม้ที่เดิมครับ เพราะผมก็คงไม่คาดเดาตลาดหรือรอวันดาวตก เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด และเป็นไปในรู้แบบใด สิ่งที่ผมทำในปัจจุบันก็คือ ระวัง ระวัง และก็ระวังครับ
ตัวอย่างเช่นถ้าดอกเบี้ยยังคงต่ำต่อไปอีก 10 ปี หมายถึงว่า เราอาจจะได้ผลตอบแทนจากการฝากเงินประมาณ 2 เปอร์เซ็นกว่า แต่การลงทุน ถ้าเราสามารถเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง แต่เติบโตปีละ 2-3 เปอร์เซ็น ปันผลอีกสัก 2-3 เปอร์เซ็น เราก็อาจจะคุ้มค่าก็ได้ครับ ในปัจจุบัน ยิ่งเงินเฟ้อต่ำย่อมส่งผลเสียต่อธุรกิจ เพราะราคาสินค้าส่วนใหญ่อยู่กับที่ และบางอย่างกลับลดราคาลงอีก ซึ่งถ้าเราสังเกตุดีๆ เราจะเห็นว่าสินค้าในหลายหมวดถูกลงมิใช่แพงขึ้นครับ ซึ่งการที่เราจะคาดหวัง หรือหาบริษัทที่เติบโตมากๆและยั่งยืนแบบในอดีต คงไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม นักลงทุนที่ดีคงต้องทำงานหนักขึ้นหลาย 10 เท่า ในการจะหาต้นไม้ดีๆสักต้น เพราะหายากและราคาแพงครับ สิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ก็คือการปรับค่าพีอีเฉลี่ยทั่วโลกขึ้นอย่างระยะยาว และนักลงทุนก็ต้องรับฟังข่าวอยู่ตลอดว่า เราจะลดคีอี เราจะขึ้นดอกเบี้ย พอถึงเวลาจริงก็มักจะเลื่อนออกไปเรื่อยๆ และบางประเทศก็ใช้คิวอีเพิ่มอีก ไม่ใช่ลดลง ดอกเบี้ยก็อาจจะอยู่กับที่ซะส่วนใหญ่ ถึงขึ้นไปก็ไม่สามารถขึ้นได้มาก และในบางครั้งอาจจะปรับลดลง เพื่อกดค่าเงินในประเทศตนเองให้ได้เปรียบทางการแข่งขัน แล้วประเทศยักษ์ใหญ่จะขึ้นดอกเบี้ยได้มากจริงหรือไม่ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมวิเคราะห์ในเชิงลึกด้วยตนเองมิได้อ้างอิงจากที่ใดครับ อาจผิดก็ได้นะครับ แต่หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนท่านอื่นๆไม่มากก็น้อยนะครับ
ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังเข้ามาในตลาด ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
1.คนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นเสียหายในหุ้น แล้วเราอยากจะเป็นคนส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย ถ้ายากเป็นคนส่วนน้อยเราก็ต้องไม่ทำพฤติกรรมเหมือนคนส่วนใหญ่ครับ
2.ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ นักลงทุนเก่งๆมีมาก มากจนขุดหุ้นทุกตัวขึ้นมากวางบนโต๊ะเกือบจะหมดแล้ว หลายๆตัวมีราคาแพง และหุ้นส่วนใหญ่มีราคาที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มค่าในการลงทุน
3.ถ้าผู้ที่พึ่งเข้าตลาดมาไม่ถึงปี แล้วอ่านงบการเงินบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง สักพักเรากลับบอกว่า เราเจอบริษัทโน่นดี เราเจอบริษัทนี้ดี ผมว่าอาจเป็นเพราะ เรายังวิเคราะห์ไม่รอบด้านพอ หรือมองโลกสวยงามเกินไปครับ เพราะสิ่งที่ผมเห็น นักลงทุนที่เก่งๆส่วนใหญ่ มีประสบการ์ณที่ยาวนาน มีความรู้สะสมมาเป็นเวลานาน เอาจริงเอาจังในการค้นหา ยังต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะหาบริษัทที่ดีในราคาเหมาะสมได้สักบริษัท ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ ยอมรับว่า สมัยนี้หาได้ยากมาก และอันตรายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เราต้องตระนักว่า ถ้าหาง่ายอย่างนั้น คนรวยคงท่วมโลกแล้วนะครับ ด้วยความเป็นห่วงอย่างมากครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขครับ
ปัจจุบันผมมักมองกลุ่มคนทำกิจกรรมซื้อขายหุ้น โดยผมมักเปรียบเทียบกับมนุษย์ที่ชอบดวงดาว ผมจะยกตัวอย่างดังนี้นะครับ
คนส่วนใหญ่ชอบมองดวงดาวและไฝ่ฝันถึงดวงดาวที่สวยงาม โดยพยายามให้ได้มาสักดวง เปรียบเสมือนนักลงทุนที่ต้องการซื้อหุ้นที่เจิดจรัส สวยงาม และสูงส่ง โดยเมื่อคิดได้ดังนี้ จึงนำไปสู่ความประพฤติแบบที่ว่าดังนี้ พยายามกระโดดเพื่อไขว่คว้าดาวมาให้ได้ พยายามกระโดดให้สูงขึ้นๆ โดยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยคว้าดาวได้สักดวง และยิ่งกระโดดสูงเท่าใด ก็ตกลงมาแรงมากเท่ากับความสูงที่กระโดดขึ้นไปเท่านั้น และกระแทกพื้นบาดเจ็บมากเช่นกัน และดวงดาวก็โคจรไปเรื่อยๆไม่เคยหยุดนิ่ง สลับผลัดเปลี่ยนกันมาให้เราดูความเจิดจรัส และกระตุ้นความอยากได้ ให้มีมากขึ้นไปอีก แต่คนส่วนใหญ่กลับมิได้มองเลยว่า ตั้งแต่เกิดเราก็ยืนอยู่บนพื้นดิน ไม่ว่าเราจะกระโดดไปสูงเท่าใด เราก็ต้องกลับมาสู่พื้นดินเหมือนเดิม ผมเปรียบดวงดาวเสมือน หุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวัง โดยมนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อกระโดดขึ้นไปแล้ว ในช่วงเวลาที่ลอยตัวอยู่ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ใกล้ดวงดาวมากขึ้น เหมือนกับว่าตนจะคว้าดาวไว้ได้สักดวง แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นแค่ความฝัน เพราะไม่มีมนุษย์คนใดคว้าดาวติดมือกลับมาได้ ซึ่งส่วนใหญ่ที่คว้าดาวกลับลงมาได้ มันกลับไม่ใช่ดาว แต่เป็นพลุที่ถูกจุดขึ้นไปโดยมนุษย์คนอื่น ซึ่งถูกยิงขึ้นไปจากพื้นดิน สวยงามและเจิดจรัส มนุษย์ส่วนใหญ่จึงกระโดดคว้าดาวกลางอากาศ โดยในจังหวะที่ลอยตัวขึ้นไปจับ อาจจะมีแรงส่งทำให้เราลอยสูงขึ้นอีกหน่อย ซึ่งยิ่งทำให้รู้สึกดี แต่ไม่ช้าไม่นาน มนุษย์คนนั้นก็ต้องตกสู่พื้น และเมื่อมองมาที่มือ จึงได้รู้ว่าสิ่วที่ไขว่คว้าไว้ได้นั้น มิใช่ดวงดาว แต่เป็นพลุที่ทั้งกำลังจะดับลง ส่วนมือที่ถือพลุไว้ ทำให้ทั้งร้อนทั้งแสบมือมาก ซึ่งทำให้เราบาดเจ็บ แล้วสักพักก็มีพลุยิงขึ้นไปใหม่อีก ผมเปรียบสถานะการ์ณนี้กับ หุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวังนะครับ สิ่งที่นักลงทุนพึ่งระวังคือ คนที่จุดพลุ เค้าต้องใช้เงินซื้อพลุมา ถ้าเค้าจุดรอบแรกแล้วไม่คุ้ม รอบหน้าก็คงมีคนจุดพลุลดลง แต่ถ้าจุดแล้วได้ผลดี ก็จะมีคนจุดพลุมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนความหวังว่าถ้าเรากระโดดจับพลุแล้วลอยขึ้นไปต่อ โดยระหว่างนั้นรีบส่งให้บุคคลอื่น ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าเราไม่ใช่เป็นคนจุดพลุ เราไม่มีทางรู้ว่าพลุที่ซื้อมาเป็นประเภทใด จะระเบิดตอนไหน สำหรับนักลงทุน ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราไม่ควรไปเล่นกับไฟ เพราะอันตราย และสร้างความเสียหายได้อย่างมาก
ส่วนอีกมุมมองนึงที่ผมมองคือ เราเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์บก ถึงกระโดดขึ้นไปสูงแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตกลงมาสู่พื้นดินอยู่ดี ผมจึงก้มหน้าหาสิ่งที่มีอยู่และไม่เปลี่ยนแปลง นั้นก็คือพื้นดินนั้นเอง พื้นดินคือสิ่งที่เราต้องอยู่เป็นส่วนใหญ่ มิใช่ดวงดาว ผมมักก้มหน้าหาต้นไม้ที่กำลังเติบโตและยั่งยืน ค่อยๆวิเคราะห์ ค่อยๆรดน้ำ แล้วคอยดูการเจริญเติบโตของมัน เปรียบเสมือนหุ้นพื้นฐาน ซึ่งดูแล้วน่าเบื่อ ค่อยๆโต ไม่ทันใจ และไม่ตื่นเต้น แถมพื้นดินยังสกปรกอีกต่างหาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้ที่เราปลูกกลับเติบโตสูงตระหง่าน จนยอดไม้ของเราบดบังดวงดาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ และเราก็รอผลไม้ที่ออกผลงามนั้นหล่นลงมา นั่งกินอย่างมีความสุข สิ่งที่ผมคิดว่าควรทำคือ เราเป็นมนุษย์ ยืนอยู่บนพื้นดิน เราไม่ควรฝันในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ก้มหน้ามองพื้นดินซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ต้น ถึงดินจะสกปรก แต่ก็เป็นต้นกำเนิดของต้นไม้ใหญ่ เราควรหาต้นไม้ที่แข็งแรงต้านทานพายุได้ แล้วเติบโตไปกับมัน จนวันนึงกิ่งใบของต้นไม้บดบังดวงดาวที่โคจรไปเรื่อยๆ เราก็จะพบกับความสงบครับ ไม่ต้องคอยมองแสงวูบวาบให้เสียสมาธิอีก
สรุปคือ นักลงทุนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นเสียหายในหุ้น เพราะชอบเล่นหุ้นปั่น หุ้นในกระแส และหุ้นแห่งความหวัง ส่วนนักลงทุนส่วนน้อยที่จะอดทนดูหุ้นดังกล่าวขึ้นๆลงๆ โดยมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือเข้าไปยุ่ง และก้มหน้าหาต้นไม้ที่ดีและรดน้ำ พรวนดินต่อไป แถมยังอาจถูกเปรียบเทียบและดูถูกจากนักลงทุนส่วนใหญ่ สิ่งที่ผมแนะนำได้คือ ตั้งมั่นในเหตุและผล เชื่อถือในสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาแล้วด้วยหลักการ ต้องรับรู้อยู่เสมอว่านักลงทุนส่วนใหญ่เสียหายในหุ้น และมนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม
สถานะการ์ณปัจจุบัน นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มมองว่าตลาดหุ้นเมืองไทยแพง ซึ่งถูกครับเมื่อเทียบกับอดีต แต่ตลาดหุ้นคืออนาคตครับมิใช่อดีต ซึ่งผมจะอธิบายดังนี้ครับ
ภาวะปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีปัญหามาก เงินเฟ้อที่ต่ำ ดอกเบี้ยที่ต่ำ และจะต่ำต่อไปอีกนาน ซึ่งอาจจะกินเวลายาวนานเป็น 10 ปี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนแน่นอนครับ โดยผมจะอธิบายดังนี้
การที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยต่ำ เกิดจากการป้องกันตนเองของแต่ละประเทศที่มีเศรษฐกิจเปราะบาง ซึ่งไม่อาจจะขึ้นได้ง่ายๆ ซึ่งมาจากสององค์ประกอบหลักครับ
1.ผลจากการที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการขยายมากๆ โดยพยายามเพิ่มยอดขาย และลดอัตรามาร์จิ้นลง แต่ทุกอย่างมิได้มาฟรีๆ โดยธุรกิจที่ขยายตัวมากขึ้น กลับทำลายชนชั้นกลางมากขึ้น โดยการแย่งลูกค้าที่เค้ามีอยู่ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักเรียกว่า economy of scale เช่น ค้าปลีกกินโชว่ห่วย ร้านวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่กินร้านห้องแถว และอันดับต่อไปคือร้านขายยาและหมอฟัน แต่จริงๆแล้วคือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งเมื่อปลาเล็กอยู่ลำบากขึ้น หากินยากขึ้น ผลก็คือ ปลาเล็กมีลูกลดลง เพิ่มคุณภาพมากขึ้น พัฒนาลูกอย่างเติมที่ เพื่อหวังว่าลูกๆจะพออยู่รอได้ในอนาคต แต่เมื่อฝูงปลาเล็กมีจำนวนลดลง ก็ทำให้ปลาใหญ่หาปลาเล็กกินลำบาก นั้นก็คือเด็กเกิดน้อยลง บริโภคลดลง ป้องกันตัวเองมากขึ้น ทำให้การหากินของปลาใหญ่มีปัญหา จนทำให้ปลาใหญ่ต้องกินกันเอง เพื่อความอยู่รอด ดังที่เราเห็นคือการปิดกิจการขนาดเล็ก และควบรวมกิจการครับ (นี่คือวัฐจักรครับ แก้ไม่ได้ครับ ซึ่งจะสลับกันเป็นวงกลมครับ คือผลกรรมวันนี้ สะท้อนผลในอนาคตครับ)
2.การปกป้องตนเองของแต่ละประเทศ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยและลดการอัดฉีด ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นอีก เพราะเมื่อเศรษฐกิจในโลกเปราะบางมาก ยิ่งทำให้ผู้บริโภคป้องกันตนเอง และแก้ยาก ตัวอย่างเช่น การฟื้นตัวของประเทศอเมริกา หลายๆคนมองว่าเริ่มฟื้น การซื้อสินค้าคงทนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเรามองกันดีๆ ก็จะรู้ว่ามิได้เป็นเช่นนั้นเลย การบริโภคสินค้าคงทนมากขึ้น เช่นรถยนตร์ อาจจะเกิดจากการอั้นมานาน เช่นถ้าเราเห็นเศรษฐกิจไม่ดี เราคงทนใช้รถเก่า เราก็ต้องถามตัวเองว่า แล้วเราจะทนได้นานแค่ไหน 8 ปีหรือ 10 ปีดี วิกฤติซับไพร์มเกิดขึ้นมา 6 ปีแล้ว การที่เราเห็นผู้คนเริ่มซื้อ ไม่ได้หมายถึงฟื้นตัว อาจจะเกิดจากทนใช้ของเก่าไม่ไหว เพราะมีปัญหามากก็เป็นได้ และการโตที่เกิดขึ้นยังเกิดจากฐานที่ต่ำในปีก่อนด้วย ส่วนอัตราว่างงานที่ลดลง ถ้าลงลึกไปดูกันจริงๆ ตัวเลขลดลงเล็กน้อย แต่ความจริงคนผู้คนบางส่วนสิ้นหวัง และเริ่มหาอาชีพอิสระทำกันมากกว่าครับ จะได้ไม่ต้องอยู่ในกฏระเบียบของการจัดหางาน ส่วนประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว) ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรคนก็ไม่ยอมใช้เงิน เพราะสิ่งที่เค้าปลูกฝั่งกันมาคือ ความรู้ที่ดีเลิศและมีเหตุผล ทำให้การใช้เงินแบบไร้เหตุผลยิ่งยากขึ้นไปอีก ซึ่งญี่ปุ่นคงไม่สามารถทำให้เงินสะพัด และขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในเวลาอันใกล้ นอกจากต้องรอประเทศอื่นๆเติบโตเข้ามาใกล้เคียงกับญี่ปุ่น ซึ่งคงใช้เวลาอีกเป็น 10 ปี การที่ประเทศส่วนใหญ่ทั้งโลก เสพติดต้นทุนทางการเงินที่ต่ำอย่างยาวนาน บวกกับเศรษฐกิจเปราะบาง คนส่วนใหญ่เข้าสู่วัยชรา และการเสพติดดอกเบี้ยต่ำของกิจการขนาดใหญ่ของโลก คงไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยง่าย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ในความคิดของผมคือ อัตราเงินเฟ้อต่ำมากในทั่วโลก ทำให้แรงผักดันในการขึ้นดอกเบี้ยยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นไปอีก เศรษฐกิจโลกคงเติบโตช้ามาก การแย่งชิ่งกันลดค่าเงินของประเทศที่พัฒนา เพื่อให้ตนเองสามารถส่งออก โดยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ก็คือ QE ที่จะเกิดขึ้นในประเทศชั้นนำวนเวียนกันไป ทั้งทางลับและเปิดเผย และบางประเทศอาจจะมีการอัดฉีดเพิ่มซ้ำหลายรอบก็เป็นได้ ซึ่งเวลาเราวิเคราะห์กิจการ เรามักดูว่าผลกระทบกับกิจการที่เราสนใจนั้น ชั่วคราวหรือถาวร นักลงทุนที่ดีก็ควรคิดว่าผลที่เกิดขึ้นกับโลก เป็นชั่วคราวหรือถาวร ถ้า 10 ปีผมถือว่าค่อนข้างมีผลกระทบในระยะยาวครับ จึงทำให้เราต้องมาประเมินการลงทุนเราใหม่ เพื่อตามให้ทันโลกครับ ส่วนผลที่เริ่มเกิดขึ้นกับตลาดทุนคือ ค่าพีอีเฉลี่ยหุ้นทั่วโลกจะถูกปรับตัวขึ้นในระยะยาวครับ การที่เรายึดติดกับอดีต ก็อาจจะทำให้เราผิดพลาดการลงทุนที่ดีก็เป็นได้ครับ ซึ่งในฐานะนักลงทุน ผมก็คงต้องก้มหน้าปลูกต้นไม้ต่อ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อ ส่วนที่นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่า หุ้นตัวเล็กตัวน้อยมีแรงเก็งกำไรกันอย่างมาก ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้น แต่ผมคิดว่าเมื่อวันนึงพลุที่ถืออยู่แตก หรือเกิดเหตุการ์ณดาวตก ผู้คนที่อยู่บนพื้นดินคงแตกตื่น วิ่งกันโกลาหล ซึ่งแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พื้นดินสั่นไหวและทำให้ต้นไม้ที่ผมปลูกไหวแอ่นไปบ้าง แต่เหตุการ์ณดังกล่าวเมื่อผ่านพ้นไป ผู้คนหนีหายหมด พื้นดินหยุดสั่นไหว ผมก็คงนั่งอยู่กินผลไม้อยู่ใต้ต้นไม้ที่เดิมครับ เพราะผมก็คงไม่คาดเดาตลาดหรือรอวันดาวตก เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด และเป็นไปในรู้แบบใด สิ่งที่ผมทำในปัจจุบันก็คือ ระวัง ระวัง และก็ระวังครับ
ตัวอย่างเช่นถ้าดอกเบี้ยยังคงต่ำต่อไปอีก 10 ปี หมายถึงว่า เราอาจจะได้ผลตอบแทนจากการฝากเงินประมาณ 2 เปอร์เซ็นกว่า แต่การลงทุน ถ้าเราสามารถเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง แต่เติบโตปีละ 2-3 เปอร์เซ็น ปันผลอีกสัก 2-3 เปอร์เซ็น เราก็อาจจะคุ้มค่าก็ได้ครับ ในปัจจุบัน ยิ่งเงินเฟ้อต่ำย่อมส่งผลเสียต่อธุรกิจ เพราะราคาสินค้าส่วนใหญ่อยู่กับที่ และบางอย่างกลับลดราคาลงอีก ซึ่งถ้าเราสังเกตุดีๆ เราจะเห็นว่าสินค้าในหลายหมวดถูกลงมิใช่แพงขึ้นครับ ซึ่งการที่เราจะคาดหวัง หรือหาบริษัทที่เติบโตมากๆและยั่งยืนแบบในอดีต คงไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม นักลงทุนที่ดีคงต้องทำงานหนักขึ้นหลาย 10 เท่า ในการจะหาต้นไม้ดีๆสักต้น เพราะหายากและราคาแพงครับ สิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ก็คือการปรับค่าพีอีเฉลี่ยทั่วโลกขึ้นอย่างระยะยาว และนักลงทุนก็ต้องรับฟังข่าวอยู่ตลอดว่า เราจะลดคีอี เราจะขึ้นดอกเบี้ย พอถึงเวลาจริงก็มักจะเลื่อนออกไปเรื่อยๆ และบางประเทศก็ใช้คิวอีเพิ่มอีก ไม่ใช่ลดลง ดอกเบี้ยก็อาจจะอยู่กับที่ซะส่วนใหญ่ ถึงขึ้นไปก็ไม่สามารถขึ้นได้มาก และในบางครั้งอาจจะปรับลดลง เพื่อกดค่าเงินในประเทศตนเองให้ได้เปรียบทางการแข่งขัน แล้วประเทศยักษ์ใหญ่จะขึ้นดอกเบี้ยได้มากจริงหรือไม่ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมวิเคราะห์ในเชิงลึกด้วยตนเองมิได้อ้างอิงจากที่ใดครับ อาจผิดก็ได้นะครับ แต่หวังว่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนท่านอื่นๆไม่มากก็น้อยนะครับ
ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังเข้ามาในตลาด ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
1.คนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นเสียหายในหุ้น แล้วเราอยากจะเป็นคนส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย ถ้ายากเป็นคนส่วนน้อยเราก็ต้องไม่ทำพฤติกรรมเหมือนคนส่วนใหญ่ครับ
2.ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ นักลงทุนเก่งๆมีมาก มากจนขุดหุ้นทุกตัวขึ้นมากวางบนโต๊ะเกือบจะหมดแล้ว หลายๆตัวมีราคาแพง และหุ้นส่วนใหญ่มีราคาที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มค่าในการลงทุน
3.ถ้าผู้ที่พึ่งเข้าตลาดมาไม่ถึงปี แล้วอ่านงบการเงินบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง สักพักเรากลับบอกว่า เราเจอบริษัทโน่นดี เราเจอบริษัทนี้ดี ผมว่าอาจเป็นเพราะ เรายังวิเคราะห์ไม่รอบด้านพอ หรือมองโลกสวยงามเกินไปครับ เพราะสิ่งที่ผมเห็น นักลงทุนที่เก่งๆส่วนใหญ่ มีประสบการ์ณที่ยาวนาน มีความรู้สะสมมาเป็นเวลานาน เอาจริงเอาจังในการค้นหา ยังต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะหาบริษัทที่ดีในราคาเหมาะสมได้สักบริษัท ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ ยอมรับว่า สมัยนี้หาได้ยากมาก และอันตรายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เราต้องตระนักว่า ถ้าหาง่ายอย่างนั้น คนรวยคงท่วมโลกแล้วนะครับ ด้วยความเป็นห่วงอย่างมากครับ
ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขครับ