ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ
โดย
พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ การบันทึกเสียงวันนี้ไม่ใช่เสียงธรรมะปกติ แต่ทว่าเป็นเสียงที่จะระงับเสียงสะเทือนใจบรรดาชาวไทยทั้งหลาย เพราะว่าในเวลานี้ปรากกว่า มีหนังสือบ้าง มีเสียงพูดบ้าง มีการเล่าลือกันบ้างว่าเป็นวันสิ้นชาติไทย คือเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ปีนั้นเป็นปีสิ้นชาติไทย และก็เป็นวันสิ้นชาติไทย
ข่าวนี้สร้างความสะเทือนใจของบรรดาประชาชนชาวไทยส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามโรงเรียนต่างๆ มีนักเรียนส่วนมากได้อ่านแล้ว ได้ฟังแล้วรู้สึกหนักใจ แม้แต่ท่านที่เป็นบิดา มารดา และเป็นผู้ปกครองของนักเรียนทั้งหลาย ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมาปรารภให้อาตมาฟัง อาตมาเองก็ไม่ได้ฟังมาโดยตรงว่าเสียงที่พูดเป็นเสียงจากผู้ใด และก็หนังสือนั้นเป็นหนังสือมาจากไหน หนังสือก็ไม่ได้อ่าน เสียงที่ฟังพูดก็ไม่ได้ฟังพูด แต่ว่ารับฟังจากคนที่รับฟังต่อมาอีกทีหนึ่ง
ตามข่าวบอกว่า เดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ข่าวเขาเล่าลือกันมาว่า กองทัพญวนประมาณ ๑๖ กองพลจะเคลื่อนเข้าทางอรัญประเทศ กองทัพไทยจะตีต่อสู้อยู่เป็นเวลา ๓ วัน ทัพไทยต้องถอย และกองทัพญวนจะยึดจังหวัดนครนายกได้ หลังจากนั้น กองทัพจีนก็จะเข้าทางประเทศลาว ตีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงนครราชสีมา ตั้งขึ้นเป็นรัฐอีกรัฐหนึ่ง ของไทยตัดเป็นตอนหนึ่ง ญวนตั้งไว้ตอนหนึ่ง จีนตั้งตอนหนึ่ง
แล้วต่อมากองทัพเรือของสหรัฐที่อยู่ในน่านน้ำไทยเป็นเรือผิวน้ำบ้าง เป็นเรือดำน้ำบ้าง ก็จะปรากฏตัวขึ้น จะปล่อยเครื่องบินขาวพรึบไปในท้องฟ้า คนไทยต่างพากันดีใจว่าเวลานี้เพื่อนของเรามีแล้ว สามารถจะทรงตัวได้ แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือกองทัพเรือของรัสเซีย จะปรากฏขึ้นทางภูเก็ต ตีจากภูเก็ตมาถึงสุราษฎร์ธานี ตัดตอนประเทศไทยภาคใต้ไปอีกตอนหนึ่ง
รวมความว่าประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น ๔ จุด เป็น ๔ เขต หรือเป็น ๔ รัฐ เรียกว่าไทยใต้ ไทยกลาง ไทยเหนือ หรือไทยตะวันออก นี่เป็นเสียงที่ทำให้บรรดาปวงชนชาวไทยหนักใจมาก อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจเช่นเดียวกัน แต่ความจริงความหนักใจของอาตมานี่ไม่ได้หนักใจตามที่เขาพูด หนักใจว่าเหตุการณ์อย่างนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น หรือว่าถ้ามันเกิดขึ้นมันก็ต้องสลายตัว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมามีความฝันอยู่เสมอ ฝันเป็นปกติว่า “ ไทยไม่สิ้นชาติไทย และก็ไทยจะดำรงอยู่ได้ตลอดฟ้าดินสลาย คำว่าไทยจะไม่สิ้นไปจากโลกนี้”
แต่ว่าถ้าจะฟังเรื่องนี้กันให้ละเอียดก็ต้องฟังกันหลายคาสเซท แต่ว่าวันนี้มีเวลาจำกัดบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเองก็ป่วย กำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ เมื่อฟังข่าวจากพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ทั้งผู้ใหญ่และเด็กมาพูดกันหนักก็ทนไม่ไหว ทั้งๆ ที่ป่วยก็ต้องลุกขึ้นมาพูด พูดเพื่อความเข้าใจตามความเป็นจริงของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไทยทั้งชาติต้องสลายตัว อาตมาเองก็เป็นคนไทยเหมือนกัน เมื่อไทยหมดไป พระไทยก็ต้องไม่มี คนพูดนี่เป็นคนไทยก็ต้องไม่มีด้วย แต่ความจริงคำว่า “ไม่มี” ก็ต้องมีกับคนทุกคน เพราะว่าคนทุกคนจะต้องตาย แต่ว่าคนเก่าก็จะตายไป คนใหม่ก็จะเกิดขึ้น
อาตมาขอยืนยัน ในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอยืนยันว่า “เหตุการณ์เช่นนั้นจะมีขึ้นหรือไม่มีก็ตามที แต่ว่าความเป็นเอกราชของไทยจะต้องทรงอยู่” ขอยืนยันด้วยความจริงใจและขอรับรองด้วย เพราะเวลาไม่นานนัก (นี่ก็เป็นเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ แล้ว) ใช้เวลาอีกประมาณ ๑๓ เดือนก็จะถึงคำพยากรณ์ของท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นเป็นใครอาตมาไม่ทราบ แต่ว่าก่อนที่จะพูดเรื่องอื่นก็ขอย้อนกลับมาพูดเรื่องของวัดพระศรีรัตนศาสดารามเสียก่อน
เวลานี้ปรากฏว่าทางราชการ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานในการจัดหาเงินซ่อมแซมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดนี้และพระพุทธรูปองค์นี้ จัดว่าเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย การกระทำอย่างนี้อาตมาสนับสนุนเต็มที่ และก็กำหนดไว้แล้วว่า วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๔ นี้ ทางเจ้าหน้าที่ คือ อุบาสก อุบาสิกา ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นิมาตน์อาตมาไปแสดงพระธรรมเทศนาที่นั่นตามปกติ ทุกปีเขานิมนต์ แต่ไปได้ปีละครั้งเดียว เพราะภารกิจมาก
ในวันนั้นตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าไปเทศน์เมื่อไร ถ้ามีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายบริจาคทรัพย์ติดกัณฑ์เทศน์เท่าไร อาตมาตั้งใจไว้นานแล้วว่า จะไม่ยอมหักแม้แต่ค่าพาหนะหรือค่าน้ำแข็งเปล่า เงินทุกบาททุกสตางค์จะถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพื่อร่วมในการบูรณะซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้งหมด
ฉะนั้น ในวันนั้นถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งจะจรรโลงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่คู่กับประเทศไทย ก็ขอได้โปรดไปช่วยกันในวันนั้น หรือถ้าไปวันนั้นไม่ได้ จะส่งเงินไปก่อนหรือหลังจากวันนั้นก็ได้ จะส่งมาที่อาตมาเมื่อไรก็ได้ พร้อมที่จะมอบถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อร่วมในการซ่อมแซมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และเวลานี้ ปรากฏว่า ทางราชการหรือจะเป็นใครก็ไม่ทราบ เห็นประกาศกันโครมครามๆ ทำพระรูปของพระแก้วมรกตขึ้นมา ๓ ฤดู เพื่อให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้มีความเลื่อมใส มีไว้บูชา แค่บริจาคทรัพย์ไม่มากนักก็ได้มีไว้บูชา
อาตมาเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้ คือพระแก้วมรกตเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงมีไว้บูชา อาตมาคิดว่าจะเป็นมงคลอย่างสูง ทั้งนี้เพราะว่า “ตราบใดที่เรายังมีพระแก้วมรกตบูชาอยู่ ขณะนั้นอาตมาขอยืนยันว่าประเทศไทยังเป็นเอกราชต่อไป” ถ้าปวงชนชาวไทยยังพากันบูชาพระแก้วมรกต (ความจริงพระแก้วมรกตก็เป็นรูปเหมือนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นรูปเปรียบนั่นเอง หรือเป็นรูปแทน) ถ้าเราบูชาพระแก้วมรกตก็เท่ากับเราบูชาพระพุทธเจ้า อำนาจของพระพุทธเจ้าก็คือ “พุทโธอัปปมาโณ พระคุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้”
ตามนัยยะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้ทรงพยากรณ์ไว้สองพันปีเศษแล้ว คำพยากรณ์นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาอาจจะจำวันที่ไม่ได้ จำ พ.ศ. คลาดเคลื่อนไปก็ได้ ต้องขออภัยด้วย จำได้แต่เรื่องราวตอนหนึ่งว่า หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วไม่นาน และไม่ทราบว่าเป็น พ.ศ.เท่าไรแน่ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็น พ.ศ.๒๔๘๐ หรือ พ.ศ.๒๔๘๔ ก็ได้ อันนี้จำไม่ได้แน่
ในปีนั้น ท่านจอมพลแปลก (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ท่านส่งทูตพิเศษคณะหนึ่งไปประเทศอินเดีย ถ้าอาตมาจำไม่ผิด หัวหน้าคณะทูตชุดนั้น คือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อไปแล้วกลับมาปรากฏว่า ทางหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า คณะทูตพิเศษได้ลอกหนังสือมาจากศิลาจารึกในประเทศอินเดียว ในศิลาจารึกนั้นอ้างเหตุว่า
คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์อย่างนี้ ขอกล่าวโดยย่อ
“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี ชาวโลกจะรบราฆ่าฟันกันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ประชาชนจะมีการล้มตายกันมา แต่ทว่าอานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีที่ว่าร้ายแรงนั้น ยังไม่เท่าหลังกึ่งพุทธกาล หลังกึ่งพุทธกาล ชาวโลกจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันหนักมากกว่า ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน สมณชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะรบกันมารบกันไป ตายไปฝ่ายละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกรากัน แต่ว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”
รวมความว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาน่ะ เวลานี้มีมาก แต่ทว่าการนับถือพระพุทธศาสนานั้น นับถือกันแบบไหน พระพุทธศาสนาจริงๆ มีคุณสมบัติประจำอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.สัพพะปาปัสสะ อกรณัง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ให้พากันละความชั่วให้สิ้นเชิง
๒.กุสสะลัสสูปะสัมปะทา จงพากันสร้างความดีให้สมบูรณ์
๓.สะจิตตะ ปริโยทะปันนัง จงพากันทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง พระองค์ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสอย่างนี้
นี่เป็นหลักการ หรือว่าเป็นธรรมนูญของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเราจะมองกันไปอีกมุมหนึ่ง คือมองกันง่ายๆ ว่า พระพุทธศาสนาถ้าจะทรงกันจริงๆ ที่ไหนก็ได้ จะต้องมีกฎอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.มีศีล
๒.มีสมาธิ
๓.มีปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง
ฉะนั้น คนก็ดี ประเทศก็ดี ที่ประกาศตนว่านับถือพระพุทธศาสนา เราจะต้องมองที่การนับถือพระพุทธศาสนากันจริงๆ ไม่ใช่มองแต่ที่ปากหรือว่าไม่ใช่มองกันที่มือถือ ไม่ใช่มองกันที่กายน้อมกราบกันลงไป เขามองกันที่ความประพฤติ คือ ดวงใจ จะต้องดูดวงใจของคนกลุ่มนั้นว่า เขานับถือพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่จริง เขตที่จะนับถือพระพุทธศาสนาจริงๆ
๑.ศีลต้องสมบูรณ์
๒.ต้องมีสมาธิ
๓.ต้องมีปัญญา เป็นเครื่องตัดกิเลส
เราก็มามองกันสักนิด บางจุด บางประเทศที่ประกาศว่า นับถือพระพุทธศาสนา พระมีเมียได้ พระกินข้าวได้ไม่เลือกเวลา พระควงแขนกับสตรีไปไหนมาไหนได้ แล้วก็เรื่องอาหาร เวลาใดก็ได้ กินกันได้ตามสบาย ถ้าประเภทนี้ละก็ พระพุทธเจ้าไม่ถือว่านับถือพระพุทธศาสนา หรือปวงชนที่นับถือพระพุทธศาสนาครบถ้วน ถ้าจะถือก็สักแต่เพียงว่าถือ เพราะว่าพระพุทธศาสนาจริงๆ มีศีลเป็นแกน ถ้าขาดศีลเสียอย่างเดียว อะไรก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าศีลแปลว่าปกติ ปกติต้องมี กาย วาจา ใจ เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ฉะนั้น การไม่เคารพในศีล การไม่เคารพในพระวินัย พระพุทธเจ้าไม่ทรงถือว่าเป็นสาวกหรือเป็นลูกศิษย์ เมื่อพูดอย่างนี้ ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนคิดเอาเอง หรืออาจจะคิดว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ว่าไม่ร้ายแรงนัก” คือไม่ต้องสิ้นชาติ ไม่ต้องสิ้นประเทศ ยังจะคงชาติ ยังจะคงประเทศอยู่ แต่ทว่าก็ร้อนๆ หนาวๆ เป็นไข้บ้างเป็นของธรรดมา
ก็เหมือนกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ เราก็เกือบทำท่าจะย่ำแย่ เริ่มเข้ากับฝ่ายอักษะ เข้ากับญี่ปุ่นกับเยอรมัน แต่ทว่าเวลาเขาแพ้ เราไม่ยักแพ้ แปลกไหม? เขาแพ้เราไม่แพ้ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่หนักมากเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ ถอยหลังเข้าไปอีกนิดหนึ่ง ปี ร.ศ.๑๑๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนนั้นดูลีลาว่าจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ ประเทศข้างเคียงอย่างพม่า เป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศมหาอันธพาล รุกรานไทยอยู่ตลอดเวลา
ด้านลาวก็ดี ด้านเขมรก็ดี เขมรก็ดีแต่จอมแก่น หาความจริงจังอะไรไม่ได้ กัดเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา ถ้าไทยเพลี่ยงพล้ำเมื่อไร เขมรเล่นงานไทยเมื่อนั้น ญวนมักจะมีความแข็งแกร่งแบบยวนๆ ผลที่สุดเขาเหล่านั้นต้องตกเป็นทาสของอังกฤษและฝรั่งเศสไปตามๆ กัน ประเทศอินเดียใหญ่ขนาดไหน ต้องตกเป็นทาสของอังกฤษ รวมทั้งปากีสถานและประเทศพวกแขกๆ ทั้งหมด แต่ว่าไทยเรามีคนกันอยู่กี่คน สมัยนั้น สมัยราชการที่ ๕ มีคนอยู่ถึงล้านคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เรามีกำลังน้อยแต่เราสามารถปลอดภัยจากความเป็นทาส แต่การจะเสียแขน เสียขา เสียพื้นที่ไปบ้างก็เป็นของธรรมดา หลักการของนักปราชญ์ก็มีอยู่ว่า
๑.เราจะยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ
๒.เราจะยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
การมีพระราชกุศโลบายและกุศโลบายของพระราชา และขุนนางในสมัยนั้นฉลาดมาก ยอมเสียบางจุดของประเทศ เหมือนกับยอมเสียนิ้วบางนิ้วเพื่อรักษามือ ยอมเสียมือเพื่อรักษาแขน ยอมเสียแขนเพื่อรักษาร่างกายหรือชีวิต ถ้าหากว่าเราโง่ดึงดันพยายามต่อต้านข้าศึกที่มีกำลังสูงกว่าด้วยประการทั้งปวง เราก็ต้องเป็นทาสเขา เห็นหรือยังว่า “คำว่า การสลายตัวของชาติไทยน่ะ มันจะหาไม่ได้”