เรื่อง sga นี่ผมว่า Bank เค้าทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆมาสักพักแล้วนะ และก็คงดีขึ้นได้อีกจาก technology ที่ดีขึ้นเรื่อยๆครับ tisco คล้าย bank เล็กในอเมริกายังไงหรือครับคุณ nut776?nut776 เขียน: ผมนั่งดู money talk tisco
เค้าชัดเจนในตัวเองว่า การขยายช่องทาง เข้าถึงอย่างสาขา
ไม่ใช่กลยุทธหลัก
เป็นไปได้ไหมคับว่า ทุกการเติบโตของสินเชื่อ ก็ทำให้ cost to income ลดอยู่แล้ว
ว่าด้วยเรื่อง sga พี่kraikria เห็นด้วยไหมคับ
ว่า แบงค์ ไทย ยังมีroom ให้ improveอีกมาก
ถ้าดูจาก โมเดล bank ในเมกา
tisco ดูเหมือนจะมีtrend ไปเหมือน แบงค์เล็กในเมกา
ขอบคุณคับ
หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
-
- Verified User
- โพสต์: 1161
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 151
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 153
มีอีกกลุ่มนึงซึ่งผมสนใจมากครับ อยากขอความรู้ทุกท่านเพิ่มเติม
คือกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย
แยกสองกลุ่มนะครับ ประกันชีวิต BLA, AYUD
ประกันภัย BKI, TIP, SMK, MTI
หุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัฏจักรและอ่อนไหวกับอุบัติภัยต่าง ๆ และหลาย ๆ บริษัทก็มีพอร์ตของตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องน้อย แต่เห็นว่าราคาหลาย ๆ ตัวก็ลงมาพอสมควร บางตัวลงพอหอมปากหอมคอ
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
คือกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย
แยกสองกลุ่มนะครับ ประกันชีวิต BLA, AYUD
ประกันภัย BKI, TIP, SMK, MTI
หุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัฏจักรและอ่อนไหวกับอุบัติภัยต่าง ๆ และหลาย ๆ บริษัทก็มีพอร์ตของตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องน้อย แต่เห็นว่าราคาหลาย ๆ ตัวก็ลงมาพอสมควร บางตัวลงพอหอมปากหอมคอ
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 154
สงสัยต้องเชิญคุณ kongkiti มาช่วยคอมเมนต์แล้วครับ เพราะเห็นในห้องหุ้นประกันหลายครั้งNevercry.boy เขียน:มีอีกกลุ่มนึงซึ่งผมสนใจมากครับ อยากขอความรู้ทุกท่านเพิ่มเติม
คือกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย
แยกสองกลุ่มนะครับ ประกันชีวิต BLA, AYUD
ประกันภัย BKI, TIP, SMK, MTI
หุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัฏจักรและอ่อนไหวกับอุบัติภัยต่าง ๆ และหลาย ๆ บริษัทก็มีพอร์ตของตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องน้อย แต่เห็นว่าราคาหลาย ๆ ตัวก็ลงมาพอสมควร บางตัวลงพอหอมปากหอมคอ
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
ผมเองเคยดูหุ้นเหล่านี้ผ่าน ๆ หลายครั้ง เรื่องงบการเงินก็จะมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ยิ่งมาเจอคณิตศาสตร์ประกันภัยนี่เลยชักไม่แน่ใจเพราะเหมือนมันจะมีผลต่อตัวเลขกำไรขาดทุนได้เลยครับ แล้วเราเองก็ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปวิเคราะห์ตัวเลขเหล่านี้ เพราะเหมือนเป็นเรื่องเฉพาะ
ที่ผมยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มนี้โดยเฉพาะพวกประกันภัย เพราะ
1) หลายบ.กำไรดีขึ้นเพราะส่วนของเงินลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น ซึ่งผมคิดว่าอาจจะต้องดูอีกซักพักว่าถ้าตลาดไม่ดีจะมีผลมากน้อยแค่ไหน มันอาจจะสะท้อนกำไรขาดทุนที่แท้จริงออกมา
2) ผมเข้าใจว่าหลายบ.รายได้ดีขึ้นมากจากโครงการรถคันแรก แต่การประกันภัยรถยนต์เท่าที่ผมพอทราบมา เหมือนจะเป็นส่วนที่กำไรมักไม่ค่อยดีนัก เพราะมักมีการเคลมประกันกันสูง
3) บางบ.พอควบคุมค่าใช้จ่ายในข้อที่สองได้ดีขึ้นกำไรก็ดีขึ้น
4) บางบ.เหมือนยังมีคดีฟ้องร้องเรื่องน้ำท่วมอยู่ เท่าที่เคยติดตามดู AYUD ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าเรื่องราวไปถึงไหนแล้วนะครับ นั่นแปลว่าต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้ดี เพราะถ้ายังไม่เรียบร้อยก็อาจจะมีโอกาสเพิ่มทุนอะไรทำนองนั้นได้
5) เท่าที่เคยดูบางบ.พอพ้นวิกฤติจากช่วงน้ำท่วมไป มีการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น กำไรก็ดูจะดีขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามผมว่าต้องพยายามระวังปัจจัยจากข้อที่ 1
6) บางบ.เข้าไปรับประกันภัยข้าวด้วย ตรงนี้ต้องเช็คตัวเลขดูครับว่ามากน้อยแค่ไหน เสี่ยงมากน้อยแค่ไหน
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 155
ก่อนอื่นขออนุญาตแก้ไขให้พี่nb ครับNevercry.boy เขียน:มีอีกกลุ่มนึงซึ่งผมสนใจมากครับ อยากขอความรู้ทุกท่านเพิ่มเติม
คือกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย
แยกสองกลุ่มนะครับ ประกันชีวิต BLA, AYUD
ประกันภัย BKI, TIP, SMK, MTI
หุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัฏจักรและอ่อนไหวกับอุบัติภัยต่าง ๆ และหลาย ๆ บริษัทก็มีพอร์ตของตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องน้อย แต่เห็นว่าราคาหลาย ๆ ตัวก็ลงมาพอสมควร บางตัวลงพอหอมปากหอมคอ
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
Ayud อยู่ในกลุ่มประกันภัย ไม่ใช่ประกันชีวิตนะครับ
Model ประกันภัย ส่วนใหญ่จะอิงกับภัยที่มีทรัพย์สินเป็นตัวประกัน
ประกันชีวิต จะอิงกับภัยชีวิตคนเป็นหลัก
ประกันภัยทำกันปีต่อปี หากภัยเสี่ยงสูงขึ้นปรับราคาเบี้ยประกันภัยใหม่ได้ทันที และลดขนาดวงเงินประกันหรือ limit ได้ แต่เมื่อใดที่ภัยลดลง ความเสี่ยงลดลง ประกันภัยมักจะมีการตัดราคากันเป็นวัฏจักร
โอกาสประกันภัยโดยมาก คนที่เข้าใจจะลงทุนในช่วงเกิดเหตุการณ์วิกฤตภัยหนัก ๆ ทำให้ความเสี่ยงดูเหมือนสูงขึ้น จึงปรับราคาเบี้ยและลด limit ความเสี่ยงไปได้พร้อมกัน บัฟเฟทมักอาศัยจังหวะนี้เข้าตลาดด้วย เพราะจังหวะนี้ บริษัทที่มีฐานะเงินทุนน้อยอาจต้องหยุดรับภัย ขณะที่บรืษัทที่มีฐานะดี มักจะสามารถรับประกันได้เบี้ยมากขึ้น กำไรจากการรับประกีนภัยจะสูงขึ้นในช่วงนี้ ทำให้ enjoy กับกำไรจากการรับประกันไปได้อีกหลายปี ก่อนที่จะมีการแข่งขันรอบใหม่ที่สูงขึ้นและตัดราคากันอีกครั้ง
ประกันชีวิตส่วนใหญ่จะทำกันหลายปี เมื่อเกิดภัยที่เสี่ยงสูงขึ้น จะไม่สามารถปรับราคาขายคนที่ซื้อคนเก่าได้ จะปรับได้กับคนที่มาซื้อใหม่ โดยมากความเสี่ยงเราจะดูจากสถิติตารางมรณภาพตามช่วงอายุเป็นการกำหนดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของคนในวียต่างๆ ทำใก้เราสามารถ value ความเสี่ยงนั้นออกเป็นตัวเงินได้เพื่อกำหนดค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุผล
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 156
เนื่องจากภัยที่รับมานั้นต่างกัน
อัคคีภัย ปกติมักมีความเสี่ยงในการเกิดภัยต่ำมาก แต่ความเสี่ยงต่อความเสียหายจะมาก เช่น อัคคีภัย โดยปกติเขาจึงกำหนดเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ แต่รับภัยที่สูง
รถยนต์ ปกติความเสี่ยงในการเกิดภัยสูง และความเสี่ยงต่อความเสียหายก็สูงตามไปด้วย ทำให้ต้องกำหนดค่าเบี้ยประกันค่อนข้างสูงตามไปด้วย
ดังนั้นค่าเบี้ยประกันภัยจะมาจากระดับความเสี่ยงภัยของทรัพย์สินที่ประกันเป็นหลัก
การบริหารความเสี่ยงของภัยเป็นเรื่ิองสำคัญมาก โดยการลดความเสี่ยง จะต้องพยายามคัดเลือกภัยที่มีคุณภาพ และใช้หลัก diversification ให้มากพอ เพราะจะเป็นการถัวเฉลี่ยภัยจนทำให้ภัยของแต่ละรายไม่กระทบกับฐานะเงินทุนที่เรารวบรวมเงินจากผู้รับประกันในกลุ่มทั้งหมด
บริษัทที่ิิอยู่มานาน มีฐานลูกค้าที่มากพอและมีคุณภาพ มักจะบริหารความเสี่ยงได้ดี เช่น bki ทำให้มีการเติบโตของธุรกิจไปได้ดีตามไปด้วย
เนื่องจากภัยของทรัพย์สินมันเป็นเรื่องของโอกาสเกิดในแต่ละปี จึงใช้คำว่า insurance
มูลค่าทรัพย์สินที่ประกันจะมีส่วนสำคัญในการดูการเติบโตของธุรกิจนี้ตามประเภททรัพย์ที่ประกัน
เงินที่ได้มาเนื่องจากในอนาคตต้องทะยอยจ่าย จึงเกิด gap ของเวลาคือ รับค่าเบี้ยเป็นเงินสดเข้ามาก่อน แต่จ่ายค่าเสียหายทีหลัง ทำให้บริษัทประกันภัยใช้ช่องว่างนี้ไปหารายได้ ซึ่งปกติ port ของประกันจะมีการบริหาร ทรัพย์สินและหนี้สินให้สอดคล้องกัน จึงมักมีการลงทุนใน fixed income ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อหารายได้ที่แน่นอนมาจ่ายชำระเงินในอนาคต การลงทุนจึงมักเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อหาผลตอบแทนในแต่ละปีที่แน่นอนด้วย พันธบัตร เงินกู้ จะได้ในรูปดอกเบี้ยเป็นหลักและส่วนต่างราคา หุ้น จะได้เงินปันผลและผลพลอยได้จากส่วนต่างราคา กำไรจากส่วนต่างราคาเป็นเรื่องลองลงมา ไม่ใช่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะมีliability อีกข้าง จะไปลงทุนเสี่ยงมากไม่ได้
อัคคีภัย ปกติมักมีความเสี่ยงในการเกิดภัยต่ำมาก แต่ความเสี่ยงต่อความเสียหายจะมาก เช่น อัคคีภัย โดยปกติเขาจึงกำหนดเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ แต่รับภัยที่สูง
รถยนต์ ปกติความเสี่ยงในการเกิดภัยสูง และความเสี่ยงต่อความเสียหายก็สูงตามไปด้วย ทำให้ต้องกำหนดค่าเบี้ยประกันค่อนข้างสูงตามไปด้วย
ดังนั้นค่าเบี้ยประกันภัยจะมาจากระดับความเสี่ยงภัยของทรัพย์สินที่ประกันเป็นหลัก
การบริหารความเสี่ยงของภัยเป็นเรื่ิองสำคัญมาก โดยการลดความเสี่ยง จะต้องพยายามคัดเลือกภัยที่มีคุณภาพ และใช้หลัก diversification ให้มากพอ เพราะจะเป็นการถัวเฉลี่ยภัยจนทำให้ภัยของแต่ละรายไม่กระทบกับฐานะเงินทุนที่เรารวบรวมเงินจากผู้รับประกันในกลุ่มทั้งหมด
บริษัทที่ิิอยู่มานาน มีฐานลูกค้าที่มากพอและมีคุณภาพ มักจะบริหารความเสี่ยงได้ดี เช่น bki ทำให้มีการเติบโตของธุรกิจไปได้ดีตามไปด้วย
เนื่องจากภัยของทรัพย์สินมันเป็นเรื่องของโอกาสเกิดในแต่ละปี จึงใช้คำว่า insurance
มูลค่าทรัพย์สินที่ประกันจะมีส่วนสำคัญในการดูการเติบโตของธุรกิจนี้ตามประเภททรัพย์ที่ประกัน
เงินที่ได้มาเนื่องจากในอนาคตต้องทะยอยจ่าย จึงเกิด gap ของเวลาคือ รับค่าเบี้ยเป็นเงินสดเข้ามาก่อน แต่จ่ายค่าเสียหายทีหลัง ทำให้บริษัทประกันภัยใช้ช่องว่างนี้ไปหารายได้ ซึ่งปกติ port ของประกันจะมีการบริหาร ทรัพย์สินและหนี้สินให้สอดคล้องกัน จึงมักมีการลงทุนใน fixed income ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อหารายได้ที่แน่นอนมาจ่ายชำระเงินในอนาคต การลงทุนจึงมักเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อหาผลตอบแทนในแต่ละปีที่แน่นอนด้วย พันธบัตร เงินกู้ จะได้ในรูปดอกเบี้ยเป็นหลักและส่วนต่างราคา หุ้น จะได้เงินปันผลและผลพลอยได้จากส่วนต่างราคา กำไรจากส่วนต่างราคาเป็นเรื่องลองลงมา ไม่ใช่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะมีliability อีกข้าง จะไปลงทุนเสี่ยงมากไม่ได้
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 157
ประกันชีวิตยิ่งแล้วใหญ่ เป็นภัยที่่เราต้องจ่ายแน่นอนในเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น เราจึงใช้คำว่า assurance
ภัยประกันชีวิต เป็นไปตามหลัก เกิดมา ต้องเจ็บ ตาย หรือมีภาระการครองชีพหลังเกษียณ
ตามสถิติการจ่ายเงินก้อนให้กับผู้ซื้อประกันจึงเป็นระยะเวลสที่ยาวมาก
ผู้ซื้อทะยอยจ่ายค่าเบี้ยสะสม ค่อย ๆ เป็นเงินก้อน
ผู้รับประกันภัยต้องรับความเสี่ยงภัยไปตลอดอายุของสัญญา
ระยะเวลาการทำประกันชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และทำให้เกิด gap ของการบริหารทรัพย์สินจากเบี้ยประกันเป็นอย่างมาก
การบริหารเงินลงทุนเป็นเรื่ิองสำคัญเพราะมีภาระต้องจ่ายแน่นอนเมื่อถึงเวลา
กำไรจากธุรกิจประกันชีวิตโดยมากจึงเน้นไปที่การหาผลตอบแทนการลงทุนให้มากพอ กล่าวคือคล้ายการบริหาร spread ของธนาคาร ขารับฝากเบี้ยประกัน เราต้องจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ซื้อประกัน เราจึงต้องเก่งในการบริหารเงินทุนอีกด้านเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าที่เราต้องจ่าย
Roi ของเงินลงทุนระยะยาว เทียบกับ liability ที่ต้องจ่ายในระยะยาวจึงสำคัญมาก หากปิด gap ได้มาก กำไรจะมีความแน่นอนมากตามไปด้วย market risk เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะต้องปรับ port ให้เหมาะสมจึงจะมีกำไร
ภัยประกันชีวิต เป็นไปตามหลัก เกิดมา ต้องเจ็บ ตาย หรือมีภาระการครองชีพหลังเกษียณ
ตามสถิติการจ่ายเงินก้อนให้กับผู้ซื้อประกันจึงเป็นระยะเวลสที่ยาวมาก
ผู้ซื้อทะยอยจ่ายค่าเบี้ยสะสม ค่อย ๆ เป็นเงินก้อน
ผู้รับประกันภัยต้องรับความเสี่ยงภัยไปตลอดอายุของสัญญา
ระยะเวลาการทำประกันชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และทำให้เกิด gap ของการบริหารทรัพย์สินจากเบี้ยประกันเป็นอย่างมาก
การบริหารเงินลงทุนเป็นเรื่ิองสำคัญเพราะมีภาระต้องจ่ายแน่นอนเมื่อถึงเวลา
กำไรจากธุรกิจประกันชีวิตโดยมากจึงเน้นไปที่การหาผลตอบแทนการลงทุนให้มากพอ กล่าวคือคล้ายการบริหาร spread ของธนาคาร ขารับฝากเบี้ยประกัน เราต้องจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ซื้อประกัน เราจึงต้องเก่งในการบริหารเงินทุนอีกด้านเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าที่เราต้องจ่าย
Roi ของเงินลงทุนระยะยาว เทียบกับ liability ที่ต้องจ่ายในระยะยาวจึงสำคัญมาก หากปิด gap ได้มาก กำไรจะมีความแน่นอนมากตามไปด้วย market risk เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะต้องปรับ port ให้เหมาะสมจึงจะมีกำไร
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 158
สาขา น้อย หรือมีแค่ 1 สาขา หรือ ใช้ธุรกรรมทาง อินเตอร์เนท เกือบทั้งหมดkraikria เขียน:เรื่อง sga นี่ผมว่า Bank เค้าทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆมาสักพักแล้วนะ และก็คงดีขึ้นได้อีกจาก technology ที่ดีขึ้นเรื่อยๆครับ tisco คล้าย bank เล็กในอเมริกายังไงหรือครับคุณ nut776?nut776 เขียน: ผมนั่งดู money talk tisco
เค้าชัดเจนในตัวเองว่า การขยายช่องทาง เข้าถึงอย่างสาขา
ไม่ใช่กลยุทธหลัก
เป็นไปได้ไหมคับว่า ทุกการเติบโตของสินเชื่อ ก็ทำให้ cost to income ลดอยู่แล้ว
ว่าด้วยเรื่อง sga พี่kraikria เห็นด้วยไหมคับ
ว่า แบงค์ ไทย ยังมีroom ให้ improveอีกมาก
ถ้าดูจาก โมเดล bank ในเมกา
tisco ดูเหมือนจะมีtrend ไปเหมือน แบงค์เล็กในเมกา
ขอบคุณคับ
ไม่ได้เน้น การขยายช่องทางเข้าถึงเป็น กลยุทธหลัก อะคับ
ส่วน เรื่อง sga ผมเห็น แบงค์ ใน เมกา มีการใช้ infra ร่วมกัน
cost ลด แต่ การแข่งขันรุนแรงมาก
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 159
เนื่องจากระยะเวลารับประกันเป็นเรื่องสำคัญ ประกันชีวิตจึงพิจารณาคัดเลือกภัยเน้นไปที่คนที่สุขภาพดีทมีรายได้ชำระไปตามระยะเวลาที่กำหนดที่เราเรียกอัตราความยั่งยืนของประกัน ใครบริหารได้เก่งก็เหมืแนหาเงินฝากมาได้มาก การเติบโตของเบี้ยประกันจึงสำคัญมาก
อีกด้านคือการลงทุน ค้องบริหารให้มีสภาพคล่ิงที่ดี และมีระดับผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนที่จะจ่ายออกไป
นี่คือ key หลักที่เราใช้ในการติดตามความสามารถในการแข่งขัน และความสามารถในการทำกำไร
หากทำได้ดี 2 ขา เราจะเห็นอัตราการเติบโตของสินทรัพย์สม่ำเสมอจากเบี้ยประกันภัย และการทำกำไรที่เติบโตสม่ำเสมอตามไปด้วย เช่น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ที่ทำได้ค่อนข้างดี
ส่วนกำไรที่ไม่สม่ำเสมอ ก็เกิดจากการ match fund ยังไม่ดี ทำให้กำไรเดี๋ยวโต เดี๋ยวหยุดโต เช่น bla แต่ระยะยาวอาจโตทั้งคู่ ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มที่ดูผลงานเป็นไตรมาสก็จะมีความผันผวนไปตามอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละช่วงเวลาครับ แต่ใครอดทนกว่าก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วย
อีกด้านคือการลงทุน ค้องบริหารให้มีสภาพคล่ิงที่ดี และมีระดับผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนที่จะจ่ายออกไป
นี่คือ key หลักที่เราใช้ในการติดตามความสามารถในการแข่งขัน และความสามารถในการทำกำไร
หากทำได้ดี 2 ขา เราจะเห็นอัตราการเติบโตของสินทรัพย์สม่ำเสมอจากเบี้ยประกันภัย และการทำกำไรที่เติบโตสม่ำเสมอตามไปด้วย เช่น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ที่ทำได้ค่อนข้างดี
ส่วนกำไรที่ไม่สม่ำเสมอ ก็เกิดจากการ match fund ยังไม่ดี ทำให้กำไรเดี๋ยวโต เดี๋ยวหยุดโต เช่น bla แต่ระยะยาวอาจโตทั้งคู่ ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มที่ดูผลงานเป็นไตรมาสก็จะมีความผันผวนไปตามอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละช่วงเวลาครับ แต่ใครอดทนกว่าก็มักจะได้ผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วย
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 160
ขอบคุณคุณชัยธรมากครับchaitorn เขียน: ก่อนอื่นขออนุญาตแก้ไขให้พี่nb ครับ
Ayud อยู่ในกลุ่มประกันภัย ไม่ใช่ประกันชีวิตนะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 161
กลุ่มธนาคารผมคิดว่าผมจะลงทุนประมาณ 10-20 ปีครั้งนะครับ ผมคงรอสถานะการ์ณตามนี้นะครับ
1.เกิดวิกฤติในวงกว้างและหนีเสียเกินจะแก้ไข
2.มีการเพิ่มทุนอย่างมาก
3.มีสินทรัพย์รอการขายจำนวนมากที่ถูกตีราคาตํ่ากว่าที่ควรจะเป็นมาก
4.ธนาคารนั้นๆมีลักษณะเฉพาะที่ล้มยาก เช่นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร ประวัติธนาคารตั้งแต่ก่อตั้ง
5.สถานะแย่จนนิ่งอยู่นาน
6.ดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นไปในช่วงวิกฤติเริ่มลดลง
7.ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มขยายการลงทุนอีกครั้ง
8.หนีเสียเริ่มลดลง
9.เริ่มมีการขายสินทรัพย์ที่ยืดมาออกมาได้
ความเห็นผมอาจไม่ถูกก็ได้นะครับแต่ผมขอสะกดรอยตามไปเรื่อยๆอีกนาน เพราะผมกลัวกลุ่มนี้ครับ เนื่องจากเมื่อเกิดภาวะตกใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินอย่างมากขึ้นเมื่อไร ถึงบางครั้งจะเป็นจริงไม่ทั้งหมดก็ตาม กลุ่มนี้จะถูกแห่ถอนเงินกันอย่างรวดเร็ว และจะลุกลามจนผมมองว่าบางครั้งเกิดเหตุ และผมมองว่ากลุ่มนี้มีการลงทุนที่ซับซ้อนและผูกกันไปมาอยู่เกือบทั้งโลก อีกส่วนที่สำคัญคือลักษณะของธุรกิจกิจคือต้องอาศัยรอบหมุนมากๆ และต้องให้มากที่สุดผูกกันไว้อย่างนั้น เมื่อใดที่การหมุนถูกกระทบก็จะเกิดปัญหาตามามากมายครับ ผมเลยมองว่ารอโอกาสที่ดีนานครั้งก็พอครับเพื่อความปลอดภัยครับ
ส่วนกลุ่มประกันผมไม่กล้าให้ความเห็นครับ เพราะผมถืออยู่เดี๋ยวจะถูกหาว่าเชียร์หุ้นครับ เคยโดนมาแล้วครับ อยู่เงียบๆดีกว่าครับ ขอให้เพื่่อนทุกคนมีความสุขนะครับ
1.เกิดวิกฤติในวงกว้างและหนีเสียเกินจะแก้ไข
2.มีการเพิ่มทุนอย่างมาก
3.มีสินทรัพย์รอการขายจำนวนมากที่ถูกตีราคาตํ่ากว่าที่ควรจะเป็นมาก
4.ธนาคารนั้นๆมีลักษณะเฉพาะที่ล้มยาก เช่นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร ประวัติธนาคารตั้งแต่ก่อตั้ง
5.สถานะแย่จนนิ่งอยู่นาน
6.ดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นไปในช่วงวิกฤติเริ่มลดลง
7.ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มขยายการลงทุนอีกครั้ง
8.หนีเสียเริ่มลดลง
9.เริ่มมีการขายสินทรัพย์ที่ยืดมาออกมาได้
ความเห็นผมอาจไม่ถูกก็ได้นะครับแต่ผมขอสะกดรอยตามไปเรื่อยๆอีกนาน เพราะผมกลัวกลุ่มนี้ครับ เนื่องจากเมื่อเกิดภาวะตกใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินอย่างมากขึ้นเมื่อไร ถึงบางครั้งจะเป็นจริงไม่ทั้งหมดก็ตาม กลุ่มนี้จะถูกแห่ถอนเงินกันอย่างรวดเร็ว และจะลุกลามจนผมมองว่าบางครั้งเกิดเหตุ และผมมองว่ากลุ่มนี้มีการลงทุนที่ซับซ้อนและผูกกันไปมาอยู่เกือบทั้งโลก อีกส่วนที่สำคัญคือลักษณะของธุรกิจกิจคือต้องอาศัยรอบหมุนมากๆ และต้องให้มากที่สุดผูกกันไว้อย่างนั้น เมื่อใดที่การหมุนถูกกระทบก็จะเกิดปัญหาตามามากมายครับ ผมเลยมองว่ารอโอกาสที่ดีนานครั้งก็พอครับเพื่อความปลอดภัยครับ
ส่วนกลุ่มประกันผมไม่กล้าให้ความเห็นครับ เพราะผมถืออยู่เดี๋ยวจะถูกหาว่าเชียร์หุ้นครับ เคยโดนมาแล้วครับ อยู่เงียบๆดีกว่าครับ ขอให้เพื่่อนทุกคนมีความสุขนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 162
อจ นิเวศน์เคยพูดว่า ไม่ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารทั้งที่ราคาถูก
เพราะหุ้นกลุ่มนี้ ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง
ซึ่งผมเองเห็นด้วยกับอจ ทุกประการ
bbl kbank scb ktb สู้กันมาเกิน50ปี ยังบอกไม่ได้เลยว่าใครคือผู้ชนะที่แท้จริง
จุดแข็งของธนาคารคือ
การที่แบงค์ชาติกีดกันธนาคารต่างประเทศไม่ให้เปิดสาขา
ทําให้ธนาครไทยกินตลาดไปจนหมดเกลี้ยง
และเสวยสุขกับspreadเงินฝากและเงินกู้ที่ค่อนข้างสูงมาตลอด
แต่ข้อเสียก็คือ
ธุรกิจธนาคารผมรู้สึกว่าเหมือนcommodities
ลูกค้าจะฝากหรือกู้ยืมธนาคารไหน ก็มีความแตกต่างกันน้อยมาก
และเป็นธุรกิจทุนน้อยปล่อยกู้เยอะ
ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง หนี้เสียมากขึ้น
ผลประกอบการจะยํ่าแย่หรือถึงขั้นล้มละลายได้ไม่ยาก
ดังนั้นหุ้นธนาคารจึงp/eตํ่าเรื้อรัง
โดยสรุปผมคิดว่าถ้าใครคาดหวังผลตอบแทน8-15%ต่อปีต่อเนื่อง
ถือหุ้นscbหรือkbank แล้วนั่งกระดิกตรีนแบบที่อจ บอก
โดยแทบไม่ต้องไปดูผลประกอบการเลย เป็นทางเลือกที่ดีมาก
แต่ถ้าหวังมากกว่านั้นหุ้นกลุ่มธนาคารอาจไม่ใช่คําตอบที่ถูกต้อง
เพราะหุ้นกลุ่มนี้ ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง
ซึ่งผมเองเห็นด้วยกับอจ ทุกประการ
bbl kbank scb ktb สู้กันมาเกิน50ปี ยังบอกไม่ได้เลยว่าใครคือผู้ชนะที่แท้จริง
จุดแข็งของธนาคารคือ
การที่แบงค์ชาติกีดกันธนาคารต่างประเทศไม่ให้เปิดสาขา
ทําให้ธนาครไทยกินตลาดไปจนหมดเกลี้ยง
และเสวยสุขกับspreadเงินฝากและเงินกู้ที่ค่อนข้างสูงมาตลอด
แต่ข้อเสียก็คือ
ธุรกิจธนาคารผมรู้สึกว่าเหมือนcommodities
ลูกค้าจะฝากหรือกู้ยืมธนาคารไหน ก็มีความแตกต่างกันน้อยมาก
และเป็นธุรกิจทุนน้อยปล่อยกู้เยอะ
ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง หนี้เสียมากขึ้น
ผลประกอบการจะยํ่าแย่หรือถึงขั้นล้มละลายได้ไม่ยาก
ดังนั้นหุ้นธนาคารจึงp/eตํ่าเรื้อรัง
โดยสรุปผมคิดว่าถ้าใครคาดหวังผลตอบแทน8-15%ต่อปีต่อเนื่อง
ถือหุ้นscbหรือkbank แล้วนั่งกระดิกตรีนแบบที่อจ บอก
โดยแทบไม่ต้องไปดูผลประกอบการเลย เป็นทางเลือกที่ดีมาก
แต่ถ้าหวังมากกว่านั้นหุ้นกลุ่มธนาคารอาจไม่ใช่คําตอบที่ถูกต้อง
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 163
ขอบคุณ ดอกเตอร์ SP มากครับdrsp เขียน:
โดยสรุปผมคิดว่าถ้าใครคาดหวังผลตอบแทน8-15%ต่อปีต่อเนื่อง
ผมคิดว่าผมอยู่กลุ่มนี้ครับ
ที่เคยผ่านมามันฟลุ๊คทำได้มากกว่าเป้าหมายเท่านั้นเอง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 165
เรื่องประกันต้องยกให้พี่ chaitorn ครับleky เขียน:สงสัยต้องเชิญคุณ kongkiti มาช่วยคอมเมนต์แล้วครับ เพราะเห็นในห้องหุ้นประกันหลายครั้งNevercry.boy เขียน:มีอีกกลุ่มนึงซึ่งผมสนใจมากครับ อยากขอความรู้ทุกท่านเพิ่มเติม
คือกลุ่มประกันชีวิตและประกันภัย
แยกสองกลุ่มนะครับ ประกันชีวิต BLA, AYUD
ประกันภัย BKI, TIP, SMK, MTI
หุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวัฏจักรและอ่อนไหวกับอุบัติภัยต่าง ๆ และหลาย ๆ บริษัทก็มีพอร์ตของตลาดหลักทรัพย์ สภาพคล่องน้อย แต่เห็นว่าราคาหลาย ๆ ตัวก็ลงมาพอสมควร บางตัวลงพอหอมปากหอมคอ
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
comment ข้างบนเฉียบคมมาก ผมเห็นด้วยตามนั้นเลย
เสริมนิดนึงเรื่องประกันวินาศภัย นะครับ
ซึ่ง ปู่บัฟฟ์ ชื่นชอบมาก อย่างที่เราทราบกันแหล่ะครับ เสน่ห์ของประกันวินาศภัย ก็คือ Float ที่เอามาใช้ลงทุน ได้หล่ะครับ
ซึ่งที่ผมดู สำหรับหุ้นประกันวินาศภัย ก็น่าจะต้องดูจาก
1. Asset ที่บริษัทมีในปัจจุบัน, สำรองต่างๆ, ดู CAR Ratio, etc.
2. แนวทางการรับประกันภัยของบริษัท
=> ตามสไตล์ของปู่บัฟฟ์ ก็ต้องหาพวกที่เน้นรับประกันภัยที่ได้กำไร ไม่เน้นแต่จะให้เบี้ยโตเร็วๆ เพียงอย่างเดียว
=> หาพวกที่มีต้นทุนดำเนินการต่ำๆ ยิ่งแต่เดิมสูงๆ แล้วลดลงต่ำเรื่อยๆ ยิ่งดี (Cost Competitive)
=> ประกันที่น่าสนใจมี Growth ดี และ Loss Ratio สม่ำเสมอ ไม่หวือหวามาก ก็พวก ประกันรถยนต์, ประกันอุบัติเหตุ, ประกันสุขภาพ อะไรพวกนี้ครับ
=> แต่หากชอบแบบ Cyclicals จริงๆ ก็ต้องไปหาพวกที่เน้น อัคคีภัย, IAR
3. การเอาเงิน หรือ "Float" ไปลงทุน ให้เกิดผลกำไร
ซึ่งความยากที่สุด น่าจะอยู่ที่ข้อ 3 นี่แหล่ะ
คือ หานักลงทุนแบบปู่บัฟฟ์ คงไม่มีอีกแล้ว
ในไทยจึงไม่ค่อยมีบริษัทประกันภัยที่โดดเด่นด้านการลงทุนมากนัก
หากจะให้ดีก็เสนอ นายกโจ ไป Takeover บริษัทประกันภัย ซักบริษัท แล้วเอาเงินมาลงทุนครับ ผมจะขอร่วมหุ้นด้วยทันที !!
ปล. Keyword lสำหรับผม คือ ประกันวินาศภัย (ส่วนใหญ่) = Cyclicals Stock ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุน (ยกเว้นบางบริษัท ที่เก่งๆ ที่เห็นๆ ในตลาดก็ SMK ครับ แต่ราคาก็สมศักดิ์ศรีนะ)
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 1161
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 166
ผมชอบ Post นี้ของคุณ drsp มากเลยครับเพราะตรงกับใจของผมเลย ผมเองเคยคิดแบบนี้ 100% เลยครับ (และตอนนี้ก็ยังคิดแบบนี้อยู่มาก) แน่นอนว่าเคยอ่านเรื่องที่ ดร.นิเวศน์บอกว่าธุรกิจ Bank ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง แถมคุณ Invisible Hand ก็เคยบอกว่าธุรกิจ Bank เป็นธุรกิจที่เสี่ยง แต่ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมาผมเริ่มมีความคิดเพิ่มเติมคือdrsp เขียน:อจ นิเวศน์เคยพูดว่า ไม่ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารทั้งที่ราคาถูก
เพราะหุ้นกลุ่มนี้ ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง
ซึ่งผมเองเห็นด้วยกับอจ ทุกประการ
bbl kbank scb ktb สู้กันมาเกิน50ปี ยังบอกไม่ได้เลยว่าใครคือผู้ชนะที่แท้จริง
จุดแข็งของธนาคารคือ
การที่แบงค์ชาติกีดกันธนาคารต่างประเทศไม่ให้เปิดสาขา
ทําให้ธนาครไทยกินตลาดไปจนหมดเกลี้ยง
และเสวยสุขกับspreadเงินฝากและเงินกู้ที่ค่อนข้างสูงมาตลอด
แต่ข้อเสียก็คือ
ธุรกิจธนาคารผมรู้สึกว่าเหมือนcommodities
ลูกค้าจะฝากหรือกู้ยืมธนาคารไหน ก็มีความแตกต่างกันน้อยมาก
และเป็นธุรกิจทุนน้อยปล่อยกู้เยอะ
ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง หนี้เสียมากขึ้น
ผลประกอบการจะยํ่าแย่หรือถึงขั้นล้มละลายได้ไม่ยาก
ดังนั้นหุ้นธนาคารจึงp/eตํ่าเรื้อรัง
โดยสรุปผมคิดว่าถ้าใครคาดหวังผลตอบแทน8-15%ต่อปีต่อเนื่อง
ถือหุ้นscbหรือkbank แล้วนั่งกระดิกตรีนแบบที่อจ บอก
โดยแทบไม่ต้องไปดูผลประกอบการเลย เป็นทางเลือกที่ดีมาก
แต่ถ้าหวังมากกว่านั้นหุ้นกลุ่มธนาคารอาจไม่ใช่คําตอบที่ถูกต้อง
- ตราบใดที่ทั้ง Industry ยังโตได้ การไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงก็คงไม่เป็นไรนักถ้าทุกรายยังโตกันถ้วนหน้า จริงๆแล้วในต่างประเทศผมก็คิดว่าคล้ายๆกับเมืองไทยนะครับคือเป็น Oligopoly เพียงแต่ในเมืองไทยมีมากรายหน่อยเท่านั้นเองที่เป็น Leader
- เมื่อศึกษาจริงๆผมพบว่า แต่ละ Bank มีจุดเด่นที่ต่างกันและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เน้นก็ต่างกัน แน่นอนว่าอาจจะมีซ้อนทับกันบ้างแต่จุดที่โตนั้นเป็นจุดที่แต่ละ Bank ถนัดจริงๆ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงก็ได้ครับ
- Trend ที่ Bank กลายเป็น Service Industry ที่เน้นเก็บค่าบริการ ตอนนี้ Product ใหม่ๆที่ออกมาเริ่มจะไม่ใช่เงินฝากหรือเงินกู้ แต่เป็นกองทุนรวม กองทุนอสังหาฯต่างๆ ที่มาทดแทน การเก็บค่าธรรมเนียมของพวกกองทุนนั้นแน่นอนว่าสู้ NIM ไม่ได้ แต่แทบไม่มีความเสี่ยงเลยเนื่องจากผลักความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ (ไม่มีประกันเหมือนเงินฝากและไม่ต้องกลัวหนี้เสีย) สบายเลยนะครับ
- Trend อีกอันที่เป็น Mega Trend คือการขยายความเจริญจากเมืองหลวงไปตามหัวเมืองต่างๆและการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางซึ่งผมคิดว่าการใช้บริการของธุรกิจ Bank จะต้องเพิ่มขึ้นแน่ๆ ตอนนี้การใช้บริการ Bank ก็แทบเป็นชีวิตประจำวันของทุกคนแล้วครับ แม้จะไม่มากเท่า Telco ก็ตาม
- ผมเคยคิดว่าธุรกิจ Bank โตช้า (ไม่มีทางเกิน 10%) แต่ผมพบว่า SCB โต 107% ใน 3 ปี หรือ 27% ต่อปีทบต้น เรื่องนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเค้าทำได้เหมือนกันถ้าเค้าแข็งแกร่งจริง (อย่างไรก็ตามนี่คืออดีตนะครับ อย่าไปเหมาเอาว่าเค้าจะโตแรงๆไปตลอด)
- การล้มละลายของ Bank เกิดขึ้นได้ไม่ยากถ้าเศรษฐกิจไม่ดีและมีหนี้เสียมากขึ้น? Bank ในเมืองไทยต้องเรียกว่าผ่านการล้มละลายมาแล้วแทบทุก Bank ครับรวมถึง BOT ด้วย เท่าที่ผมเห็นคือพอเค้าล้มแล้วเค้าเปลี่ยนไปนะครับคือ Conservative และระมัดระวังตัวตลอดเวลา ยิ่ง BOT นี่ยิ่งสรรหาอะไรใหม่ๆมาควบคุม Bank อยู่เรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีความคิดให้ Bank ตั้งสำรองขั้นต่ำไปเลย 4% ของสินเชื่อแต่ก็เห็นเงียบไปแล้ว ถ้าประกาศจริงๆผมว่าทุก Bank ก็ไม่มีหือหรอกครับกลับจะรีบทำด้วยซ้ำ
แต่ก็แน่นอนครับว่าธุรกิจ Bank นั้นเสี่ยงอย่างยิ่งซึ่งผมก็คิดเรื่องนี้อยู่ตลอด ถามว่าวิกฤติการทางการเงินมักจะเกิดซ้ำไหม? ความเห็นผมคือมักจะเกิดซ้ำแต่อาจจะไม่ใช่รูปแบบเดิม รอบที่แล้วเราเจอฟองสบู่อสังหาและการกู้เงินโดยไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง รอบนี้อสังหาเป็น soft landing ส่วนหนี้ธุรกิจก็ไม่มาก (คนที่เจอรอบที่แล้วยังมีชีวิตอยู่มังครับ) ดังนั้นถ้าเกิดวิกฤติคงต้องเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1161
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 167
อ่อ หมายถึงอย่างนี้เอง เรื่องเน้นธุรกรรมทาง Internet และมีสาขาน้อยผมไม่แน่ใจว่า Bank ในเมืองไทยจะไปสู่จุดนั้นไหม คงมีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นแต่อาจจะไม่เหมือนซะทีเดียวก็ได้ครับnut776 เขียน: สาขา น้อย หรือมีแค่ 1 สาขา หรือ ใช้ธุรกรรมทาง อินเตอร์เนท เกือบทั้งหมด
ไม่ได้เน้น การขยายช่องทางเข้าถึงเป็น กลยุทธหลัก อะคับ
ส่วน เรื่อง sga ผมเห็น แบงค์ ใน เมกา มีการใช้ infra ร่วมกัน
cost ลด แต่ การแข่งขันรุนแรงมาก
ส่วนเรื่องการใช้ Infra ร่วมกัน ผมคิดว่า Bank ในเมืองไทยตอนนี้อาจจะยังหาคนทำร่วมกันยากนะครับ
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 379
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 169
กลายเป็นกระทู้แบงค์ ไปแล้ว นิ ...แต่ ชอบมากครับ ความรู้เพียบเลย คนในห้องนี้ ช่างเก่งจริงๆครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 170
ถ้าพูดถึงกลยุทธ์ทางด้าน ไอที ผมว่า Bay เป็นหนึ่งในแบงค์ที่ทำได้ดีkraikria เขียน:อ่อ หมายถึงอย่างนี้เอง เรื่องเน้นธุรกรรมทาง Internet และมีสาขาน้อยผมไม่แน่ใจว่า Bank ในเมืองไทยจะไปสู่จุดนั้นไหม คงมีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นแต่อาจจะไม่เหมือนซะทีเดียวก็ได้ครับnut776 เขียน: สาขา น้อย หรือมีแค่ 1 สาขา หรือ ใช้ธุรกรรมทาง อินเตอร์เนท เกือบทั้งหมด
ไม่ได้เน้น การขยายช่องทางเข้าถึงเป็น กลยุทธหลัก อะคับ
ส่วน เรื่อง sga ผมเห็น แบงค์ ใน เมกา มีการใช้ infra ร่วมกัน
cost ลด แต่ การแข่งขันรุนแรงมาก
ส่วนเรื่องการใช้ Infra ร่วมกัน ผมคิดว่า Bank ในเมืองไทยตอนนี้อาจจะยังหาคนทำร่วมกันยากนะครับ
ผมใช้ธุรกรรมอยู่ 3 แบงค์ SCB, Kbank, Bay ผมพบว่า ผมรู้สึกว่า Bay ดูโอเคสุด
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 171
รอดู K-Transformation ของ KBank ครับ พี่ NB น่ะจะใกล้เรียบร้อยแล้ว
ตรงนี้น่าจะทำให้ระบบ IT ของ KBank พัฒนาไปได้อีกขั้นนึง
ตรงนี้น่าจะทำให้ระบบ IT ของ KBank พัฒนาไปได้อีกขั้นนึง
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- anubist
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1369
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 172
เป็นคนข้างในรึเปล่าครับเนี่ยkabu เขียน:รอดู K-Transformation ของ KBank ครับ พี่ NB น่ะจะใกล้เรียบร้อยแล้ว
ตรงนี้น่าจะทำให้ระบบ IT ของ KBank พัฒนาไปได้อีกขั้นนึง
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1161
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 173
เอามาฝากนายกโจสำหรับ KKP ครั้งนี้ presentation ละเอียดมาก
http://kkp.listedcompany.com/misc/PRESN ... 4Q2013.pdf
http://kkp.listedcompany.com/misc/PRESN ... 4Q2013.pdf
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 174
ขอเสริมเรื่องนี้ครับลูกหิน เขียน:กลุ่มธนาคารผมคิดว่าผมจะลงทุนประมาณ 10-20 ปีครั้งนะครับ ผมคงรอสถานะการ์ณตามนี้นะครับ
1.เกิดวิกฤติในวงกว้างและหนีเสียเกินจะแก้ไข
2.มีการเพิ่มทุนอย่างมาก
3.มีสินทรัพย์รอการขายจำนวนมากที่ถูกตีราคาตํ่ากว่าที่ควรจะเป็นมาก
4.ธนาคารนั้นๆมีลักษณะเฉพาะที่ล้มยาก เช่นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร ประวัติธนาคารตั้งแต่ก่อตั้ง
5.สถานะแย่จนนิ่งอยู่นาน
6.ดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นไปในช่วงวิกฤติเริ่มลดลง
7.ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มขยายการลงทุนอีกครั้ง
8.หนีเสียเริ่มลดลง
9.เริ่มมีการขายสินทรัพย์ที่ยืดมาออกมาได้
ความเห็นผมอาจไม่ถูกก็ได้นะครับแต่ผมขอสะกดรอยตามไปเรื่อยๆอีกนาน เพราะผมกลัวกลุ่มนี้ครับ เนื่องจากเมื่อเกิดภาวะตกใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินอย่างมากขึ้นเมื่อไร ถึงบางครั้งจะเป็นจริงไม่ทั้งหมดก็ตาม กลุ่มนี้จะถูกแห่ถอนเงินกันอย่างรวดเร็ว และจะลุกลามจนผมมองว่าบางครั้งเกิดเหตุ และผมมองว่ากลุ่มนี้มีการลงทุนที่ซับซ้อนและผูกกันไปมาอยู่เกือบทั้งโลก อีกส่วนที่สำคัญคือลักษณะของธุรกิจกิจคือต้องอาศัยรอบหมุนมากๆ และต้องให้มากที่สุดผูกกันไว้อย่างนั้น เมื่อใดที่การหมุนถูกกระทบก็จะเกิดปัญหาตามามากมายครับ ผมเลยมองว่ารอโอกาสที่ดีนานครั้งก็พอครับเพื่อความปลอดภัยครับ
ส่วนกลุ่มประกันผมไม่กล้าให้ความเห็นครับ เพราะผมถืออยู่เดี๋ยวจะถูกหาว่าเชียร์หุ้นครับ เคยโดนมาแล้วครับ อยู่เงียบๆดีกว่าครับ ขอให้เพื่่อนทุกคนมีความสุขนะครับ
1.1.เกิดวิกฤติในวงกว้างและหนีเสียเกินจะแก้ไข
คือเหตุผลที่เราต้องดู npl coverage ratio. ดละ สำรองทั้งหมดต่อสินเชื่อรวม เพื่อดูระกับการสำรองความเสี่ยงที่อาจเกิดในอนาคต
2.มีการเพิ่มทุนอย่างมาก
การปล่อยสินเชื่อทุกครั้ง จะต้องมีการสำรองหนี้เสียทันที และต้องมีการประเมินความเสี่ยงของหนี้ เพื่อหักเงินทุนที่มีอยู่ของสถาบันการเงินที่เราเรียกกองทุนขั้น 1 และ 2 และ bis ratio
การดูกำไรในอนาคตต้องดูว่า การหารายได้จะมีเงินทุนเพียงพอในอนาคตรองรับหรือไม่ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่า 8.5 เท่าของสินเชื่อที่ปล่อยทั้งหมด
3. มีสินทรัพย์รอการขายจำนวนมากที่ถูกตีราคาตํ่ากว่าที่ควรจะเป็นมาก
ต้องดูหมายเหตุประกอบงบว่าหลักประกันที่ประเมินเสื่อค่ามากน้อยเพียงใด
4.ธนาคารนั้นๆมีลักษณะเฉพาะที่ล้มยาก เช่นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร ประวัติธนาคารตั้งแต่ก่อตั้ง
ดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นุ่มใด ประวัติการบิหารงาน และ cg ที่ดูแลผู้ถือหุ้น
5.สถานะแย่จนนิ่งอยู่นาน
ดู growth ขิงยินเชื่อคู่กับการเติบโตกำไร
6.ดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นไปในช่วงวิกฤติเริ่มลดลง
ดู การบริหาร alco ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นส่งผลต่อ กำไรขาดทุนอย่างไร เป็น positive gap หรือ nagative gap ตามการ funding และการให้สินื่อที่มี miss match มากน้อยเพียงใด โดยมากต้องถามธนาคาร
7. ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มขยายการลงทุนอีกครั้ง
ดู sector ที่ปล่อยอยู่ในกลุ่มใด ตอบสนองกับภาวะอุตสาหกรรมอย่างไร
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- TBJTBT
- Verified User
- โพสต์: 404
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 176
มาคอนเฟิร์มว่าใกล้แล้วแหละครับ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเยอะมาก แต่ก็ยังเหลืออะไรอีกหลายขั้นตอนanubist เขียน:เป็นคนข้างในรึเปล่าครับเนี่ยkabu เขียน:รอดู K-Transformation ของ KBank ครับ พี่ NB น่ะจะใกล้เรียบร้อยแล้ว
ตรงนี้น่าจะทำให้ระบบ IT ของ KBank พัฒนาไปได้อีกขั้นนึง
เอาใจช่วยให้เสร็จเสียทีครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 178
สถานการณ์ใดครับที่จะทำให้ บ.ประกัน ประสบปัญหาผลประกอบการ ย่ำแย่
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 179
กำไรของประกันภัยมาจากการประกันทรัพย์สิน หากเสียหายมาก ก็ทำให้ประกันภัยมีโอกาสขาดทุนสูง เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ภัยที่เกิดจากการกระทำของคนโดยประมาทหรือตั้งใจ เช่น การเกิดเพลิงไหม้จำนวนมาก การเผาเมือง ภัยจากการประกันภัยทรัพย์สินที่มีค่าเสียหายสูงและ้รากระจายความเสี่ยงไม่พอเช่น เครื่องบินตก เป็นต้นNevercry.boy เขียน:สถานการณ์ใดครับที่จะทำให้ บ.ประกัน ประสบปัญหาผลประกอบการ ย่ำแย่
บางบริษัทไปรับประกันภัยที่เสี่ยงสูงแต่รับเบี้ยประกันภัยมาไม่คุ้มไปตัดราคามา เช่น สัมพันธ์ประกันภัย ที่ไปรับกลุ่มรถ taxi กลุ่มรถขนส่งขนาดใหญ่ เน้นเอา volumn ธุรกิจ เป็นต้น
กำไรอีกด้านมาจากเงินลงทุน หากดอกเบี้ยตลาดผันผวนมาก ราคาหุ้นตกต่ำมาก ผลประกอบการบริษัทที่ลงทุนไม่จ่ายปันผลด้วยเป็นต้น
หากเกิดพร้อมกันเมื่อไหร่ ประกันภัยคงประสบกับปัญหาครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพื้นฐานใช้ได้ ราคาตกลงมาเกิน 50%
โพสต์ที่ 180
ขอถามอีกมุมหนึ่งนะครับ แล้วอะไรจะเป็นปัจจัยให้กำไรของธุรกิจประกันภัย "เฟื่องฟู" ครับchaitorn เขียน:กำไรของประกันภัยมาจากการประกันทรัพย์สิน หากเสียหายมาก ก็ทำให้ประกันภัยมีโอกาสขาดทุนสูง เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ภัยที่เกิดจากการกระทำของคนโดยประมาทหรือตั้งใจ เช่น การเกิดเพลิงไหม้จำนวนมาก การเผาเมือง ภัยจากการประกันภัยทรัพย์สินที่มีค่าเสียหายสูงและ้รากระจายความเสี่ยงไม่พอเช่น เครื่องบินตก เป็นต้นNevercry.boy เขียน:สถานการณ์ใดครับที่จะทำให้ บ.ประกัน ประสบปัญหาผลประกอบการ ย่ำแย่
บางบริษัทไปรับประกันภัยที่เสี่ยงสูงแต่รับเบี้ยประกันภัยมาไม่คุ้มไปตัดราคามา เช่น สัมพันธ์ประกันภัย ที่ไปรับกลุ่มรถ taxi กลุ่มรถขนส่งขนาดใหญ่ เน้นเอา volumn ธุรกิจ เป็นต้น
กำไรอีกด้านมาจากเงินลงทุน หากดอกเบี้ยตลาดผันผวนมาก ราคาหุ้นตกต่ำมาก ผลประกอบการบริษัทที่ลงทุนไม่จ่ายปันผลด้วยเป็นต้น
หากเกิดพร้อมกันเมื่อไหร่ ประกันภัยคงประสบกับปัญหาครับ
ที่ผมสังเกตเห็นคือ ราคาหุ้นในตลาดที่เป็นขาขึ้น ทำให้กำไรของบ.ดีขึ้น แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง มีความไม่แน่นอน จะว่าไปช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นใหม่ ๆ ภาพตรงนี้ตลาดเหมือนมองไม่ออก หุ้นประกันภัยเล็ก ๆ ก็นิ่ง ๆ จนกระทั่งงบออกมาดี หุ้นก็วิ่งขึ้นอย่างแรง แต่สุดท้ายพอตลาดหุ้นเริ่มเป็นขาลง กำไรจากพอร์ตการลงทุนลดลง ราคาหุ้นประกันภัยหลายตัวก็กลับมาสู่ความเป็นจริง
จะว่าไปเท่าที่สังเกตดูประกันบางตัวที่กำไรดีขึ้นชัดเจนส่วนหนึ่งก็เกิดจากการบริหารของบ.เองอย่างเช่น SMK
"Become a risk taker, not a risk maker"