VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 90
- ผู้ติดตาม: 0
VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 1
VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ ถ้าเจอผี VI จะทำอย่างไรครับ สมควรโลภ(ขอหวย,หุ้น) หรือสมควรกลัวดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 2
ตอนเด็กๆเคยคิดไว้ว่าถ้าเจอผีจะแผ่เมตตาให้เค้าครับ
แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเจอครับ
แฮ่...แต่ถึงไม่เคยเจอและไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้
แต่ไม่ลบหลู่ครับ
แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเจอครับ
แฮ่...แต่ถึงไม่เคยเจอและไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้
แต่ไม่ลบหลู่ครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 915
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 5
cobain_vi เขียน:เรื่องแบบนี้แปลกนะครับ คนที่อยากเจอมักจะไม่ได้เจอ คนที่ไม่อยากเจอกลับได้เจอ
และตอนที่เจอมักจะไม่กลัวด้วย(ถ้าให้เจอตอนกำลังกลัว ผมว่าคงช็อคตายกันพอดี )
แชร์ประสบการณ์ให้อ่านหน่อยได้มั้ยครับ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 7
เล่าเลยเถอะ ผมอยากฟังด้วยcobain_vi เขียน:ผมเป็นคนพิมพ์ไม่เก่งครับ คงจะไม่สะดวกที่จะเล่าในนี้ ถ้ามีโอกาสได้เจอกันผมจะเล่าให้ฟังครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- neuhiran
- Verified User
- โพสต์: 815
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 8
cobain_vi เขียน:ผมเป็นคนพิมพ์ไม่เก่งครับ คงจะไม่สะดวกที่จะเล่าในนี้ ถ้ามีโอกาสได้เจอกันผมจะเล่าให้ฟังครับ
พิมพ์ไม่เก่งไม่เป็นไร ผมถามสั้นๆนะ
เจอกลางวันหรือกลางคืน ?
ห่างจากตัวคุณ Cabin มากมั๊ย ประมาณ กี่เมตร ?
มาแบบเป็นคนหรือสัตว์ หรือสิ่งของ ?
เห็นนานกี่นาที ?
ผมไม่เคยเจอเลย อยากเห็นบ้าง (ผมพูดจริงนะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 64
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 9
ผมว่าผีไม่มีจริงครับ แต่หลายคนคงแย้งว่ามี เพราะเคยเจอมาแล้ว มันก็ไม่แปลกครับ การรับรู้ของคนเรามีความแตกต่างกัน ปรากฎการณ์ต่างๆมีมากมายในจักรวาล ซึ่งแต่ละคนก็ตีความไปคนละแบบ ดูอย่างหุ้นซิครับ สถานะการณ์เดียวกันบางคนมองเป็นโอกาสแต่บางคนมองเป็นวิกฤติ ขอพูดแบบขำๆครับว่าผีคงขี้อาย จึงไม่ค่อยย่อมให้ใครเห็น หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น ที่บอกมาทั้งหมดความจริงแล้วผมก็กลัวผีนะครับ แม้เมื่อคิดด้วยสติและเหตุผลแล้วไม่เชื่อว่ามี เหมื่อนเวลาซื้อขายหุ้นเลยครับ อารมณ์ชอบอยุ่เหนือเหตุผล
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวVI
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวVI
I feel control.
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 10
คงต้องทำแบบ ท่านวอเรน บัฟเฟตต์ ครับว่า ธุรกิจไหนที่ยากแก่การเข้าใจ ก็ไม่ไปแตะ ไม่ไปลงทุนครับ
เรื่องของ คนเป็น ยังมีปัญหาให้ต้องปวดขมองครุ่นคิดมากมาย
ผมก็เลยไม่อยากแบ่งเวลาไปคิดเรื่อง คนตาย ครับ
(ความเห็นส่วนตัวครับ)
เรื่องของ คนเป็น ยังมีปัญหาให้ต้องปวดขมองครุ่นคิดมากมาย
ผมก็เลยไม่อยากแบ่งเวลาไปคิดเรื่อง คนตาย ครับ
(ความเห็นส่วนตัวครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 11
ไม่เจอก็ดีแล้วครับ สำหรับผมการได้เจอถือว่าเป็นการโชคดีที่สุดแล้ว เพราะทำให้เรารู้ว่ายังมีอีกภพนึงที่เราและคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น ข้อดีของมันคือทำให้เราไม่กล้าทำบาป ทำแต่ความดีเพราะกลัวว่าถ้าตายไปอาจจะต้องไปเสวยผลกรรม ไม่ได้ผุดได้เกิดเวียนว่ายอยู่ในภพนั้น
หลายคนไม่สามารถเห็นได้เป็นเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบ สำหรับคนที่เห็นผมก็ไม่ทราบอีกว่าทำไมถึงเห็น แต่สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่าถ้าเราบอกว่าไม่มีคงเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป
ในโลกผมได้เห็นสถานที่ต่างๆมากมาย ได้ไปเที่ยวไกลๆ แต่ผมกล้าบอกไว้อย่างนึงว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า( สถานที่ทางโลก เห็นคนสวย เห็นศพ หรือได้เห็นอะไรต่างๆ) ยังไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าเห็นผีเลยครับ ในชีวิตผมเจอหลายครั้งมากๆ มาในรูปแบบต่างๆมากมาย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอ จนครั้งล่าสุดนับไม่ถ้วน แต่สิ่งนึงที่สมสังเกตุนะครับว่าถ้าคนไหนที่ชอบปฏิบัติภาวนานะครับ มักจะได้เจอ(แต่ก็ไม่ทุกคนเสมอไป)
มีหลวงพ่อท่านนึงปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยเล่าว่าระหว่างที่ทาานเดินจงกลมบนทางเดินนั้น ได้มีเปรตตนนึงโผล่ขึ้นมาขอส่วนบุญ ผุดขึ้นมาบนทางเดินจงกลม(ท่านเล่าให้เฉพาะลูกศิษฐ์ใกล้ชิดฟังนะครับ ปกติท่านจะไม่เล่าให้คนอื่นฟังหรอกครับ เรื่องแบบนี้เล่าไปส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเสีย) ท่านก็แผ่เมตตาให้ไป
เรื่องแบบนี้เล่ามากเกินไปไม่ดีครับ เพราะยังไงเค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีเพราะเค้าไม่เคยเห็น
นอกจากผีแล้วนะครับ เรื่องบางเรื่องก็ออกรู้ออกเห็นได้เหมือนกัน สำหรับตัวผมเองนอกจากได้เห็นผีแล้ว บางทียังฝันแม่นมากเมื่อตอนที่ผมบวชนะครับ ผมฝันเห็นหวยทุกงวดเลย สองตัวจั๋งๆตลอด มีอยู่ครั้งนึงเมื่อตอนปี47 ตอนเกิดสึนามิที่ภาคใต้นะครับ ตอนนั้นผมยังเปิดร้านอัดรูปอยู่ที่กระบี่ ผมฝันว่ามีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาชายฝั่ง ผมเริ่มฝันตั้งแต่เดือนพค. นะครับ ฝันเรื่อยๆฝันเห็นคลื่นยักษ์ตลอดเลย จนเดือนธค สึนามิก็มาจริงๆ ก่อนหน้าวันที่สึนามิมาหนึ่งวันผมก็ฝันอีกครั้งสุดท้าย ในฝันชัดมาก คลื่นยักษ์ถล่มชายหาด บ้านเรือนราบเป็นหน้ากลอง แต่ร้านผมและตัวผมไม่เป็นไร รุ่งขึ้นอีกวันมันก็มาจริงๆ
บางเรื่องก็ไม่ได้ฝันนะครับ เห็นกันต่อหน้าต่อตาเลยกลางวันแสกๆ จำวันที่เครื่องบินตกที่สมุยได้ไหมครับรู้สึกว่านักบินจะเสียชีวิตด้วย วันนั้นผมกำลังออกจากบ้านกำลังปิดประตู ตามองไปที่ท้องฟ้าทางสนามบินพอดี(บ้านที่กทม ผมอยู่แถวสนามบินครับ) ได้เห็นเงาทมึน เป็นเงารูปเครื่องบินตกลงไปในสนามบิน ผมอุทานในใจ เครื่องบินตก! หลังจากนั้นอีกประมาณ3ชม ก็ได้ยินข่าวเครื่องบินตกที่สมุยจริงๆ
เล่าให้ฟังพอหอมปากหอมคอแค่นี้นะครับ มากเกินไปไม่ดี
ผีมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี เชื่อในปัญญาตรสรู้ของพระพุทธเจ้า ดำเนินตามทางที่ท่านได้บอกพวกเราไว้ อยู่กับโลกสนุกพอประมาณ ทำทาน รักษาศีล ฝึกสติ หัดเจริญปัญญา ก่อนที่ร่างกายเราจะหายไปจากโลกนี้ จะได้ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
หลายคนไม่สามารถเห็นได้เป็นเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบ สำหรับคนที่เห็นผมก็ไม่ทราบอีกว่าทำไมถึงเห็น แต่สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่าถ้าเราบอกว่าไม่มีคงเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป
ในโลกผมได้เห็นสถานที่ต่างๆมากมาย ได้ไปเที่ยวไกลๆ แต่ผมกล้าบอกไว้อย่างนึงว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า( สถานที่ทางโลก เห็นคนสวย เห็นศพ หรือได้เห็นอะไรต่างๆ) ยังไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าเห็นผีเลยครับ ในชีวิตผมเจอหลายครั้งมากๆ มาในรูปแบบต่างๆมากมาย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอ จนครั้งล่าสุดนับไม่ถ้วน แต่สิ่งนึงที่สมสังเกตุนะครับว่าถ้าคนไหนที่ชอบปฏิบัติภาวนานะครับ มักจะได้เจอ(แต่ก็ไม่ทุกคนเสมอไป)
มีหลวงพ่อท่านนึงปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยเล่าว่าระหว่างที่ทาานเดินจงกลมบนทางเดินนั้น ได้มีเปรตตนนึงโผล่ขึ้นมาขอส่วนบุญ ผุดขึ้นมาบนทางเดินจงกลม(ท่านเล่าให้เฉพาะลูกศิษฐ์ใกล้ชิดฟังนะครับ ปกติท่านจะไม่เล่าให้คนอื่นฟังหรอกครับ เรื่องแบบนี้เล่าไปส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเสีย) ท่านก็แผ่เมตตาให้ไป
เรื่องแบบนี้เล่ามากเกินไปไม่ดีครับ เพราะยังไงเค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีเพราะเค้าไม่เคยเห็น
นอกจากผีแล้วนะครับ เรื่องบางเรื่องก็ออกรู้ออกเห็นได้เหมือนกัน สำหรับตัวผมเองนอกจากได้เห็นผีแล้ว บางทียังฝันแม่นมากเมื่อตอนที่ผมบวชนะครับ ผมฝันเห็นหวยทุกงวดเลย สองตัวจั๋งๆตลอด มีอยู่ครั้งนึงเมื่อตอนปี47 ตอนเกิดสึนามิที่ภาคใต้นะครับ ตอนนั้นผมยังเปิดร้านอัดรูปอยู่ที่กระบี่ ผมฝันว่ามีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาชายฝั่ง ผมเริ่มฝันตั้งแต่เดือนพค. นะครับ ฝันเรื่อยๆฝันเห็นคลื่นยักษ์ตลอดเลย จนเดือนธค สึนามิก็มาจริงๆ ก่อนหน้าวันที่สึนามิมาหนึ่งวันผมก็ฝันอีกครั้งสุดท้าย ในฝันชัดมาก คลื่นยักษ์ถล่มชายหาด บ้านเรือนราบเป็นหน้ากลอง แต่ร้านผมและตัวผมไม่เป็นไร รุ่งขึ้นอีกวันมันก็มาจริงๆ
บางเรื่องก็ไม่ได้ฝันนะครับ เห็นกันต่อหน้าต่อตาเลยกลางวันแสกๆ จำวันที่เครื่องบินตกที่สมุยได้ไหมครับรู้สึกว่านักบินจะเสียชีวิตด้วย วันนั้นผมกำลังออกจากบ้านกำลังปิดประตู ตามองไปที่ท้องฟ้าทางสนามบินพอดี(บ้านที่กทม ผมอยู่แถวสนามบินครับ) ได้เห็นเงาทมึน เป็นเงารูปเครื่องบินตกลงไปในสนามบิน ผมอุทานในใจ เครื่องบินตก! หลังจากนั้นอีกประมาณ3ชม ก็ได้ยินข่าวเครื่องบินตกที่สมุยจริงๆ
เล่าให้ฟังพอหอมปากหอมคอแค่นี้นะครับ มากเกินไปไม่ดี
ผีมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี เชื่อในปัญญาตรสรู้ของพระพุทธเจ้า ดำเนินตามทางที่ท่านได้บอกพวกเราไว้ อยู่กับโลกสนุกพอประมาณ ทำทาน รักษาศีล ฝึกสติ หัดเจริญปัญญา ก่อนที่ร่างกายเราจะหายไปจากโลกนี้ จะได้ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 12
เพิ่งดูสัมภาษณ์ท่านcobain_viในมันนี่ทอล์ค
ผมก็เคยเจอคล้ายๆกันด้วย
ก็คงประมาณว่า
เราไม่เห็นคลื่นวิทยุในอากาศ
เราไม่เห็นกระแสไฟฟ้าในสายไฟ
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี
(คงเถียงกันนาน คล้ายตรรกะว่า นิพพาน "มี" หรือเลขศูนย์"มี"จริงมั้ยมั้งครับ)
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นครับ
ถ้าท่านโคเบนเห็น"หายนะ"ในตลาดหุ้น
รีบโพสต์บอกพวกเราเลยนะฮะ
หรือเห็นหุ้นเจ๋งๆแบบเห็นหวยสองตัวนั่นแหละ บอกกันมั่ง
อย่ามันส์อยู่คนเดียว แบ่งๆกันเสียวมั่งฮิ ฮา..
(ขออภัยฮะ บังเอิญเป็นห้องนั่งเล่น เลยขอพูดเล่นๆ แต่เอาจริงนิสนึง)
ผมก็เคยเจอคล้ายๆกันด้วย
ก็คงประมาณว่า
เราไม่เห็นคลื่นวิทยุในอากาศ
เราไม่เห็นกระแสไฟฟ้าในสายไฟ
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี
(คงเถียงกันนาน คล้ายตรรกะว่า นิพพาน "มี" หรือเลขศูนย์"มี"จริงมั้ยมั้งครับ)
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นครับ
ถ้าท่านโคเบนเห็น"หายนะ"ในตลาดหุ้น
รีบโพสต์บอกพวกเราเลยนะฮะ
หรือเห็นหุ้นเจ๋งๆแบบเห็นหวยสองตัวนั่นแหละ บอกกันมั่ง
อย่ามันส์อยู่คนเดียว แบ่งๆกันเสียวมั่งฮิ ฮา..
(ขออภัยฮะ บังเอิญเป็นห้องนั่งเล่น เลยขอพูดเล่นๆ แต่เอาจริงนิสนึง)
samatah
- neuhiran
- Verified User
- โพสต์: 815
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณมากเลยครับ ที่มาเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ผมcobain_vi เขียน:ไม่เจอก็ดีแล้วครับ สำหรับผมการได้เจอถือว่าเป็นการโชคดีที่สุดแล้ว เพราะทำให้เรารู้ว่ายังมีอีกภพนึงที่เราและคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น ข้อดีของมันคือทำให้เราไม่กล้าทำบาป ทำแต่ความดีเพราะกลัวว่าถ้าตายไปอาจจะต้องไปเสวยผลกรรม ไม่ได้ผุดได้เกิดเวียนว่ายอยู่ในภพนั้น
หลายคนไม่สามารถเห็นได้เป็นเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบ สำหรับคนที่เห็นผมก็ไม่ทราบอีกว่าทำไมถึงเห็น แต่สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่าถ้าเราบอกว่าไม่มีคงเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป
ในโลกผมได้เห็นสถานที่ต่างๆมากมาย ได้ไปเที่ยวไกลๆ แต่ผมกล้าบอกไว้อย่างนึงว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า( สถานที่ทางโลก เห็นคนสวย เห็นศพ หรือได้เห็นอะไรต่างๆ) ยังไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าเห็นผีเลยครับ ในชีวิตผมเจอหลายครั้งมากๆ มาในรูปแบบต่างๆมากมาย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอ จนครั้งล่าสุดนับไม่ถ้วน แต่สิ่งนึงที่สมสังเกตุนะครับว่าถ้าคนไหนที่ชอบปฏิบัติภาวนานะครับ มักจะได้เจอ(แต่ก็ไม่ทุกคนเสมอไป)
มีหลวงพ่อท่านนึงปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยเล่าว่าระหว่างที่ทาานเดินจงกลมบนทางเดินนั้น ได้มีเปรตตนนึงโผล่ขึ้นมาขอส่วนบุญ ผุดขึ้นมาบนทางเดินจงกลม(ท่านเล่าให้เฉพาะลูกศิษฐ์ใกล้ชิดฟังนะครับ ปกติท่านจะไม่เล่าให้คนอื่นฟังหรอกครับ เรื่องแบบนี้เล่าไปส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องเสีย) ท่านก็แผ่เมตตาให้ไป
เรื่องแบบนี้เล่ามากเกินไปไม่ดีครับ เพราะยังไงเค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีเพราะเค้าไม่เคยเห็น
นอกจากผีแล้วนะครับ เรื่องบางเรื่องก็ออกรู้ออกเห็นได้เหมือนกัน สำหรับตัวผมเองนอกจากได้เห็นผีแล้ว บางทียังฝันแม่นมากเมื่อตอนที่ผมบวชนะครับ ผมฝันเห็นหวยทุกงวดเลย สองตัวจั๋งๆตลอด มีอยู่ครั้งนึงเมื่อตอนปี47 ตอนเกิดสึนามิที่ภาคใต้นะครับ ตอนนั้นผมยังเปิดร้านอัดรูปอยู่ที่กระบี่ ผมฝันว่ามีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาชายฝั่ง ผมเริ่มฝันตั้งแต่เดือนพค. นะครับ ฝันเรื่อยๆฝันเห็นคลื่นยักษ์ตลอดเลย จนเดือนธค สึนามิก็มาจริงๆ ก่อนหน้าวันที่สึนามิมาหนึ่งวันผมก็ฝันอีกครั้งสุดท้าย ในฝันชัดมาก คลื่นยักษ์ถล่มชายหาด บ้านเรือนราบเป็นหน้ากลอง แต่ร้านผมและตัวผมไม่เป็นไร รุ่งขึ้นอีกวันมันก็มาจริงๆ
บางเรื่องก็ไม่ได้ฝันนะครับ เห็นกันต่อหน้าต่อตาเลยกลางวันแสกๆ จำวันที่เครื่องบินตกที่สมุยได้ไหมครับรู้สึกว่านักบินจะเสียชีวิตด้วย วันนั้นผมกำลังออกจากบ้านกำลังปิดประตู ตามองไปที่ท้องฟ้าทางสนามบินพอดี(บ้านที่กทม ผมอยู่แถวสนามบินครับ) ได้เห็นเงาทมึน เป็นเงารูปเครื่องบินตกลงไปในสนามบิน ผมอุทานในใจ เครื่องบินตก! หลังจากนั้นอีกประมาณ3ชม ก็ได้ยินข่าวเครื่องบินตกที่สมุยจริงๆ
เล่าให้ฟังพอหอมปากหอมคอแค่นี้นะครับ มากเกินไปไม่ดี
ผีมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี เชื่อในปัญญาตรสรู้ของพระพุทธเจ้า ดำเนินตามทางที่ท่านได้บอกพวกเราไว้ อยู่กับโลกสนุกพอประมาณ ทำทาน รักษาศีล ฝึกสติ หัดเจริญปัญญา ก่อนที่ร่างกายเราจะหายไปจากโลกนี้ จะได้ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
- HARINLUX
- Verified User
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 14
-บทความเรื่อง ความเชื่อที่งมงาย ของท่านพุทธทาส อินทปัญโญ
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... bdd-32.htm
..............
ความรู้ คู่คุณธรรม
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... bdd-32.htm
..............
ความรู้ คู่คุณธรรม
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 15
ส่วนตัวไม่เคยเห็นครับ เคยได้ยินแต่ครูอาจารย์ท่านเคยกล่าวไว้
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ ได้ทรงเห็น เปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาว ปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ แต่พระองค์ก็ไม่เคยตรัสถึง
แต่เมื่อครั้งที่พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นเปรตตนดังกล่าว และได้นำมาเล่าในที่ประชุมสงฆ์ พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระ ดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว
หากย้อนกลับไปสัก 250 ปี มีใครพูดว่า ฉันจะไปดวงจันทร์ โดยการสร้างยานอวกาศ ผมว่าด้วยยุคสมัยนั้น คงหาคนเชื่อยาก
และคนที่พูดอย่างนั้น อาจโดนหาว่าบ้า หรือ สร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง และมีภัยถึงตัวได้โดยง่าย
ดังคำขององค์พระบรมศาสดาที่ว่า ธรรมของตถาคตเป็น "ปัจจัตตัง" ใครปฏิบัติถึงแล้วย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เฉพาะตน ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน ธรรมของใครก็ของผู้นั้น ทำแทนกันไม่ได้...
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ ได้ทรงเห็น เปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาว ปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ แต่พระองค์ก็ไม่เคยตรัสถึง
แต่เมื่อครั้งที่พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นเปรตตนดังกล่าว และได้นำมาเล่าในที่ประชุมสงฆ์ พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระ ดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว
หากย้อนกลับไปสัก 250 ปี มีใครพูดว่า ฉันจะไปดวงจันทร์ โดยการสร้างยานอวกาศ ผมว่าด้วยยุคสมัยนั้น คงหาคนเชื่อยาก
และคนที่พูดอย่างนั้น อาจโดนหาว่าบ้า หรือ สร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง และมีภัยถึงตัวได้โดยง่าย
ดังคำขององค์พระบรมศาสดาที่ว่า ธรรมของตถาคตเป็น "ปัจจัตตัง" ใครปฏิบัติถึงแล้วย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เฉพาะตน ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน ธรรมของใครก็ของผู้นั้น ทำแทนกันไม่ได้...
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 38
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 16
จะเห็นผีหรือไม่เห็น แล้วแต่อำนาจจิตของท่าน...
แต่ที่น่าแปลกใจมีอีก สองอย่างที่คล้าย ๆกัน
ผี...อยากเห็นก็ไม่มา ทีอยู่คนเดียวเปลี่ยว ๆละ...มาเชียว..
หุ้น...อยากขึ้นก็ขึ้น..อยากลงก็ลง หาเหตุผลดีๆไม่ค่อยได้
เมีย...อยากโกรธ...มันก็โกรธ.
...เอาเป็นว่า อย่าไปหาเหตุผลกับมันเลย...
แต่ที่น่าแปลกใจมีอีก สองอย่างที่คล้าย ๆกัน
ผี...อยากเห็นก็ไม่มา ทีอยู่คนเดียวเปลี่ยว ๆละ...มาเชียว..
หุ้น...อยากขึ้นก็ขึ้น..อยากลงก็ลง หาเหตุผลดีๆไม่ค่อยได้
เมีย...อยากโกรธ...มันก็โกรธ.
...เอาเป็นว่า อย่าไปหาเหตุผลกับมันเลย...
- HARINLUX
- Verified User
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 17
-การเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร คำอธิบาย ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ
http://www.youtube.com/watch?v=cpdc4eyaWr0
............
ความรู้ คู่คุณธรรม
http://www.youtube.com/watch?v=cpdc4eyaWr0
............
ความรู้ คู่คุณธรรม
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 18
จริงๆก็พอจะรู้นะครับว่าทำไงถึงเห็นพวกผีหรืออะไรต่างๆได้ ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ
(ขอย้อนกลับไปตอนที่บวช)เมื่อตอนที่บวชจริงอยู่ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอนเพราะบวชอยู่วัดบ้านต่างจังหวัดธรรมดาๆแต่สิ่งนึงที่ผมทำตลอดคือ บริกรรม พุทโธๆๆครับ ที่วัดแทบทุกวัดมีสิ่งนึงที่ดีมากๆคือหนังสือธรรมะ เวลาว่างผมจะอ่านหนังสือครูบาอาจารย์(สายวัดป่าตลอด เป็นความโชคดีของผมอีกอย่างนึงคือทั้งชีวิตไม่เคยย่างกรายไปเรียนหรือสัมผัสติดต่อกับลัทธิเพี้ยนๆ หรือพวกมิจฉาทิฐิเลย ในปัจจุบันเยอะมากครับ ชอบโฆษณาด้วยนะครับ คนที่ศึกษามาน้อยมักตกเป็นเหยื่อได้ง่าย)ท่านจะบอกวิธีปฏิบัติไว้อย่างละเอียดมาก พออ่านหนังสือแล้วผมก็จะฝึกของผมเอง
คือบริกรรมพุทโธๆจนหลับเลยครับ เวลาไหลไปคิดก็มักจะบังคับไม่ให้มันไหลไปจะกดข่มด้วยคำบริกรรมพุทโธๆตลอด โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไร ผมเพิ่งมารู้ตอนหลังเมื่อสักสามสี่ปีที่แล้วนี่เองครับว่าจิตผมตอนนั้นรวมเป็นสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิ (เพราะตอนนั้นติดขัดเรื่องการภาวนา จนมันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เลยกลับไปทำสมาธิในรูปแบบอีก พอทำสมาธิได้ก็เอาไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ท่านก็บอกว่าไอ้สมาธิที่เราทำน่ะ เค้าเรียกอัปปนาสมาธิ โถ ดูสิครับ หลงทำมาตั้งนานเป็นสิบปีแล้วยังไม่รู่เลยว่าเค้าเรียกว่าอะไร จนมารู้เมื่อตอนที่ท่านบอกนี่แหละ ข้อนี้ทำให้เรารู้เลยว่าการที่ขาดครูบาอาจารย์เนี่ยมันทำให้เราเนิ่นช้าแค่ไหน ถ้าตอนนั้นได้อยู่กับครูบาอาจารย์เผลอๆผมอาจไม่สึกก็ได้นะ แต่ก็อีกนั่นแหละตอนนั้นที่บ้านลำบากมากๆผมต้องสึกออกมาช่วยแม่ใช้หนี้สิน คนอื่นเค้าเรียนจบมาอย่างแย่ที่สุดเค้าก็เริ่มจากศูนย์ แต่ผมมันมากกว่านั้นเรียนจบมามีหนี้ล้านกว่าบาท ปี2542นะครับเงินล้านกว่าบาทนี่แทบเป็นลม แต่ผมก็ไม่ท้อหรอกครับคิดเสมอว่าอยากให้แม่สบาย ท่านลำบากมาเพื่อผมมากแล้ว
ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา)
เพราะจิตมีกำลังมากนี่แหละทำให้เราออกรู้ออกเห็นอะไรได้มากมาย บางเรื่องผมไม่สามารถบอกได้ในนี้เพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะ แต่บอกได้คำเดียวว่าอัศจรรย์มากๆ
ขออธิบายสักหน่อยนะครับเรื่องสมาธิกับฌาณ
สมาธิกับฌาณต่างกันอย่างไร สมาธิกับฌาณดูเผินๆคล้ายกันแต่ถ้าชำนาญแล้วจะแยกออก
ฌาณคือการเพ่งเพื่อให้สงบหน้าเดียว ส่วนสมาธิสงบแบบปัญญาด้วย
ฌาณถ้าในอภิธรรมเรียกว่าอารัมณูปณิชฌาณ คือเพ่งอารมน์
ส่วนสมาธิในอภิธรรมเรียกว่าลักขณูปณิชฌาณ คือเพ่งลักษณะ เห็นไตรลักษณ์(ปัญญาในศาสนาพุทธคือการเห็นไตรลักษณ์)
บางครั้งเราอาจจะงงๆนะครับว่าเอ๊ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านชอบพูดว่าฌาณอันใดสมาธิก็อันนั้น สมาธิอันใดฌาณก็อันนั้น แสดงว่าเหมือนกันน่ะสิ จริงๆแล้วไม่เหมืิอนนะครับ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่เวลาเราขึ้นวิปัสสนา(สมาธิ)มักจะผ่านฌาณก่อน คือมักจะทำควบกันถ้าคนชำนาญก็จะแยกออก ส่วนคนไม่ชำนาญจะแยกไม่ออกจนคิดว่ามันคืออย่างเดียวกัน ทั้งสองอย่างมักจะอยู่ด้วยกัน
ส่วนการทำสมาธิของผม เอาเท่าที่เคยนะครับ ผมทำในรูปแบบก็ได้ คือหลังจากสวดมนต์ไหว้พระก็นั่งสมาธิบริกรรมพุทโธๆไป พอเวลาจิตจะรวมนะครับส่วนใหญีของผมจะดูการเกิดดับขององค์ฌาณ บางทีจิตไหลไปทำงานจิตก็รวมแล้ว จริงๆแล้วผมก็ลองผิดลองถูกมานาน ไม่ใช่ว่านั่งปุ๊บแล้วจิตรวมปั๊บนะครับ ต้องอดทนเอาปวดหลังปวดขา ขาเป็นเหน็บเดินไม่ได้นี่ก็เหมือนกับคนอื่นๆต้องสู้ต้องอดทนเอา ส่วนใหญ่จะอ่านจากหนังสือของครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายๆเล่มแต่ที่ชอบที่สุดเป็นหนังสือของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พออ่านแล้วก็มาลองทำดู ตอนแรกๆก็ยากหน่อยแต่พอทำบ่อยๆมันก็ชำนาญขึ้น เอาแบบละเอียดหน่อยนะครับตั้งแต่ขั้นแรกเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว
1 สวดมนต์ ใช้เวลาสวดไม่แน่นอน ปกติอยู่ที่45นาทีถึง1ชม. บทที่สวดก็มีพระปริตรต่างๆ พระสูตร(อนัตตลักขณะสูตร ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร )ต่อด้วยบทปลงสังขาร แผ่เมตตา กรวดน้ำ ประมาณนั้น(จริงๆสวดอะไรก็ได้ดีทั้งนั้น จะชินบัญชร พาหุง อะไรก็ได้ สวดบ่อยๆเดี๋ยวมันจำได้เอง พอจำได้ก็สะดวกไม่ต้องกางหนังสือสวดมนต์ มันจะสะดวกเวลาไปไหนเราก็ไม่ต้องพกหนังสือ สวดตอนไหนก็ได้ บางทีผมขับรถผมยังสวดไปด้วยขับไปด้วยเลย) บางครั้งใจเราฟุ้งซ่านมากมักจะสวดไม่นาน ถ้าเป็นไปได้ผมจะหาอย่างอื่นทำเช่นเดินจงกลมแทน บางครั้งระหว่างที่สวดมนต์เห็นสัญญาผุดขึ้นมาจิตมันก็รวมเองระหว่างสวดมนต์ก็เคยนะครับโดยที่ยังไม่ทันได้นั่งสมาธิเลยก็มี แต่ถ้าเราไม่สะดวกเดินจงกลมจะพยายามสวดนานกว่าปกติเพื่อให้สงบหายฟุ้งซ่าน ถ้าเราฟุ้งซ่านชอบไหลไปคิด ไหลไปปรุ่ง ส่งจิตออกนอก เราควรใช้เวลานั้นดูจิตที่ไหลไปทำงาน ไหลไปคิด ไหลไปปรุง
2 หลังจากสวดมนต์แล้วจะนั่งสมาธิ ท่านั่งก็เหมือนทั่วๆไปคือขาขวาทับซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หลังตรง บทบริกรรมใช้พุทโธ หายใจเข้าพุทธ ออกโธ ไปเรื่อยๆ พอเริ่มมีปิติ อาการจะหวือหวาเช่นขนลุก จากนั้นจะสุข(มีความปราณีตกว่าปิติ คนละอย่างกัน ) พอถึงสุดท้ายจะทิ้งหมด เอกคตา(ขั้นตอนนี้คำบริกรรมจะหายไป) บางครั้งพอถึงเอกคตาก็ต้องถอยมาเริ่มที่วิตกวิจารก่อนมันเหมือนกับว่าจิตเรายังมีกำลังไม่พอ สังเกตุดูพอมีวิตกวิจาร(ความคิด ความตรึก)มันจะหลุดมันจะถอยมาเริ่มใหม่ตลอด เราก็ไม่ต้องไปสนใจก็ทำไปใหม่ เริ่มลำดับใหม่ แรกๆมันจะวนอยู่อย่างนี้แหละ วิตกวิจารปิติสุขเอกคตาวนไปวนมา
ต่อจากนั้นตอนที่จะเกิดสมาธิขั้นอัปณา ผมจะใช้วิธี"ดู" หลายๆอย่างเช่น ดูสัญญาที่เกิดขึ้นผุดขึ้น
ดูความคิดที่ไหลไป ดูความเจ็บที่เกิดขึ้น(อันนี้เกิดไม่ค่อยบ่อยคือเกิดทีไรจิตมักจะไม่รวม นานๆจิตจะรวมซักครั้งนึง) แต่ส่วนใหญ่เวลาจิตปรุงสิ่งต่างๆเราจะเป็นผู้รู้ผู้ดูไปเรื่อยๆ พอเราเห็นกระบวนการปรุงของมันจิตจะรวมเข้าอัปณาสมาธิแทบทุกครั้ง (ถ้าเรายังไม่เคยครั้งแรกที่มันรวมเราอาจจะตกใจก่อน บางทีก็หลุดไปไม่ทันรวมเพราะเราตกใจ ครั้งแรกๆมักจะเป็นอย่างนั้น พอทำได้บ่อยๆมันจะคุ้นเคย) เช่นเวลาเกิดปวดขามันจะเกิดเวทนาขึ้น จิตจะอยากลุกพอเราเห็นจิตที่เตรียมสั่งเราให้ลุก จิตจะรวมทันที หรือบางครั้งเห็นเวทนาความปวดเมื่อยผุดขึ้นมาจิตก็รวมลง หรือบางครั้งเราเห็นแค่จิตเคลือนมันก็รวมทันที พอรวมแล้ว(ขั้นอัปณา) มันจะรวมแป๊บเดียวไม่ยอมอยู่นาน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมแป๊บเดียว(ใจจริงอยากให้มันรวมนานๆ เพราะมันมีความสุขมาก สุขจริงๆนะครับผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมครูบาอาจารย์บางท่านถึงติดเป็นสิบปีเลย เพราะมันสุขจริงๆ ถ้าเราสามารถพักอยู่ในนั้นได้นานๆก็ดีนะครับ ผมเคยไปถามครูบาอาจรย์ท่านก็บอกให้ผมพักอยู่ในนั้นก่อน แต่จิตผมมันไม่ยอมมันมักจะออกมาเจริญปัญญาเองทุกครั้ง) พอถอยออกมามันจะพิจารณาธรรมะต่อทันทีอัตโนมัติ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม "พอพิจารณาธรรมะต่อมันก็รวมอีก พอรวมแล้วก็ถอยออกมา(ขั้นอุปจารสมาธิ บางทีต้องเริ่มใหม่หมดคือเริ่มตั้งแต่มีวิตกวิจารโน่นเลย แล้วก็ไล่ลำดับฌาณใหม่) พอออกมาแล้วก็รวมต่อ ถอยเข้าถอยออกอยู่อย่างนั้นหลายรอบ โดยที่มันทำของมันเองอัตโนมัติ" ส่วนเรื่องการพิจารณากายหรือการม้างกายที่ครูบาอาจารย์หลายๆท่านทำผมเองก็ทำไม่ได้ อยากทำแต่ทำไม่ได้ข้อนี้ผมหมดปัญญาจริงๆ วาสนาเราคงไม่เคยทำมา ส่วนเรื่องการเดินปัญญาโดยที่ไม่ต้องทำสมาธิผมก็ดูไปตรงๆ ขั้นแรกเราดูได้แค่อาการของจิต ยังเห็นจิตเพียวๆไม่ได้ บางครั้งเราเห็นกระบวนการทำงานของจิต จิตจะรวมเองผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจิตถึงรวม บางครั้งมันก็ไม่รวม บางครั้งรวมถึงแค่ขั้นอุปจารสมาธิ บางครั้งก็รวมไปถึงขั้นอัปณาสมาธิ ส่วนเรื่องมรรคผลเราไม่ต้องไปสนใจเราก็ทำไปเรื่อยๆยังไม่ต้องคาดหวังมรรคผลจะดีที่สุด "เพราะถ้าเราหวังแล้วชาตินี้จะไม่มีวันได้" เรื่องการดูจิตนั้นบางครั้งไม่ต้องทำสมาธิก่อนแค่ดูสบายๆ รู้สบายๆ จิตมันก็รวมเอง.
ถามว่าถ้าปวดขาปวดหลังทำยังไง ผมก็ทนเอาครับทนไม่ไหวจริงๆก็ขยับบ้าง ไปเดินจงกลมบ้าง ทนหน่อย ระหว่างนั้นก็พิจารณาไปด้วยว่าความปวดมาจากไหน ถ้าจิตเรารวมเข้าสมาธิแล้วความปวดจะไม่มีมากวนเลย
การเดินปัญญาหรือการเดินวิปัสนา มันบังคับไม่ได้ มันจะไม่ทำรวดเดียว มันจะทำๆหยุดๆเองอัตโนมัติ ระหว่างนั้นมันจะทำสมถะควบคู่ไปด้วย เดี๋ยวมันก็พัก เดี๋ยวมันก็เดินปัญญา"มันทำของมันเอง" ถ้าเราจงใจหรือตั้งใจทำมันจะไม่ใช่วิปัสนานะครับ วิปัสนาจะเกิดอัตโนมัติ มันเห็นเอง พ้นความจงใจหรือการบังคับของเรา เห็นแว๊บๆ แป๊บๆ แต่สมถะจะนานกว่า มันคนละแบบกัน นี่เป็นการเดินปัญญาที่ผมทำอยู่โดยที่ไม่ต้องทำสมาธิก่อน คือดูจิตไปตรงๆนี่แหละ จิตเป็นยังไงก็คอยรู้ ไหลไปคิดก็รู้
ถามว่าระหว่างที่นั่งสมาธิจะฟังเปิดเทปธรรมะของครูบาแาจารย์ไปด้วยได้ไหม อันนี้แล้วแต่จริต โดยส่วนตัวผมจะเปิดเป็นบางครั้ง
ที่ผมชอบทำอีกอย่างคือตอนนอนจะพุทโธไปด้วย จนหลับไปเลย บางครั้งพอจิตสงบแล้วเดินปัญญาตอนนอนก็มีนะครับ อาการก็เหมือนตอนไม่นอนนั่นแหละคือไล่ลำดับไปเรือยๆเหมือนตอนนั่งสมาธิแต่ต่างกันคือตอนนี้กำลังนอนอยู่
แล้วต้องนั่งนานไหม ผมก็ไม่จำกัดหรือว่าต้องนั่งเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง นั่งไปเรื่อยๆตามสะดวก จริงๆแล้วเราไม่ได้เล็งผลของการนั่งสมาธิให้นาน เรานั่งเพื่อให้จิตมีสมาธิ ให้มีผู้รู้ที่มีกำลังมาก บางคนนั่งนานหลายชั่วโมง(อดทนเก่ง)แต่จิตไม่สงบ สู้คนที่นั่งแป๊บๆแล้วมีสมาธิไม่ได้ (คือมันไม่เกี่ยวกับเวลาเลย)
อีกอย่างนึงที่สำคัญมากๆคือทุกขั้นทุกตอนของสมาธิเราต้องมีสติรู้ตัวตลอดนะครับ ถ้าขาดสติช่วงใดช่วงนึงมักจะมีอาการแปลกๆต่างๆตามมาให้รู้ไว้เลยว่าเราทำผิดแล้ว
ขอเล่าประสบการ์ณภาวนาให้อ่านนะครับ ไม่ได้มีเจตนาอวดภูมิแต่ประการใด เพราะไม่รู้จะอวดไปทำไม ไม่ได้หวังอะไร อยากให้ลองทำดูเผื่อวาสนาจะเหมือนกัน จริงๆแล้วการทำสมาธิมีหลายแบบจริตแบบไหนก็ลองสังเกตุลองทำดูครับ
วันนี้เขียนซะยาวเลย นานๆทีครับ ^^ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรถามได้นะครับถ้าไม่เกินไปตอบได้ก็จะตอบ
(ขอย้อนกลับไปตอนที่บวช)เมื่อตอนที่บวชจริงอยู่ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอนเพราะบวชอยู่วัดบ้านต่างจังหวัดธรรมดาๆแต่สิ่งนึงที่ผมทำตลอดคือ บริกรรม พุทโธๆๆครับ ที่วัดแทบทุกวัดมีสิ่งนึงที่ดีมากๆคือหนังสือธรรมะ เวลาว่างผมจะอ่านหนังสือครูบาอาจารย์(สายวัดป่าตลอด เป็นความโชคดีของผมอีกอย่างนึงคือทั้งชีวิตไม่เคยย่างกรายไปเรียนหรือสัมผัสติดต่อกับลัทธิเพี้ยนๆ หรือพวกมิจฉาทิฐิเลย ในปัจจุบันเยอะมากครับ ชอบโฆษณาด้วยนะครับ คนที่ศึกษามาน้อยมักตกเป็นเหยื่อได้ง่าย)ท่านจะบอกวิธีปฏิบัติไว้อย่างละเอียดมาก พออ่านหนังสือแล้วผมก็จะฝึกของผมเอง
คือบริกรรมพุทโธๆจนหลับเลยครับ เวลาไหลไปคิดก็มักจะบังคับไม่ให้มันไหลไปจะกดข่มด้วยคำบริกรรมพุทโธๆตลอด โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไร ผมเพิ่งมารู้ตอนหลังเมื่อสักสามสี่ปีที่แล้วนี่เองครับว่าจิตผมตอนนั้นรวมเป็นสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิ (เพราะตอนนั้นติดขัดเรื่องการภาวนา จนมันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เลยกลับไปทำสมาธิในรูปแบบอีก พอทำสมาธิได้ก็เอาไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ ท่านก็บอกว่าไอ้สมาธิที่เราทำน่ะ เค้าเรียกอัปปนาสมาธิ โถ ดูสิครับ หลงทำมาตั้งนานเป็นสิบปีแล้วยังไม่รู่เลยว่าเค้าเรียกว่าอะไร จนมารู้เมื่อตอนที่ท่านบอกนี่แหละ ข้อนี้ทำให้เรารู้เลยว่าการที่ขาดครูบาอาจารย์เนี่ยมันทำให้เราเนิ่นช้าแค่ไหน ถ้าตอนนั้นได้อยู่กับครูบาอาจารย์เผลอๆผมอาจไม่สึกก็ได้นะ แต่ก็อีกนั่นแหละตอนนั้นที่บ้านลำบากมากๆผมต้องสึกออกมาช่วยแม่ใช้หนี้สิน คนอื่นเค้าเรียนจบมาอย่างแย่ที่สุดเค้าก็เริ่มจากศูนย์ แต่ผมมันมากกว่านั้นเรียนจบมามีหนี้ล้านกว่าบาท ปี2542นะครับเงินล้านกว่าบาทนี่แทบเป็นลม แต่ผมก็ไม่ท้อหรอกครับคิดเสมอว่าอยากให้แม่สบาย ท่านลำบากมาเพื่อผมมากแล้ว
ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา)
เพราะจิตมีกำลังมากนี่แหละทำให้เราออกรู้ออกเห็นอะไรได้มากมาย บางเรื่องผมไม่สามารถบอกได้ในนี้เพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะ แต่บอกได้คำเดียวว่าอัศจรรย์มากๆ
ขออธิบายสักหน่อยนะครับเรื่องสมาธิกับฌาณ
สมาธิกับฌาณต่างกันอย่างไร สมาธิกับฌาณดูเผินๆคล้ายกันแต่ถ้าชำนาญแล้วจะแยกออก
ฌาณคือการเพ่งเพื่อให้สงบหน้าเดียว ส่วนสมาธิสงบแบบปัญญาด้วย
ฌาณถ้าในอภิธรรมเรียกว่าอารัมณูปณิชฌาณ คือเพ่งอารมน์
ส่วนสมาธิในอภิธรรมเรียกว่าลักขณูปณิชฌาณ คือเพ่งลักษณะ เห็นไตรลักษณ์(ปัญญาในศาสนาพุทธคือการเห็นไตรลักษณ์)
บางครั้งเราอาจจะงงๆนะครับว่าเอ๊ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านชอบพูดว่าฌาณอันใดสมาธิก็อันนั้น สมาธิอันใดฌาณก็อันนั้น แสดงว่าเหมือนกันน่ะสิ จริงๆแล้วไม่เหมืิอนนะครับ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่เวลาเราขึ้นวิปัสสนา(สมาธิ)มักจะผ่านฌาณก่อน คือมักจะทำควบกันถ้าคนชำนาญก็จะแยกออก ส่วนคนไม่ชำนาญจะแยกไม่ออกจนคิดว่ามันคืออย่างเดียวกัน ทั้งสองอย่างมักจะอยู่ด้วยกัน
ส่วนการทำสมาธิของผม เอาเท่าที่เคยนะครับ ผมทำในรูปแบบก็ได้ คือหลังจากสวดมนต์ไหว้พระก็นั่งสมาธิบริกรรมพุทโธๆไป พอเวลาจิตจะรวมนะครับส่วนใหญีของผมจะดูการเกิดดับขององค์ฌาณ บางทีจิตไหลไปทำงานจิตก็รวมแล้ว จริงๆแล้วผมก็ลองผิดลองถูกมานาน ไม่ใช่ว่านั่งปุ๊บแล้วจิตรวมปั๊บนะครับ ต้องอดทนเอาปวดหลังปวดขา ขาเป็นเหน็บเดินไม่ได้นี่ก็เหมือนกับคนอื่นๆต้องสู้ต้องอดทนเอา ส่วนใหญ่จะอ่านจากหนังสือของครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายๆเล่มแต่ที่ชอบที่สุดเป็นหนังสือของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พออ่านแล้วก็มาลองทำดู ตอนแรกๆก็ยากหน่อยแต่พอทำบ่อยๆมันก็ชำนาญขึ้น เอาแบบละเอียดหน่อยนะครับตั้งแต่ขั้นแรกเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว
1 สวดมนต์ ใช้เวลาสวดไม่แน่นอน ปกติอยู่ที่45นาทีถึง1ชม. บทที่สวดก็มีพระปริตรต่างๆ พระสูตร(อนัตตลักขณะสูตร ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร )ต่อด้วยบทปลงสังขาร แผ่เมตตา กรวดน้ำ ประมาณนั้น(จริงๆสวดอะไรก็ได้ดีทั้งนั้น จะชินบัญชร พาหุง อะไรก็ได้ สวดบ่อยๆเดี๋ยวมันจำได้เอง พอจำได้ก็สะดวกไม่ต้องกางหนังสือสวดมนต์ มันจะสะดวกเวลาไปไหนเราก็ไม่ต้องพกหนังสือ สวดตอนไหนก็ได้ บางทีผมขับรถผมยังสวดไปด้วยขับไปด้วยเลย) บางครั้งใจเราฟุ้งซ่านมากมักจะสวดไม่นาน ถ้าเป็นไปได้ผมจะหาอย่างอื่นทำเช่นเดินจงกลมแทน บางครั้งระหว่างที่สวดมนต์เห็นสัญญาผุดขึ้นมาจิตมันก็รวมเองระหว่างสวดมนต์ก็เคยนะครับโดยที่ยังไม่ทันได้นั่งสมาธิเลยก็มี แต่ถ้าเราไม่สะดวกเดินจงกลมจะพยายามสวดนานกว่าปกติเพื่อให้สงบหายฟุ้งซ่าน ถ้าเราฟุ้งซ่านชอบไหลไปคิด ไหลไปปรุ่ง ส่งจิตออกนอก เราควรใช้เวลานั้นดูจิตที่ไหลไปทำงาน ไหลไปคิด ไหลไปปรุง
2 หลังจากสวดมนต์แล้วจะนั่งสมาธิ ท่านั่งก็เหมือนทั่วๆไปคือขาขวาทับซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หลังตรง บทบริกรรมใช้พุทโธ หายใจเข้าพุทธ ออกโธ ไปเรื่อยๆ พอเริ่มมีปิติ อาการจะหวือหวาเช่นขนลุก จากนั้นจะสุข(มีความปราณีตกว่าปิติ คนละอย่างกัน ) พอถึงสุดท้ายจะทิ้งหมด เอกคตา(ขั้นตอนนี้คำบริกรรมจะหายไป) บางครั้งพอถึงเอกคตาก็ต้องถอยมาเริ่มที่วิตกวิจารก่อนมันเหมือนกับว่าจิตเรายังมีกำลังไม่พอ สังเกตุดูพอมีวิตกวิจาร(ความคิด ความตรึก)มันจะหลุดมันจะถอยมาเริ่มใหม่ตลอด เราก็ไม่ต้องไปสนใจก็ทำไปใหม่ เริ่มลำดับใหม่ แรกๆมันจะวนอยู่อย่างนี้แหละ วิตกวิจารปิติสุขเอกคตาวนไปวนมา
ต่อจากนั้นตอนที่จะเกิดสมาธิขั้นอัปณา ผมจะใช้วิธี"ดู" หลายๆอย่างเช่น ดูสัญญาที่เกิดขึ้นผุดขึ้น
ดูความคิดที่ไหลไป ดูความเจ็บที่เกิดขึ้น(อันนี้เกิดไม่ค่อยบ่อยคือเกิดทีไรจิตมักจะไม่รวม นานๆจิตจะรวมซักครั้งนึง) แต่ส่วนใหญ่เวลาจิตปรุงสิ่งต่างๆเราจะเป็นผู้รู้ผู้ดูไปเรื่อยๆ พอเราเห็นกระบวนการปรุงของมันจิตจะรวมเข้าอัปณาสมาธิแทบทุกครั้ง (ถ้าเรายังไม่เคยครั้งแรกที่มันรวมเราอาจจะตกใจก่อน บางทีก็หลุดไปไม่ทันรวมเพราะเราตกใจ ครั้งแรกๆมักจะเป็นอย่างนั้น พอทำได้บ่อยๆมันจะคุ้นเคย) เช่นเวลาเกิดปวดขามันจะเกิดเวทนาขึ้น จิตจะอยากลุกพอเราเห็นจิตที่เตรียมสั่งเราให้ลุก จิตจะรวมทันที หรือบางครั้งเห็นเวทนาความปวดเมื่อยผุดขึ้นมาจิตก็รวมลง หรือบางครั้งเราเห็นแค่จิตเคลือนมันก็รวมทันที พอรวมแล้ว(ขั้นอัปณา) มันจะรวมแป๊บเดียวไม่ยอมอยู่นาน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมแป๊บเดียว(ใจจริงอยากให้มันรวมนานๆ เพราะมันมีความสุขมาก สุขจริงๆนะครับผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมครูบาอาจารย์บางท่านถึงติดเป็นสิบปีเลย เพราะมันสุขจริงๆ ถ้าเราสามารถพักอยู่ในนั้นได้นานๆก็ดีนะครับ ผมเคยไปถามครูบาอาจรย์ท่านก็บอกให้ผมพักอยู่ในนั้นก่อน แต่จิตผมมันไม่ยอมมันมักจะออกมาเจริญปัญญาเองทุกครั้ง) พอถอยออกมามันจะพิจารณาธรรมะต่อทันทีอัตโนมัติ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม "พอพิจารณาธรรมะต่อมันก็รวมอีก พอรวมแล้วก็ถอยออกมา(ขั้นอุปจารสมาธิ บางทีต้องเริ่มใหม่หมดคือเริ่มตั้งแต่มีวิตกวิจารโน่นเลย แล้วก็ไล่ลำดับฌาณใหม่) พอออกมาแล้วก็รวมต่อ ถอยเข้าถอยออกอยู่อย่างนั้นหลายรอบ โดยที่มันทำของมันเองอัตโนมัติ" ส่วนเรื่องการพิจารณากายหรือการม้างกายที่ครูบาอาจารย์หลายๆท่านทำผมเองก็ทำไม่ได้ อยากทำแต่ทำไม่ได้ข้อนี้ผมหมดปัญญาจริงๆ วาสนาเราคงไม่เคยทำมา ส่วนเรื่องการเดินปัญญาโดยที่ไม่ต้องทำสมาธิผมก็ดูไปตรงๆ ขั้นแรกเราดูได้แค่อาการของจิต ยังเห็นจิตเพียวๆไม่ได้ บางครั้งเราเห็นกระบวนการทำงานของจิต จิตจะรวมเองผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจิตถึงรวม บางครั้งมันก็ไม่รวม บางครั้งรวมถึงแค่ขั้นอุปจารสมาธิ บางครั้งก็รวมไปถึงขั้นอัปณาสมาธิ ส่วนเรื่องมรรคผลเราไม่ต้องไปสนใจเราก็ทำไปเรื่อยๆยังไม่ต้องคาดหวังมรรคผลจะดีที่สุด "เพราะถ้าเราหวังแล้วชาตินี้จะไม่มีวันได้" เรื่องการดูจิตนั้นบางครั้งไม่ต้องทำสมาธิก่อนแค่ดูสบายๆ รู้สบายๆ จิตมันก็รวมเอง.
ถามว่าถ้าปวดขาปวดหลังทำยังไง ผมก็ทนเอาครับทนไม่ไหวจริงๆก็ขยับบ้าง ไปเดินจงกลมบ้าง ทนหน่อย ระหว่างนั้นก็พิจารณาไปด้วยว่าความปวดมาจากไหน ถ้าจิตเรารวมเข้าสมาธิแล้วความปวดจะไม่มีมากวนเลย
การเดินปัญญาหรือการเดินวิปัสนา มันบังคับไม่ได้ มันจะไม่ทำรวดเดียว มันจะทำๆหยุดๆเองอัตโนมัติ ระหว่างนั้นมันจะทำสมถะควบคู่ไปด้วย เดี๋ยวมันก็พัก เดี๋ยวมันก็เดินปัญญา"มันทำของมันเอง" ถ้าเราจงใจหรือตั้งใจทำมันจะไม่ใช่วิปัสนานะครับ วิปัสนาจะเกิดอัตโนมัติ มันเห็นเอง พ้นความจงใจหรือการบังคับของเรา เห็นแว๊บๆ แป๊บๆ แต่สมถะจะนานกว่า มันคนละแบบกัน นี่เป็นการเดินปัญญาที่ผมทำอยู่โดยที่ไม่ต้องทำสมาธิก่อน คือดูจิตไปตรงๆนี่แหละ จิตเป็นยังไงก็คอยรู้ ไหลไปคิดก็รู้
ถามว่าระหว่างที่นั่งสมาธิจะฟังเปิดเทปธรรมะของครูบาแาจารย์ไปด้วยได้ไหม อันนี้แล้วแต่จริต โดยส่วนตัวผมจะเปิดเป็นบางครั้ง
ที่ผมชอบทำอีกอย่างคือตอนนอนจะพุทโธไปด้วย จนหลับไปเลย บางครั้งพอจิตสงบแล้วเดินปัญญาตอนนอนก็มีนะครับ อาการก็เหมือนตอนไม่นอนนั่นแหละคือไล่ลำดับไปเรือยๆเหมือนตอนนั่งสมาธิแต่ต่างกันคือตอนนี้กำลังนอนอยู่
แล้วต้องนั่งนานไหม ผมก็ไม่จำกัดหรือว่าต้องนั่งเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง นั่งไปเรื่อยๆตามสะดวก จริงๆแล้วเราไม่ได้เล็งผลของการนั่งสมาธิให้นาน เรานั่งเพื่อให้จิตมีสมาธิ ให้มีผู้รู้ที่มีกำลังมาก บางคนนั่งนานหลายชั่วโมง(อดทนเก่ง)แต่จิตไม่สงบ สู้คนที่นั่งแป๊บๆแล้วมีสมาธิไม่ได้ (คือมันไม่เกี่ยวกับเวลาเลย)
อีกอย่างนึงที่สำคัญมากๆคือทุกขั้นทุกตอนของสมาธิเราต้องมีสติรู้ตัวตลอดนะครับ ถ้าขาดสติช่วงใดช่วงนึงมักจะมีอาการแปลกๆต่างๆตามมาให้รู้ไว้เลยว่าเราทำผิดแล้ว
ขอเล่าประสบการ์ณภาวนาให้อ่านนะครับ ไม่ได้มีเจตนาอวดภูมิแต่ประการใด เพราะไม่รู้จะอวดไปทำไม ไม่ได้หวังอะไร อยากให้ลองทำดูเผื่อวาสนาจะเหมือนกัน จริงๆแล้วการทำสมาธิมีหลายแบบจริตแบบไหนก็ลองสังเกตุลองทำดูครับ
วันนี้เขียนซะยาวเลย นานๆทีครับ ^^ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรถามได้นะครับถ้าไม่เกินไปตอบได้ก็จะตอบ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 439
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 19
ขอถามเป็นความรู้นิดนึงค่ะ (ไม่ได้อยากได้ เพราะคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้)
วันก่อนได้ยินพระอาจารย์องค์หนึ่งพูดถึงการเดินจงกรมจนเกิดอัปปนาสมาธิ
สงสัยว่าสมาธิระดับนี้เกิดขึ้นได้ระหว่างเดินหรือคะ ยังคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆไม่มีวิตกวิจาร
วันก่อนได้ยินพระอาจารย์องค์หนึ่งพูดถึงการเดินจงกรมจนเกิดอัปปนาสมาธิ
สงสัยว่าสมาธิระดับนี้เกิดขึ้นได้ระหว่างเดินหรือคะ ยังคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆไม่มีวิตกวิจาร
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 20
ได้ครับ แต่ส่วนใหญ่ในอริยาบทเคลื่อนไหวจะรวมถึงขั้นอัปปนายาก ส่วนใหญ่จะแค่อุปจาระ ที่ท่านบอกว่ารวมถึงขั้นอัปปนาสมาธิระหว่างเดินเป็นไปได้ครับ(เผลอๆท่านอาจได้ธรรมะแล้วก็ได้นะครับ) เคยมีครูบาอาจารย์ท่านนึงเล่าให้ฟังตอนตัดกิเลสขั้นสุดท้าย ท่านเล่าว่าระหว่างที่ท่านบิณฑบาตรได้ลื่นหกล้ม จิตท่านรวมและเกิดอรหัตตมรรคระหว่างนั้นเลยf.escape เขียน:ขอถามเป็นความรู้นิดนึงค่ะ (ไม่ได้อยากได้ เพราะคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้)
วันก่อนได้ยินพระอาจารย์องค์หนึ่งพูดถึงการเดินจงกรมจนเกิดอัปปนาสมาธิ
สงสัยว่าสมาธิระดับนี้เกิดขึ้นได้ระหว่างเดินหรือคะ ยังคิดว่าต้องนั่งนิ่งๆไม่มีวิตกวิจาร
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 21
ผมขอเล่าบ้างนะครับ คือคงไม่เกี่ยวกับผี แต่มันก็ทำให้ผมคิดว่ามันมีอย่างอื่นจริงๆ
คือผมนั่งสมาธิตั้งแต่เด็กๆ (อายุราวๆ 6-7 ขวบก็นั่งแล้ว) ผมนั่งจนเห็นลูกแก้วใสๆ กลางตัว ไม่รู้ว่าเห็นเพราะเห็น หรือเห็นเพราะตั้งใจว่าจะต้องเห็น
ผมเคยทำสมาธิแล้วเหมือนเวลามันผ่านไปเร็วมาก เร็วจริงๆ คือเหมือนแค่กระพริบตาช้าๆ แล้วเวลามันผ่านไปเลยถึง 20 นาที
(รู้ว่ากี่นาทีเพราะตอนเด็กๆ จะตั้งนาฬิกาไว้ครับ ว่าวันนี้จะนั่งกี่นาที) ตอนนั้นตกใจมากว่าทำไมเวลามันเดินเร็วจัง
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งต่อ ทิ้งของดีที่เคยมีติดตัว ขาดช่วงไปยาวๆ เลยเป็นสิบ ยี่สิบปี
แล้วผมก็ไปเรียน mba ต่อ ซึ่งหลายๆ วันจะมีช่วงว่างเช้าหรือบ่าย ผมมักจะไปยืนอ่านหนังสือหุ้นฆ่าเวลาในศูนย์หนังสือ
พออ่านไปซักพักผมก็เบื่อๆ เลยเดินไปทั่วๆ ก็ไปเจอหนังสือธรรมะ อ่านแล้วมันก็วางไม่ค่อยจะลง เลยเป็นเหตุให้กลับมานั่งสมาธิอีก
ทีนี้ ไม่จำกัดเฉพาะแค่นั่งแล้วครับ เพราะว่ารู้ตัวว่าเวลาไม่ค่อยมี งานเยอะ โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด จึงตั้งใจว่า จะทำสมาธิทุกครั้งที่นึกได้ คราวนี้เลยได้เรื่องเลย
หลังจากที่เดินไปทำสมาธิไปซักพัก ผมก็ลองมาทำสมาธิตอนนอน คือนั่งสมาธิจนให้หลับไปเลย (เหมือนพี่ cobain_vi)
แล้วผมก็เห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งมันร้อนมากๆ อยู่กลางตัวผม ร้อนจนผมทนไม่ไหว ต้องดิ้นเพื่อให้ตื่นแต่มันไม่ตื่นครับ
คือผมรู้ตัวด้วยว่าผมหลับอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่านี่ผมต้องดิ้นให้ตื่นนะ ไม่งั้นร้อนขนาดนี้ไม่ไหวแน่
ผมดิ้นอยู่นานมากกว่าจะตื่น พอตื่นเสร็จปั้บผมเลย โอเค นอนธรรมดาไม่ต้องทำสมาธิแล้ว เดี๋ยวไม่หลับ แล้วหลังจากนั้นซักพักผมก็หลับไป
วันรุ่นขึ้นผมไม่เข็ด นึกว่าเมื่อคืนฟลุค ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น สัมผัสอะไรที่ไม่เคยสัมผัสเลยลองใหม่
เป็นเรื่องครับ เห็นเหมือนเดิมเป๊ะๆ ร้อนมากๆ ด้วย แล้วก็นึกตอนที่หลับนั่นแหละครับว่าไม่น่าลองเลย
ก็ดิ้นๆ จนตื่นอีกที หลังจากนั้นเลิกนอนทำสมาธิไปเลยครับ หลอนมาก
แปลกดีนะครับหลายๆ อย่างทีเกิดตอนผมทำสมาธิอยู่เรื่อยๆ นี่มันมหัศจรรย์มาก
ผมเคยมีสมาธิระหว่างอ่านหนังสือธรรมะตอนอยู่ในศูนย์หนังสือแล้วมีนิสิตหญิงคนนึงหันหลังให้อยู่
ผมมองไปแล้ว มันเหมือนมีอะไรมาสะกิดในใจว่า เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะชอบนิสิตคนนี้เพราะดูหุ่นดีนะ
แล้วผมก็ค่อยรู้สึกว่า เออ หุ่นดี.... จะว่ายังไงดี คือผมรู้ตัวว่าผมจะชอบ ก่อนที่ผมจะรู้สึกชอบขึ้นมาจริงๆ น่ะครับ
ที่ผมเป็นบ่อยที่สุดคือผมรับรู้ว่าลมหายใจของผม วิ่งผ่านปลายริมฝีปากบน เข้าปอด แล้วก็ค่อยรู้สึกถึง
เลือดที่หัวใจสูบฉีดไปตามร่างกายอีกทีหนึ่ง
ไม่รู้จะเล่าเรียบเรียงยังไงดีนะครับ มันเป็นฉากๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน เลยเล่าออกมาแบบที่เห็น
บางทีก็อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหนยังไง เพราะไม่เคยมีอาจารย์ (เคยคิดว่าถ้ามีก็คงเป็นเร็ว แต่ก็กลัว
กลัวว่าอาจารย์จะเก่งมั้ย จะสอน จะเข้าใจว่าเราเป็นยังไงจริงๆ รึเปล่า สุดท้ายเลยตั้งใจว่า
จะขอศึกษาด้วยตัวเอง จนกว่าจะบรรลุธรรมไปเลย ถ้าชาตินี้ไม่ได้ ก็ขอเป็นชาติต่อๆไปละกัน)
เพื่อนๆ คนไหนไม่เคยลอง ก็ลองดูนะครับ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ก็อยากให้ลองครับ
มัวแต่คิดว่าไม่จริงแต่ไม่ได้ลองทำ ลองทำแต่แค่แป้บๆ มันก็เหมือนยิงธนูแค่ 4-5 ดอกแรก
แล้วไม่เข้าเป้า แต่มาพาลบอกว่าการยิงให้เข้าเป้าเป็นเรื่องเหลวไหลนั่นแหละครับ ลองกันดูนะครับ
คือผมนั่งสมาธิตั้งแต่เด็กๆ (อายุราวๆ 6-7 ขวบก็นั่งแล้ว) ผมนั่งจนเห็นลูกแก้วใสๆ กลางตัว ไม่รู้ว่าเห็นเพราะเห็น หรือเห็นเพราะตั้งใจว่าจะต้องเห็น
ผมเคยทำสมาธิแล้วเหมือนเวลามันผ่านไปเร็วมาก เร็วจริงๆ คือเหมือนแค่กระพริบตาช้าๆ แล้วเวลามันผ่านไปเลยถึง 20 นาที
(รู้ว่ากี่นาทีเพราะตอนเด็กๆ จะตั้งนาฬิกาไว้ครับ ว่าวันนี้จะนั่งกี่นาที) ตอนนั้นตกใจมากว่าทำไมเวลามันเดินเร็วจัง
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งต่อ ทิ้งของดีที่เคยมีติดตัว ขาดช่วงไปยาวๆ เลยเป็นสิบ ยี่สิบปี
แล้วผมก็ไปเรียน mba ต่อ ซึ่งหลายๆ วันจะมีช่วงว่างเช้าหรือบ่าย ผมมักจะไปยืนอ่านหนังสือหุ้นฆ่าเวลาในศูนย์หนังสือ
พออ่านไปซักพักผมก็เบื่อๆ เลยเดินไปทั่วๆ ก็ไปเจอหนังสือธรรมะ อ่านแล้วมันก็วางไม่ค่อยจะลง เลยเป็นเหตุให้กลับมานั่งสมาธิอีก
ทีนี้ ไม่จำกัดเฉพาะแค่นั่งแล้วครับ เพราะว่ารู้ตัวว่าเวลาไม่ค่อยมี งานเยอะ โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด จึงตั้งใจว่า จะทำสมาธิทุกครั้งที่นึกได้ คราวนี้เลยได้เรื่องเลย
หลังจากที่เดินไปทำสมาธิไปซักพัก ผมก็ลองมาทำสมาธิตอนนอน คือนั่งสมาธิจนให้หลับไปเลย (เหมือนพี่ cobain_vi)
แล้วผมก็เห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งมันร้อนมากๆ อยู่กลางตัวผม ร้อนจนผมทนไม่ไหว ต้องดิ้นเพื่อให้ตื่นแต่มันไม่ตื่นครับ
คือผมรู้ตัวด้วยว่าผมหลับอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่านี่ผมต้องดิ้นให้ตื่นนะ ไม่งั้นร้อนขนาดนี้ไม่ไหวแน่
ผมดิ้นอยู่นานมากกว่าจะตื่น พอตื่นเสร็จปั้บผมเลย โอเค นอนธรรมดาไม่ต้องทำสมาธิแล้ว เดี๋ยวไม่หลับ แล้วหลังจากนั้นซักพักผมก็หลับไป
วันรุ่นขึ้นผมไม่เข็ด นึกว่าเมื่อคืนฟลุค ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น สัมผัสอะไรที่ไม่เคยสัมผัสเลยลองใหม่
เป็นเรื่องครับ เห็นเหมือนเดิมเป๊ะๆ ร้อนมากๆ ด้วย แล้วก็นึกตอนที่หลับนั่นแหละครับว่าไม่น่าลองเลย
ก็ดิ้นๆ จนตื่นอีกที หลังจากนั้นเลิกนอนทำสมาธิไปเลยครับ หลอนมาก
แปลกดีนะครับหลายๆ อย่างทีเกิดตอนผมทำสมาธิอยู่เรื่อยๆ นี่มันมหัศจรรย์มาก
ผมเคยมีสมาธิระหว่างอ่านหนังสือธรรมะตอนอยู่ในศูนย์หนังสือแล้วมีนิสิตหญิงคนนึงหันหลังให้อยู่
ผมมองไปแล้ว มันเหมือนมีอะไรมาสะกิดในใจว่า เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะชอบนิสิตคนนี้เพราะดูหุ่นดีนะ
แล้วผมก็ค่อยรู้สึกว่า เออ หุ่นดี.... จะว่ายังไงดี คือผมรู้ตัวว่าผมจะชอบ ก่อนที่ผมจะรู้สึกชอบขึ้นมาจริงๆ น่ะครับ
ที่ผมเป็นบ่อยที่สุดคือผมรับรู้ว่าลมหายใจของผม วิ่งผ่านปลายริมฝีปากบน เข้าปอด แล้วก็ค่อยรู้สึกถึง
เลือดที่หัวใจสูบฉีดไปตามร่างกายอีกทีหนึ่ง
ไม่รู้จะเล่าเรียบเรียงยังไงดีนะครับ มันเป็นฉากๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน เลยเล่าออกมาแบบที่เห็น
บางทีก็อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหนยังไง เพราะไม่เคยมีอาจารย์ (เคยคิดว่าถ้ามีก็คงเป็นเร็ว แต่ก็กลัว
กลัวว่าอาจารย์จะเก่งมั้ย จะสอน จะเข้าใจว่าเราเป็นยังไงจริงๆ รึเปล่า สุดท้ายเลยตั้งใจว่า
จะขอศึกษาด้วยตัวเอง จนกว่าจะบรรลุธรรมไปเลย ถ้าชาตินี้ไม่ได้ ก็ขอเป็นชาติต่อๆไปละกัน)
เพื่อนๆ คนไหนไม่เคยลอง ก็ลองดูนะครับ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ก็อยากให้ลองครับ
มัวแต่คิดว่าไม่จริงแต่ไม่ได้ลองทำ ลองทำแต่แค่แป้บๆ มันก็เหมือนยิงธนูแค่ 4-5 ดอกแรก
แล้วไม่เข้าเป้า แต่มาพาลบอกว่าการยิงให้เข้าเป้าเป็นเรื่องเหลวไหลนั่นแหละครับ ลองกันดูนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 439
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 23
เห็นคุณ Cobain โพสต์ไว้ว่า "ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา"
ตอนนี้มีเวลาหรือยังคะ? รออ่านอยู่
ตอนนี้มีเวลาหรือยังคะ? รออ่านอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 5826
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 24
สนับสนุนอีกเสียงครับf.escape เขียน:เห็นคุณ Cobain โพสต์ไว้ว่า "ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา"
ตอนนี้มีเวลาหรือยังคะ? รออ่านอยู่
ดีใจกับคุณ Cobain และคุณ Highway Star ครับ ที่จิตดีแบบนี้
คุณ Cobain ครับ มรณฺง เม ภวิสฺสติ เป็นสุดยอดธรรมนะครับ (หลวงปู่สิม พุทธาราโร ว่าไว้ครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 25
ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาครับ ยุ่งมากๆ คนงานในไร่ก็เพิ่งออกไป ผมต้องกรีดยางเอง ตอนกลางวันก็ต้องนอนหลับf.escape เขียน:เห็นคุณ Cobain โพสต์ไว้ว่า "ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา"
ตอนนี้มีเวลาหรือยังคะ? รออ่านอยู่
ถ้าสงสัยอะไรถามเป็นข้อๆก็ได้ครับ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 26
การนึกถึงความตายเป็นที่สุดแห่งสมถะเลยครับ ทั้งลป.เทสก์ และหลวงปู่สิมท่านชอบเทสน์เรื่องนี้ครับถ้าได้ฟังเทสน์ของท่านจะเจอบ่อยๆpipatc เขียน:สนับสนุนอีกเสียงครับf.escape เขียน:เห็นคุณ Cobain โพสต์ไว้ว่า "ส่วนเรื่องการปฏิบัติภาวนานั้นถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่สนใจ จะเล่าตั้งแต่เริ่มเลยว่าโง่เหลวไหลขนาดไหน จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่คงอีกนานแหละครับเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีเวลา"
ตอนนี้มีเวลาหรือยังคะ? รออ่านอยู่
ดีใจกับคุณ Cobain และคุณ Highway Star ครับ ที่จิตดีแบบนี้
คุณ Cobain ครับ มรณฺง เม ภวิสฺสติ เป็นสุดยอดธรรมนะครับ (หลวงปู่สิม พุทธาราโร ว่าไว้ครับ)
(ขอเล่าหน่อย)จะว่าไปผมโชคดีมากๆที่นึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เป็นอัตโนมัติ บางครั้งก็นึกถึงด้วยเจตนา
ครั้งแรกที่ผมรู้ว่าต้องตายก็ตอนอายุซัก4-5ขวบเห็นจะได้(ยังไม่เข้า รร.) วันนั้นผมอยากกินก๋วยจั๊บ คนขายเป็นแม่ค้า แกจะหาบมาวางที่ข้างๆบ้านผมเป็นประจำ ผมจำได้ดีวันนั้นผมอยากกินก็บอกแม่ว่าอยากกินก๋วยจั้บ แม่บอกว่ายาย...แกตายไปแล้ว เพิ่งตายเมื่อวาน ความรู้สึกครั้งแรกที่รู้ว่าเราต้องตาย เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าเราต้องตาย ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก มันสลดสังเวช เหงาหงอยมันบอกไม่ถูก หดหู่มาก ผมเป็นอยู่หลายวันเลย หลังจากนั้นผมจะนึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆแต่ไม่บ่อย มาบ่อยจนถึงขั้นอัตโนมัติเมื่อตอนเข้าวัดนี่แหละครับ เมื่อหลายปีก่อนผมเคยไปถามครูบาอาจารย์หลายๆท่านว่าผมนึกถึงความตายตลอด อยากจะปฏิบัติให้ดียิ่งๆขึ้นไป(จะขึ้นวิปัสสนา)ต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าก็ดีนะสิ นึกถึงความตายมันเป็นสมถะ ใจเรามันจะสงบ มันยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ผมก็ถามต่อว่าจะขึ้นวิปัสนาต้องทำอย่างไร?
เชื่อไหมครับแต่ละครูบาอาจารย์ท่านตอบไม่เหมือนกันทีเดียว บางท่านก็ให้ทำอย่างนึง บางท่านก็ให้ทำอย่างนึง ขึ้นอยู่ว่าเราจะเอาอะไรเป็นฐาน สำหรับผมจะแยกได้เป็นสองตอน(หลังจากที่ท่านบอกก็ลองมาสังเกตุและทำดู) ตอนนึงคือตอนนั่งสมาธิ อีกตอนนึงคือตอนใช้ชีวิตประจำวัน(ส่วนใหญ่จะขั้นอัตโนมัติก็ตอนนี้แหละครับ คือใช้ชีวิตปกติ) แต่ละตอนก็ขึ้นวิปัสนาไม่เหมือนกัน
(จะเล่าต่อเดี๋ยวยาวขอแค่นี้ดีกว่าครับ)
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 27
ติดตามอ่านคุณ cobain นะครับ
พักเหนื่อยหลังกรีดยางแล้ว เล่าอีกนะครับ
พักเหนื่อยหลังกรีดยางแล้ว เล่าอีกนะครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 29
ข้อดีของการนึกถึงความตายอีกอย่างนึงคือมันทำให้เราไม่ขี้เกียจ อยากแต่จะปฏิบัติภาวนา เพราะเห็นแล้วว่าความตายไม่แน่นอน เราต้องตายในที่สุด ผมเองจะคิดถึงตลอดพอคิดแล้วเหมือนมันกลัว คือกลัวว่าเราจะไม่ทันได้ธรรมะก่อนที่ความตายจะมาถึง ช่วงนั้นผมเร่งความเพียรตลอดเลย ตั้งแต่ตื่นจนหลับดูจิตดูใจตลอด ตอนเย็นสวดมนต์นั่งสมาธิ ไม่ยอมขี้เกียจเลยเวลามองดูทรัพย์สินเงินทองเหมือนมันหลอกๆยังไงไม่รู้ มันหลอกให้เราหลง อยากจะได้โน่นได้นี่ พอได้แล้วก็ปรุงต่อไปอีกเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น ยิ่งเวลาเห็นคนอื่นตาย(ใครตายก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติ)ใจผมมันจะร้อนรุ่มสลดสังเวชใจมาก มันจะย้อนเข้ามาหาตัวเองตลอด
เมื่อก่อนตอนไปหาครูบาอาจารย์สิ่งนึงที่มชอบถามคือ ผมชอบนึกถึงความตายจะทำวิปัสนาได้อย่างไร (ตอนที่ถามท่านแรกๆผมจะงงครับ เพราะแต่ละท่านคำพูดที่ตอบมาจะไม่ค่อยเหมือนกันกัน ผมต้องกลับมาลองทำ ลองผิดลองถูก ที่เล่านี่หมายถึงหลังจากที่ผมลองทำดูแล้วนะครับ เอามาอธิบายให้เป็นแบบของผม)หลวงพ่อบางท่านก็บอกว่า ให้ตามดูจิตไปเลย คือถ้าเห็นใจที่สลดให้รู้ว่าสลด คือจิตเป็นอย่างไรให้ดูไปตรงๆเลย(จิตตานุปัสนา) ครูบาอาจารย์ท่านอื่นมักจะบอกว่าให้พิจารณา(ตอนนี้อาจจะงงหน่อยนะครับเพราะเวลาจิตรวมแล้วมันสามารถแยกแตกแยกไปได้หลายอย่างมาก คือตอนที่จิตรวมถึงขั้นอัปปนาสมาธิตอนนี้ให้พักอยู่ก่อน(ตอมที่ท่านบอก) พอจิตถอยออกมาให้ตามดูมันไป อีกแบบนึงแค่พอสงบขั้นอุปจารสมาธิ ให้พิจารณาไปเลย พิจารณาอะไรก็ได้ ผม ขน เล็บฟันหนัง วิธีนี้ผมไม่ค่อยชอบ เพราะไม่ค่อยเห็นผล แต่ถ้าคิดอะไรเพลินๆโดยที่ไม่ได้นั่งสมาธิ บางทีจิตมันจะขึ้นวิปัสนาเองคือทำงานเองมันเข้าล็อกของมันเช่นคิดสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตพอคิดไปได้สักหน่อยจิตจะทำงานเอง มีอยู่ครั้งนึงระหว่างที่ฟังเทศน์เพลินๆพอถึงตอนที่สำคัญ จิตมันจะสะเทือน ส่ายสะบัดอย่างรุนแรงก็มีนะครับ พูดอธิบายให้ลึกกว่านี้ก็ไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร มันอธิบายยากจริงๆ พอกลับไปฟังเทศน์ตอนเดิมมันก็ไม่เห็นสะเทือนเลย ก่อนหน้านี้ฟังมาเป็นร้อยรอบก็ไม่เห็นได้อะไร พอบทมันจะเข้าไปถึงจิตถึงใจได้นี่พ้นการคาดหมายอย่างสิ้นเชิงเลย แต่ว่าเราต้องเจริญสติ เดินปัญญาได้อย่างมากนะครับ(ที่เค้าเรียกว่าปัญญาแก่รอบ เหลืออย่างเดียวรอให้เป็นกลาง ตอนนี้สำคัญมากนะครับ ถ้าไม่เป็นกลางจริงมันไม่เข้าใจหรอกพอบทมันจะเข้าใจมันก็เข้าใจเลย ) แต่ที่ผมชอบที่สุดคือดูไปตรงๆเลย บางครั้งตอนเราเห็นคนแก่เดินมา จิตมันจะพลิกมาดูตัวเองเห็นความไม่เที่ยงคือเห็นแว๊บเดียว(เห็นตั้งแต่เป็นเด็กจนมาถึงแก่แล้วก็ตาย เห็นแว๊บเดียว หรือที่เค้าเรียกว่าขณะจิตเดียวนั่นแหละครับ มันจะเป็นอัตโนมัต พ้นจากความคิด คือเราไม่ได้คิดว่าอีกหน่อยเราต้องแก่นะ เราต้องตายนะ อันนี้ใช้ความคิด(สมองคิด)จะเป็นแค่สมถะ แต่เห็นในขณะจิตเดียวคือใช้จิตเห็นมันแว๊บๆ มันต่างกัน จะให้อธิบายให้ละเอียดมากกว่านี้ผมก็จนใจไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร ผมเขียนไม่เก่ง เขียนยาวๆไม่ค่อยได้ ศัพท์บางคำทางโลกเค้าไม่ได้บัญญัติไว้เพราะมันหยาบเกิน การปฏิบัติจนละเอียดมากๆเวลาจะอธิบายมันหาคำที่มาอธิบายไม่ค่อยได้ ทำได้ก็แค่คำใกล้เคียง ผมพูดละเอียดมากแล้วนะครับครั้งหน้าคงไม่เท่านี้แล้วมันมากเกินไปกลัวครูบาอารย์รู้ ท่านจะดุเอา เมื่อตอนปี53ผมเคยโดนดุครั้งนึงจำไม่ลืมเลย ก่อนหน้านั้นปี2552เดือนสค.ผมทำงานบ้านได้เกิดสภาวะอย่างนึงซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร หลังจากนั้นเดือนกย.ระหว่างพรวนดินปลูกต้นไม้ก็เกิดสภาะแบบเดิมอีก ผมได้เอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึงเล่าถึงสภาวะนั้นให้ท่านฟัง และถามว่ามันเป็นอะไรท่านบอกว่ามันคือมรรค แต่เป็นมรรคเบื้องต้น(บุพพภาคมรรค) กำลังมันไม่พอเลยถอยออกมาก่อน ผมถามว่าให้ทำอย่างไรต่อท่านก็ว่าวาสนาเราทำมาอย่างไรให้ทำไปอย่างนั้น พอผมรู้ว่าเป็นอะไรทีนี้ยุ่งเลยครับ ภาวนาไม่ได้มันติดตรงนั้นตลอดคือเวลาเราภาวนาไปใจมันจะนึกถึงสภาวะนั้นตลอด มันอยากได้ไวๆ(อาจจะเป็นเพราะผมนึกถึงความตายโดยตลอดก็ได้ทำให้มันรีบ กลัวว่าความตายจะมาถึงก่อน) ผมติดอยู่นาน จนปี53ผมขึ้นไปหาท่านอีกครั้ง คราวนี้โง่ถามไปตรงๆเลย ว่าหลวงพ่อครับผมติดมานานทำไมไม่ได้อะไรซักที ตอนเกิดมรรคเกิดผลมันเป็นยังไงครับ(คือตอนนั้นไม่ได้อยากถามทำนองนั้นหรอก คือจะถามว่าไอ้ที่ผมทำเนี่ยมันถูกจริงๆหรือครับ มันนานแล้วนะ แต่ทำไมถึงถามไปอย่างนั้นไม่รู้)ปรากฏว่าท่านดุเอา(เป็นครั้งแรกที่โดนดุ) ท่านบอกว่าถามเรื่องแบบนี้ตามธรรมเนียมวัดป่าเค้าไม่ถามกัน ทำไปเรื่อยๆเถอะเดี๋ยวมันก็เข้าใจเอง
พอเวลาผ่านไปมาถึงวันนี้สิ่งที่เราพากเพียรมันไม่เสียเปล่าเลย มันคุ้มค่ามาก จะรู้สึกอิ่มใจภูมิใจที่ได้ฝึกหัดภาวนา เป็นบุญใหญ่ของเรา ความรู้ความเข้าใจมีมากขึ้นเป็นลำดับๆ ถ้าตอนนั้นมัวแต่หาเงินตอนนี้ผมอาจจะมีเงินหลายสิบหลายร้อยล้านแล้วก็ได้ แล้วไง ผมไม่เห็นมันจะวิเศษวิโสตรงไหนเลยกะแค่การที่เรามีเงิน มองดูคนอื่นที่เค้ารวยๆดูมันยังไงไม่รู้เหมือนมันหลอกๆ บางคนเอาเงินไปทำชั่วเบียดเบียนตัวเองไม่พอเอาไปเบียดเบียนรังแกคนอื่นอีก ผมถึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเงินทองเท่าไร(คือมีได้ก็มีไป ถ้าจะไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่พออยู่พอกินก็พอแล้ว พูดถึงเรื่องมีเงินมากๆนี่ผมว่าไม่ดีนะ เปรียบเทียบระหว่างเรารวยกับเราจนแล้วไปปฏิบัติภาวนาผมว่าถ้าจนจะก้าวหน้าทางธรรมมากกว่า) เมื่อก่อนผมเข้าวัดบ่อยมาก คือถ้าว่างก็จะไปอยู่วัด(ตอนทำร้านอัดรูป จะปิดร้านช่วงหน้าโลว์ประมาณ4-5เดือน )ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวก็จะไปอยู่วัด ไปทีนึงเป็นเดือนๆ บางทีเวลาน้อยก็อยู่สิบวัน
บางทีไม่มีเวลาแค่ไปกราบครูบาอาจารย์แป๊บเดียวก็เอา บางทีนั่งรถเมล์ไปเป็นวันๆออกจากบ้านแต่เช้า นั่งรถเมล์ กว่าจะถึง โห บางทีไปถึงปากทางเข้าไม่มีรถเมล์ ก็ต้องเดินเข้าไปหลายกิโล ถือกระเป๋าเสื้อผ้า ของใช้ที่จำเป็น มุ้งกลด รวมๆกันก็หนักเอาการอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครบังคับ ผมสมัครใจไปเองเพราะเห็นถึงความทุกข์ในสังสารวัตรนี้มันมากกว่านี้หลายร้อยล้านเท่า(ถ้ามองสั้นๆอาจจะไม่เห็นนะครับ ต้องมองกันยาวๆหลายสิบปี หลายภพหลายชาติยิ่งเห็นภาพ บางคนบอกว่าชั้นรวยพอแล้ว มีความสุขแล้ว เค้าไม่รู้ว่าในสังสารวัตรนี้มันน่ากลัวขนาดไหน ผมกล้าพูดเลยว่าที่ตายๆกันน่ะ ไปอบายทั้งนั้น ถ้าเราหัดภาวนาเราจะเห็นได้นะครับ บางคนเถียงบอกชั้นทำบุญเยอะ การทำบุญถ้าหมายถึงการจ่ายเงินผมว่าเป็นบุญที่ยังคาดหวังพ้นอบายไม่ได้เลยครับ ส่วนใหญ่เห็นทำบุญ(จ่ายเงิน)แล้วก็ขอโน่นขอนี่ เวลาทุกข์ทีนึงก็ไปทำบุญทีนึงพอเวลาไม่ทุกข์แล้วก็เอาเวลาไปหลงโลกกันอย่างเพลินเลย แบบนี้คือการทำบุญโดยหวังว่าให้ตัวเองดี(เหมือนจ่ายสินบนให้ใครก็ไม่รู้ แล้วก็หวังๆๆกันไป ถ้าจ่ายเงินแล้วทำให้เราสมหวังได้โลกนี้คงมีคนที่สมหวังกันหมด)
พอไปเจอครูบาอาจารย์แล้วหายเหนื่อย บางทีท่านเดินมาผมกราบที่พื้นเลย เลอะยังไงช่างมัน ผมทำกันแบบนี้เลยนะครับ ไปด้วยใจจริงๆ ท่านก็เมตตาเรามาก เรื่องครูบาอาจารย์ทุกองค์เลยครับถ้าเห็นเราเอาจริงท่านจะเมตตาเรามาก ประเภทที่ไปเอาของไปถวายกราบๆ เสร็จแล้วกลับท่านเฉยๆนะ ท่านไม่ได้สนใจของอะไรที่โยมเอาไปหรอก ถ้าท่านรู้ว่าเราเอาจริงท่านจะเมตตาเราจริงๆ บางครั้งไม่จำเป็นต้องอธิฐานไปก่อนพอไปท่านก็พูดสิ่งที่เราติดขัดมาเลยก็มี
มีบางครั้งนะท่านมาเข้าฝันก็มีนะครับ แปลกดีไม่เจอกับตัวเองคงไม่เชื่อหรอก หลวงตามหาบัวนี่ผมฝันถึงท่าน3ครั้งแล้วแต่ละครั้งมาให้เร่งความเพียรทั้งนั้น ฝันตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่(น่าจะราวๆปี45-46)ล่าสุดก็เดือนธคปีที่แล้ว หลวงปู่เทสก์หลวงปู่สิมก็เคยครับ ตอนนั้นผมไปเทรคกิ้งที่เนปาล ตอนที่ไปอัณณาปุระเบสแคมป์ คืนนั้นฝันว่าหลวงปู่สิมเดินมาหาแล้วก็เทศน์สัั้นๆเรื่องกามแล้วก็เดินไป (มีแม่ชีแก่ๆเดินตามไป) ผมก็เดินไปในศาลาเห็นพระกำลังเข้าแถวรดน้ำหลวงปู่เทสก์ ผมก็เข้าไปต่อแถวพอถึงคิวผมที่จะต้องรดน้ำหลวงปู่ผมมองมาที่ตัวเองเห็นเราใส่จีวรพระ(ใส่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้) คลำหัวตัวเองก็เห็นหัวโล้น ไม่รู้เราไปบวชพระตั้งแต่เมื่อไร. หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เหรียญผมเคยฝันแล้วทั้งนั้นแต่ละครั้งก็จะมาให้เร่งความเพียรแทบทุกครั้งเลย (ไม่รู้หมกมุ่นไปหรือป่าวแต่เวลาจะฝันไม่เคยคิดก่อนนะครับ ) เล่าให้ฟังเพราะแปลกดี
เล่าแค่นี้พอก่อนนะครับ เล่ามากๆเหนื่อยครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ บางทีเขียน(พิมพ์)ยาวๆแล้วมันเบลอๆ
เมื่อก่อนตอนไปหาครูบาอาจารย์สิ่งนึงที่มชอบถามคือ ผมชอบนึกถึงความตายจะทำวิปัสนาได้อย่างไร (ตอนที่ถามท่านแรกๆผมจะงงครับ เพราะแต่ละท่านคำพูดที่ตอบมาจะไม่ค่อยเหมือนกันกัน ผมต้องกลับมาลองทำ ลองผิดลองถูก ที่เล่านี่หมายถึงหลังจากที่ผมลองทำดูแล้วนะครับ เอามาอธิบายให้เป็นแบบของผม)หลวงพ่อบางท่านก็บอกว่า ให้ตามดูจิตไปเลย คือถ้าเห็นใจที่สลดให้รู้ว่าสลด คือจิตเป็นอย่างไรให้ดูไปตรงๆเลย(จิตตานุปัสนา) ครูบาอาจารย์ท่านอื่นมักจะบอกว่าให้พิจารณา(ตอนนี้อาจจะงงหน่อยนะครับเพราะเวลาจิตรวมแล้วมันสามารถแยกแตกแยกไปได้หลายอย่างมาก คือตอนที่จิตรวมถึงขั้นอัปปนาสมาธิตอนนี้ให้พักอยู่ก่อน(ตอมที่ท่านบอก) พอจิตถอยออกมาให้ตามดูมันไป อีกแบบนึงแค่พอสงบขั้นอุปจารสมาธิ ให้พิจารณาไปเลย พิจารณาอะไรก็ได้ ผม ขน เล็บฟันหนัง วิธีนี้ผมไม่ค่อยชอบ เพราะไม่ค่อยเห็นผล แต่ถ้าคิดอะไรเพลินๆโดยที่ไม่ได้นั่งสมาธิ บางทีจิตมันจะขึ้นวิปัสนาเองคือทำงานเองมันเข้าล็อกของมันเช่นคิดสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตพอคิดไปได้สักหน่อยจิตจะทำงานเอง มีอยู่ครั้งนึงระหว่างที่ฟังเทศน์เพลินๆพอถึงตอนที่สำคัญ จิตมันจะสะเทือน ส่ายสะบัดอย่างรุนแรงก็มีนะครับ พูดอธิบายให้ลึกกว่านี้ก็ไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร มันอธิบายยากจริงๆ พอกลับไปฟังเทศน์ตอนเดิมมันก็ไม่เห็นสะเทือนเลย ก่อนหน้านี้ฟังมาเป็นร้อยรอบก็ไม่เห็นได้อะไร พอบทมันจะเข้าไปถึงจิตถึงใจได้นี่พ้นการคาดหมายอย่างสิ้นเชิงเลย แต่ว่าเราต้องเจริญสติ เดินปัญญาได้อย่างมากนะครับ(ที่เค้าเรียกว่าปัญญาแก่รอบ เหลืออย่างเดียวรอให้เป็นกลาง ตอนนี้สำคัญมากนะครับ ถ้าไม่เป็นกลางจริงมันไม่เข้าใจหรอกพอบทมันจะเข้าใจมันก็เข้าใจเลย ) แต่ที่ผมชอบที่สุดคือดูไปตรงๆเลย บางครั้งตอนเราเห็นคนแก่เดินมา จิตมันจะพลิกมาดูตัวเองเห็นความไม่เที่ยงคือเห็นแว๊บเดียว(เห็นตั้งแต่เป็นเด็กจนมาถึงแก่แล้วก็ตาย เห็นแว๊บเดียว หรือที่เค้าเรียกว่าขณะจิตเดียวนั่นแหละครับ มันจะเป็นอัตโนมัต พ้นจากความคิด คือเราไม่ได้คิดว่าอีกหน่อยเราต้องแก่นะ เราต้องตายนะ อันนี้ใช้ความคิด(สมองคิด)จะเป็นแค่สมถะ แต่เห็นในขณะจิตเดียวคือใช้จิตเห็นมันแว๊บๆ มันต่างกัน จะให้อธิบายให้ละเอียดมากกว่านี้ผมก็จนใจไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร ผมเขียนไม่เก่ง เขียนยาวๆไม่ค่อยได้ ศัพท์บางคำทางโลกเค้าไม่ได้บัญญัติไว้เพราะมันหยาบเกิน การปฏิบัติจนละเอียดมากๆเวลาจะอธิบายมันหาคำที่มาอธิบายไม่ค่อยได้ ทำได้ก็แค่คำใกล้เคียง ผมพูดละเอียดมากแล้วนะครับครั้งหน้าคงไม่เท่านี้แล้วมันมากเกินไปกลัวครูบาอารย์รู้ ท่านจะดุเอา เมื่อตอนปี53ผมเคยโดนดุครั้งนึงจำไม่ลืมเลย ก่อนหน้านั้นปี2552เดือนสค.ผมทำงานบ้านได้เกิดสภาวะอย่างนึงซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร หลังจากนั้นเดือนกย.ระหว่างพรวนดินปลูกต้นไม้ก็เกิดสภาะแบบเดิมอีก ผมได้เอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึงเล่าถึงสภาวะนั้นให้ท่านฟัง และถามว่ามันเป็นอะไรท่านบอกว่ามันคือมรรค แต่เป็นมรรคเบื้องต้น(บุพพภาคมรรค) กำลังมันไม่พอเลยถอยออกมาก่อน ผมถามว่าให้ทำอย่างไรต่อท่านก็ว่าวาสนาเราทำมาอย่างไรให้ทำไปอย่างนั้น พอผมรู้ว่าเป็นอะไรทีนี้ยุ่งเลยครับ ภาวนาไม่ได้มันติดตรงนั้นตลอดคือเวลาเราภาวนาไปใจมันจะนึกถึงสภาวะนั้นตลอด มันอยากได้ไวๆ(อาจจะเป็นเพราะผมนึกถึงความตายโดยตลอดก็ได้ทำให้มันรีบ กลัวว่าความตายจะมาถึงก่อน) ผมติดอยู่นาน จนปี53ผมขึ้นไปหาท่านอีกครั้ง คราวนี้โง่ถามไปตรงๆเลย ว่าหลวงพ่อครับผมติดมานานทำไมไม่ได้อะไรซักที ตอนเกิดมรรคเกิดผลมันเป็นยังไงครับ(คือตอนนั้นไม่ได้อยากถามทำนองนั้นหรอก คือจะถามว่าไอ้ที่ผมทำเนี่ยมันถูกจริงๆหรือครับ มันนานแล้วนะ แต่ทำไมถึงถามไปอย่างนั้นไม่รู้)ปรากฏว่าท่านดุเอา(เป็นครั้งแรกที่โดนดุ) ท่านบอกว่าถามเรื่องแบบนี้ตามธรรมเนียมวัดป่าเค้าไม่ถามกัน ทำไปเรื่อยๆเถอะเดี๋ยวมันก็เข้าใจเอง
พอเวลาผ่านไปมาถึงวันนี้สิ่งที่เราพากเพียรมันไม่เสียเปล่าเลย มันคุ้มค่ามาก จะรู้สึกอิ่มใจภูมิใจที่ได้ฝึกหัดภาวนา เป็นบุญใหญ่ของเรา ความรู้ความเข้าใจมีมากขึ้นเป็นลำดับๆ ถ้าตอนนั้นมัวแต่หาเงินตอนนี้ผมอาจจะมีเงินหลายสิบหลายร้อยล้านแล้วก็ได้ แล้วไง ผมไม่เห็นมันจะวิเศษวิโสตรงไหนเลยกะแค่การที่เรามีเงิน มองดูคนอื่นที่เค้ารวยๆดูมันยังไงไม่รู้เหมือนมันหลอกๆ บางคนเอาเงินไปทำชั่วเบียดเบียนตัวเองไม่พอเอาไปเบียดเบียนรังแกคนอื่นอีก ผมถึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเงินทองเท่าไร(คือมีได้ก็มีไป ถ้าจะไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่พออยู่พอกินก็พอแล้ว พูดถึงเรื่องมีเงินมากๆนี่ผมว่าไม่ดีนะ เปรียบเทียบระหว่างเรารวยกับเราจนแล้วไปปฏิบัติภาวนาผมว่าถ้าจนจะก้าวหน้าทางธรรมมากกว่า) เมื่อก่อนผมเข้าวัดบ่อยมาก คือถ้าว่างก็จะไปอยู่วัด(ตอนทำร้านอัดรูป จะปิดร้านช่วงหน้าโลว์ประมาณ4-5เดือน )ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวก็จะไปอยู่วัด ไปทีนึงเป็นเดือนๆ บางทีเวลาน้อยก็อยู่สิบวัน
บางทีไม่มีเวลาแค่ไปกราบครูบาอาจารย์แป๊บเดียวก็เอา บางทีนั่งรถเมล์ไปเป็นวันๆออกจากบ้านแต่เช้า นั่งรถเมล์ กว่าจะถึง โห บางทีไปถึงปากทางเข้าไม่มีรถเมล์ ก็ต้องเดินเข้าไปหลายกิโล ถือกระเป๋าเสื้อผ้า ของใช้ที่จำเป็น มุ้งกลด รวมๆกันก็หนักเอาการอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครบังคับ ผมสมัครใจไปเองเพราะเห็นถึงความทุกข์ในสังสารวัตรนี้มันมากกว่านี้หลายร้อยล้านเท่า(ถ้ามองสั้นๆอาจจะไม่เห็นนะครับ ต้องมองกันยาวๆหลายสิบปี หลายภพหลายชาติยิ่งเห็นภาพ บางคนบอกว่าชั้นรวยพอแล้ว มีความสุขแล้ว เค้าไม่รู้ว่าในสังสารวัตรนี้มันน่ากลัวขนาดไหน ผมกล้าพูดเลยว่าที่ตายๆกันน่ะ ไปอบายทั้งนั้น ถ้าเราหัดภาวนาเราจะเห็นได้นะครับ บางคนเถียงบอกชั้นทำบุญเยอะ การทำบุญถ้าหมายถึงการจ่ายเงินผมว่าเป็นบุญที่ยังคาดหวังพ้นอบายไม่ได้เลยครับ ส่วนใหญ่เห็นทำบุญ(จ่ายเงิน)แล้วก็ขอโน่นขอนี่ เวลาทุกข์ทีนึงก็ไปทำบุญทีนึงพอเวลาไม่ทุกข์แล้วก็เอาเวลาไปหลงโลกกันอย่างเพลินเลย แบบนี้คือการทำบุญโดยหวังว่าให้ตัวเองดี(เหมือนจ่ายสินบนให้ใครก็ไม่รู้ แล้วก็หวังๆๆกันไป ถ้าจ่ายเงินแล้วทำให้เราสมหวังได้โลกนี้คงมีคนที่สมหวังกันหมด)
พอไปเจอครูบาอาจารย์แล้วหายเหนื่อย บางทีท่านเดินมาผมกราบที่พื้นเลย เลอะยังไงช่างมัน ผมทำกันแบบนี้เลยนะครับ ไปด้วยใจจริงๆ ท่านก็เมตตาเรามาก เรื่องครูบาอาจารย์ทุกองค์เลยครับถ้าเห็นเราเอาจริงท่านจะเมตตาเรามาก ประเภทที่ไปเอาของไปถวายกราบๆ เสร็จแล้วกลับท่านเฉยๆนะ ท่านไม่ได้สนใจของอะไรที่โยมเอาไปหรอก ถ้าท่านรู้ว่าเราเอาจริงท่านจะเมตตาเราจริงๆ บางครั้งไม่จำเป็นต้องอธิฐานไปก่อนพอไปท่านก็พูดสิ่งที่เราติดขัดมาเลยก็มี
มีบางครั้งนะท่านมาเข้าฝันก็มีนะครับ แปลกดีไม่เจอกับตัวเองคงไม่เชื่อหรอก หลวงตามหาบัวนี่ผมฝันถึงท่าน3ครั้งแล้วแต่ละครั้งมาให้เร่งความเพียรทั้งนั้น ฝันตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่(น่าจะราวๆปี45-46)ล่าสุดก็เดือนธคปีที่แล้ว หลวงปู่เทสก์หลวงปู่สิมก็เคยครับ ตอนนั้นผมไปเทรคกิ้งที่เนปาล ตอนที่ไปอัณณาปุระเบสแคมป์ คืนนั้นฝันว่าหลวงปู่สิมเดินมาหาแล้วก็เทศน์สัั้นๆเรื่องกามแล้วก็เดินไป (มีแม่ชีแก่ๆเดินตามไป) ผมก็เดินไปในศาลาเห็นพระกำลังเข้าแถวรดน้ำหลวงปู่เทสก์ ผมก็เข้าไปต่อแถวพอถึงคิวผมที่จะต้องรดน้ำหลวงปู่ผมมองมาที่ตัวเองเห็นเราใส่จีวรพระ(ใส่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้) คลำหัวตัวเองก็เห็นหัวโล้น ไม่รู้เราไปบวชพระตั้งแต่เมื่อไร. หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เหรียญผมเคยฝันแล้วทั้งนั้นแต่ละครั้งก็จะมาให้เร่งความเพียรแทบทุกครั้งเลย (ไม่รู้หมกมุ่นไปหรือป่าวแต่เวลาจะฝันไม่เคยคิดก่อนนะครับ ) เล่าให้ฟังเพราะแปลกดี
เล่าแค่นี้พอก่อนนะครับ เล่ามากๆเหนื่อยครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ บางทีเขียน(พิมพ์)ยาวๆแล้วมันเบลอๆ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI เชื่อว่าผีมีจริงรึเปล่าครับ
โพสต์ที่ 30
ในกระทู้นี้
ผมเป็นผู้น้อยครับ
แม้ว่าไม่เชิงเด็กใหม่ไฟแรง
เพราะพยายามเดินเข้าสู่ทางนี้มานานพอควร
แต่ไฟไม่ได้แรงพอครับ
เลยเดินไปได้ไม่มากเท่าไรครับ
ได้แต่ติดตามอ่าน ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆครับ
ผมเป็นผู้น้อยครับ
แม้ว่าไม่เชิงเด็กใหม่ไฟแรง
เพราะพยายามเดินเข้าสู่ทางนี้มานานพอควร
แต่ไฟไม่ได้แรงพอครับ
เลยเดินไปได้ไม่มากเท่าไรครับ
ได้แต่ติดตามอ่าน ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV