|0 คอมเมนต์
ติดตามดูเพราะมีเหตุการณ์น่าสนใจครับ
HLF และ NUS ทั้งสองตัวนี้ชื่อเสียงก็เป็นที่รู้จัก ในบ้านเราทั้งสองบริษัทฯ ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป สินค้าและบริการ ทั้งสองตัวก็คล้ายๆกัน พวก cosmetics/personal cares , nutrition supplements และ weight management เพียงแต่ HLF จะเน้นไปที่กลุ่ม weight management มากกว่ามี personal care นิดหน่อย แต่ NUS เน้นไปกลุ่มหลังมากกว่า แต่ก็มีแผนจะขยายธุรกิจเข้าไปในกลุ่ม weight management ครับ ทั้งสองบริษัท มีช่องทางขายเหมือนกันนะครับคือ direct sale
ที่น่าสนใจ ปีทีแล้ว HLF และ NUS นี่ร่วงหนักเลยครับ ดูเหมือนจะเป้นเป้าในการ short ของบรรดาพวก hedge fund ต่างๆ เริ่มตั้งแต่กลางปีที่ 1 พฤษภาคม มี Hedge fund manager ชื่อ David Einhorn ออกมาตั้งคำถามว่าธุรกิจของ HLF และ NUS อาจจะเข้าข่ายเป็น pyramid scheme เท่านั้นเอง บรรดานักวิเคราห์ต่างๆ เลยสงสัยว่าทั้ง HLF และ NUS อาจจะตกเป็นเป้าของ David Einhorn ราคาหุ้นก็ร่วงไม่เป็นท่า ทั้ง HLF และ NUS ตกกว่า 30% พอมาปลายปีก็มี Hedge fund manager อีกท่าน คือ ชื่อ Bill auckman เป็น fund maneger ของ Pershing Square Capital Management
ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 25 ธค 12 พร้อมทั้งทำ present กล่าวหาว่า HLF เป็นธรุกิจแบบ pyramid scheme และยังบอกด้วยว่าตนเองได้เริ่ม short HLF ตั้งแต่กลางปี 12 แล้ว (ทำไมพึ่งมาบอกฟะ) ราคาหุ้นของ HLf ตกไปกว่า 35% และ NUS หล่นไป 25% ในวันเดียวกัน
present หาอ่านได้ที่นี่ครับ
http://factsaboutherbalife.com/
เรื่องยังไม่จบเท่านี้นะครับ เพราะมี นักลงทุนอีกท่าน ที่ดูเหมือนจะเป้นคู่อริกับ Bill auckman ชื่อว่า Carl Icahn
ออกมาบอกว่าที่ Bill auckman present ว่า HLF นั้นเป็น pyramid scheme นั้นผิด จนเกิดการโต้วาทีกันขึ้น Auckman บอกว่าถ้า Icahn สนใจก็ให้ซื้อหุ้นไปสิ Icahn ก็ทำจริงๆนะครับ ตั้งแต่ต้นปี Icahn ซื้อไปแล้ว 14 ล้านหุ้น คิดเป็นหุ้นจำนวนทั้งหมด 13% ของ HLF งานนี้ทำให้ผู้ถือกองทุนของ Pershing Square หนาวๆร้อนๆตามๆกันเลยครับ ราคาหุ้น HLF ขยับขึ้นเรื่อยๆ งานนี้บางคนบอกว่าเป้นเหมือนนั่งดูมวย กำลังต่อยกันเลย
ผมไปนั้งดูงบคร่าวๆ ทั้ง 2 ตัว ส่วนตัวให้น้ำหนักไปทาง NUS เพราะ
1. เรื่องการโจมตีเรื่อง pyramid scheme ผมว่า NUS นั้นน่าจะมีโอกาสโดนน้อยกว่า HLF เพราะสินค้าของ HLF นั้นถูกกล่าวหาว่าราคาแพงทั้งๆที่ คุณสมบัติไม่มีอะไรเลย ซึ่งจุดนี้เป็น key อันนึงของธุรกิจแบบ pyramid scheme แต่ NUS นั้นสินค้าในกลุ่มพวก cosmetics/personal cares นั้นยังมีการทำ R&D ค่อนข้างมากมีข้อมูล scienéfitic based research มารองรับ น่าจะพอ back up ว่าทำไมราคาสินค้าถึงแพงได้
2. เรื่อง sale growth การเติบโตแล้ว HLF นี่ 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายโต 2 digits ในขณะที่ NUS โตประมาณ 8% และทั้งสองตัวรายได้สวนใหญ่มาจาก นอก US นะครับ แต่ตัว NUS มีลุ้นในปีนี้ปีหน้าว่าจะโต 10% กว่าจากการได้อานิสงค์จากธุรกิจที่เข้าไปเจาะตลาดในเมืองจีน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ดี ถ้าไม่โดนเล่นเรื่อง pyramid scheme ซะก่อน
3. ราคาหุ้น P/E ของ NUS ประมาณ 10 ต้นๆ (ราคาขณะนี้) ขณะที่ HLF 10 ปลายๆ
ผิดถูกยังไงขออภัยนะครับ พึ่งเริ่มติดตาม ยังไม่ได้ซื้อ ทั้ง 2 ตัวครับ มาลองถามดูเผื่อมีนักลงทุนท่านอื่นสนใจ จะได้ share กันครับ