สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 901
สรุปข่าววันที่ 5-6 ธ.ค.2555 เวลา 18.00 น.- 06.00 น.
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานจุดเทียนชัยถวายพระพร-ถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ "ในหลวง"ท่ามกลางประชาชนที่เข้าร่วมงานมหาศาลแน่นมณฑลพิธีท้องสนามหลวง,บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ออกโรงเตือน "รัฐบาล" หากดื้อโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ3 เปรียบเหมือนการทำร้ายตัวเอง,คลีตัน ซิลวา ดาวยิงรูปหล่อชาวแซมบ้าของทีมบีอีซี เทโรฯ ดาวซัลโวร่วมไทยลีก โพสต์ข้อความ ถวายพระพรชัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันพ่อ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผ่านทางเฟซบุ๊กตนเอง
http://www.thairath.co.th/content/region/311275
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 902
UWC งานรุ่งรับธุรกิจเสาสายส่งไฟฟ้าสดใส พร้อมเล็งลงทุนเพิ่มในธุรกิจที่สร้างกำไร
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--IR network
นายมณฑล เชตุวัลลภกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด(มหาชน) หรือ UWC เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลทำให้บริษัทรับงานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้รับงานเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 KV จากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนหงสา ประเทศลาว ช่วงแม่เมาะ-ท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มูลค่างานกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาที่ 2 ที่ทำร่วมกับ J-Power โดยจะเริ่มผลิตและส่งมอบงานภายในปี 2555 ถึงกลางปี 2557 ส่งผลให้บริษัทมีงานมือ (Backlog) เฉพาะส่วนงานเสาสายส่งไฟฟ้า เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นตัน รวมมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมประมูลงานจากโครงการเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะกำหนดให้ประมูลได้ในช่วงไตรมาส1/ 2556 เป็นโครงการขยายงานจ่ายไฟฟ้าในภาคอีสาน ปริมาณงานรวมประมาณ 40,000 ตัน เมื่อรวมกับโครงการอื่นๆ ที่จะออกประมูลในปี 2556 จะมีมูลค่ารวมมากกว่า 4,000 ล้านบาท และงานสถานีไฟฟ้าย่อยที่มารองรับโครงการเสาส่งไฟฟ้าที่น่าจะเปิดประมูลงานกว่า 2,000 ตัน โดยคาดว่า UWC มีโอกาสรับงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 35
“ประเทศไทยมีแนวทางในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มอีก 2 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งต้องมีการสร้างเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อรองรับการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ประเทศพม่า ที่มูลค่าการลงทุนเป็นแสนล้านบาท นั่นหมายความว่า UWC มีโอกาสที่จะได้รับงานจำนวนมหาศาล ซึ่งขณะนี้ UWC อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับงานดังกล่าว”
เขากล่าวต่อถึงทิศทางงานด้านเสาโทรคมนาคม เชื่อว่าโครงการ 3G ในปัจจุบันจะต้องเร่งติดตั้งเสาโทรคมนาคม จึงย่อมส่งผลดีต่อ UWC เนื่องจากที่ผ่านมา UWC ได้รับงานจาก Huawai และได้รับงานอย่างต่อเนื่องจากทั้งค่าย AIS , DTAC และ Truemove โดยโครงการ 3G จะมีการติดตั้งเสาใหม่และปรับปรุงเสาปัจจุบันด้วยมูลค่าที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตามจากงานที่เพิ่มขึ้นและแผนการเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มของ UWC บริษัทจึงเล็งลงทุนเพิ่มในธุรกิจอื่นที่สร้างผลกำไรต่อบริษัท และตัดสินใจออก UWC-W1 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อสามารถช่วยบริหารจัดการด้านการเงินกับ UWCในการเสริมศักยภาพในการใช้เงินในอนาคต
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 903
หนึ่งในภาพชุด Dancers Among Us หรือ "เราอยู่ท่ามกลางเหล่า
นักเต้น" ของ จอร์แดน แม็ทเทอร์ ที่ทำให้คนดูได้รำลึกถึงความร่าเริง
สดใสวัยเด็ก เดินไปเขย่งกระโดดไป และคิดไปว่าถ้าในวัยที่เรา
ต่างโตขึ้น ยังมีความสุขกับการโลดเต้นแบบนั้นได้ ก็คงจะทำให้
ความสุขของชีวิตกลับมาได้บ้างเช่นกัน
(ภาพทั้งหมดโดย จอร์แดน แม็ทเทอร์)
เอเยนซี - สื่อออนไลน์จีน เผยภาพชุด "Dancers Among Us"
ของช่างภาพสหรัฐฯ จอร์แดน แม็ทเทอร์ ที่ร่วมกับเหล่าบรรดานักเต้น
อาชีพ มาช่วยใส่จังหวะชีวิตชีวาที่โลดเต้นเข้าไปกับกิจกรรมต่างๆ
ในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งประทับใจชาวเน็ตฯ จีน ด้วยว่าเป็นภาพ
ที่กระตุ้นความรู้สึกสดใสที่ด้านชาหายไปของพวกตน
จอร์แดน แม็ทเทอร์ (Jordan Matter) ช่างภาพแฟชั่น
และงานมงคลสมรส ผู้ทำงานและอาศัยอยู่ในนครนิวยอร์ก
สหรัฐฯ เคยกล่าวถึงผลงานชุด Dancers Among Us หรือ
"เราอยู่ท่ามกลางเหล่านักเต้น" ของเขาว่า ได้แรงบันดาลใจ
มาจากตอนที่นั่งมองดู "ฮัดสัน" ลูกชายวัย 3 ขวบของตนเล่นรถ
ของเล่น เข็นไปมา แล้วฉับพลันเขาก็หวนคิดถึงตนเองว่า ความรู้สึก
ดื่มด่ำกับชั่วขณะ หรือชีวิตชีวาเหล่านี้มันหายไปไหน
ทำไมพอโตมาก็ไม่มีอะไรแบบนี้อีกเลย
จอร์แดนเล่าว่า เขานั่งลงเล่นกับลูก และซ้อนจินตนาการของลูก
เข้ามาในความคิดของตน แล้วก็เกิดไอเดียว่าอยากมองดูผู้คน
มองดูโลกรอบตัวด้วยสายตาของลูก
เพราะเด็กๆ ย่อมมองเห็นโลกด้วยสายตาที่มีแต่ชีวิตชีวา
สำหรับการเลือกเอาอากัปกิริยาเต้นรำนั้น ก็ด้วยความรู้สึกว่า
เป็นกิจกรรมทางกายที่สะท้อนปลดปล่อยออกมาจากแรงกระตุ้น
และพลังสร้างสรรค์ของทุกๆ คน ไม่ว่าเขาจะทำอาชีพอะไรก็ตาม
ทุกๆ ที่ ทุกๆ แห่ง เหลียวมอบรอบข้างเราต่างเห็นผู้คนที่เดินไปมา
ต่างก็มีชีพจรนักเต้นในตัวอยู่แล้ว เหตุใดกลับเก็บซ่อนชีวิตชีวานี้ไว้
ข้างใน นอกจากนี้การเต้นรำยังเป็นการแสดงออกของ
"ปัญญาทางกาย" ที่แสดงออกมาอย่างอิสระ เป็นธรรมชาติ
ไม่ได้ผ่านการคิดซึ่งมักถูกจำกัดด้วยเรื่องต่างๆ มากมาย
ชาวเน็ตฯ จีนคนหนึ่งเห็นว่า ในสังคมที่ต่างเร่งก้าวไปข้างหน้า
มีข้อจำกัดมากมายทำให้บางทีก็เหมือนหลับหูหลับตาเรียนไปเพื่อ
ก้มหน้าก้มตาทำงานไป โดยลืมชีวิตชีวาหรือความกระตือรือร้น
ขณะที่ชาวเน็ตฯ หลายคนก็ประทับใจภาพชุด Dancers Among Us
ของ จอร์แดน แม็ทเทอร์ ด้วยทำให้พวกเขารำลึกถึงความร่าเริงสดใส
วัยเด็ก เดินไปเขย่งกระโดดไป ซึ่งเป็นชีวิตชีวาที่หายไปนานแล้ว
[imghttp://pics.manager.co.th/Images/555000015343416.JPEG][/img]
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 904
เอสแอนด์พีลุยอาหารญี่ปุ่น ซื้อไลเซนส์เครือซานโตรี
ประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคตส์ จำกัด (มหาชน)
ASTVผู้จัดการรายวัน - เอสแอนด์พีขยับหนีสาขาเต็มกรุงเทพฯ ผุดบริษัทลูกลุยอาหารญ่ปุ่น นำร่องซื้อไลเซนส์ร้านไมเซนจากเครือซานโตรีเข้ามาเปิด หวังสัญญา 10 ปีเปิดรวม 20 สาขา พร้อมลุยต่อระดับไฮเอนด์เปิดตัวอีกแบรนด์ปีหน้า
นายประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องจากบริษัทฯ ขยายสาขาของร้านในเครือเอสแอนด์พีได้มากถึง 430 สาขาแล้วในทุกรูปแบบ ซึ่งกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากถึง 60% จึงทำให้การขยายตัวในตลาดกรงุเทพฯ เริ่มอิ่มตัวและลำบากมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการขยายธุรกิจด้วยแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ โดยให้ความสำคัญที่ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่กว้างมากและเติบโตดีเพราะธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีมูลค่าตลาดสูงถึง 14,000 ล้านบาท และมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง 15-20% ต่อปี
ล่าสุดจึงได้ก่อตั้งบริษัท เอสแอนด์พี อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารประเภททงคัตซึแบรนด์ไมเซน จากบริษัท IZUTSU MAISEN ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ญี่ปุ่นก่อตั้งเมื่อปี 2508 มียอดขายที่ญี่ปุ่น 8,191 ล้านเยนในปี 2554 ปัจจุบันมีร้านอาหาร 6 สาขา จุดคีออสก์ 45 จุด และสินค้าที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เกตอีกกว่า 170 แห่ง
ร้านไมเซน สาขาแรกในไทยที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์
ทั้งนี้ บริษัทฯ รับสิทธิสัญญานาน 10 ปี ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเปิดให้ครบ 20 สาขา โดยลงทุนเองทั้งหมด จ่ายค่าไลเซนส์และรอยัลตีฟีตามที่กำหนด โดยสาขาแรกเปิดแล้วที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ พื้นที่ 150 ตารางเมตร ลงทุนเฉลี่ย 8-10 ล้านบาทต่อสาขา คาดหวังยอดขาย 35 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี ซึ่งร้าน Maisen ให้บริการอาหารญี่ปุ่นประเภทของทอด แซนด์วิชหมูทอด และอาหารกล่องประเภทต่างๆ
รูปแบบการขยายสาขาของร้านไมเซนมี 3 แบบ คือ การเปิดร้านมาตรฐาน การเปิดเป็นคีออสก์ และการวางจำหน่ายสินค้าตามร้านเอสแอนด์พีและซูเปอร์มาร์เกตเช่นเดียวกับญี่ปุ่น โดยคาดว่าสิ้นปีหน้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 4 สาขา เช่น เซ็นทรัลเอมบาสซี สยามสแควร์ เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่
นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการเจรจากับร้านอาหารญี่ปุ่นอีกแบรนด์หนึ่งซึ่งเป็นร้านระดับไฮเอนด์ คาดว่าจะสรุปได้ในปีหน้า ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นประมาณ 10% จากรายได้รวมของเอสแอนด์พีภายในช่วง 10 ปีจากนี้
นายประเวศวุฒิกล่าวต่อว่า ขณะที่ภาพรวมการลงทุนของเอสแอนด์พีในปีหน้านั้นตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณเปิดสาขาใหม่ที่เน้นหนักเปิดในต่างจังหวัด เป็นร้านขนาดใหญ่ 10 สาขา และอีก 40 จุดขาย ใช้งบการตลาด 3% จากยอดขาย โดยผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเติบโต 12% และคาดว่าทั้งปีนี้รายได้รวมจะเติบโต 15%
ประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคตส์ จำกัด (มหาชน)
ASTVผู้จัดการรายวัน - เอสแอนด์พีขยับหนีสาขาเต็มกรุงเทพฯ ผุดบริษัทลูกลุยอาหารญ่ปุ่น นำร่องซื้อไลเซนส์ร้านไมเซนจากเครือซานโตรีเข้ามาเปิด หวังสัญญา 10 ปีเปิดรวม 20 สาขา พร้อมลุยต่อระดับไฮเอนด์เปิดตัวอีกแบรนด์ปีหน้า
นายประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องจากบริษัทฯ ขยายสาขาของร้านในเครือเอสแอนด์พีได้มากถึง 430 สาขาแล้วในทุกรูปแบบ ซึ่งกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากถึง 60% จึงทำให้การขยายตัวในตลาดกรงุเทพฯ เริ่มอิ่มตัวและลำบากมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการขยายธุรกิจด้วยแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ โดยให้ความสำคัญที่ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่กว้างมากและเติบโตดีเพราะธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีมูลค่าตลาดสูงถึง 14,000 ล้านบาท และมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง 15-20% ต่อปี
ล่าสุดจึงได้ก่อตั้งบริษัท เอสแอนด์พี อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารประเภททงคัตซึแบรนด์ไมเซน จากบริษัท IZUTSU MAISEN ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่ญี่ปุ่นก่อตั้งเมื่อปี 2508 มียอดขายที่ญี่ปุ่น 8,191 ล้านเยนในปี 2554 ปัจจุบันมีร้านอาหาร 6 สาขา จุดคีออสก์ 45 จุด และสินค้าที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เกตอีกกว่า 170 แห่ง
ร้านไมเซน สาขาแรกในไทยที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์
ทั้งนี้ บริษัทฯ รับสิทธิสัญญานาน 10 ปี ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเปิดให้ครบ 20 สาขา โดยลงทุนเองทั้งหมด จ่ายค่าไลเซนส์และรอยัลตีฟีตามที่กำหนด โดยสาขาแรกเปิดแล้วที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ พื้นที่ 150 ตารางเมตร ลงทุนเฉลี่ย 8-10 ล้านบาทต่อสาขา คาดหวังยอดขาย 35 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี ซึ่งร้าน Maisen ให้บริการอาหารญี่ปุ่นประเภทของทอด แซนด์วิชหมูทอด และอาหารกล่องประเภทต่างๆ
รูปแบบการขยายสาขาของร้านไมเซนมี 3 แบบ คือ การเปิดร้านมาตรฐาน การเปิดเป็นคีออสก์ และการวางจำหน่ายสินค้าตามร้านเอสแอนด์พีและซูเปอร์มาร์เกตเช่นเดียวกับญี่ปุ่น โดยคาดว่าสิ้นปีหน้าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 4 สาขา เช่น เซ็นทรัลเอมบาสซี สยามสแควร์ เซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่
นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างการเจรจากับร้านอาหารญี่ปุ่นอีกแบรนด์หนึ่งซึ่งเป็นร้านระดับไฮเอนด์ คาดว่าจะสรุปได้ในปีหน้า ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นประมาณ 10% จากรายได้รวมของเอสแอนด์พีภายในช่วง 10 ปีจากนี้
นายประเวศวุฒิกล่าวต่อว่า ขณะที่ภาพรวมการลงทุนของเอสแอนด์พีในปีหน้านั้นตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณเปิดสาขาใหม่ที่เน้นหนักเปิดในต่างจังหวัด เป็นร้านขนาดใหญ่ 10 สาขา และอีก 40 จุดขาย ใช้งบการตลาด 3% จากยอดขาย โดยผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเติบโต 12% และคาดว่าทั้งปีนี้รายได้รวมจะเติบโต 15%
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 906
กองทุนบัวหลวงเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2 กองทุน
“FUTUREPF” ระหว่างวันที่ 11 – 14 ธันวาคม 2555 และ “TFUND”
ระหว่างวันที่ 12 – 17 ธันวาคม 2555
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--บลจ.บัวหลวง
นายสุทธิพงศ์ พัวพันธ์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า ในเดือนธันวาคมนี้จะมีการเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สองกองทุนด้วยกัน ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) รวมเป็นเม็ดเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนของทั้งสองกองทุนในครั้งนี้ประมาณ 2,475 ล้านบาท
กองทุนบัวหลวงจะเปิดรับจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนของกองทุน FUTUREPF จำนวน 56.25 ล้านหน่วย ในราคาเสนอขายหน่วยละ 16.00 บาท ระหว่างวันที่ 11 – 14 ธันวาคมนี้ โดยหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ทั้งหมด ให้สิทธิ และเสนอขายเฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีรายชื่อปรากฎในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนในวันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยอัตราส่วนการใช้สิทธิจองซื้อเท่ากับ 1 หน่วยลงทุนเดิมต่อ 0.1188 หน่วยลงทุนใหม่ ซึ่งเป็นเม็ดเงินเพิ่มทุนประมาณ 900 ล้านบาท
“การเพิ่มทุนของกองทุน FUTUREPF ครั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะรับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากสองส่วน ส่วนแรกมาจากการขยายระยะเวลาสิทธิการเช่าอาคารออกไปอีก 15 ปีโดยจะสิ้นสุดปลายปี 2584 แทนที่เดิมจะสิ้นสุดในปลายปี 2569 ทั้งนี้สิทธิในพื้นที่ดังกล่าวประกอบด้วยพื้นที่เช่าในอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์ พาร์ค 53,066 ตารางเมตร และสิทธิในการนำพื้นที่บางส่วนของพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงพื้นผนังภายนอกอาคารออกหาผลประโยชน์เพิ่มเติม ส่วนที่สองจะมาจากการเพิ่มพื้นที่สิทธิการเช่าอาคารของศูนย์การค้าฯอีก 3,840 ตารางเมตร โดยทั้งสองส่วนใช้เงินลงทุนรวมกันไม่เกิน 1,500 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนและการกู้ยืมเงิน สำหรับอัตราการเช่า ในส่วนของกองทุนสำหรับผู้เช่าหลักและผู้เช่ารายย่อยในไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 98”
และในช่วงสัปดาห์เดียวกันเราก็จะเปิดขายกองทุน TFUND จำนวน 150.72 ล้านหน่วย ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10.45 บาท ระหว่างวันที่ 12 – 17 ธันวาคมนี้ โดยหน่วยลงทุนที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ทั้งหมด ให้สิทธิ และเสนอขายเฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีรายชื่อปรากฎในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนในวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยอัตราส่วนการใช้สิทธิจองซื้อเท่ากับ 1 หน่วยลงทุนเดิมต่อ 0.1509 หน่วยลงทุนใหม่ ซึ่งเป็นเม็ดเงินเพิ่มทุนประมาณ 1,575 ล้านบาท
“กองทุน TFUND จะนำเงินเพิ่มทุนมาลงทุนในทรัพย์สินของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วยที่ดินพร้อมโรงงานมาตรฐานให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรม และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรม ต่างๆ รวมทั้งหมด 27 โรง มีพื้นที่โรงงานให้เช่า 70,375 ตารางเมตร กระจายอยู่ในจังหวัดระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา”
นายสุทธิพงศ์ กล่าวต่อว่า การเพิ่มทุนของทั้งสองกองทุนจะทำให้กองทุนมีโอกาสเพิ่มรายได้และด้วยการบริหารจัดการที่ดี ในที่สุดก็จะเพิ่มโอกาสการลงทุนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่จะออกมาในรูปของเงินปันผล ที่ผ่านมากองทุน FUTUREPF ประกาศจ่ายเงินปันผลแล้ว 24 ครั้งคิดเป็นเงิน 6.478 บาทต่อหน่วยลงทุน และกองทุน TFUND ประกาศจ่ายเงินปันผลแล้ว 30 ครั้งคิดเป็นเงิน 5.85 บาทต่อหน่วยลงทุน
นักลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองทุนบัวหลวง โทร. 0 2674 6488 กด 8
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 907
"พลังงานบริสุทธิ์" ควง APM เปิดฉากโรดโชว์อลังการ 11 จังหวัด
เตรียมความพร้อมขายไอพีโอ 560 ล้านหุ้นก่อนเข้าเทรด mai
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--IR network
บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) พร้อมด้วย บริษัท แอสเซทโปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมเดินสายโรดโชว์ 11 จังหวัด ครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศไทย เปิดฉากที่จังหวัดชลบุรีวันที่ 6 ธันวาคม 2555 นี้ ก่อนปิดท้ายแบบจัดเต็มที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จ.กรุงเทพ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และให้ข้อมูลต่อนักลงทุนอย่างละเอียด ส่งสัญญาณความพร้อมเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 560 ล้านหุ้น เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ด้านผู้บริหาร เผยผลตอบรับโรดโชว์จังหวัดแรก นักลงทุนสนใจเข้าฟังข้อมูลคึกคัก เหตุเป็นธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีอนาคต และภาครัฐให้การสนับสนุน โดยขณะนี้ ไฟลิ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงาน ก.ล.ต.
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และ APM มีแผนที่จะนำ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ เดินสายนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) แก่นักลงทุน โดยจะทำการโรดโชว์ทั้งสิ้น 11 จังหวัดด้วยกัน ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนเมื่อวันพฤหัสที่ 6 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา และจะเดินทางต่อไปที่จังหวัดสมุทรสาคร, นครราชสีมา, ราชบุรี, เชียงใหม่, สงขลา, อุบลราชธานี, ภูเก็ต, พิษณุโลก, ขอนแก่น และจะปิดท้ายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จังหวัดกรุงเทพฯ พร้อมเชิญนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบันในช่วงวันที่ 18 ธันวาคมนี้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลต่อนักลงทุนอย่างละเอียด และมีความเข้าใจในพื้นฐานธุรกิจของ EA มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการประกาศความพร้อมในการขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 560 ล้านหุ้น เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในอนาคต
"EA ถือเป็นบริษัทที่เดินสายโรดโชว์มากที่สุดถึง 11 จังหวัด ครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศไทย เพราะบริษัทมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีธุรกิจที่น่าสนใจ รวมถึงแนวโน้มการเติบโตในอนาคตมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ปัจจุบัน EA มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 317 ล้านบาท และจะมีทุนชำระแล้วหลังการเพิ่มทุน IPO เป็น 373 ล้านบาท อีกทั้งตัวธุรกิจพลังงานทดแทนมีความน่าสนใจมาก และยังให้ผลตอบแทนที่ดีและมั่นคง ดังนั้นเราจึงต้องการให้หุ้น EA เป็นที่รู้จักของนักลงทุนในวงกว้าง ซึ่งนอกจากจะเดินสายโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนทั่วไป 11 จังหวัดแล้ว ยังจะมีการให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันด้วย เพราะมีกองทุนแสดงความสนใจหุ้นตัวนี้เข้ามาค่อนข้างมาก" นายสมภพกล่าว
ด้านนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยว่าจากการเดินสายโรดโชว์จังหวัดแรก คือที่จังหวัดชลบุรี ปรากฎว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจเข้าร่วมฟังข้อมูลของบริษัทเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก EA เป็นธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งในส่วนของไบโอดีเซล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และยังมีแผนขยายไปยังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในอนาคต ซึ่งล้วนแต่เป็นธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตที่ต่อเนื่องและมั่นคง เพราะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โครงการแรกของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตขนาด 8 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล่าสุดสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ด้วยการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้แล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทำให้บริษัทจะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และในอนาคตยังมีโครงการในจังหวัดลำปาง และจังหวัดพิษณุโลก อีกโครงการละ 90 เมกะวัตต์ตามลำดับ ซึ่งได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผลการดำเนินงานของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ในส่วนของรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และงวด 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 3,647.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 69.76 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2554 ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 52.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 908
“สรยุทธ” คนร้อนช่อง 3 ต้องอุ้ม ตัวทำเงินนับพันล้าน
หลังจากนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลทุจริตเกี่ยวกับค่าโฆษณาและเวลาโฆษณาของช่องโมเดิร์นไนน์ไปแล้ว แต่นายสรยุทธก็ยังคงเดินหน้าจัดรายการทางช่อง 3 อยู่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความผิดดังกล่าว
ขณะที่ช่อง 3 เองก็ออกมาประกาศโดยอ้างว่าเรื่องทั้งหมดยังอยู่ในคดีความและการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่มีความชัดเจน ทุกอย่างต้องรอก่อน การไม่ลงดาบสรยุทธของช่อง 3 เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก นั่นก็เป็นเพราะลึกๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าสรยุทธกับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด แม้จะเป็น “ของร้อน” แต่ช่อง 3 ก็ยังต้องการอุ้มต่อไป เพราะนี่คือบ่อเงินบ่อทองบ่อใหญ่ของช่อง 3 นั่นเอง
คนในวงการสื่อรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ต้นทุนการทำรายการของสรยุทธนั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับรายการข่าวอื่นๆ เพราะเพียงแค่นั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ของคนอื่น ไม่ค่อยได้มีลงภาคสนามจะมีมากก็ตอนช่วงเหตุการณ์ใหญ่ๆ หรือเมื่อทำไปแล้วจะได้ภาพลักษณ์เท่านั้น ไม่ใช่ทำในเชิงเจาะข่าวแต่อย่างใด เช่น น้ำท่วม หรือการรับนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญทอง เป็นต้นเท่านั้นเอง
ขณะที่รายการของเขากอบโกยรายได้จากค่าโฆษณาเป็นจำนวนมาก เข้าทำนองต้นทุนต่ำ รายได้สูง เพราะในแต่ละปี ช่อง 3 สามารถสร้างรายได้ผ่านทางสรยุทธมากโข ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 1,000-1,500 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ที่มาจากสรยุทธ จากรายได้รวมของช่อง 3 ที่มีประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากโขทีเดียว แทบจะคิดเป็นเกือบ 50% ของรายได้รวมที่มาจากโฆษณาของช่องโมเดิร์นไนน์ที่ทำได้ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทด้วยซ้ำไป โดยเงื่อนไขนั้นเป็นแบบไทม์แชริงที่แบ่งสัดส่วนรายได้กันตามตกลง
คิดกันคร่าวๆ จากรายการและเวลาที่มีอยู่ในช่อง 3 ของสรยุทธ ผ่านเวลารายการของบริษัท บีอีซีเทโร บริษัทลูกของช่อง 3 อีกทอด
1. รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จันทร์ถึงศุกร์ เวลาออกอากาศ 06.00-09.00 น. ค่าโฆษณาอยู่ที่ 1.8 แสนบาทต่อนาที ซึ่งสูงที่สุดในช่วงข่าวเช้า มีพื้นที่ขายโฆษณา 20 นาที คำนวณแล้วตกวันละ 3.6-4 ล้านบาทต่อวัน หรือเดือนละประมาณ 80 กว่าล้านบาท คิดเป็นปีก็ประมาณ 950-1,000 ล้านบาท
2. รายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” เวลา 10.45-12.15 น. ราคาค่าโฆษณา 2.5 แสนบาทต่อนาที มีประมาณ 8 วันใน 1 เดือน เท่ากับ 20 ล้านบาท ตกปีละประมาณ 240 ล้านบาท
3. รายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” จันทร์-ศุกร์ เวลา 16.10-18.00 น. ซึ่งจะมีช่วง เจาะข่าวเด่น ที่เป็นของสรยุทธดำเนินรายการประมาณ 17.45 น. ที่จะมีรายได้อีกส่วนหนึ่ง
นี่คือสิ่งที่สรยุทธสร้างให้กับช่อง 3 อย่างคร่าวๆ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าช่อง 3 มีรายการประเภทข่าวประมาณ 20-30% ของผังรายการ แต่สามารถทำรายได้มากถึง 30% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เทียบกับฟรีทีวีอีกช่องหนึ่งมีเวลารายการประเภทข่าวประมาณ 30% แต่ทำรายได้ประมาณ 20% ของรายได้รวม
“ช่อง 3 อาจจะหงุดหงิดบ้างกับกรณีข่าวทุจริตของบริษัทไร่ส้ม แต่สรยุทธก็เป็นคนทำเงินให้มาก อย่างไรก็ต้องรักษาไว้ ไม่แคร์กับเสียงสังคมภายนอก แม้ว่าช่อง 3 เองจะอยู่ในตลาดหุ้นด้วยก็ตาม แต่ก็อ้างตลอดว่าอยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งถ้าจะบอกว่าช่อง 3 เอาถูกใจไว้ก่อนโดยไม่คำนึงความถูกต้องก็ไม่ผิด” แหล่งข่าววงในให้ความเห็น
ถ้าหากมองอดีตแล้ว ช่อง 3 ไม่แคร์อยู่แล้วกับเรื่องใหญ่ๆ ที่ผ่านมา เช่น กรณีการไม่สนใจและไม่ยึดถือเอาเรตติ้งที่ออกโดยบริษัท นีลเส็นมีเดียรีเสิร์ช เพราะไม่เชื่อในผลเรตติ้ง และมั่นใจว่าเรตติ้งของตัวเองต้องสูงกว่าและชัดเจนกว่าที่นีลเส็นทำสำรวจออกมา หรือกรณีที่รายการไทยแลนด์ ก็อตทาแลนต์มีการแพร่ภาพทางช่อง 3 เป็นภาพสาวที่เข้าแข่งขันคนหนึ่งทำการโชว์หน้าอกเปลือยเพนต์สี ซึ่งก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ในช่วงแรกช่อง 3 ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบมาตลอด
หากเทียบกับช่อง 7 ที่เป็นพี่ใหญ่ด้านเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณาเหมือนกัน ก็ยังไม่กร้าวเท่านี้ สังเกตจากหลายปีก่อนนี้ช่อง 7 ทะเลาะกับยูนิลีเวอร์ เจ้าแห่งงบโฆษณาในเรื่องส่วนลดค่าโฆษณา ทำให้ลีเวอร์ถอนยวงออกจากช่อง 7 หมด ซึ่งช่อง 7 เองก็สูญเสียค่าโฆษณาไปหลายร้อยล้านบาท แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงกันได้กลับมาป็นพันธมิตรกันเหมือนดิม เพราะไม่อย่างนั้นก็มีแต่เสียกับเสียทั้งคู่ ทว่าช่อง 3 ไม่เป็นเช่นนั้น
ส่วนการที่ทางภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นออกมาจี้ให้ผู่บริหารช่อง 3 ตัดสินใจรณีของสรุทธ ด้วนระบบธรรมาภิบาล พร้อมกับให้สินค้าต่างๆ ที่ลงโฆษณาถอนตัวจากรายการของสรยุทธนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ช่อง 3 ไม่กังวลเลยด้วยซ้ำไป และซ้ำร้ายกว่านั้นไม่มีทีท่าว่าจะลดอัตราค่าโฆษณา มีแต่แผนที่จะปรับขึ้นค่าโฆษณาด้วยอีกต่างหาก ซึ่งช่อง 3 เองก็มีการขึ้นค่าโฆษณาถี่มากในช่วงรอบปี มากกว่าช่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระแสออกมาชัดเจนแล้วว่า 4 สินค้าใหญ่เตรียมถอนโฆษณาออกจากรายการสรยุทธ คือ ปูนซิเมนต์ไทย แบงก์ไทยพาณิชย์ โตโยต้า และโตชิบา แต่ก็ต้องรอถึงปีหน้าให้สัญญาเดิมสิ้นสุดลงก่อนและจะไม่มีการซื้อโฆษณาใหม่ จะถอนทันควันก็ไม่ได้
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า การขอความร่วมมือจากสมาชิกภาคีฯ เพื่อให้ถอดโฆษณาช่วงรายการเล่าข่าวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดานั้น เป็นสิทธิที่สมาชิกภาคีเครือข่ายฯ จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ไม่อยากพูดแทนคนอื่นว่าใครได้ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว แต่ยืนยันได้ว่าธุรกิจที่อยู่ในภาคีเครือข่ายฯ ไม่สนับสนุนการทุจริต ขอให้ไปดูรายการของเขาเอาเอง แล้วจะรู้ว่ามีใครถอนไม่ถอน ไม่ยาก ถ้าดูแล้วไม่มี ค่อยมาบอกเราดีกว่า
ทั้งนี้ สมาชิกของภาคีฯ ไม่ได้เป็นในนามของตัวสินค้าหรือบริษัทเจ้าของสินค้า เพราะสมาชิกส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในนามขององค์กร และหน่วยงานเป็นหลัก
สำหรับสินค้าที่ลงโฆษณาในรายการของสรยุทธที่มีการรวบรวมกันไว้สิ้นสุดเดือนสิงหาคมนั้น เช่น โตโยต้า เนสกาแฟ คอลเกต บางกอกแอร์ ซูกิชิ มาม่า และบีเอสซีของเครือสหพัฒน์ ซูซูกิ ไมโล แมคโดนัลด์ แอคทีเวีย ฟูจิโกะ แอนมัม เอสซีจี หรือปูนซิเมนต์ไทย ดูเม็กซ์ แมจิกคลีน เคเอฟซี เมืองไทยประกันชีวิต แว็กซี่ นิสสัน แว่นท็อปเจริญ ทีโอที สตาร์เวลล์ โอเลย์ เป็นต้น
แหล่งข่าวจากบริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า บีอีซี-เทโร มีช่วงเวลาที่ผลิตรายการให้กับทางช่อง 3 โดยเฉพาะรายการข่าวหลายรายการ เช่น เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าววันใหม่ โลกยามเช้า และก๊วนข่าวเช้าวันหยุด ซึ่งในช่วงเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นผู้ดำเนินรายการนั้น
ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบจากสปอนเซอร์โฆษณาที่มาลงแต่อย่างใด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อโฆษณาไป จนถึงสิ้นปีอยู่แล้ว ดังนั้นหากจะมองถึงผลกระทบ หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆนั้น ต้องดูปีหน้าเป็นต้นไป
นางวรรณี รัตนพล ประธานบริหารบริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการวางแผน และซื้อสื่อโฆษณา กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงกรณีสรยุทธกับคดีไร่ส้มว่า ในแง่ของลูกค้าที่ซื้อโฆษณาขณะนี้ยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง ลูกค้าก็ยังคงซื้อ ฆษณาไปตามปกติ และจากที่ติดตามข่าวอยู่นั้น ทราบว่าทางช่อง 3 เองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ กับนายสรยุทธโดยยังมองว่าคดียังไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงยังเปิดโอกาสให้นายสรยุทธดำเนินรายการอยู่
อย่างไรก็ตามใ นฐานะเอเยนซีโฆษณา มองว่าเรื่องนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าในแง่ของมูลค่าเพอร์เซอร์นัลแบรนด์ของนายสรยุทธจะออกมาเป็นเช่นไร จะลดลงหรือไม่ แต่ตราบใดที่นายสรยุทธยังสามารถดึงความสนใจจากผู้ชมได้อยู่ ลูกค้าก็ยังพร้อมซื้อโฆษณาในรายการที่นายสรยุทธดำเนินรายการต่อไป สอดคล้องกับที่คนในวงการอีกรายหนึ่งมองว่า ถ้าสินค้าถอนงบโฆษณาจากรายการของสรยุทธก็คงจะโยกกงบไปลงรายการอื่นในช่อง 3 เหมือนเดิม คงไม่ได้ไปที่ช่องไหน ซึ่งตอนนี้ก็ทราบมาว่ามีหลายสินค้าที่เริ่มคุยกันว่าจะถอดงบโฆษณาจากรายการสรยุทธอีก แต่ก็ต้องรอต้นปีหน้า
ดังนั้น ภายในต้นปีหน้าคงจะมีคำตอบที่ออกมาชัดเจนแล้วว่า สินค้าตัวใดจะถอนหรือไม่ถอนจากรายการของสรยุทธ สุทัศนะจินดา “ของร้อน” ที่ช่อง 3 ต้องการ “อุ้ม” เพื่อรายได้ของตัวเอง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ธันวาคม 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 909
มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ รูปลักษณ์สะดุดตา อร่อยดีและมีประโยชน์
เทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังมาแรงไปสู่ทุกรุ่นทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอ การควบคุมอาหาร และการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานผักก็เป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของการดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารมากมาย ยังทำให้ไม่อ้วน
แต่ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ กลุ่มคนบางกลุ่มยังไม่นิยมทานผัก เพราะผักบางชนิดมีรสชาติที่ขมไม่อร่อยถูกปาก บริษัท เจียไต๋ จำกัด จึงได้พัฒนามะเขือเทศพันธุ์ใหม่ “มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ (Tomatoberry)” เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ทั้งในเรื่องรสชาติที่อร่อยขึ้น รูปลักษณ์ที่น่ารักสะดุดตา สามารถดึงดูดให้คนหันมารับประทานผักมากขึ้น
มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ พิเศษกว่ามะเขือเทศสายพันธุ์อื่นๆ ทั้งรสชาติที่หวานกว่า เนื้อหนานุ่ม เปลือกบางคล้ายกับองุ่น ไม่เหม็นเขียวเหมาะสำหรับการรับประทานสดเป็นผลไม้ หรือเป็นของว่างทานเล่นได้ในทุกโอกาส โดยไม่ต้องนำไปปรุงอาหาร
มะเขือเทศรูปหัวใจ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ทำให้คนที่ไม่ชอบมะเขือเทศสดมาก่อน ก็หันมารับประทานมะเขือเทศชนิดนี้ได้อย่างเอร็ดอร่อย และยังเปี่ยมไปด้วยสารสีแดงไลโคพีน (Lycopene) ที่ทำให้มะเขือเทศมีฤทธิ์ต้านมะเร็งมากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า ซึ่งสารไลโคพีนจะช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน บี 1 บี 2 วิตามิน เค โดยเฉพาะวิตามิน เอ และวิตามิน ซี มีในปริมาณสูงและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก อีกด้วย
นายสุรนาท องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจครบวงจร บริษัท เจียไต๋ จำกัด เปิดเผยว่า มะเขือเทศรูปหัวใจได้รับการพัฒนาพันธุ์โดยบริษัทเมล็ดพันธุ์ชั้นนำที่เป็นคู่ค้าของเจียไต๋ในประเทศญี่ปุ่น ที่ตั้งใจพัฒนามะเขือเทศสายพันธุ์นี้ให้มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ เป็นรูปหัวใจ สีแดงสด เพิ่มความหวาน และลดความเปรี้ยวลง (Acid) เพื่อดึงดูดผู้บริโภคเด็กและเยาวชน วัยรุ่น ให้หันมารับประทานมะเขือเทศสดมากขึ้น เพราะเชื่อว่าสุขภาพที่ดีนั้น เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสะสมมาตั้งแต่เด็ก
ทั้งนี้ เจียไต๋เราเองก็มีความเชื่อที่สอดคล้องกัน โดยอยากให้ผู้บริโภคบ้านเรา ได้บริโภคผักผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย คุณภาพดี จึงได้นำมะเขือเทศรูปหัวใจมาทำการวิจัยและพัฒนาหาวิธีการปลูกสายพันธุ์นี้ร่วมกับทางบริษัทญี่ปุ่น เพื่อหาสายพันธุ์มะเขือเทศรูปหัวใจที่สามารถปลูกในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและภูมิประเทศของไทยได้ จนประสบความสำเร็จ ทำให้ได้ผลผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจที่มีคุณภาพออกมาวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2553 และได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค
เจียไต๋ได้ดูแลทุกขั้นตอนการพัฒนาและผลิตมะเขือเทศรูปหัวใจพันธุ์เบอร์รี่นี้อย่างพิถีพิถัน ทั้งการคัดเมล็ดพันธุ์อย่างดี ปลูกในโรงเรือนที่เชื้อโรคไม่สามารถเข้าไปได้ โดยใช้รูปแบบโรงเรือนที่มีนวัตกรรมอันทันสมัยจากประเทศอิสราเอล และปลูกแบบไม่ใช้ดินเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี เลือกเก็บเกี่ยวเฉพาะผลที่แดงสวยสุกกำลังดี ปลูกในพื้นที่กว่า 20 ไร่ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศและภูมิประเทศที่ดี เหมาะสมแก่การพัฒนาสายพันธุ์และเหมาะแก่การปลูกมะเขือเทศรูปหัวใจเป็นอย่างยิ่ง
“สำหรับใครที่สนใจมะเขือเทศรูปหัวใจพันธุ์เบอร์รี่นี้ สามารถแวะชิมสดๆ
ได้ที่ ฟาร์มเจียไต๋ปากช่อง และหาซื้อได้ที่ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม ห้างสรรพสินค้าพารากอน ฟู้ดแลนด์
และซีพี เฟรชมาร์ททุกสาขาทั่วประเทศ” นายสุรนาท กล่าวเสริม
ด้วยสภาพแวดล้อมทางสังคมในปัจจุบัน การดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์จากต้นกำเนิดดีๆ อาจทำได้ยาก มะเขือเทศรูปหัวใจ พันธุ์โทเมโทเบอร์รี่ จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะทำให้ได้รับสารอาหารที่ดีแก่ร่างกายและอาจจะทำให้กลุ่มคนที่ไม่ชอบทานผัก หันมาทานและใส่ใจสุขภาพกันมายิ่งขึ้นอีกด้วย
โดย ฝ่ายสื่อสารองค์กร เจียไต๋
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 910
เครือซีพีเตรียมควักเม็ดเงินลงทุน 2.8 แสนล้าน ซื้อหุ้นผิงอัน อินชัวรันส์
เอชเอสบีซี เตรียมขายหุ้น 15.57% ใน “ผิงอัน อินชัวรันส์” ให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ มูลค่า 9.385 พันล้านดอลลาร์
รายงานข่าวเปิดเผยว่า เอชเอสบีซีจะขายหุ้นทั้งหมด 15.57% ในบริษัท ผิงอัน อินชัวรันส์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ให้แก่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) มูลค่า 7.2736 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (9.385 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือหุ้นละ 59 ดอลลาร์ฮ่องกง (7.61 ดอลลาร์สหรัฐ)
เอชเอสบีซี เปิดเผยว่า การทำธุรกรรมครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะอยู่ในรูปของเงินสด และประมาณการว่า รายได้หลังหักภาษีจากการขายหุ้นผิงอันจะอยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 911
ทุบสถิติMotor Expo 6วันยอดจอง2.8หมื่นคัน
Motor Expo 2012 สุดฮอต! ยอดจองรถยนต์ 6 วันแรก 28,488 คัน ทุบสถิติปีก่อน อานิสงส์รถคันแรก ฮอนด้ายอดจองสูงสุด
รายงานข่าวเปิดเผยว่า งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2012 ที่เมืองทองธานี ในวันนี้ยังคงมีประชาชนทยอยเดินทางมาชมและจอรถกันอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดการจัดงาน 6 วันที่ผ่านมา มีประชาชนสนใจจองซื้อรถยนต์รวม 28,488 คัน ถือเป็นการทุบสถิติยอดจองรถตลอดทั้งงานในปี 2554 โดยในปี 2554 มียอดรวมทั้งงานเพียง 27,021 คัน
สำหรับ 5 อันดับแรกของการจองรถ คือ 1. ยี่ห้อฮอนด้า จำนวน 6,491 คัน 2. ยี่ห้อโตโยต้า จำนวน 6,122 คัน 3. ยี่ห้อนิสสัน จำนวน 2,766 คัน 4. ยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 2,513 คัน 5. ยี่ห้อมาสด้า จำนวน 1,863 คัน ทั้งนี้ ทางผู้จัดงานจึงได้ปรับเป้าหมายการจองซื้อรถยนต์จาก 50,000 คัน เพิ่มเป็น 60,000 คัน ตลอดการจัดงานไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2555
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 913
'พิซซ่าฮัท' ผลิตน้ำหอมรุ่นพิเศษ กลิ่นแป้งขนมปังอบเจือเครื่องเทศ
พิซซ่าฮัท ผลิตน้ำหอมรุ่นพิเศษจำนวนจำกัด กลิ่นแป้งขนมปังอบเจือเครื่องเทศอ่อนๆ เตรียมแจกแฟนเพจเฟซบุ๊ก 100 รายแรก ที่ส่งข้อความมาขอ...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 6 ธ.ค. ว่า พิซซ่าฮัท แบรนด์อาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังของโลก ผลิตน้ำหอมรุ่นพิเศษแบบจำนวนจำกัด เพื่อมอบให้กับลูกค้า โดยผู้อำนวยการด้านการตลาดเปิดเผยว่า กลิ่นของมันได้รับการปรุงแต่งให้คล้ายกับแป้งขนมที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ และมีกลิ่นเครื่องเทศผสมด้วยเล็กน้อย
ทั้งนี้ การผลิตน้ำหอมเกิดขึ้นจากแฟนเพจเฟซบุ๊กพิซซ่าฮัทแคนาดา โพสต์ภาพน้ำหอมกลิ่นพิซซ่าเล่นๆ ตั้งแต่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่กลับได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างล้นหลาม จึงทำให้บริษัทตัดสินใจผลิตน้ำหอมขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ได้ทำขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
สำหรับน้ำหอมกลิ่นพิเศษนี้ จะมอบให้แฟนๆ พิซซ่าฮัทในเฟซบุ๊กเพียง 100 รายแรก ที่ส่งข้อความหลังไมค์มาหาพิซซ่าฮัทโดยตรง และแชร์ภาพน้ำหอมในเฟซบุ๊กของตนเองด้วย ส่วนวันที่ที่เริ่มแจกน้ำหอมนั้นข่าวไม่ได้แจ้งมาด้วย.
โดย ไทยรัฐออนไลน์
6 ธันวาคม 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 914
U Delight รัตนาธิเบศร์ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ศูนย์ราชการนนทบุรี จาก Grand U
รีวิวฉบับที่ 275 … U Delight รัตนาธิเบศร์ เราได้โอกาสไปเยี่ยมเยียนสำนักงานขายก่อนเปิดโครงการในวันที่ 8 ธันวาคม 2555 โดย U Delight รัตนาธิเบศร์ โครงการล่าสุดจากค่าย Grand Unity Development ซึ่งเป็นโปรเจคตึกสูง 23 ชั้น เกือบๆ 1,000 ยูนิต ที่สถานี MRT รถไฟฟ้าสายสีม่วง ศูนย์ราชการนนทบุรี ใกล้สี่แยกแคราย, Esplanade รัตนาธิเบศร์ และ Tesco Lotus แครายครับ
Fact @ 2 December 2012
■U Delight รัตนาธิเบศร์ (ยูดีไลท์ รัตนาธิเบศร์)
■Grand Unity Development Co., Ltd.
■คอนโดมิเนียม High Rise 23 ชั้น 989 ยูนิต
■ที่ดินโครงการ 5-1-40 ไร่
■1 – 2 Bedrooms
■ขนาดพื้นที่ใช้สอย 29 – 54.5 ตารางเมตร
■ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท
■ราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้น 49,600 บาท
■เปิดตัววันที่ 7 (ลูกค้าเก่า) – 8 ธันวาคม 2555 (บุคคลทั่วไป)
■www.grandu.co.th
■เริ่มก่อสร้าง มีนาคม 2556
■สร้างเสร็จ กันยายน 2557
เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 915
ประกาศ!! มิวเซียมสยาม เปิดให้ เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 1-16 ธันวาคม 2555
มิวเซียมสยาม เปิดให้ทุกท่าน "เข้าชมฟรี" ตั้งแต่วันที่ 1-16 ธันวาคม 2555
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2555
และมาร่วมกันค้นหาจุดเริ่มต้น ปลุกจิตวิญญาณแห่งไฟ
ในงาน NIGHT AT THE MUSEUM III ตอน "หิน เหล็ก ไฟ"
14-16 ธันวาคม 2555 เวลา 4 โมงเย็น-4 ทุ่ม ที่ มิวเซียมสยาม ฟรี!!
* รายละเอียดงาน NIGHT AT THE MUSEUM III ตอน "หิน เหล็ก ไฟ": www.museumsiam.com/night3
* มิวเซียมสยาม เปิดให้บริการ วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น.
มิวเซียมสยาม สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์ 02 225 2777 โทรสาร 02 225 2775 อีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 917
“DNA” ปิดฉากโรดโชว์สุดประทับใจ นลท.แห่ฟังข้อมูลเนืองแน่น
เหตุพื้นฐานแกร่ง ผลงานโตต่อเนื่อง/ มั่นใจขายเกลี้ยงทั้ง 160 ล้านหุ้น
IR network — 6 ธันวาคม 2555
“ดีเอ็นเอ 2002” ปลื้มเดินสายโรดโชว์ขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 160 ล้านหุ้น หาดใหญ่ ขอนแก่น และเชียงใหม่ที่ผ่านมา นักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม หลังพกปัจจัยพื้นฐานทั้งทิศทางการเติบโตของธุรกิจ และแผนการดำเนินงานในอนาคตเรียกความเชื่อมั่น “สามารถ ฉั่วศิริพัฒนา” มั่นใจเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีจะได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุน ด้าน “ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ”แกนนำอันเดอร์ไรท์ฯ ระบุจากกระแสตอบรับจากนักลงทุนที่มีเข้ามาอย่างเนืองแน่นทั้ง 3 จังหวัด ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอจะสามารถขายได้หมดทั้งจำนวนแน่นอน
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) (DNA) เปิดเผยถึงผลการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่า ผลตอบรับจากนักลงทุนออกมาดีเกินคาด เนื่องจากธุรกิจของ DNA ไม่มีความซับซ้อน นักลงทุนคุ้นเคยกับสาขาของร้านที่ให้บริการครอบคลุมอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และที่สำคัญผลการดำเนินของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งจากความสนใจและความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจ และมองเห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องของนักลงทุนในครั้งนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้นจะมีนักลงทุนสนใจจองซื้อหุ้นอย่างท่วมท้น
ด้านนายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) (DNA) กล่าวถึง ผลการโรดโชว์ต่อนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า กระแสการตอบรับจากนักลงทุนมีเข้ามาอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจและมองเห็นถึงศักยภาพของบริษัทที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดย DNA มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศจำนวน 1,432 สาขา แบ่งเป็นร้าน DNA มีจำนวน 365 สาขา อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 110 สาขา ต่างจังหวัด จำนวน 255 สาขา ร้านฝากขาย จำนวน 1,067 สาขา อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 502 สาขา และต่างจังหวัด 565 สาขา ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของร้านค้า จะจุดจำหน่ายสินค้าเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่อันจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของกลุ่มบริษัทฯเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อการขยายตัวและการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่าในช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอและวันเปิดซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กระแสการตอบรับจากนักลงทุนจะมีเข้ามาอย่างคึกคัก
"ด้วยจุดเด่นของ DNA ที่ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี และสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน และพ็อกเก็ตบุ๊ก โดยสินค้าประเภทภาพยนตร์และเพลงถือเป็นสินค้าหลักของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 85 ของรายได้รวม ขณะที่พื้นฐานธุรกิจมีความแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีสาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศจำนวน 1,432 สาขา จึงทำให้เป็นจุดเด่นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ซึ่งเชื่อว่าในวันที่เปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอ กระแสตอบรับจากนักลงทุนจะมีเข้ามาอย่างคึกคัก"นายสามารถกล่าว
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวถึงผลการโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาว่า ทำให้นักลงทุนมีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจรวมไปถึงแผนการดำเนินงานในอนาคตของ DNA มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เนื่องจาก DNA เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรม จึงน่าจะเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุน จึงมั่นใจว่าการเข้าระดมทุนของ DNA ในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะสมที่สุด
ทั้งนี้บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการเสนอขาย ขณะนี้สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งคำขอฯ แล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปลายปีนี้ โดยปัจจุบัน บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 มีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท หรือ 640 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เป็นทุนชำระแล้ว 120 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ
ข่าวชิ้นนี้เผยแพร่โดย Thai PR
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 918
โตโน่ หน้าบานนำทีมศิลปินขายกอดสุดอบอุ่น ได้ผ้าห่มช่วยน้องผู้ยากไร้ถึง 2,000 ผืน!!
เรียกว่าตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานก็มีบรรดาคนใจบุญมารอต่อแถวบริจาคผ้าห่มแถวยาวเหยียด เพื่อรับสิทธิ์กอดแนบชิดรับไออุ่นจากดารา-ศิลปิน อาทิ ณัฐ ศักดาธร, เป็ก ผลิตโชค หนุ่ย นันทกานต์ ที่มีแฟนคลับมาต่อคิวเพียบ ส่วนแก็งดีเจอย่าง ดีเจเป้ ทวีฤทธิ์ จาก คลื่นชิล เอฟเอ็ม 89 , ดีเจพุฒ จากคลื่น Hot915 และ ดีเจบุ๊กโกะ ธนัชพันธ์ จากคลื่น 94 อีเอฟเอ็ม ก็อาศัยความช่างพูดอ้อนแฟนคลับจนได้รับกอดไปแบบท้วมท้น งานนี้ดีเจกรีนเวฟ ดีเจเฟี้ยต , ดีเจเกศริน , ดีเจแบม จึงไม่ยอมน้อยหน้าช่วยกันบิ้วแฟนคลับ แถมเอาโปรโมชั่นกอด ยกคลื่นมาล่อ ซึ่งก็ได้ผลอย่างแรงเพราะแต่ละคนก็มีแฟนคลับตามมาให้กำลังใจกันเพียบอยู่แล้ว ส่งผลให้ยอดขายกอดพุ่งพรวดกันเลยทีเดียว จากนั้นถึงคิว มินิคอนเสิร์ต แบบเป็นกันเองของศิลปินที่มาวันนี้แล้วทั้ง ณัฐ ศักดาธร, เป็ก ผลิตโชค , หนุ่ย นันทกานต์ ต่างก็ขนเพลงเพราะๆมาฝากทุกคนแทนคำขอบคุณ และที่ขาดไม่ได้คือ โตโน่ ศิลปินใจอาสาประจำกิจกรรมที่นอกจากจะเอาเพลงมาฝาก ยังนำ เสื้อหนาวตัวโปรด มาร่วมประมูลเพื่อนำเงินสมทบทุนซื้อผ้าห่มอีกด้วย ซึ่งกลุ่มแฟนคลับโตโน่ และริทช่วยกันร่วมประมูลไปได้ที่ 100,000 บาทเลยทีเดียว สรุปแล้วหลังจากรวบรวมเงินและผ้าห่มที่ได้รับบริจาคในงานนี้แล้วทั้งหมดสามารถมอบผ้าห่มเพื่อช่วยน้องๆผู้ยากไร้ได้ถึง 2,000 ผืน เลยทีเดียว ทำเอาทุกคนที่มาร่วมแรงร่วมใจกันยิ้มหน้าบานอิ่มบุญกลับบ้านไปตามๆกัน
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 919
6/12/55 ตอน ไขปริศนา CP ทุ่ม 3แสนล้าน ซื้อผิงอันฯ
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 6/12/55
http://www.ibizchannel.com/view.aspx?cid=449&lid=2
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 6/12/55
http://www.ibizchannel.com/view.aspx?cid=449&lid=2
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 921
"ดีเอ็นเอ 2002"ราคา IPO มีส่วนลด 20-30% จากโบรกฯประเมิน 2.34-2.70 บาท
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
ผู้เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นบมจ.ดีเอ็นเอ 2002 เผยราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอ
ขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จะกำหนดโดยมีส่วนลดให้กับนักลงทุนประมาณ 20-30%
จากราคาที่พื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ซึ่งอยู่ที่ 2.34-2.70 บาท/หุ้น
"มีการคุยกับลีดอันเดอร์ไรเตอร์ว่า ราคาหุ้น IPO ที่จะเสนอขายควรที่จะมีส่วนลด
ให้กับนักลงทุนที่จองซื้อประมาณ 20-30% จากราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้"
แหล่งข่าวจากผู้เกี่ยวข้องการขายหุ้น ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ดีเอ็นเอ 2002 ผู้จำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ประเภทภาพยนตร์ เพลง
ผ่านช่องทางร้านค้าปลีก จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 160 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.25 บาท
ในวันที่ 12-14 ธ.ค.นี้ โดยหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) มีบริษัท
ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป CGS
เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
เขากล่าวว่า โบรกเกอร์ 6 แห่ง ได้ประเมินราคาพื้นฐานหุ้น ดีเอ็นเอ 2002 อยู่ที่
2.34-2.70 บาท โดยบริษัทและ CGS ก็จะประเมินจากราคาดังกล่าว เพื่อกำหนดราคา IPO
ซึ่งราคาหุ้นจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 ธ.ค. และจะมีการลงนามแต่งตั้ง
บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า แม้ราคาหุ้น IPO จะให้ส่วนลดกับนักลงทุนประมาณ 20-30%
แต่ดีเอ็นเอ 2002 ยังได้รับเงินจากการระดมทุนในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่นักลงทุนก็จะได้รับ
ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดกำไรสุทธิปี 55-56 ของ ดีเอ็นเอ
2002 จะเติบโตโดดเด่นเฉลี่ยปีละ 45% เป็น 63 ล้านบาท และ 106 ล้านบาท ตามลำดับ
จากการขยายสาขาเชิงรุก ทั้งที่เป็นร้านของตัวเองชื่อ DNA ENJOY EVERYDAY ตามห้าง
สรรพสินค้า และจุดจำหน่ายใน Modern Trade โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปีหน้า 2.34 บาท
อิง PE 14 เท่า
โดยบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนด้วย
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
ผู้เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นบมจ.ดีเอ็นเอ 2002 เผยราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอ
ขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จะกำหนดโดยมีส่วนลดให้กับนักลงทุนประมาณ 20-30%
จากราคาที่พื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ซึ่งอยู่ที่ 2.34-2.70 บาท/หุ้น
"มีการคุยกับลีดอันเดอร์ไรเตอร์ว่า ราคาหุ้น IPO ที่จะเสนอขายควรที่จะมีส่วนลด
ให้กับนักลงทุนที่จองซื้อประมาณ 20-30% จากราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้"
แหล่งข่าวจากผู้เกี่ยวข้องการขายหุ้น ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ดีเอ็นเอ 2002 ผู้จำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ประเภทภาพยนตร์ เพลง
ผ่านช่องทางร้านค้าปลีก จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 160 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.25 บาท
ในวันที่ 12-14 ธ.ค.นี้ โดยหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) มีบริษัท
ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป CGS
เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
เขากล่าวว่า โบรกเกอร์ 6 แห่ง ได้ประเมินราคาพื้นฐานหุ้น ดีเอ็นเอ 2002 อยู่ที่
2.34-2.70 บาท โดยบริษัทและ CGS ก็จะประเมินจากราคาดังกล่าว เพื่อกำหนดราคา IPO
ซึ่งราคาหุ้นจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 ธ.ค. และจะมีการลงนามแต่งตั้ง
บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า แม้ราคาหุ้น IPO จะให้ส่วนลดกับนักลงทุนประมาณ 20-30%
แต่ดีเอ็นเอ 2002 ยังได้รับเงินจากการระดมทุนในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่นักลงทุนก็จะได้รับ
ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดกำไรสุทธิปี 55-56 ของ ดีเอ็นเอ
2002 จะเติบโตโดดเด่นเฉลี่ยปีละ 45% เป็น 63 ล้านบาท และ 106 ล้านบาท ตามลำดับ
จากการขยายสาขาเชิงรุก ทั้งที่เป็นร้านของตัวเองชื่อ DNA ENJOY EVERYDAY ตามห้าง
สรรพสินค้า และจุดจำหน่ายใน Modern Trade โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปีหน้า 2.34 บาท
อิง PE 14 เท่า
โดยบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนด้วย
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 922
CENTEL:โรงแรมเซ็นทรัลฯรุกเปิด"โคซี่"โรงแรมราคาประหยัด เริ่มปลายปี 56
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา CENTEL ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและอาหาร
เตรียมเปิดโรงแรมราคาประหยัดในชื่อ"โคซี่" เริ่มปลายปีหน้า หลังมองธุรกิจโรงแรมราคา
ประหยัดขยายตัวดี
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL กล่าว
กับผู้สื่อข่าวว่า โรงแรม"โคซี่" จะเป็นโรงแรมราคาประหยัด ซึ่ง CENTEL คาดว่าจะเปิด
แห่งแรกในปลายปี 56 หรือต้นปี 57 ที่ย่านรัชดา กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ตามแผนธุรกิจ มีเป้าหมายจะเปิดโรงแรมโคซี่ ให้ได้ 30 แห่งทั่วประเทศ ในปี
63 โดยในจำนวนดังกล่าว จะเป็นส่วนที่ CENTEL ลงทุนเอง 4 แห่ง ส่วนที่เหลือจะเป็นการรับ
จ้างบริหาร ทั้งนี้ในส่วนที่ลงทุนเอง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.2 พันล้านบาท
โดยโรงแรมโคซี่ จะเป็นโรงแรมขนาด 150-200 ห้อง ระดับราคาเข้าพักต่อห้องอยู่
ที่ 1,000 บาทต่อคืน สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในโรงแรมโคซี่นั้น หากเป็นการลงทุนเอง
คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ราว 24% แต่หากเป็นรับจ้างบริหาร ผลตอบแทนจะอยู่ที่
ประมาณ 15%
เขากล่าวว่า การลงทุนในโรงแรมโคซี่ ใช้เงินลงทุนไม่สูง การก่อสร้างใช้เวลา
รวดเร็ว จึงสามารถประหยัดต้นทุน และคิดค่าบริการไม่แพง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนแห่งละ
ประมาณ 300 ล้านบาท และใช้พนักงานประมาณ 50 คนต่อ 1 แห่ง
เขา กล่าวถึง รายได้ในปี 56 ว่า น่าจะเติบโตได้ราว 22-23% มาอยู่ที่ราว 1.7
หมื่นล้านบาท
ด้านนายสุภรัฐ จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนสกุล รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท
เซ็นทารา อินเตอร์เนชั่นแนล แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า โรงแรมโคซี่ภายใต้การบริหารของ CENTEL
นั้น ตั้งเป้าจะรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี
ศักยภาพ โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ลงทุนในจีน ซึ่งรูปแบบจะเป็นลักษณะการรับจ้างบริหาร
โดยตั้งเป้าเปิดเป็นระดับ 100 โรงแรม แต่การเจรจาคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
เขา มองว่า ตลาดของโรงแรมราคาประหยัดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเห็น
ได้จากการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ที่ขยายายตัวมาก ทั้งนี้สำหรับโรงแรมราคาประหยัด
โคซี่ จะเน้นทำเลที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆเป็นหลัก
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา CENTEL ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและอาหาร
เตรียมเปิดโรงแรมราคาประหยัดในชื่อ"โคซี่" เริ่มปลายปีหน้า หลังมองธุรกิจโรงแรมราคา
ประหยัดขยายตัวดี
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL กล่าว
กับผู้สื่อข่าวว่า โรงแรม"โคซี่" จะเป็นโรงแรมราคาประหยัด ซึ่ง CENTEL คาดว่าจะเปิด
แห่งแรกในปลายปี 56 หรือต้นปี 57 ที่ย่านรัชดา กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ตามแผนธุรกิจ มีเป้าหมายจะเปิดโรงแรมโคซี่ ให้ได้ 30 แห่งทั่วประเทศ ในปี
63 โดยในจำนวนดังกล่าว จะเป็นส่วนที่ CENTEL ลงทุนเอง 4 แห่ง ส่วนที่เหลือจะเป็นการรับ
จ้างบริหาร ทั้งนี้ในส่วนที่ลงทุนเอง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.2 พันล้านบาท
โดยโรงแรมโคซี่ จะเป็นโรงแรมขนาด 150-200 ห้อง ระดับราคาเข้าพักต่อห้องอยู่
ที่ 1,000 บาทต่อคืน สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในโรงแรมโคซี่นั้น หากเป็นการลงทุนเอง
คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ราว 24% แต่หากเป็นรับจ้างบริหาร ผลตอบแทนจะอยู่ที่
ประมาณ 15%
เขากล่าวว่า การลงทุนในโรงแรมโคซี่ ใช้เงินลงทุนไม่สูง การก่อสร้างใช้เวลา
รวดเร็ว จึงสามารถประหยัดต้นทุน และคิดค่าบริการไม่แพง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนแห่งละ
ประมาณ 300 ล้านบาท และใช้พนักงานประมาณ 50 คนต่อ 1 แห่ง
เขา กล่าวถึง รายได้ในปี 56 ว่า น่าจะเติบโตได้ราว 22-23% มาอยู่ที่ราว 1.7
หมื่นล้านบาท
ด้านนายสุภรัฐ จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนสกุล รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท
เซ็นทารา อินเตอร์เนชั่นแนล แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า โรงแรมโคซี่ภายใต้การบริหารของ CENTEL
นั้น ตั้งเป้าจะรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี
ศักยภาพ โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ลงทุนในจีน ซึ่งรูปแบบจะเป็นลักษณะการรับจ้างบริหาร
โดยตั้งเป้าเปิดเป็นระดับ 100 โรงแรม แต่การเจรจาคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
เขา มองว่า ตลาดของโรงแรมราคาประหยัดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเห็น
ได้จากการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ที่ขยายายตัวมาก ทั้งนี้สำหรับโรงแรมราคาประหยัด
โคซี่ จะเน้นทำเลที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆเป็นหลัก
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 924
ANAN มั่นใจเข้าเทรดพรุ่งนี้วันแรกเหนือราคาจองที่ 4.20 บาท
เหตุพื้นฐานแกร่ง-กระแสตอบรับดี
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN)เปิดเผยถึงหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 1,333 ล้านหุ้นที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกในวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีความมั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาเสนอขาย 4.20 บาทต่อหุ้นได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้น IPO พบว่านักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อหุ้นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท โดยได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการดำเนินธุรกิจ คือ กลุ่มคอนโดมิเนียมที่ติดสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ภายใต้การบริหารของ ANAN คือ “Ideo"ครองมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในด้านห้องชุดที่ติดสถานีรถไฟฟ้าในระยะไม่เกิน 300 เมตร ซึ่งในอนาคตยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก
"เชื่อว่าเมื่อหุ้น ANAN เข้าซื้อขายในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเนื่องจากนักลงทุนมองเห็นจุดเด่นของปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและแนวโน้มผลประกอบการที่มีทิศทางการเจริญเติบโตชัดเจน ซึ่งภายหลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ ANAN เป็นที่รู้จักในวงกว้างรวมถึงเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นด้วย ที่สำคัญจะส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งและมีช่องทางหรือทางเลือกในการระดมเงินทุนมากขึ้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการขยายธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น"นายชานนท์ กล่าว
บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ด้านนายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยก ร บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ANAN กล่าวว่า จากกระแสตอบรับจากนักลงทุนที่มีต่อหุ้น ANAN อย่างท่วมท้นในช่วงที่เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจนทำให้หุ้นที่เสนอขายไปไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อหุ้น ANAN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ธ.ค.นี้ จะได้รับการการตอบรับที่ดีและน่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ลงทุนได้
ทั้งนี้ ได้แบ่งสัดส่วนการเสนอขายหุ้น IPO ให้นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จำนวนรวมประมาณ 75% นักลงทุนรายย่อยประมาณ 25% ในส่วนของนักลงทุนสถาบันเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศประมาณ 55% และเป็นสถาบันในประเทศ 45%
เหตุพื้นฐานแกร่ง-กระแสตอบรับดี
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN)เปิดเผยถึงหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 1,333 ล้านหุ้นที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกในวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีความมั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาเสนอขาย 4.20 บาทต่อหุ้นได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้น IPO พบว่านักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อหุ้นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท โดยได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการดำเนินธุรกิจ คือ กลุ่มคอนโดมิเนียมที่ติดสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ภายใต้การบริหารของ ANAN คือ “Ideo"ครองมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในด้านห้องชุดที่ติดสถานีรถไฟฟ้าในระยะไม่เกิน 300 เมตร ซึ่งในอนาคตยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก
"เชื่อว่าเมื่อหุ้น ANAN เข้าซื้อขายในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเนื่องจากนักลงทุนมองเห็นจุดเด่นของปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและแนวโน้มผลประกอบการที่มีทิศทางการเจริญเติบโตชัดเจน ซึ่งภายหลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ ANAN เป็นที่รู้จักในวงกว้างรวมถึงเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นด้วย ที่สำคัญจะส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งและมีช่องทางหรือทางเลือกในการระดมเงินทุนมากขึ้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการขยายธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น"นายชานนท์ กล่าว
บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ด้านนายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยก ร บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ANAN กล่าวว่า จากกระแสตอบรับจากนักลงทุนที่มีต่อหุ้น ANAN อย่างท่วมท้นในช่วงที่เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจนทำให้หุ้นที่เสนอขายไปไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อหุ้น ANAN เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ธ.ค.นี้ จะได้รับการการตอบรับที่ดีและน่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ลงทุนได้
ทั้งนี้ ได้แบ่งสัดส่วนการเสนอขายหุ้น IPO ให้นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จำนวนรวมประมาณ 75% นักลงทุนรายย่อยประมาณ 25% ในส่วนของนักลงทุนสถาบันเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศประมาณ 55% และเป็นสถาบันในประเทศ 45%
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 925
ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมกว่า 90 ช่องยื่นเอกสารขอไลเซ่นส์จาก กสทช.
พร้อมขอปรับหลักเกณฑ์ ที่ไม่เป็นธรรม
นายนิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) พร้อมผู้ประกอบการช่องรายการโทรทัศน์ดาวเทียม 90 ช่องรายการ เข้ายื่นเอกสารขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ดาวเทียมต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) และแสดงเจตจำนงว่าผู้ประกอบการภายใต้สังกัดสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียมจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของ กสทช.
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการได้เสนอข้อเรียกร้องต่อ กสทช.เกี่ยวกับ ระเบียบการประกอบกิจการ ในเรื่องค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและเงินสมทบกองทุนพัฒนา กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เพื่อสาธารณะ(USO) ที่ผู้ประกอบการมองว่า เป็นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนเป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ เวลาโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมที่สามารถโฆษณาได้เพียง 6 นาทีซึ่งน้อยเกินไปและผู้ประกอบการโทรทัศน์ ดาวเทียมไม่ได้มีรายได้จากค่าสมาชิกรับชมเหมือนเคเบิลทีวี และ กสทช.รวบรัดขั้นตอน และการออกประกาศต่างๆเกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงโดยไม่ได้นำความคิดเห็นจากการ รับฟังความคิดเห็นไปประกอบการออกประกาศอย่างเหมาะสม
ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจาย เสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า กสทช.จะนำข้อเสนอจากผู้ประกอบการไปพิจารณาบนพื้นฐานของกฏหมายและ กฏระเบียบการประกอบกิจการอย่างเหมาะสม โดยขณะนี้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ ดาวเทียมและเคเบิลทีวีได้เข้ายื่นขออนุญาตการประกอบกิจการแล้วจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบการรายเดิมสามารถยื่นขออนุญาตได้จนถึงวันที่ 16 ธ.ค.นี้ หลังจากนั้น กสทช.จะเร่งพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบกิจการภายในเดือนม.ค.56
พร้อมขอปรับหลักเกณฑ์ ที่ไม่เป็นธรรม
นายนิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) พร้อมผู้ประกอบการช่องรายการโทรทัศน์ดาวเทียม 90 ช่องรายการ เข้ายื่นเอกสารขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ดาวเทียมต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) และแสดงเจตจำนงว่าผู้ประกอบการภายใต้สังกัดสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียมจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของ กสทช.
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการได้เสนอข้อเรียกร้องต่อ กสทช.เกี่ยวกับ ระเบียบการประกอบกิจการ ในเรื่องค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและเงินสมทบกองทุนพัฒนา กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เพื่อสาธารณะ(USO) ที่ผู้ประกอบการมองว่า เป็นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนเป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ เวลาโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมที่สามารถโฆษณาได้เพียง 6 นาทีซึ่งน้อยเกินไปและผู้ประกอบการโทรทัศน์ ดาวเทียมไม่ได้มีรายได้จากค่าสมาชิกรับชมเหมือนเคเบิลทีวี และ กสทช.รวบรัดขั้นตอน และการออกประกาศต่างๆเกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงโดยไม่ได้นำความคิดเห็นจากการ รับฟังความคิดเห็นไปประกอบการออกประกาศอย่างเหมาะสม
ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจาย เสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า กสทช.จะนำข้อเสนอจากผู้ประกอบการไปพิจารณาบนพื้นฐานของกฏหมายและ กฏระเบียบการประกอบกิจการอย่างเหมาะสม โดยขณะนี้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ ดาวเทียมและเคเบิลทีวีได้เข้ายื่นขออนุญาตการประกอบกิจการแล้วจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบการรายเดิมสามารถยื่นขออนุญาตได้จนถึงวันที่ 16 ธ.ค.นี้ หลังจากนั้น กสทช.จะเร่งพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบกิจการภายในเดือนม.ค.56
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 926
ทุนไทย ฮุบกิจการตปท.มากเป็นอันดับ 3 ของโลก
เว็บไซต์บลูมเบิร์ก ระบุทุนไทยทุ่มฮุบกิจการต่างประเทศสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
เป็นรองญี่ปุ่นและจีน
เว็บไซต์บลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ในปีนี้ (พ.ศ.2555) กิจการของประเทศไทย
ได้ประกาศซื้อกิจการต่างชาติแล้ว 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.75 แสนล้านบาท
มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมากกว่า 12 ปีที่ผ่านมารวมกัน
ทำให้มหาเศรษฐีไทยติดอันดับนักซื้อรองจากญี่ปุ่นและจีน
บลูมเบิร์ก ระบุว่า บริษัทไทยกำลังฟื้นตัวจากเหตุมหาอุทกภัยปีที่ผ่านมา
และเริ่มนำเงินสดที่สะสมมาตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในเอเชีย เมื่อ 15 ปีก่อน ไปกระจายการลงทุน
โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (กลุ่มซีพี) จะซื้อหุ้นที่ธนาคาร HSBC ของอังกฤษ
ถือครองอยู่ในผิงอันชัวรันส์ บริษัทประกันชีวิตใหญ่ อันดับสองของจีน
ขณะที่กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ พยายามจะซื้อกิจการของเอฟแอนด์เอ็น ของสิงค์โปร์
ขณะที่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท.สผ.) เอาชนะ
บริษัท รอยัล ดัช เชลล์ ซื้อ โคฟ เอ็นเนอร์จี
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 928
WHA:ดับบลิวเอชเอฯ มั่นใจรายได้ปีนี้แตะ 2.2 พันลบ.
ตามเป้า,ปีหน้าโต 30%
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นWHA ผู้พัฒนาโครงการคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า
และ โรงงานระดับพรีเมี่ยม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 55 จะแตะระดับ
2.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย
เขาคาดว่า ในส่วนของรายได้ปี 56 จะเติบโตราว 30% จากปีนี้ โดยในปีหน้า
ตั้งงบลงทุนไว้ที่ราว 4 พันล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มพื้นที่คลังสินค้าอีก 2-3 แสนตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น ประเทศในเวียดนาม
และมาเลเซีย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะไปเมื่อใด ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า
ราคาหุ้น WHA ช่วงบ่าย ลบ 1.41% มาที่ 21 บาท--จบ--
ตามเป้า,ปีหน้าโต 30%
กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--รอยเตอร์
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นWHA ผู้พัฒนาโครงการคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า
และ โรงงานระดับพรีเมี่ยม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 55 จะแตะระดับ
2.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย
เขาคาดว่า ในส่วนของรายได้ปี 56 จะเติบโตราว 30% จากปีนี้ โดยในปีหน้า
ตั้งงบลงทุนไว้ที่ราว 4 พันล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มพื้นที่คลังสินค้าอีก 2-3 แสนตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น ประเทศในเวียดนาม
และมาเลเซีย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะไปเมื่อใด ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า
ราคาหุ้น WHA ช่วงบ่าย ลบ 1.41% มาที่ 21 บาท--จบ--
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 929
***หุ้นโค้งสุดท้าย...sentiment หุ้นไทยยังดี
ดัชนี SET วันนี้ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,339.88 จุด เพิ่มขึ้น +9.82 จุด หรือ +0.74%
ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36,750.97 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -247.23 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ +1,318.16 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +1,780.39 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -2,851.32 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า หากพิจารณาในแง่พื้นฐานถือว่าหุ้นไทยแพง โดยถ้าประเมินที่ดัชนี 1,350 จุด ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 15.4 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของตลาดช่วงนี้ ปัจจัยที่เป็นบวกจะเป็นปัจจัยภายในประเทศ หลังผ่านการเมืองในช่วง1-2สัปดาห์ก่อน ทำให้ภาพทุกอย่างดูเหมือนคลี่คลายขึ้น
ส่วนประเด็นต่างประเทศนั้น ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันนี้ คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์จีดีพี ขณะที่สหรัฐฯยังไม่เห็นทิศทางชัดเจนของ Fiscal cliff ซึ่งบางวันก็มีความหวังแต่บางวันก็หมดหวัง
นายเทิดศักดิ์ บอกอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนที่ซื้อสุทธิมากสุด มี 2 กลุ่ม คือสถาบันในประเทศ โดยที่ผ่านมาในเดือนพ.ย.ซื้อสุทธิประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่แล้วซื้อสุทธิ 5,500 ล้านบาท อีกกลุ่มคือบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งซื้อต่อเนื่อง 7 วันทำการ ราว 5,500 ล้านบาท ทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดฯถูกขับเคลื่อนมาจาก 2กลุ่มดังกล่าว ประเด็นนี้จึงดูว่า sentiment ไปได้ เพียงแต่ค่า P/E ค่อนข้างสูงกว่าปกติ ซึ่งต้องระมัดระวังในการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 40% พอร์ตหลักเป็น High dividend yield เช่น TNT-MCS-INTUCH-TICON-SNC ส่วนสัดส่วนที่เหลือแนะเทรดดิ้งตามแต่สถานการณ์
ดัชนี SET วันนี้ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,339.88 จุด เพิ่มขึ้น +9.82 จุด หรือ +0.74%
ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36,750.97 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -247.23 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ +1,318.16 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +1,780.39 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -2,851.32 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า หากพิจารณาในแง่พื้นฐานถือว่าหุ้นไทยแพง โดยถ้าประเมินที่ดัชนี 1,350 จุด ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 15.4 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของตลาดช่วงนี้ ปัจจัยที่เป็นบวกจะเป็นปัจจัยภายในประเทศ หลังผ่านการเมืองในช่วง1-2สัปดาห์ก่อน ทำให้ภาพทุกอย่างดูเหมือนคลี่คลายขึ้น
ส่วนประเด็นต่างประเทศนั้น ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันนี้ คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์จีดีพี ขณะที่สหรัฐฯยังไม่เห็นทิศทางชัดเจนของ Fiscal cliff ซึ่งบางวันก็มีความหวังแต่บางวันก็หมดหวัง
นายเทิดศักดิ์ บอกอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนที่ซื้อสุทธิมากสุด มี 2 กลุ่ม คือสถาบันในประเทศ โดยที่ผ่านมาในเดือนพ.ย.ซื้อสุทธิประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่แล้วซื้อสุทธิ 5,500 ล้านบาท อีกกลุ่มคือบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งซื้อต่อเนื่อง 7 วันทำการ ราว 5,500 ล้านบาท ทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดฯถูกขับเคลื่อนมาจาก 2กลุ่มดังกล่าว ประเด็นนี้จึงดูว่า sentiment ไปได้ เพียงแต่ค่า P/E ค่อนข้างสูงกว่าปกติ ซึ่งต้องระมัดระวังในการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 40% พอร์ตหลักเป็น High dividend yield เช่น TNT-MCS-INTUCH-TICON-SNC ส่วนสัดส่วนที่เหลือแนะเทรดดิ้งตามแต่สถานการณ์
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 930
แรงหนุนต่างชาติดันหุ้นไทยปิดบวก9.82จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดบวก9.82จุด แตะ1,339.88จุด
กลุ่มแบงก์นำตลาดฯ พร้อมรับแรงหนุน LTF-RMF, ต่างชาติ
วันนี้ (6 ธ.ค. 55) ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,339.88 จุด เพิ่มขึ้น 9.82 จุด(+0.74%)มูลค่าการซื้อขาย 36,750.97 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดภูมิภาคที่แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดบ้านเราได้แรงหนุนจากแรงซื้อที่เข้ามาที่หุ้นในกลุ่มแบงก์เป็นหลัก ทั้งนี้นักลงทุนคงมองตลาดฯยังมีโมเมนตัมที่จะขึ้นต่อได้ และพื้นฐานตลาดบ้านเราก็ยังดี จึงมีแรงซื้อเข้ามาหนุน โดยเฉพาะแรงซื้อจากกองทุน LTF-RMF รวมถึงแรงซื้อจากต่างชาติด้วย ส่วนปัจจัยนอกประเทศยังติดตามปัญหา Fiscal Cliff ต่อไป พรุ่งนี้ตลาดฯยังมีลุ้นขึ้นต่อ พร้อมให้แนวรับ 1,335 แนวต้าน 1,350 จุด
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,342.53 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,335.01 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 351 หลักทรัพย์ ลดลง 234 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 167 หลักทรัพย์
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่อยู่ในทิศทางของการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดบ้านเราได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อที่เข้ามาที่หุ้นในกลุ่มแบงก์เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งกลุ่มพลังงานบางตัวด้วย
ทั้งนี้ มองว่าเป็นการเล่นของนักลงทุนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่มองตลาดฯมีโมเมนตัมสามารถปรับตัวขึ้นไปต่อได้ และพื้นฐานของตลาดบ้านเราอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับ ตลาดฯได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุน LTF และ RMF รวมถึงแรงซื้อจากนัลงทุนต่างชาติ ซึ่งในช่วงเช้านักลงทุนต่างชาติก็ยังซื้ออยู่
สำหรับปัจจัยนอกประเทศยังคงต้องติดตามการเจรจาแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ต่อไป และรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯเดือนพ.ย.ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะออกมาชะลอตัวเป็นผลจากพายุแซนดี้ แต่เรื่องนี้มองว่าไม่น่าจะมีผลต่อตลาดฯ เพราะนักลงทุนรับทราบไว้อยู่แล้วว่าจะออกมาไม่ดี ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(7 ธ.ค.)นายเกียรติก้อง กล่าวว่า ตลาดฯยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ พร้อมให้แนวรับ 1,335 จุด แนวต้าน 1,350 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,126.83 ล้านบาท ปิดที่ 169.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,467.32 ล้านบาท ปิดที่ 194.50 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,381.06 ล้านบาท ปิดที่ 328.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,255.25 ล้านบาท ปิดที่ 216.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,216.11 ล้านบาท ปิดที่ 184.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท