จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 10 กุมภาพันธ์ 2549 15:43 น.
มหานครลอนดอน, 9 กุมภาพันธ์ 2549
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ผมเสียดายและเสียใจอย่างสุดซึ้งที่รัฐบาลเสียงข้างมากที่ล้นหลามในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งคงจะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต กำลังจะต้องอับปางลง
นอกจากความถูกผิดของเรื่องต่างๆในตัวของมันเอง สาเหตุของความเสียหายที่บานปลายขึ้น อาจจะเป็นเพราะกรรม 2 ตัวด้วยกันคือ
หนึ่ง ท่านนายกฯมีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่เห็นใครในสายตาและไม่ฟังใคร อาจจะหลงคิดว่าตนตั้งใจทำความดีและได้ทำความดียิ่งใหญ่แล้ว เหนือใครๆทั้งหมดทั้งสิ้นในแผ่นดิน ใครไม่เห็นด้วยล้วนแต่โง่เง่า มองโลกด้านเดียว
สอง บุคคลที่แวดล้อมรับใช้ใกล้ชิดท่านนายกฯ อาจ ป้อยอ สอพลอพลอย ทุกเช้าค่ำ ไม่กล้าหรือไม่รู้จักท้วงติงให้ความจริงต่อนายอย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังจองหองพองขน ยกตนข่มท่าน ใครวิพากษ์วิจารณ์นายอย่างไรก็มิได้ หาว่าเป็นพวกฝ่ายค้านที่จ้องจะล้มรัฐบาลอยู่ร่ำไป
ก่อนออกจากดอนเมืองตอนเที่ยงคืนวันที่ 5 มีลูกศิษย์โทรมาอ่าน นสพ.คมชัดลึกให้ฟังว่า ผมสัมภาษณ์ขับไล่ท่านนายกฯ เพราะท่านนายกฯได้กลายเป็นปัญหาแทนที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ ซึ่งก็สอดคล้องกับกระแสที่เรียกร้องอยู่ขณะนี้
แต่ความจริงผมมิได้ให้สัมภาษณ์ แต่ไปพูดให้สมาชิกสถาบันวิถีทรรศน์และศูนย์นวัตกรรม ม.รังสิตฟัง ผมเขียนหัวข้อคำบรรยายแจกเหมือนกับทุกครั้ง เพื่อจะช่วยให้ผู้สื่อข่าวนำไปรายงานได้อย่างถูกต้อง กลัวกลอนจะพาไปตามอุปาทาน
หัวข้อที่พูดคือ ทางออกของชาติในยามวิกฤต มีอยู่ 15 หัวข้อย่อย ที่เป็นหัวใจขีดเส้นใต้คือข้อ 12 เกี่ยวกับ Best Case Scenarioหรือทางออกที่ดีที่สุด กับข้อ 13 เชื่อมโยงกัน คือ ในหลวงหรือทักษิณจะเป็นผู้ตัดสิน มีข้อความเด่นว่า โอกาสที่ดีที่สุดที่ทักษิณจะต้องฉกฉวยก็คือขอพึ่งพระบารมี ขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชประชาสมาสัย
บรรดานักข่าวเป็นเด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจราชประชาสมาสัย ผมจึงยกตัวอย่างทางออกที่ดีที่สุดแบบที่หนึ่งมาอธิบายให้ฟัง คือ
นายกรัฐมนตรีลาออก-ตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียวคือมาตรา 201 เปิดโอกาสให้ตั้งนายกรัฐมนตรีราชประชาสมาสัยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอีก-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีมหากษัตริย์เป็นประมุข-เลือกตั้งทั่วไป
ผมจะอธิบายเพิ่มเติมในท้ายจดหมาย ขอพูดถึงเรื่องที่ท่านนายกฯอาจจะไม่อยากฟังที่สุดเสียก่อน
ก็ด้วยความหลง 2 ประการที่กล่าวมา ยังผลให้ท่านนายกฯบริหารประเทศผิดพลาด หนีออกจากจารีตประเพณีและหลักกฎหมายของแผ่นดิน จนท่านผู้รู้ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีฐานันดรและตำแหน่งสูงเป็นที่เคารพของบ้านเมืองออกมาประสานเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่า
หนึ่ง ท่านนายกฯไม่เข้าใจหรืออาจจะจงใจทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สำแดงความประมาทขาดความสำรวมเป็นทาสวจีกรรมที่จาบจ้วงล่วงเกินในหลวง ต่างกรรมต่างวาระ ที่สาหัสมากก็คือคำกล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ ทั้งๆที่มีพวกออกมาติติงทั่วเมือง อีกไม่นานนายกฯยังบังอาจพูดอีกว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่ท่านจะลาออก ก็คือขอให้ในหลวงมากระซิบ
คำพูดครั้งหลังนี้คนไทยรับไม่ได้ เพราะมีนัยลึกซึ้งหลายประการ ไม่ว่าจะตีความทางใดก็เสียหายทั้งนั้น แสดงว่านายกฯไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แสร้งพูดจาบจ้วงเพื่อท้าทายในหลวงหรือให้พวกไร้การศึกษาบูชานายกฯเข้าใจว่า ในหลวงยังสนับสนุนค้ำจุนนายกฯอยู่ ด้วยพระองค์ท่านยึดถือหลักประชาธิปไตย ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงตามพระราชหฤทัยได้ ซ้ำนายกฯยังปล่อยให้สถานีทีวีแพร่คำพูดดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทนที่จะรีบไปกราบพระบาทขอพระราชทานอภัย นอกจากนั้นนายกฯยังเฉยเมยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เมื่อมีพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ว่า คนที่พยักหน้าน่ะผิดที่มิได้แก้ไข คนที่ทำอะไรไม่อยู่กะร่องกะรอยนี่ ถ้าหากลาออกไป ก็ไม่มีความผิด ที่สำคัญยิ่งพระองค์กล่าวว่า ผู้ที่นั่งแถวหน้า รู้ว่าเป็นใคร ที่ตำหนิข้าพเจ้า บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวผิด พระเจ้าอยู่หัวทำไม่ดี
ผมมิได้ลอกคำต่อคำเพราะอยู่ในต่างประเทศ แต่รับรองว่าพลความไม่ผิด เพราะผมก็เหมือนกับคนไทยทั่วๆไปที่คิดว่าพระองค์ท่านตรัสถึงเพียงนี้ สมควรที่นายกฯจะรีบแก้ไขและคลานเข้าไปขอพระบรมราชวินิจฉัย
สอง ท่านนายกฯทำลายรัฐธรรมนูญ โดยกระทำการอุกอาจไม่คำนึงถึงหลักกฏหมายและจริยธรรม ก่อให้เกิดคอร์รัปชั่นคดโกงอย่างใหญ่โตกว้างขวาง ครอบงำสิทธิเสรีภาพของสื่อ รัฐสภาและองค์กรอิสระจนไม่อาจตรวจสอบ ความหลงใหลในภาวะผู้นำแบบซีอีโอในระบอบประธานาธิบดี ทำให้ท่านนายกฯรวบอำนาจเสมือนหนึ่งรัฐบาลเป็นบริษัทส่วนตัว ครอบงำทำลายคุณค่าผู้ร่วมงานตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีลงมาถึงตำรวจทหารศาลข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกระดับ แถมระบาดผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปถึงรากหญ้านายกอบต. ทำให้บรรดาซีอีโอโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนายกฯต่างก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตนเอง ทำลายมูลค่าเพิ่มของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อนร่วมงาน ขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งคุณเสนาะออกปากว่า นี่เป็นระบบทาส ขังผู้แทนไว้ในคุก ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผมจึงอธิบายต่อง่ายๆว่า ระบบนี้ถ้าเป็นระดับพรรคก็เรียกว่า รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า ระดับรัฐบาลเป็น รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสนายก สอดคล้องและส่งเสริมระบบบริหารที่ทำลายประเทศไทยมานานคือระบบ รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง ซึ่งบันดาลให้ต่างจังหวัดของเรากลายเป็นสังคมชั่วคราวไปหมด มีเจ้านายซีอีโอย้ายไปมาปกครองเหมือนลัทธิเมืองขึ้น จนประชาชนตกอยู่ใต้สามลัทธิอุบาทว์คือ ลัทธิตามอย่าง ตามน้ำ ตามพึ่ง ซึ่งท่านนายกฯเป็นเอกอัครุปถัมภก
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 3
ผมชื่นชมและขอบคุณท่านนายกฯ ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสังคมไทยมีวุฒิภาวะ ไม่ฆ่ากันตายในคืนวันที่ 4 กุมภา ส่วนการที่ท่านนายกฯจะตัดสินใจลาออกตามคำเรียกร้องหรือไม่ กรุณาอย่าไปอ้างในหลวง หรือแม้แต่ 19 ล้านเสียงก็ไม่สมควรอ้าง เพราะจะเป็นการให้การศึกษาผิดๆแก่ประชาชน ผิดทั้งตัวอย่างและทั้งทฤษฎี เพราะว่าแท้จริงนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือพิธีกรรมอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย เพื่อยืนยันความชอบธรรมอย่างที่ท่านนายกฯอ้างว่า มาตามกติกา แต่ความชอบธรรมดังกล่าวเป็นแค่กึ่งเดียว จะต้องมาต่อเติมให้ครบอีกกึ่งหนึ่งด้วยการอยู่ตามกติกาอีกด้วย ข้อหลังนี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยตัดสินว่าท่านนายกฯสอบตก ไร้ความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป องค์ประกอบของสังคมไทยที่ผมอ้างมิใช่คนพวกเดียวจำนวนหยิบมือเดียวอย่างที่สื่อของรัฐบิดเบือน แต่เป็นคนจำนวนมากต่างอาชีพต่างฐานันดร มิใช่มีแต่นักวิชาการ หากมีศิลปินแห่งชาติ อดีตเอกอัครราชทูต ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ วุฒิสมาชิก อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศูนย์นิสิตนักศึกษา ที่ลุกฮือขึ้นพร้อมกันโดยมิได้มีการจัดตั้ง และนับวันก็นับจะขยายตัวใหญ่โตขึ้น จนท่านนายกฯจะไม่สามารถบริหารราชการโดยราบรื่นได้
การอ้างเสียง 19 ล้านนั้นเป็นการบิดเบือนทฤษฎีตัวแทนในทางการเมือง ซึ่งตัวการมีอำนาจเปลี่ยนได้ทุกเมื่อเมื่อหมดความไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเลือกตั้งโดยตรงแบบประธานาธิบดีและผู้ว่าราชการมลรัฐของอเมริกา เมื่อเร็วๆนี้ผู้เลือกตั้งก็ลงคะแนนเสียงปลดหรือ recall ผู้ว่าการรัฐคาลิฟอร์ เนีย โดยไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ ประธานาธิบดีนิกสันก็ลาออกไปด้วยความบีบคั้นของประชามติด้วยเรื่องที่คนไทยเห็นว่าจิ๊บจ๊อย คือปิดบังความจริงและขัดขวางการสอบสวนคดีแอบเข้าไปจารกรรมสำนักงานหาเสียงของพรรคตรงกันข้าม
ยิ่งเป็นระบบรัฐสภาก็ยิ่งอ้างไม่ได้ว่าตนถูกเลือกมาโดยตรง ตัวอย่างเช่น แธตเชอร์ ผู้นำพรรคเข้าหลักชัยล้นหลามถึง 3 สมัยถูกลูกพรรคปลดออกกลางเทอมเพราะประชาชนชักมีปฏิกิริยาไม่ดี นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนับไม่ถ้วนที่ประสบชะตากรรมเช่นนี้
ปัญหาต่อไปคือมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้นำประเทศ ซึ่งถือกันว่าต้องสูงกว่าคนธรรมดาหรือแม้กระทั่งนักบุญ เพราะผู้นำสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า จึงมีคำพังเพยว่า ผู้ปกครองไม่ดีเหมือนมีห่าลงกิน บุคคลธรรมดากระทำผิดท่านให้สันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด นักบุญท่านให้สันนิษฐานว่าผิดจนกว่าพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์ สำหรับผู้ปกครองเพียงทำตนให้ต้องสงสัย ท่านให้ถือว่าผิด ต้องเอาตัวไปลงโทษ
ผมไม่อยากกล่าวย้ำถึงความผิดต่างๆที่มีผู้กล่าวหาท่านนายกฯ จะพูดถึงเรื่องซุกหุ้นเท่านั้น ในกรณีซุกหุ้นครั้งที่ 1 ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญมีมาตรฐาน ท่านนายกฯจะไม่มีทางรอด นอกจากจะอ้างทฤษฎีสัญญาประชาคม เพราะความผิดของท่านนายกฯนั้นเป็นสิ่งที่กฎหมายห้าม ตามหลัก Mala Prohibita คือห้ามแล้วยังกระทำ ต้องถือว่าผิด โดยไม่ต้องสืบเจตนาหรือตีความใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เรื่องบริษัทแอมเปิลริชที่ท่านนายกฯไปแอบตั้งไว้ต่างประเทศ และถูกวุฒิสมาชิกแก้วสรร อติโพธิ์และคณะร้องเรียนว่า ท่านนายกฯกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 209 นั้น ผมก็เห็นว่าเข้าข่าย Mala Prohibita 100% ท่านนายกฯไม่มีทางรอด
ที่เหลืออยู่ก็คือความสำนึกและมโนธรรมของท่านนายกฯเท่านั้น หากท่านเลือกทางออกที่ผมเสนอว่าดีที่สุด ก็คงจะดีที่สุดสำหรับท่านนายกฯและประเทศชาติด้วย สถาบันนายกฯเป็นสถาบันทรงเกียรติ ผมไม่อยากเห็นใครถูกขับอย่างกุ๋ย ผมอยากเห็นท่านนายกฯรักษาสถาบันและออกไปอย่างรัฐบุรุษเช่นเดียวกับพลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกชวลิต
ผมขออธิบาย Best Case Scenario คือขั้นที่ 1 นายกฯลาออก และ 2 ตั้งนายกฯใหม่ ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน อย่างน้อยก็ยังจะได้บุคคลที่เคารพนับถือท่านนายกฯ ไม่ทำอะไรที่รุนแรงแบบน้ำลดตอผุด เปิดทางให้ท่านนายกฯเว้นวรรคอย่างสงบ เมื่อนายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 201 เปิดทางให้บุคคลทั้งนอกและในสภา เราก็อาจจะใช้ขบวนการราชประชาสมาสัยเลือกนายกฯที่ไม่ต้องอ้างว่าเป็นนายกฯพระราชทาน แต่เป็นบุคคลที่ทุกฝ่ายรวมทั้งในหลวงยอมรับ จะได้เข้ามาบริหารและแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง โดยการมีส่วนร่วมจากพระมหากรุณา รัฐสภาและบุคคลทุกหมู่เหล่า โดยไม่ต้องทำลายตัวหนังสือที่เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ใช้วิธีเพิ่มเติมที่เรียกว่า extra constutional ตามจารีตประเพณืและไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เสร็จแล้วจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไปและเดินหน้าปฏิรูปการเมืองประเทศชาติอย่างจริงจังเสียที
ทำอย่างนี้ สังคมไทยจะได้แสดงวุฒิภาวะ สมกับเป็นประเทศเก่าแก่ มีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นต่อเนื่อง ไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง
ท่านนายกฯครับ เกือบสามสิบปีมาแล้ว ผมนั่งอยู่กับอาจารย์ป๋วย เมื่อท่านเขียนจดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึงจอมพลถนอม ผมเสียดายทีผู้นำและสังคมไทยมีอัตตาเกินไปที่จะฟังคำของอาจารย์ หาไม่เราอาจจะไม่มี 14 ตุลาคม และอาจจะพัฒนาการเมืองได้ราบรื่นกว่านี้
บัดนี้ โอกาสเป็นของท่านนายกฯแล้ว วันนี้ผมมานั่งเขียนถึงท่านนายกฯอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีนักนักคิดนักเขียนชั้นนำของโลกทุกยุคทุกสมัยมานั่งฝันที่จะสร้างสังคมในอุดมคติที่นี่ ผมจึงเขียนถึงท่านนายกฯด้วยความตั้งใจและภูมิใจยิ่งที่เกิดมาเป็นคนไทย
ผมอยากจะเล่าส่งท้ายว่าเดือนที่แล้ว เพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบ 50 ปีโทรมาหา เธอเป็นปัญญาชนชั้นนำของจุฬาฯ แตกฉานทั้งภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน เธอไปฟังและสนับสนุนสนธิทุกรายการ ทั้งๆที่สามีและลูกหลานไม่ชอบเลย แต่เธอเห็นว่าเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ เธอกลั้นสะอื้นอ่านกลอนของพันเอกมรว.เล็ก งอนรถ ให้ผมฟัง 2 บท ผมขอเปลี่ยนวรรคที่ 1 และขอมอบให้ท่านนายกฯและพี่น้องชาวไทยทุกคน
เจ้าเป็น ลูกเลิศ ของพ่อแม่ ก็จริงแหล่ แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูก เจ้าเป็นลูก อยุธยา ก็เหนือกว่า พ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสีย พ่อแม่ ในวันหน้า แต่จะเสีย อยุธยา หาได้ไม่
เพราะฉะนั้น จงรู้จัก รักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่ คู่ฟ้าดิน
ปราโมทย์ นาครทรรพ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 4
เปล่าคับท่าน ปกติอาจารย์ปราโมทย์เดินทางอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนเคยเป็นที่ปรึกษาองค์การสหประชาชาติ ภรรยาท่านเคยเป็นผ.อ.สำนักงานททท. กรุงลอนดอน และบุตรชายก็เคยเรียนที่นี่คับ ตัวท่านเองก็จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่อังกฤษน่ะคับ...ทราบมาว่าเดินทางบ่อยๆคับ..Jeng เขียน:อ่า คนนี้เขาหนีไปลอนดอนแล้วหรือ
หนีไปลอนดอนหมายความว่าอย่างไรคับท่าน...
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 6
5 5 5 โตะจายโหมะเลย :D
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 7
มีต่อ...ทักษิณ แบลร์ : ใครจะไปก่อนกัน
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 16 กุมภาพันธ์ 2549
ไปอังกฤษบ้านเก่าคราวนี้ผมเร่าร้อนชอบกลเพราะคิดถึงเมืองไทย ไม่ทันจะได้พักผ่อนหาความบันเทิงก็รีบแจ้นกลับ ได้ระบายความรู้สึกออกมาในจดหมายจากลอนดอน จะได้ทยอยพิมพ์เป็นชุดมาฝากท่านผู้อ่าน ได้ลงล่วงหน้าไปแล้ว 1 ฉบับคือจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภา ที่ผ่านมา
ก่อนจะลงมือเขียนวันนี้ พุธ 15 ก.พ. ตีห้าครึ่งฟังข่าวการประชุมพรรคไทยลักไทย (ออกเสียงตามหัวหน้าพรรค ซึ่งผมจะไม่ยอมแก้ไขจนกว่าท่านนายกฯ จะทำเสียก่อน เป็นวิธีประท้วงเล็กๆ น้อยๆ ของผู้รักภาษาไทยคนหนึ่ง) และการตบเท้ามาให้กำลังใจท่านนายกฯ เอาอีกแล้ว ท่านนายกฯ ทำให้ผมหวาดเสียว กลัวว่าท่านจะยุบกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะท่านพูดถึงเรื่องโหราศาสตร์ ดาวโน่นดาวนี่เป็นตับ ก่อนจะลงท้ายจบที่ดาวพุธ ที่ท่านยอมรับว่าจับใครแล้วจะเสียความนิยมเพราะไม่ระวังปาก
เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเร็วๆ นี้ ผมได้เขียนเรื่องดาวพุธฉุดสองสหาย : แบลร์กับทักษิณ ยังมิได้นำมาลงให้แฟนผู้จัดการอ่าน ไปลอนดอนคราวนี้มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นั่นหลายอย่างสดๆ ร้อนๆ ที่อาจจะเอามาอธิบายเปรียบเทียบกับการเมืองไทยได้ ด้วยมีความละม้ายคล้ายกัน ต่างก็แต่การแปลความหมายและเผยแพร่ความคิดความเข้าใจเรื่องนั้นๆ ในบ้านเรา มักจะอยู่ข้างอวิชชา ผิดพลาดฝังหัว เพราะมัวแต่จะเอาใจผู้มีอำนาจ ดังตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้เห็นในลำดับต่อไป
ก็ท่านนายกฯ อีกนะแหละครับ ที่อ้างข้างๆ คูๆ เพราะท่านอาจจะรู้ไม่จริงๆ หรือท่านอาจจะอยู่ในโลกประชาธิปไตยแบบฉาบฉวยนานไม่พอ ท่านจึงไม่เข้าใจมิติของสิทธิเสรีภาพในความคิดเห็น และประชาธิปไตยในฐานะที่เป็นวิถีชีวิต สร้อยอีกวงหนึ่งซึ่งคล้องติดในสร้อยสามสายที่ชื่อว่าประชาธิปไตย อีก 2 วงก็คือ ประชาธิปไตยในฐานะที่เป็นระบอบการปกครอง กับประชาธิปไตยนั้นฐานะที่เป็นอุดมการณ์
ความจริงผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก รู้แต่ว่าท่านนายกฯ หัวเสียออกมาโวยวายบรรดาครูบาอาจารย์รัฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าในสถาบันชั้นแนวหน้าของประเทศว่าไม่รู้จักประชาธิปไตย ดันไปประสานเสียงกับม็อบแล้วยังงี้จะสอนลูกศิษย์ (รวมทั้งลูกสาวของท่าน?) ได้อย่างไร ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิตและนักรัฐศาสตร์ระดับโลกคงจะอดรนทนไม่ได้ เลยศอกกลับให้คะแนนความรู้และความประพฤติทางประชาธิปไตยของท่านนายกฯ ว่าได้ F คือ สอบตก ท่านนายกฯ ก็ยังไม่เข็ดลองของต่อไปอีก เปิดสีข้างให้อาจารย์ตีเข่าซ้ำ ด้วยบทความเมื่อจันทร์ที่ 13 เรื่อง "การเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกขัดกับหลักประชาธิปไตยตรงไหน" โต้ที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าอาจารย์สอนประชาธิปไตยแต่จะมาทำลายประชาธิปไตยเสียเอง
ผมเคยอยู่ในอังกฤษแบบยาวๆ 2 สมัยห่างกัน 40 ปี เป็นสมัยที่พรรคแรงงานครองอำนาจทั้ง 2 ครั้ง เคยเขียนมาเล่าให้แฟนคิดถึงเมืองไทยครั้งกระโน้นฟังว่า เชื่อไหมป้ายโฆษณาท้ายรถเมล์กลางมหานครลอนดอนที่ฮือฮาที่สุด คือรูปหน้านายกรัฐมนตรีฮาโรลด์ วิลสันในวงกลมดาร์ตบอร์ดพวกกระเป๋าปาเป้าเล่นเวลารถหยุดในโรง พร้อมทั้งมีตัวหนังสือเบ้อเริ่มว่า Wilson Must Go : วิลสันออกไป
คนไทยถูกสอนผิดๆ ว่าการเลือกตั้งชนะเป็นความชอบธรรมเด็ดขาดใครจะมาแตะต้องไม่ได้ตลอดอายุของรัฐบาล ผมเคยเขียนมาหลายหนแล้วว่าทั่วโลกประชาธิปไตยหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมไปอังกฤษเที่ยวนี้กระแสเรียกร้องให้แบลร์ ลาออกดังกระหึ่มไปทั้งเกาะอังกฤษ แม้แต่ในการประชุมใหญ่ของพรรคตนเองสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าเป็นมวยก็ต้องเรียกว่าถูกนับสั้นนับยาวอีกแล้ว นสพ.ซันเดย์ไทม์ฉบับอาทิตย์ที่ 12 ก.พ. พาดหัวรองหน้าหนึ่งว่า ประชาชนไล่ให้แบลร์รีบๆ ออก (www.timesonline.co.uk/sunday-times) ผู้ชำนัญภาษาอังกฤษไทยลักไทยโปรดช่วยพากันไปอ่านดู จะเห็นข่าวที่ยืนยันว่าเรื่องที่ผู้เฒ่าเสนาะพูดนั้นล้วนแต่ถูกต้องทั้งสิ้น ผู้แทนของอังกฤษมีสิทธิลงคะแนนในสภาค้านมติพรรคของตนโดยไม่มีความผิดและบ่อยๆ ตามมโนธรรมของตน
ท่านผู้อ่านคงสังเกตว่าผมเอาศัพท์มวยมาเขียนเรื่องการเมือง จริงเสียด้วย ภาษาดวง ภาษามวย กับภาษาการเมือง นั้นมีความใกล้เคียงและบางครั้งใช้แทนกันได้ มวยฝรั่งหรือมวยสากลนั้นเขาเรียกว่ามวยสไตล์เวสมินสเตอร์ คำว่า Westminster เป็นคำเรียกรัฐสภาและระบบรัฐสภาของอังกฤษ เหมือนกันเปี๊ยบเลย ผมเห็นจะต้องขอเปลี่ยนศอกกับเข่าของอาจารย์ชัยอนันต์มาเป็นหมัดฮุ๊กกับอัปเปอร์คัทแทน เดี๋ยวท่านนายกฯ จะหาว่าผิดกติกา
ผมรู้สึกมหัศจรรย์เหมือนกัน ที่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ทำให้ทั้งนายกฯ แบลร์และนายกฯ ทักษิณถูกนับ 6 นับ 8 อยู่ในเดือนนี้ และ 6 เดือนที่ผ่านมา ลักษณะความเป็นไปและหัวข้อเรื่องช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน ยกเว้นเรื่องคอร์รัปชัน เรื่องนี้แค่ 5% ของความอื้อฉาวของเรารับรองว่าแบลร์ม้วนเสื่อไปนานแล้ว ไม่อึดเหมือนมวยไทยหันมาต่อยสากลอย่างทักษิณ ลูกพายัพ
เอานะครับ อย่าถือสากันเลย ไทยเราเป็นชาติชอบสนุก ผมเลยขอเล่าเรื่องสนุกๆ สู่กันฟัง เรื่องความแปลกประหลาดและคล้ายคลึงกันของวันเดือนปีเกิดและดวงของผู้นำโลกจำนวนหนึ่ง
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 8
ผู้นำโลก 3 คนนี้มิใช่ใครอื่น ในสำนวนเหมา ก็คือ "สามสหายกระหายสงคราม" บุช แบลร์ กับ โฮเวิร์ด นั่นเอง
ผมขอเล่าความหมายของหมายเลข 6 ตามคติทางคริสต์เสียก่อน
เลขหกสามตัวหรือ 666 นี้ถือว่าเป็นเลขมหาอุบาทว์ในศาสนาคริสต์ เป็นเลขประจำตัวของผีห่าซาตานที่จะคอยพร่าผลาญพระเยซูคริสต์และสันติสุขของชาวโลก
ประธานาธิบดีบุช เกิดวันที่ 6 กรกฎาคม 1946
นายกรัฐมนตรีแบลร์เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม 1953
นายกรัฐมนตรีโฮเวิร์ด เกิดวันที่ 26 กรกฎาคม 1939
สรุปว่า วันเกิดของทั้งสามลงท้ายด้วยเลข 6 ทุกคนจึงรวมกันได้เป็น 666 พอดี ทำให้ทั้งสามติดกันถึงไหนถึงกัน เกิดความสยดสยองสะพรึงกลัวน่าเป็นห่วงสันติภาพของโลก และความสงบร่มเย็นของศาสนา
นายกฯ ทักษิณ เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1949 วันเดียวเดือนเดียวกับโฮเวิร์ด เดือนเดียวกับบุช วันเดียวกับแบลร์ ลงท้ายด้วยเลข 6 เหมือนกันทุกคน อัศจรรย์จริงๆ
ทีนี้เราลองมาดูเรื่องของดวงกับการเมืองของท่านนายกฯ ทั้งสอง คือ แบลร์กับทักษิณ ที่กำลังอยู่ใต้อิทธิพลดาวพุธ จะเห็นวิกฤตปัญหาและความเสื่อมในทางการเมืองที่คล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ดวงของทั้งสองคนคล้ายกันจริงหรือ เอาจริงๆ แล้วเราไม่ทราบ เพราะไม่รู้ว่าแบลร์ผูกดวงและแก้ดวงโดยการตะลอนไปเมืองนอกหรือไม่ แต่เราทราบว่า ชีวิตการเมืองของทั้งสองท้ายคล้ายๆ กัน หรือว่าจะเป็นอิทธิพลของเลข 6 ท้ายวันเกิด
มองความสำเร็จก่อน ทั้งคู่เป็นดาวรุ่งพุงแรง สามารถคว้าตำแหน่งผู้นำประเทศได้ในเวลาอันรวดเร็ว ใช้วลีการตลาดหาเสียงเหมือนๆ กัน ของแบลร์คือ "New Labour, New Britain" ของทักษิณคือ "คิดใหม่-ทำใหม่" ทั้งคู่นำพรรคของตน ซึ่งมิใช่พรรครัฐบาลเข้าสู่หลักชัยด้วยที่นั่งและคะแนนเสียงถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ และมี ส.ส. นำน้ำใหม่ทั้งชายหญิงเข้าสู่สภาเป็นจำนวนมาก แบลร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคโดยมิได้คาดฝัน แต่ทักษิณยอดกว่า บวชวันเดียวได้เป็นทั้งสามเณร ทั้งพระ และทั้งสมภารพร้อมๆ กัน
แต่จู่ๆ โชคชะตาก็มากลับตาลปัตร เมื่อแบลร์กำลังจะผ่านคาบแรกของสมัยที่สาม และทักษิณคาบแรกของสมัยที่สอง ที่ทั้งคู่เคยคาดหวังไว้ว่าจะยิ่งยงต่อไปอีกถึงสมัยหน้า กลับมาถูกพนันว่าจะอยู่รอดครบเทอมหรือไม่เสียแล้ว ทักษิณก็เหมือนกัน มีลางบอกเหตุหลายอย่าง
1. ทักษิณแพ้เลือกตั้งซ่อม แบลร์แพ้เสียงในสภา เพราะลูกพรรค 49 คนแหกคอกไปลงคะแนนร่วมกับฝ่ายค้านและกำลังจะแพ้อีกครั้งใหญ่เรื่องการโอนอำนาจการศึกษา อาทิตย์ที่แล้วพรรคแบลร์พ่ายการเลือกซ่อมยับในเขตของตัวเก็งนายกฯ คนใหม่
2. อื้อฉาวเพราะเครื่องบิน ทักษิณถูกถล่มและวิพากษ์วิจารณ์ 3-4 เรื่องซ้อน สุดท้ายด้วยเรื่อง No Cost Air คือ C130 ขนเพื่อนไปงานวันเกิดน้องสาว เรื่องซีทีเอ็กซ์และสนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องThailandOne หรือเครื่องบินประจำตัวนายกรัฐมนตรี และเรื่องแย่งงบซ้ำบังอาจใช้เครื่องบินราชพาหนะ สำหรับแบลร์ก็ถูกพรรคของตนเองเบรกไม่ให้ซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งที่ล้อกันว่าเป็น Blair Force One เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความจำเป็นที่จะใช้เครื่องบินประจำตำแหน่งเสมือนสมเด็จพระราชินี
3. เกิดวิกฤตศรัทธา ถูกจับโกหกหรือถูกหาว่าพูดไม่จริง สำหรับแบลร์ก็ด้วยเรื่องสงครามอิรัก สำหรับทักษิณก็ว่าด้วยคำถามที่ไม่ยอมตอบใน "ปรากฏการณ์สนธิ" ทุกๆ เย็นวันศุกร์ของเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และปากเป็นกาลกิณีแสนสาหัสเรื่องในหลวง
4. ลูกหลงเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา ของทักษิณด้วยการเดินขบวนใหญ่ของครู 3 ระลอกแล้วยังไม่จบ ต้องถูกบีบให้แก้กฎหมายอย่างลวกๆ เป็นเหตุบานปลายให้ครูมาต่อขบวนปรากฏการณ์สนธิพอดี แบลร์ก็โดนเกี่ยวกับการปฏิรูปโรงเรียนเช่นเดียวกัน ต่างกันก็แต่ว่าของแบลร์เป็นเรื่องร้อนที่สุดในสภา ที่มาจากส.ส.ทั้งในพรรคตนเอง แต่จะอยู่รอดได้เพราะฝ่ายค้านเข้ามาช่วย หากพลิกไม่สำเร็จอาจจะร้ายแรงถึงกับตกเก้าอี้ทันที และที่ต่างกันอีกประการหนึ่งก็คือ รัฐของเราขี้เกียจ เอาแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเกือบ 5 ปี ถ้าปัญหาไม่จี้ก้น ครูไม่เดินขบวนก็ไม่ทำอะไร แต่ของแบลร์เขาถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะนโยบายสำคัญที่สุด 3 อันดับแรกของแบลร์คือ การศึกษา การศึกษา การศึกษา แบลร์จึงต้องกล่าว Speech อย่างยืดยาวเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2548 แสดงถึงวิสัยทัศน์ ทิศทาง ความจำเป็นและวิธีการที่จะปฏิรูปโรงเรียน และรัฐบาลก็ออก White Paper เรื่องการปฏิรูปนี้ออกมาเล่มหนาปึกมีสถิติข้อมูลและทัศนะเปรียบเทียบเพียบ ในขณะที่ของเราแทบจะไม่มีอะไรเลย มีแต่วาทะ อุปาทาน อุดมการณ์หรือผลประโยชน์ดุ้นๆ
5. เรื่องคะแนนเสียงตกต่ำและโพลลดลงอย่างฮวบฮาบ โพลล่าสุดของแบลร์ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีเสียงต้องการให้ออกถึง 41% ของทักษิณก็ชัดแล้วว่าลืมเสียเถอะสมัยที่ 3 ทั้งสองจะต้องประคองตัวให้ผ่านวิกฤตดาวพุธเดินถอยหลังทับ ระวังปากให้ดี ฯลฯ
ใครที่ชอบพนันต้องคอยดูอย่ากะพริบตา ของแบลร์จะคับขันสัปดาห์นี้ส่วนของทักษิณระหว่างนี้ถึงเมษายน แต่ต้องผ่านวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ไปให้ได้เสียก่อน
ใครจะไปก่อนกันเอ่ย แบลร์หรือทักษิณ
-
- Verified User
- โพสต์: 84
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 9
เจ้าเป็น ลูกเลิศ ของพ่อแม่ ก็จริงแหล่ แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูก เจ้าเป็นลูก อยุธยา ก็เหนือกว่า พ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสีย พ่อแม่ ในวันหน้า แต่จะเสีย อยุธยา หาได้ไม่
เพราะฉะนั้น จงรู้จัก รักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่ คู่ฟ้าดิน
นายทักษิณ สร้างชินจนยิ่งใหญ่ โดยใช้โอกาสที่ตนได้รับ
นายทักษิณ ได้ชื่อว่า CEO ที่ประสพความสำเร็จ
หากนายก ใช้ความสามารถเดียวกัน ปลุกปั้นชาติให้ยิ่งใหญ่ดั่งชิน โดยใช้โอกาสที่ตนได้รับ
นายก ก็จะได้ชื่อว่า ผู้นำชาติ ที่ประสพความสำเร็จ
นายก คงจะคำนึงถึงคำที่ว่า ... ของรัฐไม่มีเจ้าภาพ ของแผ่นดินไร้คนเอาใจใส่
ดังนั้น สำนึกเป้าหมายของ นายก จึงยังอยู่ต่ำ เพียงตำแหน่ง CEO
หรืออาจจะไม่เข้าใจในความต่างของ CEO กับ ผู้นำชาติ
บ้านหลังนี้มีพ่อที่รักลูกทุกคนเท่ากัน พ่อก็หวังพึ่งให้พี่ชายดูแลน้องๆทุกคน
มีพี่ชายคนโตที่เก่ง
พี่ชายคนเก่ง ต้องการให้บ้านนี้ร่ำรวย ทัดเทียมเพื่อนบ้าน
จึงบอกให้น้องที่ชอบทำสวน ออกไปค้าขาย
จึงบอกให้น้องที่ชอบศิลปะ ออกไปค้าขาย
จึงบอกให้น้องที่ชอบธรรมะ ออกไปค้าขาย
พี่ชายจึงเป็น CEO ใหญ่ วัดคุณค่าของน้องๆ ตามยอดขาย
บ้าน เปลี่ยนเป็น บริษัท
ความผูกพัน เปลี่ยนเป็น การแข่งขัน
แบ่งปัน เปลี่ยนเป็น โบนัส
ความสุข ถูกวัดจากรอยยิ้ม จากยอดเงินที่เพิ่มขึ้น
... บ้านเรา เปลี่ยนไปแล้ว
เต่าโบราณในกะลา ... อยู่ในบึงใหญ่ [/code]
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 10
[quote="bsk(มหาชน)"]
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 11
ต่อ..จดหมายจากนายเข้มเย็นยิ่ง ถึงนายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ
เรียน พี่ทำนุ ที่รักใคร่นับถือเป็นส่วนตัว
สักสองปีเศษก่อนที่ผมจะได้จากหมู่บ้านไทยเจริญที่รักของเรามาอยู่ห่างไกล พี่ทำนุในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ได้จัดการสองอย่างที่ผมและใครๆ เห็นว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับหมู่บ้านเรา โดยเฉพาะสำหรับอนาคตของชาวไทยเจริญ คือได้จัดให้มีกติกาหมู่บ้านเป็นข้อบังคับสูงสุด แสดงว่าต่อไปนี้ชาวบ้านไทยเจริญ จะสามารถยึดกติกาหมู่บ้าน เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ซึ่งดีกว่า และทำให้เจริญกว่าที่จะปกครองกันตามอำเภอใจของคนไม่กี่คน กับเปิดช่องให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองหมู่บ้านได้โดยสันติวิธี นั่นอย่างหนึ่ง กับอีกอย่างหนึ่งพี่ทำนุได้อำนวยให้ชาวบ้านเลือกกันขึ้นมาเป็นปากเสียงแทนกัน ผู้ได้รับเลือกกันก็รวมกันเป็นสมัชชาหมู่บ้าน มีอำนาจหน้าที่พิจารณาระเบียบข้อบังคับต่างๆ สำหรับหมู่บ้านของเรา โดยถือหลักประชาธรรม คือธรรมเป็นอำนาจ-ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม-และธรรมเกิดจากประชาชน รวมความว่าอำนาจสูงสุด มาจากธรรมของประชาชน ในหมู่บ้านไทยเจริญทั้งหมู่
เมื่อกติกาหมู่บ้านถือกำเนิดมาแล้วก็ดี และเมื่อได้มีสมัชชาหมู่บ้านขึ้นแล้วก็ดี ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ว่ากติกาทุกข้อถูกใจผม และไม่แน่ใจว่าสมาชิกของสมัชชาทุกคนเป็นคนดี แต่ผมก็ยังนิยมยินดีในท่านผู้ใหญ่บ้านทำนุ เกียรติก้อง ที่ได้อุตสาหะสร้างสรรค์ให้มีกติกา ดีกว่าไม่มี และให้มีสมัชชา ดีกว่าไม่มี
บัดนี้ อนิจจา ผมจากหมู่บ้านไทยเจริญมาอยู่ไกลไม่ได้นาน ได้ทราบข่าวว่าพี่ทำนุเปลี่ยนใจโดยกะทันหัน ร่วมกับคณะของพี่ทำนุบางคน ประกาศเลิกล้มกติกาหมู่บ้าน และเลิกสมัชชาเสียโดยสิ้นเชิง หวนกลับไปใช้วิธีปกครองหมู่บ้านตามอำเภอใจ ของผู้ใหญ่บ้านกับคณะ ซึ่งในกรณีนี้ก็ยังคงเป็นพี่ทำนุ กับรองผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชุดเดิมนั่นเอง เพียงแต่มีน้อยคนลง
เหตุผลต่างๆ ที่พี่ทำนุกับคณะแถลงให้ทราบว่า เป็นอนุสนธิแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผมได้พิจารณาใคร่ครวญ และทบทวนโดยละเอียดแล้ว กับได้ใช้เวลาพิจารณาด้วยว่า เมื่อได้เลิกกติกาหมู่บ้านแล้ว ข้อต่างๆที่ร้ายอยู่นั้น จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้กลับกลายเป็นดีไปได้หรือไม่ ก็ยังไม่เห็นมีท่าทีว่าจะบันดาลให้กลับกลายไปอย่างที่อ้าง บางเรื่องกลับร้ายมากขึ้นด้วยซ้ำ เช่น เรื่องความไม่สงบตามชายหมู่บ้านของเรา เป็นต้น ผมสังเกตเรื่องจากที่ห่างไกลแล้วก็ยังไม่พอ ยังไม่แน่ใจ เมื่อมีโอกาสผมก็มาแวะที่บ้าไทยเจริญสองครั้งเพื่อดูด้วยตา และฟังด้วยหู ผลลัพธ์ยังยืนยันตามความเห็นเดิมนั่นเอง เพราะปัญหาความสงบเรียบร้อยก็ดี ภัยจากภายนอกหมู่บ้านก็ปัญหาเศรษฐกิจก็ดี ปัญหาสังคมก็ดี ปัญหาเยาวชนก็ดี ปัญหาเหล่านี้น่าจะแก้ไขได้ทั้งสิ้นถ้าได้ทำกันจริงจัง โดยไม่ต้องเลิกกติกาหมู่บ้าน ถ้าจำเป็นจริงๆ จะยุบสมัชชาเสียให้เลือกกันมาใหม่ก็ทำได้ ข้อสำคัญที่สุดก็คือการจำกัดสิทธิของมนุษย์ การห้ามชาวบ้านไทยเจริญมิให้ใช้สมองคิด ปากพูด มือเขียนโดยเสรี และมิให้ประชุมปรึกษาเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการปกครองหมู่บ้านที่รักของเราทุกคนโดยเสรีนั้น กลับเป็นการตัดหนทางมิให้หมู่บ้านไทยเจริญ ได้รับประโยชน์จากสมองอันประเสริฐของชาวบ้าน ทั้งในฐานปัจเจกชน และในฐานส่วนรวมด้วย
พี่ทำนุอาจจะแย้งผมได้ว่า เท่าที่มีการเปลี่ยนแปลงมา ก็เห็นแต่เจ้าหน้าที่หมู่บ้าน และประชาชนชาวบ้านอนุโมทนาสาธุกันโดยทั่วไป จะมีเสียงคัดค้านบ้างก็เพียงคนโง่ๆไม่กี่คน ผมขอเรียนด้วยความเคารพว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านนั้น เขาได้ประโยชน์จากการเลิกสมัชชา ไม่ต้องยุ่งหัวใจกับสมาชิกสมัชชา พูดกันง่ายๆคือ ไม่มีใครขัดคอ ส่วนชาวบ้านนั้น พี่ทำนุก็ทราบดีว่า ชาวบ้านไทยเจริญส่วนใหญ่ถือคาถารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ผมขอยืนยันว่า ผมเองก็เคยเป็นหัวหน้างานมาแล้ว จะทำถูกทำผิดหาคนแย้งหาคนโต้เถียงได้ยาก เพราะเขารู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดีทั้งนั้น ส่วนที่ว่ามีเสียงคัดค้านแต่เพียงน้อยนั้นก็จริง แต่จริงเพราะเหตุว่ายามพกอาวุธของพี่ทำนุและคณะคอยปรามอยู่ตั้งแต่ต้นมือแล้ว โดยใช้ความเกรงกลัวเป็นเครื่องบันดาลให้มีเสียงคัดค้านอ่อนลงๆ ถ้าอยากทราบชัดว่าชาวบ้านมีความจริงใจอย่างไร ก็ลองเลิกวิธีขู่เข็ญทำให้หวาดกลัวเสียเป็นไร
อย่างไรก็ตาม ที่ผมบันทึกมา ก็หาได้ที่ประสงค์จะกล่าวแย้งพี่ทำนุเป็นสำคัญไม่ ผมใคร่จะเรียนเสนอข้อที่พี่ทำนุกับผมเห็นพ้องต้องกันเป็นจุดเริ่มต้น นั่นคือ เราจะพัฒนาบ้านไทยให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 12
การพัฒนานั้นต้องพิจารณาให้สมบูรณ์ทุกด้าน จึงจะเกิดประโยชน์จริงจัง ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านความสงบเรียบร้อย ด้านศีลธรรม ด้านปัญญาและการศึกษาและด้านการปกครองเป็นอาทิ
ในด้านการปกครอง ตั้งแต่ผมรู้จักพี่ทำนุจนรักใคร่นับถือเป็นส่วนตัวมากว่ายี่สิบปี ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพี่ทำนุ (และคณะ) นิยมเสรีประชาธรรม (ฝ่ายแดงจำกัดเสรีประชาธรรม เราเคยอ้างอยู่เสมอซึ่งก็เป็นความจริง) จึงได้อุตส่าห์ใช้เวลา ความพินิจพิจารณา สมอง และเงินทองของหมู่บ้านร่วมสิบปี ทำกติกาของหมู่บ้านขึ้นมา ที่พี่ทำนุ (และคณะ) นิยมหลักประชาธรรมเสรีนั้น ผมก็นิยมด้วยอย่างจริงใจ ทุกวันนี้ในหมู่บ้านที่เจริญทั้งหลาย เขามักจะสนใจกับสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ซึ่งหากเป็นพิษ ก็จะเป็นภัยแก่ภัยแก่มนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง เขาเกรงผลร้ายของวิทยาศาสตร์เมื่อเรานำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น กลิ่นไอน้ำมันรถยนต์ ควันดำจากโรงงาน การใช้สารเคมีในทางที่เป็นพิษแก่ลุ่มน้ำและดินป่าฟ้าเขา เป็นต้น
สำหรับหมู่บ้านไทยเจริญของเราก็มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษอยู่เป็นอันมาก แต่ผมว่าอะไรก็ไม่ร้ายเท่าพิษของความเกรงกลัว ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจขู่เข็ญ และการใช้อำนาจโดยพลการ (แม้ว่าจะใช้ในทางที่ถูก) เพราะความเกรงกลัวย่อมมีผลสะท้อนเป็นพิษแก่ปัญญา เมื่อปัญญาเป็นพิษแล้ว
ในบางกรณีก็กลายเป็นอัมพาตใช้อะไรไม่ได้ บางกรณียิงร้ายไปกว่านั้น ปัญญาเกิดผิดสำแดง อัดอั้นหนักๆ เข้าเกิดระเบิดขึ้น อย่างที่เกิดมีมาแล้วในหมู่บ้านอื่นๆหลายแห่ง ทุกวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์แต่ละวันก็พบโดยทั่วไป ภัยจากภายนอกหมู่บ้านไทยเจริญนั้น ผมเห็นด้วยกับพี่ทำนุว่าต้องขจัดให้สิ้นไป แต่ถ้าหมู่บ้านของเรามีแต่การใช้อำนาจ ไม่ใช่สมองไปในทางที่ควรเช่นที่บรรพบุรุษไทยเราเคยใช้มา จนสามารถรักษาเอกราชได้มาช้านาน เมื่ออำนาจทำให้กลัว ทางชีววิทยาท่านว่าไว้ว่าเส้นประสาทบังคับให้หลับตาเสีย และเวลาหลับตานั้นแหละ เป็นเวลาแห่งความหายนะ ปรปักษ์ของเราจะถือโอกาสเราหลับตาเมื่อใด เขาได้เปรียบเมื่อนั้น
อีกประการหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมาก คือพี่ทำนุก็หกสิบเศษ ผมก็ใกล้จะหกสิบเข้าไปทุกที ต่างก็จะลาโลกกันไปในไม่ช้า ผมก็มีความทะเยอทะยานเช่นเดียวกับพี่ทะนุ ที่จะทิ้งโลกและหมู่บ้านไทยเจริญไว้ให้ลูกหลาน เป็นโลกและหมู่บ้านที่น่าอยู่ มีความสงบสุขเป็นไทยสมชื่อ และเจริญสมหวัง ปัจจัยสำคัญของความเป็นไทยและความเจริญ คือ ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในหมู่บ้านของเราโดยสันติวิธี และเป็นไปตามกติกา ถ้าเราทำได้เพียงเท่านี้ แม้จะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้มากนัก ผมว่าพี่ทำนุจะมีบุญคุณแก่เยาวชนของเราอย่างเหลือหลาย
บางคนอาจจะตั้งปัญหาว่า เยาวชนทุกวันนี้ควรหรือที่จะส่งเสริมให้มีสิทธิละเสรีภาพตามกติกาหมู่บ้าน น่าสนับสนุนละหรือ ทุกวันนี้ความประพฤติของเยาวชนมักจะเลวทรามน่าหมั่นไส้ ผมเองก็หมั่นไส้อยู่หลายครั้งหลายหน แต่พี่ทำนุเองก็มอบหมายให้ผมเกลือกกลั้วมากับเยาวชนเป็นเวลาหลายปี เมื่อผมพิจารณาด้วยความเที่ยงธรรมแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าความภาคภูมิใจในเยาวชนของหมู่บ้านไทยเจริญเรา แทนที่จะรู้สึกหมั่นไส้ เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัว และคารวะพวกเรามากกว่า และผิดกับที่เห็นมาในหมู่บ้านอื่นๆ ผมเห็นใจเยาวชนที่เขาได้รับการสั่งสอนจากพวกเรา ให้รักหลักประชาธรรม (ซึ่งก็ถูกต้อง) ให้รักและนิยมเสรีภาพในการคิด การพูด การเขียน และการสมาคม (ซึ่งก็ถูกต้องปรากฏในกติกาหมู่บ้านตลอดมาทุกกติกา) และเขานำเอาคำสั่งสอนของพวกเรานั่นเองไปประทับหัวใจของเขา พอหมู่บ้านมีกติกาขึ้น เขาก็ดีใจ เพราะเป็นไปตามความคาดหวังของเขาซึ่งตรงกับคำสั่งสอนของพวกเรา แต่กติกามีชีวิตอยู่ไม่นาน ก็ถูกปลิดไปโดยฉับพลัน และไม่มีอะไรให้ความหวังได้แน่นอนว่าจะคืนชีพกลับมากำหนดเมื่อใด ใครเล่าจะไม่เสียดาย ใครเล่าจะไม่ผิดหวัง เพราะเขาคาดหวังว่าจะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ไทยเจริญตามกติกาของหมู่บ้าน แต่กระนั้นก็ตาม เยาชนของเราก็ยังตั้งอยู่ในความสงบ พยายามข่มความกลัวบ้างเมื่อพูดจาขอร้องแก่พวกเรา เพราะเขายังเชื่อในเจตนาอันดีของคนปูนเรา อย่างนี้จะไม่เอ็นดูจะไม่เมตตากรุณา และภาคภูมิใจในเยาวชนของเราได้อย่างไร
ด้วยเหตุผลนานาประการที่ผมได้เรียนมาข้างต้น และด้วยความรักใคร่เคารพในพี่ทำนุ ผมจึงขอเรียนวิงวอนให้ได้โปรด เร่งให้มีกติกาหมู่บ้านขึ้นเถิดโดยเร็วที่สุด ในกลางปี 2515 นี้ หรืออย่างช้า หรืออย่างช้าก็อย่างให้ข้ามปีไป โปรดอำนวยให้ชาวบ้านไทยเจริญอย่างเหลือคณนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคตกาล
ด้วยความเคารพนับถือ
เข้ม เย็นยิ่ง
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 13
ประชาธิิปไตยอำพราง
โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 20 กุมภาพันธ์ 2549 01:24 น.
การโต้เถียงระหว่างนายกรัฐมนตรีกับฝ่ายต่อต้านในขณะนี้วนเวียนอยู่กับการอ้างประชาธิปไตย ฝ่ายต่อต้านอ้างประชาธิปไตยในแง่สิทธิเสรีภาพ และความชอบธรรมที่วัดจากการปฏิบัติงาน ส่วนนายกรัฐมนตรียืนกรานว่า เมื่อได้รับการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงมากถึง 19 ล้านเสียงแล้ว ก็มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อจนครบเทอม โดยพูดทำนองว่าจะไม่ยอมให้กุ๊ยมาขับไล่
เรื่องคะแนนเสียง 19 ล้านเสียงนั้น เวลานี้ยังไม่เป็นข้อยุติว่าเป็นคะแนนบริสุทธิ์สักกี่ล้าน เพราะ กกต.ยังคงเก็บบัตรเลือกตั้งที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีหมายเลขกำกับอีกมากมาย
คนในพรรคไทยรักไทยบอกกับผมว่า การเลือกตั้งครั้งที่แล้วมา ทางพรรคได้ให้นายทหารระดับสูงผู้หนึ่งทำบัตรเลือกตั้งปลอมขึ้นมามากมาย นักปกครองคนหนึ่งสารภาพว่า ได้รับคำสั่งให้ทำทุกวิถีทางในการช่วยผู้สมัครพรรคไทยรักไทย
ดังนั้น การอ้างคะแนนเสียง 19 ล้านเสียง ก็ไม่น่าจะเป็นการได้ความชอบธรรมที่บริสุทธิ์
ผมเห็นว่า เวลานี้ไม่ใช่ปัญหารัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตย บ้านเมืองเราไม่ได้มีปัญหาการเมือง
แต่มีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น และเราจำเป็นต้องช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข
จะหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวนั้น เห็นจะยาก เพราะมีการหลีกเลี่ยงได้เสมอ
ปัญหาที่ว่านี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย
ที่เห็นชัดหน่อยก็คือ การระดมทุนเพื่อแข่งขันให้ได้มาซึ่งอำนาจ
แต่ที่ต้องวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ก็คือ การใช้อำนาจทางการเมือง และกระบวนการประชาธิปไตยเพิ่มพูนทุน
พูดง่ายๆ ก็คือ แทนที่จะใช้อำนาจทางการเมืองในการบริหารบ้านเมืองเพื่อประชาชน ก็ใช้อำนาจนั้นบริหารทุนของตนเอง โดยร่วมกับทุนต่างชาติด้วย
ระบอบประชาธิปไตยนั้นคือ กติกาและกระบวนการทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ทุนทั้งเล็กทั้งใหญ่สามารถแข่งขันกันได้อย่างเสรี ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึึ่งโดยเฉพาะ
ในยุคนี้ทุนไม่ได้จำกัดว่าเป็นทุนของชาติใด ทุนไหลเวียนได้อย่างเสรี แต่จะต้องอาศัยกฎกติกาของชาติแต่ละชาติในการดำเนินงานต่างๆ
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก แต่มีเงินทุนมาก เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นคนสนิทของลีกวนยู มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน บอกว่า ทุนสิงคโปร์ที่ไปลงไว้ในอินโดนีเซียเสียหายไปมาก จึงโยกมาลงที่ประเทศไทย เขาเล่าว่า นายกรัฐมนตรีไทยได้คุยกับทางสิงคโปร์ว่า ขอให้ไทยร่วมกับสิงคโปร์ในการลงทุนกิจการใหญ่ๆ และเป็นผู้นำร่วมกันในภูมิภาคนี้
สิ่งที่คนไทยไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลมากพอก็คือ การเจรจากับต่างประเทศที่ผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ของผู้นำทับซ้อนกัน
เรื่องแรกที่ผมเอะใจ แต่ก็คิดในแง่ดีในขณะนั้นก็คือ การที่นายกรัฐมนตรีออกมาว่า การบินไทยว่าห่วยแตก แต่ก็เร่งรัดให้มีการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาเปิดสายการบิน และให้สิทธิทางการบินมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีไปร่วมทุนกับบริษัทมาเลเซีย เปิดสายการบินแอร์เอเชีย
ท่านผู้หญิงท่านหนึ่งพูดกับผมว่า ทูตต่างประเทศพูดกันว่าไม่เคยเห็นผู้นำประเทศใดไปลงทุนร่วมกับต่างชาติ แล้วเปิดโอกาสให้ต่างชาติที่ตนมีผลประโยชน์ร่วมมาทำธุรกิจแข่งกับสายการบินแห่งชาติ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเจรจาการขยายกิจการโทรคมนาคมกับบังกลาเทศ โดยไปพูดกับผู้นำบังกลาเทศว่าจะมาเปิดเส้นทางการบินให้ เวลานี้การบินไทยถูกสั่งให้ทำการบินโดยขาดทุนย่อยยับ
การอาศัยอำนาจรัฐและตำแหน่งหน้าที่หาธุรกิจให้กับตนเองนี้คือ การบริหารทุนส่วนตัวควบคู่ไปกับการบริหารประเทศ
การบริหารทุนนั้น หากขยายไปร่วมกับทุนข้ามชาติ ก็จะต้องอาศัยกลไกที่ช่วยในการทำนิติกรรมอำพรางอย่างเช่น การไปเปิดบริษัทที่เกาะเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องเตือนเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับประชาธิปไตยนั้น เป็นประเด็นปัญหาสำคัญ เพราะผู้มีอำนาจรัฐสามารถอาศัยกลไก และกระบวนการทางประชาธิปไตยหาผลประโยชน์ให้ตนเองได้
วิธีการหาผลประโยชน์ของทุนขนาดใหญ่ก็คือ การหาอภิมหาโครงการอย่างที่เรียกกันว่า Mega Project มาทำการทำโครงการมหึมานี้ก็คือ การที่บริษัทของตนเองซึ่งมีทุนล้นเหลือ ไม่รู้จะลงทุนทางใดแล้ว ก็จึงสร้างอภิมหาโครงการที่ต้องใช้ทุนมากมายขึ้นมา แล้วไปร่วมกับทุนต่างชาติ ทำโครงการต่างๆ ส่วนทุนขนาดเล็กก็จะได้รับประโยชน์ในแง่ของผู้รับเหมารายย่อยเท่านั้น
รัฐบาลที่มีทุนใหญ่หนุน จะมียุทธศาสตร์สองแนวทาง แนวทางที่ประกาศขจัดความยากจน มีกองทุนให้หมู่บ้านนั้น เป็นยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือทำให้ประชาชนที่เป็นผู้ออกเสียงพอใจ ส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจคือ การอาศัยอำนาจรัฐบริหารทุนส่วนตัว และทุนพันธมิตรต่างชาติ
ผมเองในระยะแรกก็ยังไม่มีข้อข้องใจอะไร แต่พอเห็นมีการขายหุ้นให้สิงคโปร์แล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะรัฐบาลได้ให้สิงคโปร์มาใช้สนามบินที่อุดรฯ ในการฝึกได้ ผมก็เลยชักเสียวว่าต่อไปหุ้นของ กฟผ.จะเป็นอย่างไร
นายกรัฐมนตรีผู้นี้ ยังเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อย เมื่อรวมกับอาจารย์ นิสิต นักศึกษาร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มาบัดนี้ความโอหังมีมากถึงกับตำหนิครูบาอาจารย์ที่เพียงแสดงความคิดเห็นคัดค้านตน
ผมเองที่มีบทบาทในรัฐวิสาหกิจ และกรรมการบางชุดนั้น ก็เพราะคิดว่าบ้านเมืองนี้ไม่ได้เป็นของนายกรัฐมนตรี และก็ไม่หงอเหมือนกับรัฐมนตรีหรือข้าราชการหลายคน
ผมอยากให้นายกรัฐมนตรีสำนึกว่า เขาเพิ่งมาทีหลังจะมาอาศัยอำนาจรัฐเพิ่มพูนความมั่งคั่งของตนเองนั้น ไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ และเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาธิปไตยลดสภาพกลายเป็นประชาธิปไตยอำพรางเหมือนกับการทำธุรกรรมอำพรางต่างๆ
หากไม่หยุด ประเทศชาติจะเสียหายหนัก ถ้าเตือนแล้วไม่เชื่อก็จะประสบเคราะห์กรรมอย่างที่ไม่คาดคิด
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 14
ข้อคิดคำนึง - เขียนในยามความยุ่งเหยิงของบ้านเมือง
โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ 20 กุมภาพันธ์ 2549 01:19 น.
มีเรื่องเล่าๆ กันต่อมานานปีแล้วว่า ปีไหนบอลประเพณีธรรมศาสตร์แพ้จุฬาฯ ปีนั้น บ้านเมืองจะปั่นป่วน เป็นกลียุค กว่าจะแก้ไขได้ก็ยาวนาน
บอลประเพณีมีมาตั้งแต่ปี 2477 คือปีที่สถาปนา มธก.นักศึกษา มธก.ก็หมั่นไส้นิสิตจุฬาฯ นิสิตจุฬาฯ ก็ไม่ชอบหน้า นศ. มธก.ดังนั้น นักฟุตบอลและอาจารย์ทั้งสองมหาลัย (มีสองจริงๆ ตอนนั้น) ก็เลยจัดแข่งบอลเพื่อประสานสามัคคีกัน เตะกันในสนามได้ แต่อย่าเตะนอกสนามแบบอันธพาล
มธ. ถ้าไม่ชนะ ก็เสมอ (เท่านั้น) เป็นประจำตั้งแต่ปี 2477 ถึงปี 2483 เป็นเวลา 7 ปีติดต่อกัน
ครั้นในปี 2484 เดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็น กำลังจะมีงานฉลองรัฐธรรมนูญ และก็มีการแข่งบอลประเพณีที่สนามศุภฯ
ปรากฏว่าปีนั้นอาถรรพ์ มธก.แพ้ 2 ต่อ 0 อย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์ โค้ช ผู้คุมทีม มธก.ถึงกับช็อกถูกหามเข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ (ตอนนั้น มธ. ยังไม่มีโรงพยาบาล) ผู้คุมของ มธก.เสียชีวิตที่โรงพยาบาลนั้น นักศึกษา มธ ชายหญิง (รวมทั้งนางเอก พระเจ้าช้างเผือก) เดินคอตกจากสามย่านกลับเข้ามหาวิทยาลัยทาง ประตูป้อม ที่ท่าพระจันทร์
และแล้ว 8 ธันวา กองทัพญี่ปุ่นก็ยาตราบุกประเทศไทย พร้อมกับโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และบุกอุษาคเนย์พินาศเป็นจุล
ปีต่อมา 2485 น้ำท่วมครั้งใหญ่ งดบอลประเพณี และก็งดไปอีกหลายปีกว่าสงครามครั้งทีสองจะสิ้นสุดลงในปี 2488
ปีนี้ 2549 บอลธรรมศาสตร์แพ้จุฬาฯ 2/0 อย่างไม่น่าเชื่อ
บ้านเมืองของเรากำลังไม่ดี และไม่ดีอย่างมากๆ
ครับต้องช่วยกันทำให้ดี
ครับ เพราะ ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี การเมืองนั้นจะต้องมีทั้ง ธรรม ทั้ง จริยธรรม และทั้ง คุณธรรม ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ เพื่อชาติ และราษฎรไทย ครับ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 15
รายงานพิเศษ (ขบวนการกู้ชาติ) / แก้ รธน.
เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 15 ฉบับที่ 715 วันที่ วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
เราต้องเปิดทางถอยให้ 'ทักษิณ
ในการเสวนาเรื่อง 'วิกฤติการเมืองกับทางออกประเทศไทย' ซึ่งจัดโดยวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และสถาบันวิถีทรรศน์ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ และนักวิชาการอาวุโส กล่าวถึงทางออกของชาติในยามวิกฤติ อันเนื่องมาจากกระแส 'ไม่เอาทักษิณ' เริ่มหนักหน่วงขึ้นในสังคมเมือง ดร.ปราโมทย์ ได้ตั้งเป็นประเด็นไว้ ดังนี้
1) มาตรฐานทางจริยธรรมของทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สูงพอหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ตัวนายกฯ แต่มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ปกครองประเทศ ซึ่งมีแบบอย่างและสั่งสอนมาตั้งแต่สมัยโบราณว่า ผู้ปกครองต้องมีจริยธรรมสูงกว่าคนธรรมดา สูงกว่านักบวช เนื่องจากผลของความเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของคนเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เมื่อคนธรรมดาละเมิดผู้อื่น ให้สันนิษฐานก่อนว่าเขาบริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด
แต่ถ้าเป็นนักการเมือง หรือผู้ปกครองประเทศ เพียงทำตนให้เป็นที่สงสัย ก็ต้องลงโทษว่ามีความผิดแล้ว เพราะคนทั้งในและนอกประเทศจะขาดความเชื่อถือ ดังนั้น ผู้ปกครองต้องมีจริยธรรมสูงกว่าคนทั่วไป
2) ประโยคที่นายกฯ ชอบอ้างอิงถึง คือ มีประชาชนลงคะแนนให้พรรคไทยรักไทย 19 ล้านเสียง
ดร.ปราโมทย์ มีคำอธิบายว่า 19 ล้านเสียงมิใช่หนังสือค้ำประกันอำนาจถาวรและเบ็ดเสร็จ กล่าวคือ การเลือกตั้งเป็นเพียงสัญลักษณ์และพิธีกรรมทางประชาธิปไตยอันหนึ่ง แม้จะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันเสถียรภาพหรืออายุของรัฐบาล ในระบบประธานาธิบดี ปีที่แล้วผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ถูกปลด (recall) โดยการลงคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งที่ไม่มีข้อกล่าวหา ไม่มีความผิด ไม่ต้องขึ้นศาล สาเหตุที่ถูกปลดเพราะประชาชนไม่เชื่อว่าจะสามารถบริหารต่อไปได้ดี จึงพากันลงชื่อ เมื่อลงชื่อครบก็เปิดการลงคะแนน
แต่ในระบบรัฐสภา แม้ความจริงจะใกล้เคียงว่าประชาชนเลือกคน-เลือกพรรคให้เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ เพราะชอบตัวหัวหน้าพรรค พร้อมกับยกตัวอย่างว่า มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งนำพรรคเข้าสู่อำนาจด้วยคะแนนเสียงล้นหลามครั้งที่ 3 ยังถูกปลดจากหัวหน้าพรรค และถูกปลดจากนายกรัฐมนตรี โดยพรรคของตนเอง เพราะคะแนนนิยมจากประชาชนตก
อย่างไรก็ตาม พรรคของอังกฤษไม่เหมือนของไทย ซึ่งเป็นแก๊งการเลือกตั้งแบบ 'รวมศูนย์ รวบอำนาจ เป็นทาสหัวหน้า' การจะทำอะไรก็แล้วแต่หัวหน้าพรรคทั้งหมด
ดร.ปราโมทย์ อธิบายต่อว่า ทฤษฎีตัวการตัวแทนนั้น ตัวการมีอำนาจถอดถอนตัวแทนทุกเวลา เมื่อหมดความไว้เนื้อเชื่อใจ ส่วนทฤษฎีสัญญาประชาคมรุนแรงกว่า กล่าวคือ อาจปลดออกและลงโทษฐานเป็นกบฏและทรยศผลประโยชน์ของประชาชน
อันที่จริงแล้วคดี 'ซุกหุ้น 1' เป็นความผิดที่เข้าหลักกฎหมายที่เรียกว่า mala prohibita หลักการนี้หมายความว่า ถ้ากฎหมายห้ามมิให้ทำอะไร แล้วยังทำอันนั้น จะมาอ้างว่าไม่เจตนา บกพร่องอย่างสุจริต หรือจะมาตีความไม่ได้
ในกรณีบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็น mala prohibita นายกรัฐมนตรีก็มีความผิด ดังนั้น การที่ อ.แก้วสรร อติโพธิ นำไปฟ้องในมาตรา 209 ก็ถูกต้องแล้ว
"ถ้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า เขาเป็นเจ้าของบริษัท บริษัทนี้มีหุ้น ซึ่งเขาไม่ได้แจ้ง (ไม่เหมือนคดีแรก) อันนี้เป็นกรณีชัดแจ้งว่า บ.แอมเพิล ริช บีลองทู ทักษิณ มีหุ้นซึ่งเขาต้องแจ้ง มันเป็น mala prohibita (การกระทำซึ่งห้ามไว้ว่าไม่ดี อย่าทำ) อันนี้ไม่ใช่การกระทำผิด แต่กฎหมายบอกว่าถ้าทำแล้วผิด อย่าทำ"
หมายความว่า หากรอจนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา เมื่อเทียบกับกรณี 'ซุกหุ้น 1' โอกาสรอดมีน้อยเต็มที
หากว่ามีความผิดจริง นายกฯ ทักษิณ ต้องออกจากตำแหน่ง และห้ามเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
จากถ้อยแถลงข้างต้น ใช่ว่านายกรัฐมนตรีจะไม่มีทางออกเสียเลย ทางถอย (อย่างสง่างาม) นั้นยังพอมีอยู่ ดังที่ ดร.ปราโมทย์ บอกว่า
"โอกาสดีที่สุดที่ทักษิณต้องฉกฉวยคือ ขอพึ่งพระบารมี ขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชประชาสมาสัย ซึ่งอาจมี scenario ที่ดีสุดให้เลือก 2 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 นายกฯ ลาออก ตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นผู้นำแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 201
"ทางออกที่ดีที่สุดไม่ใช่การยุบสภาฯ เพราะจะทำให้เกิดความไม่แน่ใจ การซื้อเสียง และพวก ส.ส.ออกจากคุกไม่ทัน (หมายถึงกรณีปลดล็อก 90 วัน) เลือกมาได้ใหม่ก็เหมือนเดิม มโนธรรม-จริยธรรม ของทักษิณบอกตัวเอง หรือถูกบังคับให้ลาออก แต่สังคมไม่ควรไปเบียดเขาให้จนตรอก จนไม่มีทางเลือก
"ทางที่ดีให้ทักษิณลาออก แล้วหา ส.ส.มาเป็นนายกฯ แทน ดูว่าใครที่ประชาชนรับได้ ขณะเดียวกัน ก็ไม่เข่นฆ่าทักษิณ ประนีประนอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นต้นว่า เป็นนายกรัฐมนตรี 45 วัน มีภารกิจหลักคือ แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 201.."
แบบที่ 2 นายกฯ ลาออก ตั้งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นรัฐบาลผสม รัฐบาลใหม่เป็นผู้นำแก้รัฐธรรมนูญแบบราชประชาสมาสัย (หมายถึง การมีส่วนร่วมระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์) แล้วจึงเลือกตั้ง
ดร.ปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า นายกฯ ทักษิณมีความกล้าหาญ ถ้าเขาตระหนักว่าการอยู่แบบเดิมอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะไม่ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรก็ตาม แต่การรับรู้ของคนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะขณะนี้มวลชนชั้นนำ เห็นว่าทักษิณเป็นปัญหา ไม่ใช่ทรัพยากรของชาติ และว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่เริ่มจากเด็กและอาจารย์รุ่นหนุ่มที่ไม่ได้สัมผัสพฤติกรรมการใช้อำนาจเผด็จการ พฤติกรรมการโกงกินอย่างใกล้ชิด เป็นเพียงแต่เห็นภาพการกระทำ และทนไม่ได้ แต่คราวนี้คนได้เห็นพฤติกรรม มีความเข้าใจ และแน่ใจว่าถ้าขืนอยู่ (ในตำแหน่ง) ยาวในรูปนี้ ประเทศชาติจะเสียหาย
กล่าวโดยสรุป ทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้คือ นายกฯ ทักษิณ ควรลาออกจากตำแหน่ง และให้ (ส.ส) คนที่พอพูดจากันเข้าใจมาเป็นนายกฯ คนใหม่แทน ขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องให้โอกาส และให้เกียรติแก่ (อดีต) นายกฯ ตามสมควรด้วย
และนี่คงเป็นบันทึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย!
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 16
จากเตียงคนไข้ถึงนายกรัฐมนตรี
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 23 กุมภาพันธ์ 2549 21:06 น.
กุมภาพันธ์ 2549
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ผมกลับจากลอนดอนแล้วครับ มีของมาฝากท่านนายกฯ คือศัพท์สงครามภาษากรีก ทับเป็นอังกฤษว่า Phyrric Victory แปลเป็นไทยได้ 2 นัยว่า ชัยชนะบนความฉิบหาย หรือชัยชนะบนอนาคตอันผุยผง
นั่นก็คือ ชัยชนะของตุลาการรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่เพิ่งผ่านมา
บรรดาผู้คนจากสูงถึงต่ำที่ความเห็นไปคนละทางสองทาง ต่างก็พากันฝากความหวังไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้สงบเย็นลงสักระยะคราวนี้ศาลคงไม่กล้าเบี้ยว
แต่ผมรู้จักมาตรฐานของศาลนี้มาแต่ต้นแล้วเมื่อดร.ชัยอนันต์ลาออก ต่อมาในการแข่งขันระหว่างศาสตราจารย์ดร.ไพศิษฐ์ พิพัฒนกุล กับนายศักดิ์ เตชาชาญ ซึ่งเทียบคุณวุฒิทางกฎหมายแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน ดร.ไพศิษฐ์เป็นนักเรียนทุนหลวง จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ปริญญาเอกจากเยอรมนี กลับมาได้เนติบัณฑิตไทย เคยอยู่กฤษฎีกา เป็นคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เลขาธิการรัฐสภา ฯลฯ วุฒิสภากลับไปเลือกนายศักดิ์ ซึ่งเป็นแค่ น.บ.(เกียรตินิยม) ได้ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ เข้ามหาดไทยเป็นผู้ว่าฯ และเลขาธิการ รพช.มิได้ประกอบอาชีพทางกฎหมายแม้แต่น้อย อย่างนี้เด็กอมมือก็รู้ว่าดร.ไพศิษฐ์ ตายเพราะยาสั่ง
ผมได้กล่าวในจดหมายฉบับแรกแล้วว่ากรณีซุกหุ้น 2 นี้ ท่านนายกฯ ไม่มีทางรอด เพราะมันเข้าข่าย Mala Prohibita ยกเว้นแต่ท่านนายกฯ จะพิสูจน์ได้ว่าหลักฐานที่นำมาอ้างนั้นไม่จริง ข้อสันนิษฐานแวดล้อมอื่นๆ ที่จะเป็นโทษต่อท่านนายกฯ ในคดีความธรรมดา เช่น คุณหญิงก็ซุกหุ้น ลูกท่านนายกฯ ก็ซุกหุ้นถูกปรับมาแล้ว ท่านนายกฯ ก็ซุกหุ้นแต่เป็นความบกพร่องโดยสุจริต ท่านนายกฯ ประกาศว่าใครไปตั้งบริษัทพรางตาที่เกาะเวอร์จินไอร์แลนด์เป็นคนไม่รักชาติ ฯลฯ เหล่านี้จะไม่อาจนำมาเป็นข้อต่อสู้ท่านนายกฯ เว้นแต่ในศาลประชามติของผู้ที่รู้ความ
ผมเองก็แก้ต่างแทนท่านนายกฯ ว่าการขายหุ้นก็ดี การไม่ต้องเสียภาษีก็ดี เหตุผลของทนายท่านนายกฯ ของกรมสรรพากร ของรัฐมนตรีคลัง ล้วนแต่ถูกต้องทั้งสิ้น บริษัทอื่นๆ ก็เคยทำ และในอนาคตก็จะมีคนทำอีก และก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเช่นเดียวกับบริษัทชิน แต่เขาเหล่านั้นมิใช่นายกรัฐมนตรี ผู้นำประเทศมีหน้าที่จะต้องคิดว่า จริงอยู่ ถึงจะถูกกฎหมาย แต่กฎหมายก็อาจจะไม่ถูก หรืออย่างน้อยก็นำมาใช้ผิดเจตนารมณ์ ที่ออกกฎหมายนี้มานั้นเพื่อส่งเสริมตลาดหุ้นโดยให้ผู้เล่นรายเล็กรายน้อยมีแรงจูงใจยกเว้นภาษี จะได้มาลงทุนมากๆ ตลาดหุ้นจะได้ค่อยๆ พัฒนาโตขึ้นอย่างมีสุขภาพ มิใช่ปล่อยให้ขาใหญ่ชักเข้าถอยออกๆ พอได้จังหวะก็ซัดโครมวันเดียวใหญ่ท่วมตลาดธรรมดาตั้งหนึ่งอาทิตย์ หรือถ้าจะยืนยันว่ากฎหมายถูก จังหวะการออกกฎหมายและจังหวะการถือเอาประโยชน์จากกฎหมายนั้นๆ ก็ไม่ถูก จู่ๆ พอกฎหมายออกได้ 2 วัน ก็ขายโครม แสดงว่าได้มีการเตรียมการมาเป็นขั้นตอน จะนานกี่ปีก็ตาม มันก็ผิด และผิดตรงที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมน้อยไปหน่อย การข่มเหงน้ำใจคนไทยก็ถือได้ว่าเป็นการทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างหนึ่ง
ท่านนายกฯ ลองเอาฝ่าเท้าตรองดูหน่อย เหตุไฉนบุคคลที่ท่านนายกฯ ควรจะกตัญญูที่สุด เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองของท่าน จึงกระโดดออกมาเข้ากับขบวนการพันธมิตรขับไล่นายกรัฐมนตรี แถมยังประกาศว่าไม่ออก ไม่เลิก พลตรีจำลองท่านประพฤติธรรม ยึดมั่นในความจริง ไม่กล่าวร้ายใคร ความข้อนี้ประจักษ์ทำให้ท่านเป็นที่เคารพนับถือคนหนึ่งของเมืองไทย ผมว่าฟังท่านเอาไว้เถิด
เทคนิคการควบคุมข่าวแบบ โกหก ปกปิด บิดเบือน ที่รัฐบาลนำมาใช้ เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพหรือสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างฉกรรจ์ อันนี้แหละที่ทำให้คนเข้าร่วม ปรากฏการณ์สนธิ เพิ่มขึ้นทุกวันจนกลายเป็นพันธมิตรประชาธิปไตยที่ใหญ่โตมหึมา เต็มไปด้วยคุณภาพ ความหลากหลาย และน่าเชื่อถือ ท่านนายกฯ กลับบอกว่าไม่มีอะไร นักวิชาการส่วนน้อย หลงผิด มองโลกด้านเดียว โกรธที่ขอของแล้วไม่ให้ ฯลฯ
ลองตรวจรายชื่อดูลวกๆ จะเห็นว่ามี นายกราชบัณฑิต อดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย หมอหลวง กรรมการสิทธิมนุษยชน อดีตผู้ว่ารัฐวิสาหกิจที่มีสัมฤทธิผลที่สุดของประเทศไทย ราษฎรอาวุโส อดีตรัฐมนตรีว่าการฯ เอกอัครราชทูต วุฒิสมาชิก ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ชั้นแนวหน้าใน 2 มหาวิทยาชั้นนำเก่าแก่ที่สุดของประเทศ คือ จุฬาฯ กับธรรมศาสตร์ ถ้าจะระบุชื่อนักวิชาการที่มีศักดิ์ศรีเป็นที่เคารพเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศบางคน ก็มี ศ.ดร.เขียน ธีระวิทย์ ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา ดร.วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ศ.ระพี สาคริก ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ฯลฯ นี่นะหรือ คนส่วนน้อย หลงผิด ไม่พอใจ ให้เท่าไรไม่รู้จักพอ ที่ท่านนายกฯ นำไปปล้นประชาชน
ผมถึงอังกฤษเช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ไม่อยากเชื่อว่าคนอังกฤษรู้เรื่องเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 ที่เมืองไทยดีกว่าผม วันนั้นผมเองก็มัวแต่ไปอยู่บ้านนอก ตอนบ่ายได้เห็นผู้ใหญ่ของจังหวัดลุกพรวดพราดจากที่ประชุมว่าจะต้องไปจัดระเบียบม็อบเชียร์นายกฯ ให้ถึงหมื่น พอวันที่ 5 ผมก็ต้องไปพูดเรื่องทางออกที่ดีของเมืองไทยให้สมาชิกสถาบันวิถีทรรศน์ฟัง แล้วกลับมาเตรียมตัวเดินทาง ถามใครๆ ว่าเป็นยังไงบ้างดูทีวี เขาก็ตอบว่ามันสะกัดข่าวเกือบทุกช่องทำเป็นเหมือนข่าวกระจอก (ไม่ต่างกับโจรกระจอกภาคใต้) ยังไงยังงั้น ผมได้แต่ปลงอนิจจัง
ผมอยากเปรียบเทียบคุณภาพของบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ท่านนายกฯ กับ 19 ล้านเสียงรวมทั้งพวกที่กลไกของรัฐของพรรคระดมมาเชียร์ พวกแรกเราอาจจะเรียกว่า political rearguard ที่กลายมาเป็น vanguard หรือกองหน้าทางการเมืองของประชาชน พวกนี้สำคัญมากเพราะเป็น critical mass คือมวลชนแนวหน้า ถ้าหากคนพวกนี้สามารถสื่อสารพูดให้คนส่วนใหญ่เข้าใจและเชื่อถือเมื่อใด ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นในสังคมทันที ส่วน mass หรือมวลชนของท่านนายกฯ เป็นคนส่วนใหญ่ที่ยากไร้ ไม่มีความรู้ หวังพึ่งและหลอกง่าย เช่น ใช้มาตรการประชานิยมแบบฉาบฉวยก็จะพากันเฮมาทันที ในการต่อสู้พวกแรกเสียเปรียบเพราะขาดความอดทนเบื่อง่ายและชอบทะเลาะกัน ในขณะที่พวกหลังมีเวลาทั้งชาติ อะไรก็ได้ขอให้มีเหยื่ออ่อย จนเขาค่อยๆ ได้รับการเปิดหูเปิดตาเมื่อไรจึงจะกลับมีพิษสงขึ้นมา แปลว่าท่านนายกฯ ได้เปรียบครับ ใช้ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ ปลุกระดมบ้านนอกเป็นกำลัง ใช้กลไกของรัฐในระบบรวมศูนย์ รวบอำนาจ เป็นทาสส่วนกลาง รอให้ขบวนการขับไล่หมดแรงเพลียไปเองทีละน้อยๆ
ผมได้ทราบว่ามีกระแสที่ท่านนายกฯ อาจจะยุบสภาฯ อย่าทีเดียวนะครับ เพราะท่านไม่มีสิทธิกระทำเช่นนั้น เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขใดๆ เช่น รัฐบาลขัดกันกับสภา รัฐบาลเสียงไม่พอบริหารไม่ราบรื่น กฎหมายสำคัญไม่ผ่าน และเงื่อนเวลาก็ยังไม่ให้เพราะอีกตั้ง 3 ปีจึงจะครบวาระของสภาผู้แทนราษฎร ท่านนายกฯ อย่าหลงผิดเหมือนพวกไม่มีความรู้ว่า การยุบสภาฯ เป็นเอกสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรี การยุบสภาฯ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต่างหาก นายกฯ มีเอกสิทธิ์แค่เลือกวันเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น ผมจะลอกตำรารัฐธรรมนูญอังกฤษให้อ่านนะครับ
The Queens reserve powers Prime Ministers and governments do not routinely request dissolutions of Parliament in circumstances which the Sovereign feels constrained to refuse. The Queen however possesses in law what I term her reserve powers which would enable her to behave in these ways is not disputed. และอีกตอนหนึ่งว่า It is beyond doubt that the Sovereign can refuse a request for a dissolution of Parliament: the difficulty lies in identifying the situations in which such action would be constitutionally appropriate. ผมจะยอมเสียมารยาทไม่บอกชื่อหนังสือที่คัดลอกมาเพราะอยากให้นักกฎหมายของรัฐบาลรู้จักทำการบ้านเสียบ้าง รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแรกที่ในหลวงส่งกฎหมายกลับและไม่ลงพระปรมาภิไธยอีกหลายเรื่อง ผมไม่อยากเห็นความขี้เกียจหรือผยองอำนาจเป็นเจ้าเรือนรัฐบาลใดๆ ของผม
แต่ผมอยากจะบอกด้วยความภูมิใจว่าในหลวงของเราทรงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ Sir
William Anson เขียนไว้ ดังนี้ The King or Queen for the time being is not a mere piece of mechanism but a human being carefully trained under circumstances which afford exceptional chances of learning the business of politics ผมบอกท่านนายกฯ มาหลายเดือนแล้วว่าขอให้รีบพึ่งพระราชอำนาจ ก็ไม่เชื่อ ซ้ำยังมัวแต่ประกอบวจีทุจริตให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเสียอีก
ยังไม่สายเกินไปที่ท่านนายกฯ จะเป็นผู้นำในการปฏิรูป สถาปนาพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ต้องคอยอะไร ทำได้ทันที ไม่ต้องผ่านสภาฯ หรือกฎหมายที่ไหน ความจริงใจ ตั้งใจ มโนธรรมและความกล้าหาญของท่านนายกฯ คนเดียวก็พอ
1. สร้างระบบพระราชอำนาจทั่วไปคือ อำนาจแนะนำ ให้กำลังใจและตักเตือน รัฐบาล โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกำหนดวันเวลาและพิธีการที่แน่นอน เดือนละกี่ครั้งก็ตามแต่จะทรงโปรดฯ ให้นายกรัฐมนตรีเข้าถวายรายงานเช่นเดียวกับอังกฤษ
2. สร้างระบบถามนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับ Prime Minister Question ของอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรีไปตอบปัญหาในสภาฯ สัปดาห์ละหนึ่งครั้งๆ ละ 3 ชั่วโมงในเวลาเดียวกันที่กำหนดตลอดสมัยประชุมสภาฯ
3. สร้างระบบให้เวลาเท่ากัน Equal Time กับหัวหน้าฝ่ายค้านในกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้กระบอกเสียงของรัฐบาลโฆษณาตนเองและพรรค
4. สร้างกองทุนประชาธิปไตยโดยนายกรัฐมนตรีบริจาคสมทบกับงบประมาณของรัฐบาล และจัดลงเป็นมูลนิธิย่อยๆ ในทุกจังหวัดอีกด้วย
รีบทำเสียเถิดครับ ท่านนายกฯ ก่อนที่จะหมดโอกาส เวลานี้ความเชื่อถือท่านในต่างประเทศหมดแล้ว ในบรรดาทูตานุทูตร่อยหรอลงทุกที ในสถาบันสังคม ศึกษา ศาสนาและในเมืองกำลังจะมอดมิด ครับไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าหากท่านนายกฯ ทำแค่ 4 อย่างข้างบนนี้ วันข้างหน้าชื่อของท่านก็จะอยู่ในประวัติศาสตร์เยี่ยงวีรบุรุษ
หากท่านเลือกที่จะไม่ทำ โปรดกรุณาอ่านพระธรรมข้างล่างนี้เพื่อเจริญสติเสียก่อนเถิด
ใน มิลินทปัญหา พระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระนาคเสน ตอบพระเจ้ามิลินท์ว่า
หากบุคคลขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์มาเป็นใหญ่ มีอำนาจมากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงทัณฑ์โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมาและมิได้อยู่
ในอำนาจด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครองเยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครองทั้งหลายที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์ของสังคม ก็จะถูกประชาทัณฑ์ เยี่ยงเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองที่ประพฤติตนเหมือนโจรปล้นสมบัติของแผ่นดิน
พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้ปกครองว่า
คนพาลผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ปกครองหมู่คณะ ตกอยู่ในอำนาจจิตของตนแล้ว พึงนอนตาย เหมือนลิงจ่าฝูง นอนตายอยู่ ฉะนั้น
ด้วยความปรารถนาดี
ปราโมทย์ นาครทรรพ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)
โพสต์ที่ 17
จดหมายเปิดผนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรี
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ
4 เมษายน 2549
กราบเรียน ฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี
จดหมายฉบับที่ 4 นี้น่าจะเป็นฉบับสุดท้าย เวลายังไม่ถึงสามเดือนดี ท่านเปลี่ยนไปถึงสามฐานะ และผมไม่เชื่อว่าท่านจะกลับมาเป็นนายกได้อีก นี่คือความเป็นอนิจจังของสังคม วาระสุดท้ายของท่านมาถึง ด้วยวิธีการและเวลาที่ท่านกำหนดเอง เป็นวิธีการและกำหนดเวลาที่ถูกสาปแช่งทุกสารทิศ แต่ท่านกับเหล่าลูกขุนพลอยพยักก็ทำหูทวนลมเสีย พากันบิดเบือนประชาธิปไตยต่อไปโดยไม่ละอาย
ท่านพากันสถาปนาการเมืองระบบพรรคเดียวที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงปราศจากคู่แข่งขัน คล้ายกับระบบคอมมิวนิสต์หรือไม่ก็เผด็จการบ้านป่าอย่างทวีปแอฟริกา โดยไม่คำนึงว่าเราเป็นชาติเก่าแก่มีสถาบันมหากษัตริย์มาเกือบพันปี
ท่านไม่ตอบ 40 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วยเรื่องจาบจ้วงในหลวง เรื่องทำลายพระศาสนาปลดพระสังฆราช เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องกดขี่เสรีภาพของสื่อและประชาชน เวรกรรมที่ท่านยุบสภาโดยไม่ชอบธรรมและต่อสู้เพื่อกลับมาสู่อำนาจโดยไม่โปร่งใส กลับทำให้ท่านถูกเปิดโปงเพิ่มเติมอีกนับไม่ถ้วนสิ่งเหล่านี้เหมือนเชือกผูกคอรอเวลาให้ท่านถูกลากไปประชาทัณฑ์ทั้งสิ้น
ผมไม่อยากจาระไนให้มาก อยากชี้เฉพาะ 3 เรื่อง คือ หนึ่ง คำตัดสินของศาลอาญาคดีที่บริษัทของท่านฟ้องและแพ้สุภิญญา กลางณรงค์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ชี้ชัดว่าท่านมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทชิน เรื่องที่สอง คือ ศาลปกครองตัดสินไม่อนุญาตให้ขายหุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และสั่งให้ให้บริษัทพ้นสภาพกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างเดิม เพื่อปกปักรักษาสมบัติของชาติ บริวารที่ท่านซุกเข้าไปกำกับการแปรสภาพก็ไม่สามารถตบตาศาลและสาธารณชนได้ และเรื่องที่สาม ได้แก่การปิดสื่อ ยื้อศาล ในคดีดำ เลขที่ 3200 ที่ท่านและคุณหญิงตลอดทั้งบริวารถูกฟ้อง ณ ศาลอาญาใต้ว่า แจ้งความเท็จ ฟ้องเท็จ และให้การเท็จ ซึ่งมีโทษถึงจำคุก เนื่องจากท่านและบริวารได้แพ้ความอาญาทั้ง 3 ศาล ถูกศาลฎีกาตัดสินว่าที่ท่านฟ้องจำเลยว่ายักยอกทรัพย์นั้นไม่เป็นความจริง ที่แท้ทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยให้ท่านยืมไปใช้และเจ้าของมาเอากลับคืน คดีนี้ยังไม่หมดอายุความ ไม่นานความเรื่องนี้ก็จะปรากฏต่อสาธารณชน และจะทำให้ท่านขาดคุณสมบัติที่จะรับตำแหน่งใดๆ
แค่ 3 เรื่องนี้ ท่านอดีตนายกฯ ครับ ในต่างประเทศ ผู้นำที่มีมโนธรรม และมาตรฐานขั้นต่ำทางจริยธรรมคงจะไม่น่าทนอยู่ในตำแหน่งแม้เพียงข้ามวันด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะลอยหน้ามาเลือกตั้งเพื่อฟอกตัวเองเลย
ผมแนะนำในบทความเรื่อง ทักษิณควรฉวยโอกาสพึ่งพระราชอำนาจ ในนสพ.ผู้จัดการรายวันฉบับวันที่ 18 พ.ย. 2548 และเรื่อง รัฐธรรมนูญพระราชทาน : โอกาสที่พลาดไปยุคสุจินดา ในนสพ.เดียวกันฉบับวันที่ 17 พ.ย. 2548 ชี้ช่องให้นายกรัฐมนตรีฉวยโอกาสพึ่งบารมีในหลวงทำการปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อนที่จะถูกกดดัน
ท่านไม่แยแสพระราชอำนาจ ซ้ำทำให้สังคมเห็นว่าจาบจ้วงพระองค์ท่าน ครั้นเมื่ออำนาจและตำแหน่งของท่านถูกสั่นคลอน ท่านกลับใช้ความชาญฉลาดในการพึ่งพระองค์ท่านเพื่อเกาะติดเก้าอี้ ครั้งที่หนึ่ง โดยการพูดว่าท่านจะลาออกต่อเมื่อในหลวงกระซิบที่หู และครั้งที่สอง ขณะที่ผมเขียนครึ่งหลังของจดหมายนี้ในคืนวันที่ 4 เมษายน 2549 เมื่อท่านกลับมาจากการเข้าเฝ้าตอน 15 น. และประกาศในทีวีพูล ว่าท่านจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะเห็นแก่ความสงบและสามัคคีในชาติ เพื่อถวายเป็นราชพลีในวโรกาสมหามงคลฉลองการครองราชสมบัติครบ 60 ปี
แต่ท่านไมได้พูดดอกว่า สภาครั้งนี้จะเปิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ซาวเสียงเลือกนายกฯ ต่อไปไม่ได้ ท่านจำเป็นจะต้องรักษาการต่อไป นี่ซิครับ คือ เหลี่ยมที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าศรีธนญชัยหลายเท่า ซ้ำท่านยังมีวิธีพูดที่ทำให้ผู้ฟังน้ำตาคลอ ซาบซึ้งในความเสียสละของท่าน ลืมไปเสียสิ้นว่าสาเหตุแห่งการประท้วงและความเดือดร้อนของบ้านเมืองล้วนเกิดขึ้นจากท่าน เพราะท่านไม่ยอมรับการตรวจสอบใดๆ จากใครๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน และเรื่องอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว แปลว่าต่อไปนี้ขอให้ทุกฝ่ายลืมเสียเถิด หันหน้าเข้าหากันดีกว่า เพราะท่านก็ได้ใช้การเลือกตั้งเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้วตามกติกาประชาธิปไตย
ผมยังยืนยันว่า ทางออกที่ดีที่สุดถ้าท่านเห็นแก่บ้านเมืองจริงๆ ก็คือการลาออกทั้งคณะก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติตายซาก เกิดสุญญากาศตามรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วน อันจะเป็นโอกาสประเสริฐที่จะให้ในหลวงพระราชทานนายกฯ คนกลาง ทำการปฏิรูปการเมืองโดยราบรื่น คำตอบของท่านในรายการกรองสถานการณ์ว่ามาตรา 7 เป็นเรื่องนอกระบบนั้นแสดงว่าท่านไม่ยอมเข้าใจหรือไม่เห็นพระราชอำนาจในสายตา ผมเสนอเรื่องนี้ 15 ปีมาแล้วเข้าใจหลักรัฐธรรมนูญดีทุกประการ จึงได้เสนอเงื่อนไขและเงื่อนเวลาครบถ้วน อันจะเกิดขึ้นได้โดยง่ายหากมีนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจและเสียสละ เห็นแก่บ้านเมืองและในหลวงอย่างจริงใจ ไม่ผูกเงื่อนต่อให้เกิดความขัดข้องวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ซ้ำกลับยังมาพูดเอาดีใส่ตัวเสียอีก
การที่ท่านเสนอว่าจะไม่รับตำแหน่งนั้นนอกจากจะมิใช่การลาออกเพื่อเปิดหนทางให้มีการปฏิรูปอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการให้สัญญาที่มีเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่น่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างสูงยิ่ง เช่นเดียวกับการปฏิรูปการเมืองภายใต้ระบอบทักษิณโดยการอำนวยการของท่าน ถ้าหากท่านมีความจริงใจสำนึกรับผิดชอบ ควรจะได้กระทำไปแล้วก่อนการยุบสภาและไม่จำเป็นจะต้องยุบสภาเลย เรื่องรัฐบาลแห่งชาติก็เหมือนกัน ถึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับภริยาที่ไม่ยอมท้องจนกระทั่งระดูหมดจึงค่อยจูงมือสามีไปขอลูกกับท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมก็ถูกทุบและบุคคลที่ทำลายก็ถูกฆ่าปิดปากเสียแล้ว ท่านก็จะซื้อเวลาพูดเรื่อยเจื้อยต่อไป หาความคงเส้นคงวามิได้
สถานีบีบีซีเขาเชิญผมไปออกอากาศเมื่อตอนเช้านี้ ก็ได้มีการถกกันคร่าวๆ 3-4 ประเด็นว่า (1) การเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะเป็นโมฆะทั้งหมดก็ได้ (2) หรือถ้าไม่โมฆะก็เปิดสภาเลือกนายกฯ ไม่ได้ เพราะทำอย่างไรผู้แทนก็ไม่ครบ คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งครั้งก่อนก็ค้ำอยู่ และ (3) ถ้าหากจะดันทุรังเลือกตั้งให้ครบอีก 38 เขต ก็จะยังขาด ส.ส.ระบบบัญชีไป 1 คนคือพระเปรม นอกจากนั้นหากจะยอมให้มีผู้สมัครเพิ่มใหม่ รวมทั้งพรรคไม้ประดับ ก็ย่อมไม่ถูกต้อง ท้าทายกฎหมายเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ เพราะนี่มิใช่การเลือกตั้งใหม่หรือเลือกตั้งซ่อม เป็นเพียงกำหนดวันลงคะแนนการเลือกตั้ง (2 เมษายน) ใหม่เพราะมีเหตุผู้สมัครเดี่ยวได้คะแนนไม่ถึง 20% เป็นการเลือกอีก (re run) มิใช่การเลือกตั้งใหม่ (new election) หรือการเลือกตั้งซ่อม (by-election) อย่างแน่นอน ตามหลักจึงมีได้เฉพาะผู้สมัครเดิม เพื่อทำคะแนนให้ถึงเท่านั้น คล้ายๆกับกรณีใบเหลือง หรือการเลือกตั้งซ้ำ (runoff) ในกรณีที่มีผู้สมัครหลายคน แต่คัดออกเหลือเฉพาะผู้ทีอยู่ในเกณฑ์ให้แข่งขันกันใหม่ กกต.จะเอาสีข้างถูเพื่อช่วยไทยรักไทยกระนั้นหรือ (4) บัดนี้ประเทศไทยได้ถูกแบ่งแยกโดยนายกฯทักษิณกับฝ่ายตรงกันข้ามเรียบร้อยแล้ว ถามว่านายกทักษิณกับครอบครัวจะสามารถเดินตลาดอย่างเสรีชนในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดภาคใต้ได้หรือไม่
เราพูดเรื่องที่ท่านนายกฯ อ้างถึงคะแนนเสียง 16 ล้านว่าเป็นอาณัติให้ปกครองหรือ mandate to govern นั้น หนักแน่นแค่ไหน เมื่อเทียบกับคะแนนโนโหวตกว่า 10 ล้าน ซึ่งท่านอ้างว่าเป็นคะแนนพรรคต่างๆ บวกกับคะแนนไม่เอาทักษิณ พวกเรามีความเห็นว่าอำนาจเงิน กลไกของรัฐ แรงดึงจากผู้สมัครเขต บวกกับตัวช่วยสีเทาต่างๆ จาก กกต.และองค์ประกอบอื่นๆ น่าจะเชื่อว่าคะแนนที่สนับสนุนตัวท่านนายกฯ ล้วนๆ ในความเป็นจริงน่าจะต่ำกว่าโนโหวตอยู่อักโขทีเดียว เพราะโนโหวตนั้นเป็นคะแนนบริสุทธิ์ที่เป็นเอกภาพอย่างยิ่งนับเป็นประวัติการณ์ในตำนานเลือกตั้งของโลกทีเดียว นี่เป็นคะแนนปฏิเสธ (Reject) หรือเกลียด (Hate Vote) ท่านนายกฯ แท้ๆ บวกกับคะแนนบัตรเสียนับล้านๆ ที่ท่านไม่ยอมพูดถึง เราเอาตัวอย่างรูปถ่ายบัตรเสียที่รวบรวมได้มาดู เห็นแล้วขนลุก เพราะมันมิใช่บัตรเสียเพราะความด้อยความรู้ของผู้กาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มันบรรจุถ้อยคำที่สาปแช่งและเคียดแค้นชิงชังท่านนายกฯอย่างลึกซึ้ง เหมือนกับดร.ไชยันต์ ไชยพร กับอีก 4-5 คนที่ฉีกบัตรเลือกตั้งทีเดียว การต่อสู้เรื่อง รัฐธรรมนูญกำลังจะกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมา เราจึงพากันสรุปว่าภาวะผู้นำของท่านนายกฯนั้นขาดสะบั้น (untenable) เสียแล้ว
ผมนึกถึงการเลือกตั้งที่นอร์เวย์ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ พรรครัฐบาลเสียที่นั่งไปไม่กี่ที่นั่ง หรือเพียง 3-4 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังมีที่นั่งเหนือฝ่ายค้าน ยังสามารถตั้งรัฐบาลผสมกับพันธมิตรได้ เขากลับบอกว่าเมื่อประชาชนกริ่งใจ เขาจะให้ฝ่ายค้านลองเป็นรัฐบาลดู มันช่างต่างกับท่านนายกฯ ที่กอดคะแนน 16 ล้าน 19 ล้านด้วยการแปลที่เข้าข้างตัวเองสุดประมาณ
อย่างไรก็ตาม ผมขอยกนิ้วให้อัจฉริยภาพในการซื้อเวลาของท่านนายกฯ ประกาศของท่านคืนนี้ทำให้พันธมิตรและสังคมไทยเปิดตำราไม่ทัน ผมเห็นว่าแม่ไม้มวยทักษิณนั้นเหนือกว่าของพันธมิตรมาโดยตลอด จังหวะที่ท่านปล่อยหมัดเด็ดออกมาหลังจากที่ไปเฝ้าในหลวงไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำให้ผู้คนคิดไปต่างๆ นานา ผมอ่านความคิดของท่านออกเพราะมันตรงกับของผมว่า คนไทยเราขี้เบื่อ ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่อยากมีเรื่องมีราว ยิ่งแอบอิงพิงข้างในหลวง คนส่วนใหญ่ก็จะพึมพำ เลิกตอแยไปเอง ผิดถูกยังไงไม่สนใจ
ท่านนายกฯ ต้องคิดเสียใหม่ ที่เขาลือว่าท่านดิ้นสุดชีวิตเพราะกลัวจะโดนยึดทรัพย์นั้น ถ้าเป็นความจริง การที่ท่านดื้อต่ออายุระบอบทักษิณครั้งนี้จะเป็นชัยชนะบนหลุมฝังศพ ดังคำของคุณเสนาะว่าชนะการรบแต่แพ้สงคราม ทางที่ถูกท่านควรหาทางเข้ามาร่วมกับระบอบราชประชาสมาสัยให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยกันปฏิรูป และสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริงเสียโดยเร็ว เมื่อมีประชาธิปไตยแล้ว ถึงท่านจะร่วงจากอำนาจเป็นคนธรรมดา ก็ยังต้องได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ใครจะมาเนรเทศท่านไม่ได้ หรือจะยึดทรัพย์โดยปราศจากขั้นตอนของขบวนการยุติธรรมก็ไม่ได้
การต่ออายุของระบอบทักษิณโดยอ้างว่าจะหาคนกลางมาปฏิรูปแล้วรีบเลือกตั้งใหม่นั้นจะมีใครเชื่อ เขาก็จะมองอดีตที่ท่านตั้งคนกลางเข้าไปเต็มองค์กรอิสระต่างๆ เพราะท่านควบคุมวุฒิสภาที่มีอำนาจแต่งตั้งไว้อยู่มือ สมมติว่าท่านประชุมสภาสำเร็จและตั้งรัฐบาลหุ่นของท่านได้ครั้งนี้ ใครเขาจะไม่รู้ว่าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก และเป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จของพรรคเดียวที่อยู่ใต้อุ้งมือของคนคนเดียวอย่างที่ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ทำนายไว้ทุกประการ ใครเขาจะไว้ใจ ในเมื่อหัวหน้าฝ่ายค้านก็ดี บุพการีการเมืองของท่านคือพลตรีจำลองก็ดี ต่างก็สรุปว่าท่านล้มละลายทางวาจา ทางความเชื่อถือและทางการเมืองแล้วโดยสิ้นเชิง
แต่ท่านนายกฯ ครับ คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งท่านอาจจะไม่ได้ตั้งใจและคาดไม่ถึงก็คือ การเล่นเอาเถิดเจ้าล่อหนีการตรวจสอบของท่านหลังยุบสภามานี้ ทำให้คนไทยกว่าสิบล้านคนหูตาสว่าง ได้รับการศึกษาทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง ถึงจะเรียนในมหาวิทยาลัยสักสิบปีก็ไม่ปาน เป็นการศึกษาที่ครบขบวนการในภาษาฝรั่งที่ท่านชอบ คือ political education, political socialization, political mobilization สิบล้านคนที่รู้ทันท่านนายกฯ และพรรคของท่าน เป็นสิบล้านคนที่นับวันจะใหญ่โตและเข้มแข็งขึ้น
เขาไม่เอาดอกครับ ระบอบทักษิณ ขอให้ท่านเสียสละ รีบถอนตัวออกมาเถิด รีบมาร่วมกับพลังแห่งอนาคตที่จะสร้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยกัน ก่อนจะออกอย่าลืมบริจาคเงินให้ทุกจังหวัดในประเทศไทยสักจังหวัดละหนึ่งร้อยล้านบาท เพื่อสร้างมูลนิธิกองทุนเพื่อประชาธิปไตยและปราบปรามคอร์รัปชัน ท่านจะกลายเป็นรัฐบุรุษประชาธิปไตยในพริบตาเดียว แทนที่จะเป็นทรราชกอดซากศพรัฐบาลร่างทรงไปสู่อเวจีทางการเมือง
วันจักรี 6 เมษายนนี้ ไปถวายบังคมพระบรมปฐมกษัตริย์ขอพระบารมีคุ้มเกล้าเถิด
ด้วยปรารถนาดี
ปราโมทย์ นาครทรรพ