สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 1
คือเผอิญผมเป็นหมอ แล้วภรรยาก็เป็นหมอเด็กด้วยครับ เรามีลูกเล็กๆ 1ขวบครึ่ง อยู่ในเมืองในตจว. ซึ่งในเมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองค้าขายทำธุรกิจพอสมควรมีโรงเรียนสอนพิเศษ และภาษาต่างประเทศหลายแห่ง แต่กลับไม่มี เนิสเซอรี่ดีๆที่ได้มาตรฐานเลย ผมกับภรรยาซึ่งต้องทำงานทั้งคู่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตนเอง ประกอบกับครอบครัวปู่ย่า ตายายก็อยู่ ตจว.ไม่สามารถมาเลี้ยงให้ได้ ต้องตะเวนหาแทบแย่แต่ก็ยังไม่รู้สึกตรงใจเรา จึงเกิดปิ๊ง idea นมาว่าขนาดเรายังหาลำบากแบบนี้ ผมเชื่อว่าก็ต้องมีคนที่เข้าต้องการหาเนสเซอรี่ดีๆไว้ใจได้มีมาตรฐานปลอดภัย แม้ราคาจะแพงหน่อยไม่ว่า เพราะเด็กก็ต้องเกิดทุกวัน สังคมก็บีบคั้นให้ทั้งสามีภรรยาต้องออกทำงานทั้งคู่ ครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น demand จะมากกว่า supply ประกอบกับความเป็นหมอน่าจะทำให้เราได้แต้มต่อในการทำธุรกิจประเภทนี้ด้วยนะครับ จึงอยากถามความเห็น รวมถึงอยากได้คำชี้แนะและใครมีประสบการณ์ทั้งของตัวเองทำอยู่ หรือญาติๆเพื่อนฝูงทำอยู่ จะกรุณาถ่ายทอดด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 2
ไม่ได้ทำเองครับ แต่มีประสบการณ์ตรง คือเป็นผู้ใช้บริการมาสามปีแล้ว
ตจว.กับกทม.อาจจะแตกต่างในเรื่องพฤติกรรมผู้ใช้บริการเล็กน้อยนะครับ
ถ้าคุณหมอชาตรีเป็นหมอประจำโรงพยาบาลอยู่แล้ว
และหากทางรพ.มีแผนกสูติฯ หรือแผนกเด็กอยู่แล้ว
และสามารถคุยกับทางโรงพยาบาลให้เปิด section
ที่เป็น nursery ได้ จะได้รับความนิยมมากครับ
เพราะพ่อแม่ที่คลอดลูกที่รพ.นั้น และคนทั่วไป
จะให้ความเชื่อถือกับรพ.ไปแล้วส่วนหนึ่ง
และข้อดีอีกอย่างคือ สามารถ admit เด็กได้ทันทีที่ลูกป่วยหนัก
ผมคิดว่า ประเด็นที่จะทำให้ nursery ประสบความสำเร็จ
(ไม่ได้เรียงตามความสำคัญ) คือ
1. ทำเลสะดวก เช่นในเมือง ใกล้สถานที่ทำงานพ่อแม่
2. ความสะอาดของสถานที่
3. ควรมีห้องแยกเด็กป่วยจากเด็กปกติ
4. การกระตุ้นพัฒนาการเด็กอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น การนวดพัฒนากล้ามเนื้อ การพัฒนาทักษะต่างๆ
การพัฒนาการเรียนรู้ ฯลฯ
5. ความปลอดภัย คนนอกเข้าได้หรือไม่ ฯลฯ
6. มีพื้นที่ที่คุณแม่สามารถให้นมบุตรได้
7. คุณภาพพยาบาลหรือพี่เลี้ยง และสุขภาพจิต
(ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาแม้งานจะเยอะมาก)
8. ยืดหยุ่นในการรับและส่งเด็ก
อัตราส่วนของพี่เลี้ยง/เด็กขั้นต่ำคือ 1 ต่อ 3
บางที่มี option 1 ต่อ 1 ให้สำหรับเด็กเล็ก ก็จะเป็น plus มากๆ
ตจว.กับกทม.อาจจะแตกต่างในเรื่องพฤติกรรมผู้ใช้บริการเล็กน้อยนะครับ
ถ้าคุณหมอชาตรีเป็นหมอประจำโรงพยาบาลอยู่แล้ว
และหากทางรพ.มีแผนกสูติฯ หรือแผนกเด็กอยู่แล้ว
และสามารถคุยกับทางโรงพยาบาลให้เปิด section
ที่เป็น nursery ได้ จะได้รับความนิยมมากครับ
เพราะพ่อแม่ที่คลอดลูกที่รพ.นั้น และคนทั่วไป
จะให้ความเชื่อถือกับรพ.ไปแล้วส่วนหนึ่ง
และข้อดีอีกอย่างคือ สามารถ admit เด็กได้ทันทีที่ลูกป่วยหนัก
ผมคิดว่า ประเด็นที่จะทำให้ nursery ประสบความสำเร็จ
(ไม่ได้เรียงตามความสำคัญ) คือ
1. ทำเลสะดวก เช่นในเมือง ใกล้สถานที่ทำงานพ่อแม่
2. ความสะอาดของสถานที่
3. ควรมีห้องแยกเด็กป่วยจากเด็กปกติ
4. การกระตุ้นพัฒนาการเด็กอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น การนวดพัฒนากล้ามเนื้อ การพัฒนาทักษะต่างๆ
การพัฒนาการเรียนรู้ ฯลฯ
5. ความปลอดภัย คนนอกเข้าได้หรือไม่ ฯลฯ
6. มีพื้นที่ที่คุณแม่สามารถให้นมบุตรได้
7. คุณภาพพยาบาลหรือพี่เลี้ยง และสุขภาพจิต
(ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาแม้งานจะเยอะมาก)
8. ยืดหยุ่นในการรับและส่งเด็ก
อัตราส่วนของพี่เลี้ยง/เด็กขั้นต่ำคือ 1 ต่อ 3
บางที่มี option 1 ต่อ 1 ให้สำหรับเด็กเล็ก ก็จะเป็น plus มากๆ
Success is not Final; Failure is not Fatal;
It's the courage to continue that counts.
It's the courage to continue that counts.
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 3
idea น่าสนใจมากครับ เคยคิแนวๆนี้เหมือนกันว่าเปิดมันซะเลยใน รพ.แต่ก็เกรางปัญหาเรื่องค่าเช่าสถานที่น่าจะสูง และเนื่องจากเป็น รพ.จะค่อนข้างเสี่ยงเรื่องของชื้อโรคหน่ะครับ ใจยังคิดว่าหากเรามีสถานที่เองเราอาเปิดคลินิกด้วย แล้งต่อไปอาจทำธุรกิจขายอุปกรณ์ เครื่องใช้เกี่ยวกับเด็กได้ แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่จินตนาการอยู่นะครับ ขอบคุณมากครับ ใครมี idea หรือประสบการณ์ตรงช่วยถ่ายทอดจะเป็นพระคุณยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 4
ผมไม่มีประสบการณ์ตรงแต่เคยเห็นที่ รพ.แห่งหนึ่งใน กทม.ทำในลักษณะนี้drchatri เขียน:idea น่าสนใจมากครับ เคยคิแนวๆนี้เหมือนกันว่าเปิดมันซะเลยใน รพ.แต่ก็เกรางปัญหาเรื่องค่าเช่าสถานที่น่าจะสูง และเนื่องจากเป็น รพ.จะค่อนข้างเสี่ยงเรื่องของชื้อโรคหน่ะครับ ใจยังคิดว่าหากเรามีสถานที่เองเราอาเปิดคลินิกด้วย แล้งต่อไปอาจทำธุรกิจขายอุปกรณ์ เครื่องใช้เกี่ยวกับเด็กได้ แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่จินตนาการอยู่นะครับ ขอบคุณมากครับ ใครมี idea หรือประสบการณ์ตรงช่วยถ่ายทอดจะเป็นพระคุณยิ่งครับ
ผมว่าลองไปเซอร์เวย์ตาม รพ.ดูซิครับเผื่อได้ข้อมูลดีๆก็ได้ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 6
คุณหมอครับ ลองไปอ่าน the new buffetology ก่อนนะ
แล้วผมคิดงี้ครับ
คือคนเราจะทำอะไรก็เพราะเรามีประสบการณ์ หรือเรียนมา หรือมีโอกาสเข้ามา หรือ เรากำลังต้องการแล้วขาด
ผมคิดว่าเป็นการมองออกจากตัวเองครับ
ลองมองกลับเข้ามาในโลกของเราดีกว่า
เหมือนส่องกล้องจุลทรรศน์เลย
แล้วตรวจดูว่า จริงๆแล้วมีธุรกิจอะไรบ้างในโลกนี้ ที่ทำง่ายๆ ไม่กระเทือนเวลาคุณหมอ
คือ ความเสี่ยงน้อย กำไรมากอะครับ
เช่นธุรกิจลดน้ำหนัก แบบที่มีคอร์สฝึกอบรม + อาหารเสริม ( เราผลิตเองได้ เชื่อเถอะ ฟู้ดไซน์บ้านเราไม่ธรรมดา ) ตอนนี้ก็บูมมากๆ ไปทั่วโลก แถมขายเฟรนไชน์ได้อีกต่างหาก
ผมเองเห็นด้วยนะว่าคุณหมอจะเปิด เนอสเซอรี่ แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่ทราบเหมือนกันว่า มองในมุมของธุรกิจมันคุ้มค่าแค่ไหน
เพราะผมคิดว่าหมอต้องใส่คุณภาพเข้าไปเต็มที่แน่ๆ ซึ่งก็เสี่ยงกับตลาดที่ไม่แน่ใจว่า ในจังหวัดที่หมออยู่มีคนรับราคานั้นได้กี่คน
คือคนไทยรวย และอยากได้ของดีมาก ถึง ดีที่สุด ในราคา แบบถ้าเราขาดทุน เขาจะดีใจมากเลย
ในทางธุรกิจนั้นเราทำได้หมดครับ
1. จับตลาดล่าง ราคาถูก
2. จับตลาดกลาง ราคาเป็นกันเอง
3. จับตลาดบน ราคาแพง
อย่างไรก็ตามเรามองทีตลาดเป็นหลัก ว่าตลาดต้องการอะไร แล้วเราจะทำอะไรไปขายให้ตรงตามความต้องการตลาด ซึ่งมันไม่ได้เกียวกับว่า เราต้องการอะไร แต่เน้นว่าตลาดต้องการอะไรต่างหาก
ผมก็เจอเพื่อนหลายคนนะ ที่อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ เพราะที่มันมีไม่ดี ก็เลยไปทำซะเลย จริงๆแล้ว ก็ดีนะ ที่มองเห็น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องวางไว้เลย เพราะไม่เกี่ยวกับความอยู่รอดของบริษัทเท่าไร ( ความต้องการของเรา )
มีคนบอกว่า ระหว่างขายของที่เราอยากขาย( เพราะคิดว่าดี ) กับขายของที่คนซื้ออยากซื้อ
ธุรกิจไหนน่าทำกว่ากัน
แล้วผมคิดงี้ครับ
คือคนเราจะทำอะไรก็เพราะเรามีประสบการณ์ หรือเรียนมา หรือมีโอกาสเข้ามา หรือ เรากำลังต้องการแล้วขาด
ผมคิดว่าเป็นการมองออกจากตัวเองครับ
ลองมองกลับเข้ามาในโลกของเราดีกว่า
เหมือนส่องกล้องจุลทรรศน์เลย
แล้วตรวจดูว่า จริงๆแล้วมีธุรกิจอะไรบ้างในโลกนี้ ที่ทำง่ายๆ ไม่กระเทือนเวลาคุณหมอ
คือ ความเสี่ยงน้อย กำไรมากอะครับ
เช่นธุรกิจลดน้ำหนัก แบบที่มีคอร์สฝึกอบรม + อาหารเสริม ( เราผลิตเองได้ เชื่อเถอะ ฟู้ดไซน์บ้านเราไม่ธรรมดา ) ตอนนี้ก็บูมมากๆ ไปทั่วโลก แถมขายเฟรนไชน์ได้อีกต่างหาก
ผมเองเห็นด้วยนะว่าคุณหมอจะเปิด เนอสเซอรี่ แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่ทราบเหมือนกันว่า มองในมุมของธุรกิจมันคุ้มค่าแค่ไหน
เพราะผมคิดว่าหมอต้องใส่คุณภาพเข้าไปเต็มที่แน่ๆ ซึ่งก็เสี่ยงกับตลาดที่ไม่แน่ใจว่า ในจังหวัดที่หมออยู่มีคนรับราคานั้นได้กี่คน
คือคนไทยรวย และอยากได้ของดีมาก ถึง ดีที่สุด ในราคา แบบถ้าเราขาดทุน เขาจะดีใจมากเลย
ในทางธุรกิจนั้นเราทำได้หมดครับ
1. จับตลาดล่าง ราคาถูก
2. จับตลาดกลาง ราคาเป็นกันเอง
3. จับตลาดบน ราคาแพง
อย่างไรก็ตามเรามองทีตลาดเป็นหลัก ว่าตลาดต้องการอะไร แล้วเราจะทำอะไรไปขายให้ตรงตามความต้องการตลาด ซึ่งมันไม่ได้เกียวกับว่า เราต้องการอะไร แต่เน้นว่าตลาดต้องการอะไรต่างหาก
ผมก็เจอเพื่อนหลายคนนะ ที่อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ เพราะที่มันมีไม่ดี ก็เลยไปทำซะเลย จริงๆแล้ว ก็ดีนะ ที่มองเห็น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องวางไว้เลย เพราะไม่เกี่ยวกับความอยู่รอดของบริษัทเท่าไร ( ความต้องการของเรา )
มีคนบอกว่า ระหว่างขายของที่เราอยากขาย( เพราะคิดว่าดี ) กับขายของที่คนซื้ออยากซื้อ
ธุรกิจไหนน่าทำกว่ากัน
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 7
อืม..เป็นวิธีคิดที่น่าสนใจมากครับ คือผมพอจะเข้าใจ concept ที่คุณ Jeng บอกหน่ะครับ ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรควรมองจากความต้องการของผู้บริโภค ไม่ใช่มองจากความ "อยากของตัวเราเอง" ผมก็กำลังศึกษาหาลู่ทางอยู่หน่ะครับ ขอบคุณมากครับที่ช่วยชี้แนะ ผมก็เป็นเพียงหมอคนนึ่งที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจอะไร แต่มีความสนใจด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆหน่ะครับก็เลยเริ่มศึกษาเรียนรู้ และผมคิดว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จากชีวิตจริงมีความสำคัญมากหน่ะครับ ผมชอบที่จะพูดคุยแลกเปลียนความคิดเห็นอย่างนี้ มีประโยชน์มากนะครับ ขอขอบคุณมากๆครับ
- กระทิงแดง
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
สนใจทำธุรกิจเนิสเซอรี่ครับ
โพสต์ที่ 13
ผมก็เคยคิดเหมือนกันนะครับ ตอนมีลูกใหม่ๆ และก็เจอปัญหาเรื่องการฝากเลี้ยงตาม nursery
แต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุด คือการต้องรับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆของคนอื่นครับ เพราะอุบัติเหตุ และการเจ็บไข้ได้ป่วยมีอยู่ตลอดเวลาครับ และ expectation ของพ่อและแม่มีสูงครับ สำหรับการให้เรารับผิดชอบตรงนี้
แต่ถ้าเป็นคุณหมอมาทำ ก็ดีนะครับ เพราะจะแก้ไขจุดบอดตรงนี้ได้
แต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุด คือการต้องรับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆของคนอื่นครับ เพราะอุบัติเหตุ และการเจ็บไข้ได้ป่วยมีอยู่ตลอดเวลาครับ และ expectation ของพ่อและแม่มีสูงครับ สำหรับการให้เรารับผิดชอบตรงนี้
แต่ถ้าเป็นคุณหมอมาทำ ก็ดีนะครับ เพราะจะแก้ไขจุดบอดตรงนี้ได้