MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 32
http://www.mcssteel.com/en/Clients.asp
เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าคับที่ปี2005
บริษัทที่ให้งานตั้งแต่1997
Thai Kajima Co., Ltd.
Thai Obayahshi
Thai Obayashi
Kumakai Gumi Co., Ltd.
Thai Kajima Co., Ltd.
Thai Obayashi
Thai Taisei Co., Ltd.
Thai Takeaka Intl.
Hokoku Juki
Nichimen
Nichimen
Sukikn Trading
Toyotsu
Toyotsu
Chun-Yuan Steel
Thai Herrick
Mitsubishi Trading
Summikn Trading
หรือการเข้าตลาดมีส่วนในการรับงานเพิ่มคับ
เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าคับที่ปี2005
บริษัทที่ให้งานตั้งแต่1997
Thai Kajima Co., Ltd.
Thai Obayahshi
Thai Obayashi
Kumakai Gumi Co., Ltd.
Thai Kajima Co., Ltd.
Thai Obayashi
Thai Taisei Co., Ltd.
Thai Takeaka Intl.
Hokoku Juki
Nichimen
Nichimen
Sukikn Trading
Toyotsu
Toyotsu
Chun-Yuan Steel
Thai Herrick
Mitsubishi Trading
Summikn Trading
หรือการเข้าตลาดมีส่วนในการรับงานเพิ่มคับ
- เพื่อน
- Verified User
- โพสต์: 1826
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 33
ผมว่ามีอะไร ที่ยังน่าสงสัยอยู่นะครับ
พอดีไม่ได้ติดตามรายละเอียดบริษัทนี้เลยครับ
ขอถามเป็นความรู้เพิ่มอีกหน่อย เผี่อๆว่าความรู้สึกสงสัยนี้จะลดลง....ขอถามดังนี้นะครับ
1.MCS ใช้แหล่งวัตถุดิบจากที่ไหนป็นหลักครับ
.....ในประเทศ หรือ ต่างประเทศ
2.งานที่ผลิตออกมาเป็นรูปแบบซ้ำๆในระบบMass product หรือปล่าวครับ หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆแล้วแต่ทางผู้ว่าจ้างจะไปรับงานมาเป็นโปรเจ็คส่งต่ออีกที
ถ้าไม่ใช่Mass product แล้ว
3.ทำไมญี่ปุ่นถึงต้องมาสั่งของประเภทนี้ถึงเมืองไทย นอกจากเหตุผลที่ว่าราคาถูกกว่า แต่มีข้อเสียในเรื่องของการขนส่งที่ต้องใช้ระยะเวลา และการดูแลงานให้เป็นตามที่ต้องการค่อนข้างลำบาก แก้ใขก็ยาก.....มันคุ้มกันหรือไม่ครับกับความเสี่ยง
ธรรมชาติของงานแบบนี้มักจะค่อนข้างเร่งรัด คนที่จะสั่งของจากเมืองไทยต้องวางแผนระยะยาว รวมทั้งเผื่อการซ่อมเปลี่ยนในกรณีที่ทำผิดสเปค และผู้จ้างต้องมีงานต่อเนื่องที่ควบคุมได้จริงๆ ถ้าไม่งั้นเค้าจะเลือกแหล่งผลิตใกล้ตัวที่เร่งรัดได้และดูแลไม่ให้ผิดพลาดเพื่อความผลอดภัยของตัวเอง
ถ้าหากผู้รับจ้างทำผิดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงการทะเลาะกับผู้ว่าจ้างทันที เพราะเกิดความเสียหายได้สูงและอาจแก้ใขได้ไม่ทันเวลา
4. การที่เค้าบอกว่าเตรียมไปตั้งSERVICE STATIONที่ญี่ปุ่น อาจกลายเป็นการค่อยๆเตรียมเปิดบริษัทที่นั่นเลยหรือไม่ครับ โดยนำฝีมือแรงงานจากไทยที่ได้คัดเลือกจากMCSแล้วส่งไปที่นั่นเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องเวลาและควบคุมคุณภาพงานได้ใกล้ชิดในราคาที่ถูกไม่น้อยกว่าเดิม สามารถแก้ปัญหาในข้อ3.ได้ทันทีเลยครับพร้อมกับได้ของถูกด้วย ที่เมืองไทยอาจกลายเป็นSTATIONสำรองการผลิตประเภทMassไปแทน
ถามดูเผื่อให้คิดๆกันครับ อาจไม่ใช่อย่างที่ผมคิดก็ได้เพราะผมไม่ได้ติดตามข้อมูลเค้าเลยครับ
ผมว่าถ้าเค้ายึดลูกค้าในประเทศไทยเป็นหลักน่าจะปลอดภัยกว่าเยอะครับ แล้วให้ญี่ปุ่นเป็นอันดับรองๆลงไป...ลักษณะงานมันไม่เหมือนงานพวกอุปกรณ์อิเลคโทรนิคนะครับ นอกจากว่างานที่เค้าส่งไปเป็นรูปแบบที่ซ้ำๆกันในระบบMass product จริงๆ
พอดีไม่ได้ติดตามรายละเอียดบริษัทนี้เลยครับ
ขอถามเป็นความรู้เพิ่มอีกหน่อย เผี่อๆว่าความรู้สึกสงสัยนี้จะลดลง....ขอถามดังนี้นะครับ
1.MCS ใช้แหล่งวัตถุดิบจากที่ไหนป็นหลักครับ
.....ในประเทศ หรือ ต่างประเทศ
2.งานที่ผลิตออกมาเป็นรูปแบบซ้ำๆในระบบMass product หรือปล่าวครับ หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆแล้วแต่ทางผู้ว่าจ้างจะไปรับงานมาเป็นโปรเจ็คส่งต่ออีกที
ถ้าไม่ใช่Mass product แล้ว
3.ทำไมญี่ปุ่นถึงต้องมาสั่งของประเภทนี้ถึงเมืองไทย นอกจากเหตุผลที่ว่าราคาถูกกว่า แต่มีข้อเสียในเรื่องของการขนส่งที่ต้องใช้ระยะเวลา และการดูแลงานให้เป็นตามที่ต้องการค่อนข้างลำบาก แก้ใขก็ยาก.....มันคุ้มกันหรือไม่ครับกับความเสี่ยง
ธรรมชาติของงานแบบนี้มักจะค่อนข้างเร่งรัด คนที่จะสั่งของจากเมืองไทยต้องวางแผนระยะยาว รวมทั้งเผื่อการซ่อมเปลี่ยนในกรณีที่ทำผิดสเปค และผู้จ้างต้องมีงานต่อเนื่องที่ควบคุมได้จริงๆ ถ้าไม่งั้นเค้าจะเลือกแหล่งผลิตใกล้ตัวที่เร่งรัดได้และดูแลไม่ให้ผิดพลาดเพื่อความผลอดภัยของตัวเอง
ถ้าหากผู้รับจ้างทำผิดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงการทะเลาะกับผู้ว่าจ้างทันที เพราะเกิดความเสียหายได้สูงและอาจแก้ใขได้ไม่ทันเวลา
4. การที่เค้าบอกว่าเตรียมไปตั้งSERVICE STATIONที่ญี่ปุ่น อาจกลายเป็นการค่อยๆเตรียมเปิดบริษัทที่นั่นเลยหรือไม่ครับ โดยนำฝีมือแรงงานจากไทยที่ได้คัดเลือกจากMCSแล้วส่งไปที่นั่นเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องเวลาและควบคุมคุณภาพงานได้ใกล้ชิดในราคาที่ถูกไม่น้อยกว่าเดิม สามารถแก้ปัญหาในข้อ3.ได้ทันทีเลยครับพร้อมกับได้ของถูกด้วย ที่เมืองไทยอาจกลายเป็นSTATIONสำรองการผลิตประเภทMassไปแทน
ถามดูเผื่อให้คิดๆกันครับ อาจไม่ใช่อย่างที่ผมคิดก็ได้เพราะผมไม่ได้ติดตามข้อมูลเค้าเลยครับ
ผมว่าถ้าเค้ายึดลูกค้าในประเทศไทยเป็นหลักน่าจะปลอดภัยกว่าเยอะครับ แล้วให้ญี่ปุ่นเป็นอันดับรองๆลงไป...ลักษณะงานมันไม่เหมือนงานพวกอุปกรณ์อิเลคโทรนิคนะครับ นอกจากว่างานที่เค้าส่งไปเป็นรูปแบบที่ซ้ำๆกันในระบบMass product จริงๆ
- bigshow
- Verified User
- โพสต์: 730
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 34
อาจเพราะมีคำว่า steel ต่อท้าย ทำให้คนไม่ค่อยสนใจ
เหมือนผมตอนแรกก็ไม่ได้หุ้นกลุ่มวัสดุก็สร้างเลย จนได้ดูในทีวี
ที่มีนักวิเคราะห์ที่เป็นแขกๆ ของ trinity ออกมาพูดถึงหุ้นตัวนี้
ผมว่าในตลาดมีหุ้น 400-500 ตัว นักลงทุนรู้จักไม่หมดหรอก
อย่างผมก็จะตัดกลุ่มที่ผมไม่สนใจออกเลย เช่น เกษตร สิ่งทอ โรงแรม วัสดุก่อสร้าง อสังหา(ยกเว้นกลุ่มนิคม) ปิโตรเคมี
นักลงทุนไทยทำการบ้านน้อยมาก ตลาดมันไม่มีประสิทธิภาพหรอกไม่เชื่อผมก็เชื่อ buffet แล้วกัน
เหมือนผมตอนแรกก็ไม่ได้หุ้นกลุ่มวัสดุก็สร้างเลย จนได้ดูในทีวี
ที่มีนักวิเคราะห์ที่เป็นแขกๆ ของ trinity ออกมาพูดถึงหุ้นตัวนี้
ผมว่าในตลาดมีหุ้น 400-500 ตัว นักลงทุนรู้จักไม่หมดหรอก
อย่างผมก็จะตัดกลุ่มที่ผมไม่สนใจออกเลย เช่น เกษตร สิ่งทอ โรงแรม วัสดุก่อสร้าง อสังหา(ยกเว้นกลุ่มนิคม) ปิโตรเคมี
นักลงทุนไทยทำการบ้านน้อยมาก ตลาดมันไม่มีประสิทธิภาพหรอกไม่เชื่อผมก็เชื่อ buffet แล้วกัน
เป็นคนเลว ในสายตาคนอื่น ดีกว่าโกหกตัวเอง ให้เทิดทูนบูชา ติดกับมายาคติ ที่กะลาครอบ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 35
คำว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้แปลว่า ไร้ประสิทธิภาพ 0% หรอก ถ้าเป็นแบบนั้น VI ก็ไม่สามารถรวยได้ เพราะถ้าตลาดไร้ประสิทธิภาพ 0% ราคากับคุณค่าจะมี Correlation = 0 ดังนั้นการมานั่งตีคุณค่าบริษัทจะไร้ประโยชน์ เพราะคุณค่าไม่สัมพันธ์กับราคา
VI จะรวยได้ ตลาดจะต้องมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง say 70% เพราะถ้าอย่างนั้น จะมีโอกาสที่หุ้นบางตัวในบางเวลามีราคาต่ำกว่าคุณค่า เมื่อนั้น VI จะเข้าไปซื้อ และจะมีกำไรได้ก็ต่อเมื่อความมีประสิทธิภาพของตลาดพาราคาของหุ้นตัวนั้นวิ่งผ่าน fair value ของมันอีกครั้ง ซึ่งจะต้องรอนานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับตลาดมีประสิทธิภาพในระดับไหนครับ
อยากประมาณว่าตลาดมีประสิทธิภาพสักกี่เปอร์เซนต์ ก็ลองดูผลงานในพอร์ตของคุณก็ได้ ถ้าซื้ออะไรก็กำไรหมด กำไรตลอดเวลา แบบนี้ตลาดไร้ประสิทธิภาพแน่นอน แต่ถ้ากำไรมันโครตยากเลย อันนี้ตลาดมีประสิทธิภาพสูงในระดับหนึ่งอาจจะ 80-90% แต่ไม่ใช่ 100% แน่นอน
ผมว่าการบอกว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น PE ต่ำของหุ้นจึงเกิดจากคนมองไม่เห็น อันนี้ผมว่า ง่ายเกินไปหน่อย
VI จะรวยได้ ตลาดจะต้องมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง say 70% เพราะถ้าอย่างนั้น จะมีโอกาสที่หุ้นบางตัวในบางเวลามีราคาต่ำกว่าคุณค่า เมื่อนั้น VI จะเข้าไปซื้อ และจะมีกำไรได้ก็ต่อเมื่อความมีประสิทธิภาพของตลาดพาราคาของหุ้นตัวนั้นวิ่งผ่าน fair value ของมันอีกครั้ง ซึ่งจะต้องรอนานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับตลาดมีประสิทธิภาพในระดับไหนครับ
อยากประมาณว่าตลาดมีประสิทธิภาพสักกี่เปอร์เซนต์ ก็ลองดูผลงานในพอร์ตของคุณก็ได้ ถ้าซื้ออะไรก็กำไรหมด กำไรตลอดเวลา แบบนี้ตลาดไร้ประสิทธิภาพแน่นอน แต่ถ้ากำไรมันโครตยากเลย อันนี้ตลาดมีประสิทธิภาพสูงในระดับหนึ่งอาจจะ 80-90% แต่ไม่ใช่ 100% แน่นอน
ผมว่าการบอกว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น PE ต่ำของหุ้นจึงเกิดจากคนมองไม่เห็น อันนี้ผมว่า ง่ายเกินไปหน่อย
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 36
Simply the best นะครับคุณสุมาอี้ผมว่าการบอกว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น PE ต่ำของหุ้นจึงเกิดจากคนมองไม่เห็น อันนี้ผมว่า ง่ายเกินไปหน่อย
อย่าลืมว่าไม่เกิน 10% ของนักลงทุนรายย่อยไทย ไม่อ่านงบการเงิน
(10% มากเกินไปป่าวหว่า) และเชื่อว่า 90% คงเคยโดนเหล็กทุบ
เพราะถือ MS NSM SSI เมื่อยังรุ่งเรือง
MCS เล็กเกินกว่าที่นักลงทุนสถาบันไทยและฝรั่ง(ซึ่งอ่านงบการเงิน)จะสนใจ
ใครจะมาซื้อล่ะ
ที่ท่านคัทท้ายเคยบอกว่ากำไรเราต้องมาจากเงินในกระเป๋าคนอื่น
ผมเรียนตามตรงว่าเงินในกระเป๋า MCS นี่แหละ ที่พอวางใจได้
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 37
ผมไม่ทราบว่าท่านขุนพล สุมาอี้ อยู่ในตลาดไทยมากี่ปี ?สุมาอี้ เขียน:คำว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้แปลว่า ไร้ประสิทธิภาพ 0% หรอก ถ้าเป็นแบบนั้น VI ก็ไม่สามารถรวยได้ เพราะถ้าตลาดไร้ประสิทธิภาพ 0% ราคากับคุณค่าจะมี Correlation = 0 ดังนั้นการมานั่งตีคุณค่าบริษัทจะไร้ประโยชน์ เพราะคุณค่าไม่สัมพันธ์กับราคา
VI จะรวยได้ ตลาดจะต้องมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง say 70% เพราะถ้าอย่างนั้น จะมีโอกาสที่หุ้นบางตัวในบางเวลามีราคาต่ำกว่าคุณค่า เมื่อนั้น VI จะเข้าไปซื้อ และจะมีกำไรได้ก็ต่อเมื่อความมีประสิทธิภาพของตลาดพาราคาของหุ้นตัวนั้นวิ่งผ่าน fair value ของมันอีกครั้ง ซึ่งจะต้องรอนานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับตลาดมีประสิทธิภาพในระดับไหนครับ
อยากประมาณว่าตลาดมีประสิทธิภาพสักกี่เปอร์เซนต์ ก็ลองดูผลงานในพอร์ตของคุณก็ได้ ถ้าซื้ออะไรก็กำไรหมด กำไรตลอดเวลา แบบนี้ตลาดไร้ประสิทธิภาพแน่นอน แต่ถ้ากำไรมันโครตยากเลย อันนี้ตลาดมีประสิทธิภาพสูงในระดับหนึ่งอาจจะ 80-90% แต่ไม่ใช่ 100% แน่นอน
ผมว่าการบอกว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น PE ต่ำของหุ้นจึงเกิดจากคนมองไม่เห็น อันนี้ผมว่า ง่ายเกินไปหน่อย
แต่ในชัยภูมินี้ ทหารเลว อย่างขาพเจ้าพบว่ามันเป็นชัยภูมิที่มีความประหลาดนะท่านแม่ทัพ
เมื่อ 4 ปีก่อน หุ้น PE 4-5 เต็มตลาด ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ารนักวิเคราะห์คนไหนจะบอกให้ซื้อแล้วไม่ต้องขายเลย
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 38
ญี่ปุ่น มอง ไทยว่าลงทุน
บางครั้งก็มอง บริษัทในไทยน่าสนใจที่จะติดต่อการ
ค้าด้วย เพียงแต่ การติดต่อกับญีปุ่น
คนไทย มักพูดว่า
จุกจิก เรื่องมาก มากเรื่อง
แต่บางคน
เขาว่า
เงินตรง ไม่เบี้ยว
ปัญหา คือ ไม่ไช่ว่าทุกคนที่
ติดต่อสำเร็จและนาน
นี่แหละคับ
สำคัญ
บางครั้งก็มอง บริษัทในไทยน่าสนใจที่จะติดต่อการ
ค้าด้วย เพียงแต่ การติดต่อกับญีปุ่น
คนไทย มักพูดว่า
จุกจิก เรื่องมาก มากเรื่อง
แต่บางคน
เขาว่า
เงินตรง ไม่เบี้ยว
ปัญหา คือ ไม่ไช่ว่าทุกคนที่
ติดต่อสำเร็จและนาน
นี่แหละคับ
สำคัญ
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 39
ผมว่าความกลัวยังไม่สะเด็ดน้ำมากกว่า เขาลงกันทั้งตลาดต้องรักษามารยาท พอความโลภเป็นขาขึ้นก็คงดีเองแหละ พื้นฐานกับธรรมาภิบาลน่าจะยังดีอยู่นา
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 40
[quote="ด๊กดิงด่าง"]ผมว่าความกลัวยังไม่สะเด็ดน้ำมากกว่า
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 41
จุดที่น่าห่วงคือเรื่องต้นทุนแรงงาน นึกถึงสมัยอีสเทอร์นซีบอร์ดบูม แรงงานฝีมือขาดแคลน มีการแย่งแรงงานกัน ค่าแรงขึ้นเอาขึ้นเอา ไม่ทราบต้นทุนแรงงงานของMCSมีสัดส่วนเท่าไรของต้นทุนรวม ที่มาเมืองไทยก็เพราะค่าแรงถูกเป็นหลักใช่หรือปล่าว(ผมยังไม่ได้ศึกษาMCSอย่างละเอียด) แรงงานฝีมือเฉพาะทางที่มีใบcertificateนี่เป็นหอกข้างแคร่ได้นะผมว่า
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 42
อย่างท่านคัดท้ายเป็นทหารเอกระดับจูล่งครับ ไม่ใช่ทหารลูกแถวธรรมดา.............
ขอบคุณทุกความเห็น ได้แนวคิดไปต่อยอดเยอะเลยครับ ผมรอรับอยู่ที่ 2.5 x 100 หุ้นนะครับ รีบทิ้งมาหน่อยครับ
แต่ว่ากำลังการผลิตของ mcs สูงสุด 50000 ตันต่อปี ดูน่าจะเกือบเต็มแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าบริษัทวางแผนต่อไปอย่างไรน้า...
ขอบคุณทุกความเห็น ได้แนวคิดไปต่อยอดเยอะเลยครับ ผมรอรับอยู่ที่ 2.5 x 100 หุ้นนะครับ รีบทิ้งมาหน่อยครับ
แต่ว่ากำลังการผลิตของ mcs สูงสุด 50000 ตันต่อปี ดูน่าจะเกือบเต็มแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าบริษัทวางแผนต่อไปอย่างไรน้า...
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 43
หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ value ของมัน probablisitic in nature ครับ
เมื่อสี่ปีก่อน P/E 3-4 เท่า อาจจะเหมาะสมเพราะตอนนั้น ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจจะ turnaround มันแทบมองไม่เห็น ไม่มีใครเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าปีหน้า GDP growth ของไทยคงอยู่แถว ๆ 3-5% โอกาสที่ GPD growth จะถึงขั้นติดลบแทบจะไม่มี ไม่เหมือนกับสถานการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้น P/E จะอยู่ที่ 3-4 เท่า "ไม่ได้"
P/E ที่เหมาะสมจึงต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ เพราะ outlook ในแต่ละปีมันไม่เหมือนกัน ทันทีที่ information ใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด ราคาของสินทรัพย์จะต้องเปลี่ยนไปเพื่อ reflect ข่าวนั้น
ถ้าจะให้ผมมองว่า P/E ตลาดตอนนี้ควรเป็นเท่าไร ผมก็ต้องประเมินให้ได้ก่อนว่าปีหน้า EPS ของตลาดน่าจะโตได้สักเท่าไร และดอกเบี้ยควรจะวิ่งไปสักกี่เปอร์เซนต์ ให้ได้เสียก่อน
ที่คนชอบพูดว่า P/E เราต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น หุ้นไทยยังถูกอยู่ นี่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยครับ ลองไปดูได้เลย หุ้นไทยมี growth stock น้อยมาก เมื่อเทียบกับมาเลเซียครับ ดังนั้น P/E จึงไม่ควรสูงเท่าเขาครับ
เมื่อสี่ปีก่อน P/E 3-4 เท่า อาจจะเหมาะสมเพราะตอนนั้น ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจจะ turnaround มันแทบมองไม่เห็น ไม่มีใครเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าปีหน้า GDP growth ของไทยคงอยู่แถว ๆ 3-5% โอกาสที่ GPD growth จะถึงขั้นติดลบแทบจะไม่มี ไม่เหมือนกับสถานการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้น P/E จะอยู่ที่ 3-4 เท่า "ไม่ได้"
P/E ที่เหมาะสมจึงต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ เพราะ outlook ในแต่ละปีมันไม่เหมือนกัน ทันทีที่ information ใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด ราคาของสินทรัพย์จะต้องเปลี่ยนไปเพื่อ reflect ข่าวนั้น
ถ้าจะให้ผมมองว่า P/E ตลาดตอนนี้ควรเป็นเท่าไร ผมก็ต้องประเมินให้ได้ก่อนว่าปีหน้า EPS ของตลาดน่าจะโตได้สักเท่าไร และดอกเบี้ยควรจะวิ่งไปสักกี่เปอร์เซนต์ ให้ได้เสียก่อน
ที่คนชอบพูดว่า P/E เราต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น หุ้นไทยยังถูกอยู่ นี่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยครับ ลองไปดูได้เลย หุ้นไทยมี growth stock น้อยมาก เมื่อเทียบกับมาเลเซียครับ ดังนั้น P/E จึงไม่ควรสูงเท่าเขาครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 44
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยเห็นราคาหุ้นลงหลังจากหุ้นนั้นประกาศผลประกอบการที่ดีออกมา หรือราคาหุ้นดันพุ่งหลังจากผลประกอบการออกมาแย่
เลยทำให้ทุกท่านสรุปว่าตลาดไม่มีเหตุผล
ที่จริงแล้ว ในราคาหุ้นจะมีความคาดหวังอยู่ในนั้นด้วยเสมอ ราคาหุ้นจึงอาจจะเพิ่มหรือลดก็ได้หลังจากผลประกอบการทีออกมาดี เช่น
ถ้าผลประกอบการออกมาว่ากำไรเพิ่ม 30% yoy
-ราคาหุ้นจะขึ้นรับข่าว ถ้าก่อนหน้านั้นตลาดเก็งไว้ว่ากำไรโตแค่ 10%
-ราคาหุ้นจะลงรับข่าว ถ้าก่อนหน้านั้นตลาดเก็งไว้ว่ากำไรจะโต 50%
คนที่ได้กำไรไม่ใช่คนที่เห็นข่าวผลประกอบการออกมาแล้วว่ากำไรเพิ่ม 30% ก็เลยเข้าไปซื้อ แต่คนที่ได้กำไรคือคนที่ซื้อไว้ก่อนผลประกอบการออกมา ตั้งแต่ตอนที่ตลาดยังเชื่อว่ากำไรจะโตแค่ 10% เพราะเขาเชื่อว่ากำไรจะโตได้มากกว่านั้น และผลปรากฎว่าเขาเป็นฝ่ายถูก
หุ้นเล่นยากก็เพราะแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าซื้อหุ้นดีแล้วจะได้กำไรเสมอ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไรต้องซื้อหุ้นที่จะดีแต่ตลาดไม่ทราบว่าจะดี หรือหุ้นที่ตลาดคิดว่ามันเลวแต่มันไม่ได้เลวมากอย่างที่ตลาดคิด
ราคาของ ATC ร่วงลงมารอนานแล้ว คนที่เห็นมันร่วงลงทั้งที่กำไรเพิ่มแห่เข้าไปซื้อ เจ็บตัวกันเป็นแถว เพราะในที่สุดกำไรมันก็ร่วงลงตามราคาจริงๆ คนที่อยู่ในวงการเขารู้ก่อนแล้ว (อาทิเช่น บ้านปู) เขาไม่รอให้ผลประกอบการออกมากำไรลดก่อนค่อยขายหรอก เขาขายออกทันทีที่เห็นสัญญาญลบ
ราคาของ CPN เมื่อกลางปีร่วงไปเหลือแค่ 8 บาท เพราะหุ้นอสังหาลง มันก็เลยลงตาม ผมเห็น insider ก็ขายด้วย แต่ปรากฏว่า ตลาด overreact เพราะ CPN มีรายได้เป็นค่าเช่า ไม่ได้ทำโครงการบ้านขาย ดังนั้นการที่คนซื้อบ้านน้อยลง จึงไม่ได้กระทบ CPN กำไรของ CPN ไม่ได้ลดลงกลับเพิ่มขึ้น พอตลาดตื่น ราคาของ CPN ก็พุ่งขึ้นไปใหม่ ในกรณีนี้ ตลาดคาดการณ์ผิดพลาด คนที่วิ่งเข้าไปซื้อตอน 8 บาท จึงได้กำไรมหาศาล
บางครั้งตลาดก็ทายถูก บางครั้งก็ทายผิด แต่ที่แน่ๆ ตลาดมองไปข้างหน้าเสมอ ตลาดจึงดูไร้เหตุผลสำหรับคนที่ยังคิดว่าตลาดตีราคาหุ้นโดยดูจากกำไรปัจจุบัน
เลยทำให้ทุกท่านสรุปว่าตลาดไม่มีเหตุผล
ที่จริงแล้ว ในราคาหุ้นจะมีความคาดหวังอยู่ในนั้นด้วยเสมอ ราคาหุ้นจึงอาจจะเพิ่มหรือลดก็ได้หลังจากผลประกอบการทีออกมาดี เช่น
ถ้าผลประกอบการออกมาว่ากำไรเพิ่ม 30% yoy
-ราคาหุ้นจะขึ้นรับข่าว ถ้าก่อนหน้านั้นตลาดเก็งไว้ว่ากำไรโตแค่ 10%
-ราคาหุ้นจะลงรับข่าว ถ้าก่อนหน้านั้นตลาดเก็งไว้ว่ากำไรจะโต 50%
คนที่ได้กำไรไม่ใช่คนที่เห็นข่าวผลประกอบการออกมาแล้วว่ากำไรเพิ่ม 30% ก็เลยเข้าไปซื้อ แต่คนที่ได้กำไรคือคนที่ซื้อไว้ก่อนผลประกอบการออกมา ตั้งแต่ตอนที่ตลาดยังเชื่อว่ากำไรจะโตแค่ 10% เพราะเขาเชื่อว่ากำไรจะโตได้มากกว่านั้น และผลปรากฎว่าเขาเป็นฝ่ายถูก
หุ้นเล่นยากก็เพราะแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าซื้อหุ้นดีแล้วจะได้กำไรเสมอ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไรต้องซื้อหุ้นที่จะดีแต่ตลาดไม่ทราบว่าจะดี หรือหุ้นที่ตลาดคิดว่ามันเลวแต่มันไม่ได้เลวมากอย่างที่ตลาดคิด
ราคาของ ATC ร่วงลงมารอนานแล้ว คนที่เห็นมันร่วงลงทั้งที่กำไรเพิ่มแห่เข้าไปซื้อ เจ็บตัวกันเป็นแถว เพราะในที่สุดกำไรมันก็ร่วงลงตามราคาจริงๆ คนที่อยู่ในวงการเขารู้ก่อนแล้ว (อาทิเช่น บ้านปู) เขาไม่รอให้ผลประกอบการออกมากำไรลดก่อนค่อยขายหรอก เขาขายออกทันทีที่เห็นสัญญาญลบ
ราคาของ CPN เมื่อกลางปีร่วงไปเหลือแค่ 8 บาท เพราะหุ้นอสังหาลง มันก็เลยลงตาม ผมเห็น insider ก็ขายด้วย แต่ปรากฏว่า ตลาด overreact เพราะ CPN มีรายได้เป็นค่าเช่า ไม่ได้ทำโครงการบ้านขาย ดังนั้นการที่คนซื้อบ้านน้อยลง จึงไม่ได้กระทบ CPN กำไรของ CPN ไม่ได้ลดลงกลับเพิ่มขึ้น พอตลาดตื่น ราคาของ CPN ก็พุ่งขึ้นไปใหม่ ในกรณีนี้ ตลาดคาดการณ์ผิดพลาด คนที่วิ่งเข้าไปซื้อตอน 8 บาท จึงได้กำไรมหาศาล
บางครั้งตลาดก็ทายถูก บางครั้งก็ทายผิด แต่ที่แน่ๆ ตลาดมองไปข้างหน้าเสมอ ตลาดจึงดูไร้เหตุผลสำหรับคนที่ยังคิดว่าตลาดตีราคาหุ้นโดยดูจากกำไรปัจจุบัน
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 375
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 45
เรียนชี้แจงคุณเพื่อนเพิ่มเติมตามที่ผมเข้าใจนะครับ
1.MCS น่าจะใช้วัตถุจากต่างประเทศนะครับ เนื่องจากเป็นเหล็กเกรดพิเศษไม่น่าจะมีในบ้านเรา
2.ผมคิดว่างานที่ทำไม่น่าจะใช้ Mass Product ตอนแรกผมไม่แน่ใจ แต่พอบอก MCS ได้งานที่ Toyota ผมเลยค่อนข้างแน่ใจ น่าจะเป็นการสั่งทำตามแบบที่กำหนดมาให้ จากลูกค้าอีกทีว่าต้องการ ขนาดโครงสร้างแต่ละจุดกว้างยาวเท่าไหร่ รับนำหนัก กับแรงสั่นสะเทือนได้เท่าไหร่ในแต่ละจุด พร้อมฉะนั้นในแต่ละจุดก็จะไม่เหมือนกันขึ้นกับ Drawing คับ
3.ถามว่าทำไมญี่ปุ่นต้องมาสั่งทำที่เรา ผมว่าเรื่องค่าแรงก็ส่วนหนึ่งนะครับ ค่าแรงงานที่นั่นแพงมาก ๆ บวกกับเรื่องที่ดินที่จะต้อง stock ของไว้ในขณะที่ทำการผลิต ทั้ง lawmaterial และ work in process อีกทั้งค่าขนส่งในญี่ปุ่นค่อนข้างมีราคาสูง กรณีหาที่ดินในเมืองหลวงไม่ได้ต้องไปชนบท + ค่าขนส่งอีกค่อนข้างอ่วมเหมือนกันนะครับ แต่ที่น่ากลัวคือถ้ามีประเทศใด ผลิตส่งแข่งกับ MCS ได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
4.ผมเข้าใจว่างานประเภทนี้เป็นงานรับจ้างผลิตตาม spec ไม่รวมการติดตั้ง
การไปตั้ง ศูนย์ที่นั่นน่าจะได้ประโยชน์มาก ส่วนการย้ายฐานไปโน้นคงจะยากนะครับเนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนการผลิต + การลงทุนโรงงานเพิ่ม
5.การเน้นตลาดในประเทศคงลำบากนะครับ เนื่องจากปริมาณการใช้งานค่อนข้างน้อยนะครับ ไม่เยอะมากสามารถใช้ในประเทศแทนได้ยกเว้น บางโรงงานหรือบางอาคารนะครับ
1.MCS น่าจะใช้วัตถุจากต่างประเทศนะครับ เนื่องจากเป็นเหล็กเกรดพิเศษไม่น่าจะมีในบ้านเรา
2.ผมคิดว่างานที่ทำไม่น่าจะใช้ Mass Product ตอนแรกผมไม่แน่ใจ แต่พอบอก MCS ได้งานที่ Toyota ผมเลยค่อนข้างแน่ใจ น่าจะเป็นการสั่งทำตามแบบที่กำหนดมาให้ จากลูกค้าอีกทีว่าต้องการ ขนาดโครงสร้างแต่ละจุดกว้างยาวเท่าไหร่ รับนำหนัก กับแรงสั่นสะเทือนได้เท่าไหร่ในแต่ละจุด พร้อมฉะนั้นในแต่ละจุดก็จะไม่เหมือนกันขึ้นกับ Drawing คับ
3.ถามว่าทำไมญี่ปุ่นต้องมาสั่งทำที่เรา ผมว่าเรื่องค่าแรงก็ส่วนหนึ่งนะครับ ค่าแรงงานที่นั่นแพงมาก ๆ บวกกับเรื่องที่ดินที่จะต้อง stock ของไว้ในขณะที่ทำการผลิต ทั้ง lawmaterial และ work in process อีกทั้งค่าขนส่งในญี่ปุ่นค่อนข้างมีราคาสูง กรณีหาที่ดินในเมืองหลวงไม่ได้ต้องไปชนบท + ค่าขนส่งอีกค่อนข้างอ่วมเหมือนกันนะครับ แต่ที่น่ากลัวคือถ้ามีประเทศใด ผลิตส่งแข่งกับ MCS ได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
4.ผมเข้าใจว่างานประเภทนี้เป็นงานรับจ้างผลิตตาม spec ไม่รวมการติดตั้ง
การไปตั้ง ศูนย์ที่นั่นน่าจะได้ประโยชน์มาก ส่วนการย้ายฐานไปโน้นคงจะยากนะครับเนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนการผลิต + การลงทุนโรงงานเพิ่ม
5.การเน้นตลาดในประเทศคงลำบากนะครับ เนื่องจากปริมาณการใช้งานค่อนข้างน้อยนะครับ ไม่เยอะมากสามารถใช้ในประเทศแทนได้ยกเว้น บางโรงงานหรือบางอาคารนะครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 47
ตราบใดที่ labor saving สูงกว่า transportation cost บริษัทก็น่าจะยังอยู่ได้ ถ้า FTA ทำให้การนำเข้าเหล็กเสียภาษีอัตราศูนย์ ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อบริษัท
แต่ถ้าประเทศไหนทำส่วนต่างนี้ได้ถ่างกว่า ก็น่ากลัวเหมือนกัน
แต่ถ้าประเทศไหนทำส่วนต่างนี้ได้ถ่างกว่า ก็น่ากลัวเหมือนกัน
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 49
ผมว่า mcs เป็นหุ้นดีตัวหนึ่งที่ตลาดไม่คิดว่ามันดีครับสุมาอี้ เขียน:
หุ้นเล่นยากก็เพราะแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าซื้อหุ้นดีแล้วจะได้กำไรเสมอ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไรต้องซื้อหุ้นที่จะดีแต่ตลาดไม่ทราบว่าจะดี หรือหุ้นที่ตลาดคิดว่ามันเลวแต่มันไม่ได้เลวมากอย่างที่ตลาดคิด
เพราะเนื้อนอกของมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ถ้าลองไปดูลึกๆแล้วผมว่ามีทีเด็ดซ่อนอยู่เยอะ
- วัตถุดิบ mcs สั่งมาจากญีปุ่นเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ล่าสุดตอนนี้ก็มีบางส่วนสั่งจากเกาหลีด้วยครับ
- งานของ mcs เป็น mass customization ครับ คืองานจะไม่เหมือนกันทุกชิ้นเปลี่ยนอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าแตกต่างกันมากมาย จะต่างก็เรื่องของการเจาะรู ความหนาของแผ่นเหล็ก กว้าง ยาว ลึก รอยตัดนิดๆหน่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ไอ้กล่องเหล็กรูปสี่เหลี่ยมกับเหล็กรูปตัว H 2 อย่างเองครับ
- ค่าแรงไม่ใช่ต้นทุนหลักของ mcs ครับ เพราะฉะนั้นค่าแรงที่ไทยถูกกว่าที่ญีปุ่นก็ไม่ได้เป็นจุดแข็งอย่างมากมาย เรื่องที่ทำให้ต้นทุกของ mcs ถูกกว่าก็เห็นจะเป็นเรื่องของ Transportation cost ครับ
เนื่องจากว่าโรงงานประเภทนี้จำเป็นที่จะต้องมีขนาดใหญ่มาก ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะอยู่บริเวณโตเกียวและรอบๆโตเกียว และก็เป็นที่รู้ๆกันดีว่าที่ดินที่ญี่ปุ่นนั้นราคาแพงมากขนาดไหน โรงงานเหล็กประเภทนี้ที่ญี่ปุ่นจึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆคือ กลุ่มที่มีโรงงานอยู่ใกล้โตเกียว แต่ข้อเสียคือหาที่ดินผืนใหญ่ๆยาก โรงงานจึงต้องซอยออกและอยู่แยกกัน นำวัตถุมาก็เก็บไว้ที่นึง เอาไปตัดอีกที่นึงแล้วก็ขนไปเชื่อมอีกที่นึง ค่าขนส่งกินหมดครับ
โรงงานกลุ่มที่ 2 คือพวกโรงงานที่อยู่ไกลจากโตเกียวไปเลย กลุ่มนี้ก็จะมีโรงงานขนาดใหญ่หน่อย สามารถผลิตเสร็จในโรงเดียวได้แบบของ mcs แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่าค่าขนส่งทางบกจากโรงงานในชนบทไปโตเกียว เทียบกับค่าขนส่งทางเรือจาก mcs ไปโตเกียว ของเรายังถูกกว่าแม้จะเป็นช่วงที่ค่าระวางแพงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นถ้าค่าขนทางเรือยังลงไปได้เรื่อยๆ (ซึ่งผมมองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น) ผลต่างของค่าขนส่งทางเรือของ mcs ก็จะยิ่งฉีกตัวห่างจากค่าขนทางบกของบริษัทในญี่ปุ่นเรื่อยๆครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 50
ส่วนเรื่อง FTA นั้น mcs ไม่ได้ประโยชน์ครับ
เพราะว่าวัตถุดิบเอามาจากญีปุ่น แล้วส่งไปขายที่ญี่ปุ่น
ผมจำตัวเลขไม่ได้ว่าวัตถุดิบต้องเกินกี่ % ของราคาส่งออก
แต่เอาเป็นว่าปัจจุบัน mcs ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าเหล็กอยู่แล้วครับ
เพราะว่าวัตถุดิบเอามาจากญีปุ่น แล้วส่งไปขายที่ญี่ปุ่น
ผมจำตัวเลขไม่ได้ว่าวัตถุดิบต้องเกินกี่ % ของราคาส่งออก
แต่เอาเป็นว่าปัจจุบัน mcs ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าเหล็กอยู่แล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 51
อย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรแน่อนในตลาดหรอก ถ้าคิดว่าดีเราก็ซื้อ
แต่ที่สำคัญก็คือ ถ้ามันขึ้นจะทำยังไง และ ถ้ามันลงจะทำยังไงต่างหากที่สำคัญ mcs อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือน cei ไม่มีใครรู้หรอก และก็การซื้อ
หุ้น PE ถูก ก็ไม่ใช่ว่าอนาคตจะไม่ดีเสมอไปหรอก centel ตอน 14 บาทผมไม่เห็นมีใครพูดถึงและก็ซื้อกันเลยวันๆผมแทบจะซื้อคนเดียว พอตอนนี้ 30 บาท
ผมเห็นซื้อขายวันนึงเป็นล้านหุ้น
แต่ที่สำคัญก็คือ ถ้ามันขึ้นจะทำยังไง และ ถ้ามันลงจะทำยังไงต่างหากที่สำคัญ mcs อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือน cei ไม่มีใครรู้หรอก และก็การซื้อ
หุ้น PE ถูก ก็ไม่ใช่ว่าอนาคตจะไม่ดีเสมอไปหรอก centel ตอน 14 บาทผมไม่เห็นมีใครพูดถึงและก็ซื้อกันเลยวันๆผมแทบจะซื้อคนเดียว พอตอนนี้ 30 บาท
ผมเห็นซื้อขายวันนึงเป็นล้านหุ้น
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 52
แบบนี้ดีนะ....ผมว่า
คนที่มีอยู่ก็ต้องศึกษามากขึ้น เพื่อตอบข้อแย้ง และต้องหาเหตุผลมาแจงให้ผู้แย้งยอมรับ
ผู้แก้ต่างก็ได้ข้อมูล ข้อคิดเห็น ส่วนผู้แย้งก็ได้เช่นกัน
กระทู้นี้ขอบอกว่าสุดยอดครับ
อิ..อิ สำหรับผมขอสงวนคำแปรญัติครับ
คนที่มีอยู่ก็ต้องศึกษามากขึ้น เพื่อตอบข้อแย้ง และต้องหาเหตุผลมาแจงให้ผู้แย้งยอมรับ
ผู้แก้ต่างก็ได้ข้อมูล ข้อคิดเห็น ส่วนผู้แย้งก็ได้เช่นกัน
กระทู้นี้ขอบอกว่าสุดยอดครับ
อิ..อิ สำหรับผมขอสงวนคำแปรญัติครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 53
ผมเลียนแบบพี่มนไปแล้วนะครับ ขาย aprint ไปเข้า mcs แล้ว เพราะเบื่อเหลือเกินหุ้นอะไร 10 บาทได้ตลอดปี เหลือไว้นิดหน่อย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า aprint เป็นหุ้นที่ดีนะเอาไว้เดือนมีนาจะกลับมาซื้อใหม่ ผมว่าก็อยู่ที่ 10 บาทเหมือนเดิม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 54
อ่านเจอในหนังสือชี้ชวนต้นทุนการผลิตแบ่งเป็น
วัตถุดิบ 65%
overhead 30%
ค่าแรง 5%
แต่โครงการในอนาคตที่จะทำท่าเรือเห็นบอกว่าจะประหยัดต้นทุนขนส่งได้ประมาณ 1-2% ของค่าขนส่งเดิม ไม่ทราบว่าค่าขนส่งของบริษัทสัดส่วนประมาณเท่าไหร่และอยู่ตรงไหนมีใครพอทราบมั๊ยครับ ...
วัตถุดิบ 65%
overhead 30%
ค่าแรง 5%
แต่โครงการในอนาคตที่จะทำท่าเรือเห็นบอกว่าจะประหยัดต้นทุนขนส่งได้ประมาณ 1-2% ของค่าขนส่งเดิม ไม่ทราบว่าค่าขนส่งของบริษัทสัดส่วนประมาณเท่าไหร่และอยู่ตรงไหนมีใครพอทราบมั๊ยครับ ...
It's earnings that count
- เพื่อน
- Verified User
- โพสต์: 1826
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 56
ขอบคุณครับคุณmustang กับคุณyoyo
เป็นเรื่องที่ผมเพิ่งเคยได้ยินนะครับเนี่ยว่าญี่ปุ่นมีต้นทุนการขนส่งสูงมากขนาดต้องพิ่งพิงการขนส่งระหว่างประเทศแทน....หรือเป็นเพราะเค้ามีสหภาพแรงงานการขนส่งที่แข็งแกร่งมากจนไม่มีใครอยากแทรกตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย....ทำไมการขนส่งภายในเค้าถึงแพงขนาดนั้นได้?
จริงหรือครับ ถ้าจริงก็สุดยอดเลยนะครับ ขนาดขนส่งไปกลับไทย-ญี่ปุ่นรวมกันยังแพงกว่าค่าขนส่งในประเทศเค้าเองอีก ไม่ทราบคุณyoyoมีแหล่งที่มาของข้อมูลเปรียบเทียบนี้หรือปล่าวครับ...น่าสนใจมาก เพราะถ้าเรื่องนี้จริง ญี่ปุ่นคงหาแหล่งผลิตที่เมืองไทย(รวมทั้งประเทศอื่นๆด้วย)อีกมากนะครับค่าขนส่งทางบกจากโรงงานในชนบทไปโตเกียว เทียบกับค่าขนส่งทางเรือจาก mcs ไปโตเกียว ของเรายังถูกกว่า
เป็นเรื่องที่ผมเพิ่งเคยได้ยินนะครับเนี่ยว่าญี่ปุ่นมีต้นทุนการขนส่งสูงมากขนาดต้องพิ่งพิงการขนส่งระหว่างประเทศแทน....หรือเป็นเพราะเค้ามีสหภาพแรงงานการขนส่งที่แข็งแกร่งมากจนไม่มีใครอยากแทรกตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย....ทำไมการขนส่งภายในเค้าถึงแพงขนาดนั้นได้?
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 58
เป็นตัวเลขทีน่าตกใจครับ Value-added ของบริษัท อยู่ใน ค่าแรง ซึ่งมีเพียง 5% เท่านั้นของ costBlueblood เขียน:
วัตถุดิบ 65%
overhead 30%
ค่าแรง 5%
...
และแปลกที่ทำไม profit margin ถึงสูงได้ถึง 10 กว่าเปอร์เซนต์
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
MCS จ๋า...............จะลงถึงเมื่อไรจ๊ะ
โพสต์ที่ 59
นั่นดิ กำไรจากค่าขนส่ง? หรือจะเหมือนที่เอาคนแก่มาทิ้งไว้ที่บ้านเรา โอ้..กรรมของประเทศที่พัฒนาแล้ว
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย