<< มรดกลูก >>

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 1

โพสต์

:lol: :lol: :lol: :lol:

1. เมื่อก่อนผมซื้อหุ้นโดยหวังผลเพื่อที่จะทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งสั้นมากยิ่งดี เพราะมันหมายถึงความเร่งในการเติบโตของพอร์ทยิ่งสูงมหาศาล

ต่อมาผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้จริงตามนั้น หรือถึงมีเหตุการณ์อย่างว่าเกิดขึ้นจริง ก็เป็นเพียงความบังเอิญ จะทำซ้ำเพื่อให้ได้ผลเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สองก็ทำอีกไม่ได้ แทบไม่ต้องหวังครั้งที่สิบหรือยี่สิบเลย

2. ผมจึงเปลี่ยนแนวคิด หันมาลงทุนในหุ้นที่มั่นใจว่าราคาจะขึ้นแน่ๆในช่วงเวลาหนึ่งไตรมาส วิธีการก็คือ ผมติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด งบการเงินออกเมื่อไหร่ผมจะต้องรู้ก่อนให้เร็วที่สุด

แล้วมาดูว่าตัวที่ได้กำไรเยอะๆเป็นกำไรที่ค่อนข้างยั่งยืนหรือไม่ บริษัทมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันหรือไม่ วิเคราะห์ด้วยพลังทั้งห้า ดูงบการเงินว่าสะอาดหรือไม่ เป็นกำไรที่บริษัททำได้จากฝีมือหรือไม่ และอื่นๆอีกมากเหมือนอย่างที่ชาว VI ชอบทำ

สุดท้ายก็ดูว่าราคาที่ซื้อขายปัจจุบันแพงหรือถูก ถ้าไม่แพงมากหรือถูกมากก็ยิ่งดี keywordของข้อ2. นี้ก็คือ ผมไม่เดาผลประกอบการไตรมาสหน้าแต่เอาผลประกอบการไตรมาสนี้ที่เห็นๆว่ามันได้กำไรมากแล้ว (ทำนองกำขี้ดีกว่ากำตด) ประกอบกับเลือกตัวที่มีแนวโน้มดีและราคายังถูก ราคาหุ้นจะตกก็ให้มันรู้ไป แล้วก็จะจัดการขายเมื่อได้ราคาดี และจะไม่ถือไว้ให้ถึงช่วงที่ผลประกอบการงวดใหม่จะออกมา


ผลงานของข้อ2.ส่วนใหญ่ก็ได้กำไรดีและเป็นกำไรที่อยู่ในเปอร์เซนต์ที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ผลการดำเนินงานของผมก็ไม่ได้ได้กำไรมากๆเสมอไปบ่อยครั้งที่ขาดทุนยับเยินด้วยซ้ำ ผมสามารถใช้วิธีนี้ทำซ้ำได้หลายๆไตรมาสติดต่อกัน แต่หลายๆไตรมาสเช่นเดียวกันก็ขาดทุนรุนแรงพอสมควร

3. ผมจึงมาทบทวนวิธีการใหม่ คราวนี้ผมจะไม่มองสั้นๆแค่ไตรมาสเดียวแล้ว แต่จะมองยาวให้ถึงสองสามปีเลยทีเดียว เลือกตัวที่มั่นใจว่าในระยะเวลาข้างหน้าสองสามปี บริษัทได้กำไรแน่ๆ ผลของแนวคิดข้อ3.นี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้ชัดเจนเพราะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็สองถึงสามปี ซึ่งผมเดาว่า คงจะดีกว่าข้อสอง แต่ก็คงจะยังมีโอกาสขาดทุนอยู่ดี ประกอบกับผมได้แนวคิดใหม่ ผมจึงไม่รอพิสูจน์

4.เป็นแนวคิดใหม่สดๆร้อนๆช่วงเดือนสองเดือนนี่เอง คือ ผมจะเลือกหุ้นที่ดีในอนาคตระยะยาวเป็นสิบๆปี สามารถที่จะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกในยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าเลยทีเดียว (แต่ไม่ใช่จะไม่มีการซื้อขายในระยะเวลาปีสองปีนะครับ ถ้าราคาขึ้นมาเกินที่หวังไว้ก็คงขายไปเลือกตัวใหม่ที่ดีกว่าอีก)โดยจะไม่สนใจหุ้นที่มีแนวโน้มจะดีในสองสามปีข้างหน้าเลย

พี่ๆน้องๆคิดว่ายังไงบ้างครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:
ForrestGump
Verified User
โพสต์: 1435
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณพี่ศรรามที่ให้ข้อคิดครับ เหมือนกับที่ ท่าน ดร.นิเวศน์พูดไว้ในวันงานเลย

หลังจากอ่านแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดว่า.....

ผมต้องรีบมีลูกครับ

(แต่ก่อนมีลูกต้องรีบหาแม่ของลูกดีๆ ก่อน)

พอมีลูกแล้วก็จะคิดอะไรในระยะยาวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น

ทั้งเรื่องการลงทุน
...... และการใช้ชีวิต

:D :D :D
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมกำลังลองข้อที่ 3 ครับ
ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า เด๋วก็รู้ :lol:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
naris
Verified User
โพสต์: 6726
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ของผมได้วิเคราะห์และคิดแบบข้อที่4อยู่ในทางทฤษฎีคัดเลือกหุ้น
และในทางปฎิบัติต้องวิเคราะห์และคิดเปลี่ยนตัวทุกไตรมาท คัดบริษัทที่ปัจจัยที่เราคิดว่าใช่มันเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ใช่ หรือขายบางตัวเมื่อเราคิดว่าเจอตัวที่ปิ๊งกว่ามาเป็นกิ๊กเพิ่มเติม :mrgreen:
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
Cartoon
Verified User
โพสต์: 40
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมกำลังทำอยู่เลยครับ แต่ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนจะดีคงทนยาวนาน ว่าจะซื้อกลุ่มประกันกับอาหาร (bki + s&p) แต่ผบทบ.บอกว่าไม่น่าซื้อเพราะ upside มีไม่มาก

ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20

คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
Cartoon
fantasia
Verified User
โพสต์: 674
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 6

โพสต์

สูตรข้อสองนี้ เมื่อประมาณช่วงประมาณ 4-5 ปีก่อนทำกำไรให้กับผมได้ดี
เลยครับ ประกาศงบเมื่อไรถ้ากำไรดีซื้อราคาเปิดเลย ถ้าขาดทุนขายทันที
แต่เดี๋ยวนี้พวก inside เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะยอมแพ้อยู่แล้ว
เลยต้องค่อย ๆ ปรับมาเป็นข้อสามบ้าง
mey
Verified User
โพสต์: 359
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 7

โพสต์

Cartoon เขียน: 1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20
ได้ราคาสวยจังเลย......ทุกตัว :roll:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Oh+
Verified User
โพสต์: 142
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมกำลังคิดแบบข้อสองอยู่ครับ เพราะว่าผมยังหาข้อ 4 ไม่ได้เลย

ที่ไม่ได้ก็เพราะว่ายังมองราคามันไม่ออกว่าแพงหรือถูก

เลยต้องขอลองศึกษาตามข้อ 2 ก่อน..

ช่วงเพ่งเริ่มศึกษาแบบนี้ ถ้าพลาดก็ของแค่ถลอกนิดหน่อยก็ มีความสุขแล้วครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 9

โพสต์

สโลแกนท่านคัดท้าย
"If you want 1 year of prosperity, grow grain."
"If you want 10 years of prosperity, grow trees."
"If you want 100 years of properity, grow "people."
น่าสนใจมากครับท่านคัดท้าย  ขยายความได้ไหมครับว่าตอนนี้อยากปลูกอะไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผลก็เลยออกมาดังนี้
1. SCC ~199
2. Ratch ~34
3. BH ~15
4. Hmpro ~4
และตั้งใจจะไม่ขายออกทุกกรณี ถ้า PE ตลาดยังไม่เกิน 20

คุณสามัญชนคิดว่าไงครับ
เกินความรู้ผมมากเลยครับ

scc ผมไม่เคยอ่าน56-1จบเลยครับ  เยอะมากและซับซ้อน  อ่านทีไร สมองบวมทุกที  ptt pttep ratchก็เช่นเดียวกัน เลยไม่กล้าวิจารณ์ครับ

bh  hmpro ได้ราคาดีมากๆเลยนะครับ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 11

โพสต์

SCC ต้องอ่าน 56-1 ด้วยหรือครับ

SCC น่าจะเติบโตและตกต่ำพร้อม GDP ของประเทศไทยนะครับ
ไม่ต้องคิดมาก ปวดหัว
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ก็เห็นว่าทำปิโตรเคมีด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ท่าน cartoon ฝีมือมากเลยนะครับ นับถือๆๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 14

โพสต์

กระดาษนี่น่าจะใช้พลังงานมากนะครับ สังเกตุจากบทความด้านล่าง

SPP ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 4-5% จาก 3.8 หมื่นลบ.ในปีก่อน
Source - IQ Biz (Th)

Thursday, August 04, 2005  16:18


         นายเชาวลิต เอกบุตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3 ว่า คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสนี้ ส่วนทั้งปีบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายโต 4-5% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.8 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขายสุทธิครึ่งปีแรก 19,882 ล้านบาท เป็นรายได้จากบรรจุภัณฑ์ 60% ที่เหลือ 40%การเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน ขณะที่กำไรขั้นต้น 55% จะมาจากบรรจุภัณฑ์ ส่วน 45% จะมาจากเยื่อกระดาษพิมพ์เขียน
         อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าต้นทุนด้านพลังงานและด้านขนส่งได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ประกอบกับมีการแข่งขันทางด้านราคา จึงทำให้ไม่สามารถปรับราคาได้ แต่อย่างไรก็ตามหากต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป บริษัทฯ ก็อาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นบ้าง  
         ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
         สำหรับราคากระดาษ ปัจจุบันราคากระดาษคราฟท์อยู่ที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท กระดาษพิมพ์เขียนตันละ  3.5 หมื่นบาท โดยราคากระดาษคราฟท์ ไม่ได้ปรับขึ้นมา 2 - 3 ปีแล้ว แต่ในส่วนของกระดาษพิมพ์เขียนได้ปรับขึ้นมาปีที่แล้ว ทำให้ราคาขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดโลกมากขึ้น โดยราคาตลาดโลกอยู่ที่ 4.5 หมื่นบาท  ซึ่งเป็นผลให้บริษัทลดปริมาณการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียนลง เพื่อนำมาขายในประเทศมากขึ้น
         "กระดาษเป็นสินค้าควบคุมเหมือนปูนซิเมนต์ ทำให้หากจะมีการปรับราคาต้องมีการแจ้งไปที่กรมการค้าภายใน และต้องชี้แจงเหตุผลด้วยถ้าเหตุผลสมควรถึงจะปรับราคาได้" นายเชาวลิต กล่าว
          ส่วนแนวโน้มธุรกิจกระดาษในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าอุตสาหกรรมกระดาษจะเติบโตตามการขยายตัวตามเศรษฐกิจของประเทศ หรือจะโตประมาณ 6 7 % จากที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะโตขึ้น 4 5%                    
         นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนหรือเข้าไปซื้อกิจการในแถบเอเชีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยจะเป็นการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% ขึ้นไป เพื่อให้ได้สิทธิในการบริหารงานด้วย
         นายเชาวลิตกล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในตลาดภูมิภาคนี้ เนื่องจากขนาดของตลาดยังมีอัตราการเติบโตที่สูง และการแข่งขันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก โดยประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตของการใช้กระดาษสูงถึง 12% ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ มีช่องทางขยายการลงทุนได้เพิ่ม สำหรับโรงงานผลิตกระดาษคราฟที่อยู่ในประเทศฟิลลิปินส์นั้น เชื่อว่าจะมีกำไรได้ในปีนี้ ถึงแม้จะมีต้นทุนน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้น

--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา คงขุนเทียน โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
Impossible is Nothing
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด คงรู้นะครับว่าปรับขึ้นหรือลง
Impossible is Nothing
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ท่านหวูด เขียน:ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด
เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
ภาพประจำตัวสมาชิก
wpong
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1336
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 17

โพสต์

พี่สามัญชนครับ
มีหนังสือชื่อ Good to Great ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ถึงบ.ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด มากกว่า 3 เท่า เป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี

อาจมีข้อมูลช่วยพี่ได้บ้างครับ
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 18

โพสต์

wpong เขียน:พี่สามัญชนครับ
มีหนังสือชื่อ Good to Great ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ถึงบ.ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด มากกว่า 3 เท่า เป็นเวลาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี

อาจมีข้อมูลช่วยพี่ได้บ้างครับ
มีหลายอย่างที่ทำให้ผมประหลาดใจพอควร
Impossible is Nothing
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ดีจัง มีเล่มภาษาไทยขายไหมครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
Knott
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 20

โพสต์

มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ
"Much success can be attributed to inactivity. Most investors cannot resist the temptation to constantly buy and sell."
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 21

โพสต์

Knott เขียน:มีครับ สำนักพิมพ์ผู้จัดการแปลมา จำชื่อไม่ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ จากบริษัทที่ดีสู่บริษัทที่ยอดเยี่ยม หรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ หน้าปกสีแดง ตัวอักษรสีขาว ผมเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งครับ
พี่ knott ได้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรที่เค้ากล่าวถึงเรื่องของหัวหน้าครับ ...ในหนังสือเค้าบอกว่าคนที่มี charismatic สูงนี่แทนที่จะดีบางทีก็อันตราย
Impossible is Nothing
ภาพประจำตัวสมาชิก
wpong
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1336
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 22

โพสต์

มีภาษาไทยอย่างที่คุณ Knott บอกไว้นะครับ

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็น ข้อมูลที่ได้รวบรวมและทำการวิเคราะห์ ไม่ได้แต่งจากจินตนาการ

ผู้แต่งจะเปรียบเทียบ บ.Good to Great กับ บ.เปรียบเทียบ และจะหาสิ่งที่เหมือนกันของ บ. Good to Great ครับ

บ. Good to Great หลายๆ บ. อยู่ในฐานะใกล้ล้มละลาย แต่ก็สามารถฟื้น และยิ่งใหญ่ได้ โดยมีผู้นำระดับที่ 5

อ่านแล้วสนุกดีครับ
woody
Verified User
โพสต์: 3763
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 23

โพสต์




ท่านหวูด wrote:
ส่วนธุรกิจด้านกระเบื้อง หรืออะไรทำนองนี้นี่ หลังจากได้มีโอกาสถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ใน SCC เค้าบอกว่าปีนี้ต้องปรับเป้าใหม่ทั้งหมด



เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
พี่ ck ผมว่าในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดีนะครับ .....
        ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง โดยการใช้ถ่านหินแทน และยังมีการนำของเสียจากระบวนการผลิตมาใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 15 16% ของต้นทุนรวมซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
ว่าไหมครับ  :mrgreen:  แม้คงไม่ใช่ลูกค้าของพี่ก็เถอะ แต่ก็คงพอบอกแนวโน้มได้บ้างขนาดยักษ์ยังทนไม่ค่อยไหวเลย
Impossible is Nothing
varanchai
Verified User
โพสต์: 30
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 24

โพสต์

เท่าที่คุยกับเพื่อนที่ทำรับเหมาก่อสร้างเห็นบอกเงินเริ่มฝืดๆกันเป็นลูกโซ่บ้างแล้ว บางคนบอกสงสัยเศรษฐกิจไม่ค่อยดี งานไม่เยอะเหมือนสองปีที่แล้ว ก็เล่นสร้างกันซะโอ้โหไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาซื้อ รอเอื้ออาทรดีกว่า เห็นครม.ใหม่แล้วก็ เอี้ยเก่าๆในคอกเดิม (ขอหยาบนิดเถอะ) ลองจับตาดูก็แล้วกันนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 25

โพสต์

โอ้  พี่สอนราม  เอ๊ย  ศรราม
คิดถึงเป็นกองมรดกเลย

แต่บางบริษัท  อาจ  ..จ..  ก่อนเราตาย  มรดกก็จะไม่เหลือน่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ผมใช้ข้อเท็จจริงอีกสองข้อประกอบเข้าไปด้วยหนะครับพี่ปรัชญา ซึ่งในทางปฏิบัติหาหุ้นที่ว่ายากมากจริงๆ  เลยมองตัวที่ใกล้ๆ คล้ายๆ ครับ  สองข้อที่ว่าคือ

1. จากคำพูดของน้องเจย์โชว์ ที่ว่า บริษัทที่อีกสิบปีไม่เจ๊ง  คือตัวบริษัทไม่เจ๊งแต่ผู้ถือหุ้นอาจจะเจ๊งได้สบายๆ  ข้อนี้เป็นจริงมากๆเลยครับ เลยต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าบริษัทไม่เจ๊งและสามารถทำกำไรได้งามๆติดๆกันไปอีกสิบๆปีครับเพื่อผู้ถือหุ้นจะได้ไม่เจ๊ง  โฮะๆๆๆ

2. คำพูดผมเอง(หรืออาจจะมีใครพูดมาก่อน ไม่แน่ใจ) ว่าทุกธุรกิจย่อมอยู่ในวัฏฏสงสาร มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  บางธุรกิจวงจรอาจจะสั้น เช่น 1 ปี ก็ครบวงจร 5 ปีครบวงจรคือได้เวลาขาดทุนและถึงเวลาขาลง  แต่ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือสอดคล้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในอนาคต วงจรที่ว่าน่าจะยาวถึง 20 ปีก็เป็นไปได้หนะครับ

แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ  หาตัวแบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่มีเงื่อนไขโดยที่ราคายังถูกอยู่นี่ หายากจริงๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 27

โพสต์

แวะมาแซวเล่นครับ  คุณหมอ  เห็นห้องเีงียบ
คงต้องพึ่ง  บมจ.ที่โปร่งใสที่สุด
ถึงจะอยู่รอดปลอดภัย  ได้ระดับหนึ่งครับ
ผมก็ว่าจะเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกเหมือนกัน
เอาแบบที่ตัดใจขาดไม่ได้สักที  แบบรักหุ้นตัวนั้นครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

<< มรดกลูก >>

โพสต์ที่ 28

โพสต์

CK เขียน: เอ แล้วอย่างนี้ dcc ผมจะรอดไหมนี่
8) เรื่องกระเบื้อง  
    ผมว่าผมพอมีพรรคพวกอยู่นะ ถามข้อมูลให้ได้บ้าง
    จะได้ไม่เสียเปรียบเขามาก
    กระเบื้องคอตโต้ล็อตแรกเลยที่ผลิตออกมา
    ผมกะเพื่อนๆที่ปูนตอนนั้น  เป็นคนดูแลอยู่
    ตอนแรกใช้ชื่อว่า คอตโต้ ฟอร์เต้
    เป็นกระเบื้องเผา2ครั้ง เหมาะทำผนัง  แต่ดันเอามาปูพื้น ยุ่งตายเลย
    ตอนหลังมาเพิ่มเป็นโมโนไฟร์  เหมาะกะการปูพื้น ปัญหาค่อยหมดไป
    คุณคัทลียา น้องสาวคุณรุ่งโรจน์(เจ้าของDCC)
    เมื่อก่อนก็อยู่ที่ปูน นะครับ
    คุมทางด้านบัญชี/การเงิน มีระดับที่เดียวครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ล็อคหัวข้อ