บทความอาทิตย์นี้ของดร.นิเวศน์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

ล็อคหัวข้อ
toon
Verified User
โพสต์: 213
ผู้ติดตาม: 0

บทความอาทิตย์นี้ของดร.นิเวศน์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สถิติกับการลงทุน

นักลงทุนที่ดีจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถิติบ้าง ไม่จำเป็นต้องรู้มากถึงขนาดไปออกแบบทำโพล แต่ควรจะมีความรู้พื้นฐานกว้าง ๆ เช่น รู้ว่าถ้าแทงหวยเลข 2 ตัว โอกาสที่จะถูกรางวัลนั้นเท่ากับ 1 ใน 100 นั่นคือ แทง 100 ครั้งจะมีโอกาสถูกรางวัลเฉลี่ยเพียง 1 ครั้ง และนี่ไม่เกี่ยวกับการใบ้หวยของอาจารย์ใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับเลขที่ออกในคราวที่แล้วหรือคราวไหน ๆ


แต่แน่นอน ในบางครั้ง สำหรับบางคน เขาก็อาจจะแทง 100 ครั้ง และถูก 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง หรือแม้แต่ 5 ครั้ง แต่โอกาสที่จะมีคนถูกหลายครั้งมาก ๆ ก็จะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คน 1000 คน คนส่วนใหญ่จะถูกเพียงหนึ่งครั้ง คนที่ถูก 2 ครั้ง อาจจะมีเพียง 200 คน คนถูก 3 ครั้ง อาจจะมีเพียง 50 คน และคนถูก 5 ครั้งอาจจะมีเพียง 5 คน อย่างนี้เป็นต้น


มาดูกันว่าสถิติจะมาช่วยการลงทุนของเราได้อย่างไร?ผมคิดว่าสถิตินั้นช่วยให้เราสามารถคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนของเราให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ช่วยให้เราวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างถูกต้อง ไม่คิดอะไรเพ้อฝันเกินไปซึ่งจะทำให้เรากำหนดกลยุทธ์ผิดพลาดและนำเราไปสู่ความเสียหายอย่างไม่รู้ตัว


ลองมาดูกันที่ภาพใหญ่ของการลงทุนในตลาดการเงินซึ่งพบว่าในตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีข้อมูลครบถ้วนยาวนาน สถิติบอกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาว (ลงทุนติดต่อกัน 30 ปี) ปีละประมาณ 10-11% รวมปันผลและกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ได้ดอกเบี้ยแน่นอนให้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% ต่อปี เช่นเดียวกับการลงทุนระยะสั้นในตั๋วเงินคลังก็ให้ผลตอบแทนพอ ๆ กัน


แต่ก็แน่นอนว่าผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตรในแต่ละปีนั้นแตกต่างจากตัวเลข 11% และ 6% มาก บางปีหุ้นให้ผลตอบแทนถึง 40-50% ก็มี แต่ก็เป็นเรื่องที่นาน ๆ มากถึงจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกัน บางปีหุ้นก็ตกหนัก ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 30-40% ก็มี แต่ก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และทั้งหมดนี้ก็เกิดกับพันธบัตรเช่นเดียวกันที่บางปีอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงมาก และบางปีก็ตกต่ำสุด ๆ อย่างช่วงหลัง ๆ นี้


ผลตอบแทนของหุ้นนั้น บางทีก็แย่ติดต่อกันมาหลายปี ดัชนีหุ้นตกต่ำมานานทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงต่ำกว่า 11% แต่แล้วก็กลับมาบูม ดัชนีปรับขึ้นมามหาศาลในช่วงทศวรรษที่1980 จนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนในสหรัฐที่กล้าซื้อลงทุนในหุ้นในช่วงทศวรรษหลัง ๆ นี้ ได้ผลตอบแทนมากกว่า 11% ต่อปีมาก ตลาดหุ้นที่อื่นในโลกส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นอเมริกา ของไทยเราที่ผ่านมา 29 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7-8% แต่ถ้ามองย้อนหลังไปเพียง 2 ปี ซึ่งดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 350 จุด ในช่วงนั้น ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวของหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 5-6%ต่อปีเท่านั้น


เพราะฉะนั้น คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแล้วหวังว่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 20-30% ในระยะยาวจึงอาจเป็นเรื่องเพ้อฝัน หรือถ้าทำได้ก็จะต้องมีความสามารถพิเศษสุดยอด เรียกว่าทำลายสถิติ และอาจเป็น 1 ในหมื่นหรือแสน คนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นมาต่อเนื่องยาวนาน ถ้าไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย (ปีละไม่เกิน 4-5 ครั้ง) และไม่ได้มีความสามารถพิเศษน่าจะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยไม่เกิน 10% และโอกาสที่จะขาดทุนก็น่าจะมีน้อย โอกาสที่จะได้ผลตอบแทน 5% ขึ้นไปน่าจะมีค่อนข้างสูง


พูดแบบสรุปรวบยอดก็คือ ถ้าลงทุนแบบถูกวิธี มีความเข้าใจการลงทุนในหุ้นพอสมควร มีความคาดหวังที่เป็นจริง ลงทุนระยะยาวโดยไม่สนใจภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจ การลงทุนในหุ้นก็ไม่เสี่ยงนัก โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 6-7% เป็นไปได้สูง โอกาสได้ถึง 10% ก็มีพอสมควรโดยเฉพาะถ้าหมั่นศึกษาหาความรู้ โอกาสที่จะขาดทุนมีน้อยมาก และโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเหนือกว่าการฝากเงินกับแบงค์ก็น่าจะมีสูงมาก


แต่ถ้าไม่รู้สถิติของตลาดหุ้นและเข้ามาลงทุนเก็งกำไร ซื้อขายหุ้นรวดเร็วเป็นนิจสินโดยหวังว่าจะทำกำไรเดือนละเป็น 10-20% นั้น ถ้ามองจากหลักทางสถิติก็จะต้องบอกว่าผลตอบแทนที่จะได้จะเท่ากับ 7 หรือ 8% ลบด้วยค่าคอมมิชชั่นที่จะต้องจ่ายต่อปี ซึ่งถ้าเล่นหุ้นสัปดาห์ละรอบก็จะเสียค่าคอมมิชชั่นประมาณ 26% แน่นอน เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังจะอยู่ที่ประมาณ ลบ 18-19% ต่อปี ซึ่งแปลว่าโอกาสขาดทุนมหาศาลมีมาก โอกาสกำไรก็น่าจะมีเหมือนกันแต่คงน้อยมากและเราคงต้องเก่งจริง ๆ


เขียนถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงคำถามที่ผมเคยได้รับถามว่า ถ้ามีเงิน 200,000 บาท อยู่ตอนนี้จะทำให้เป็น 2 ล้านบาทใน 5 ปี โดยการลงทุนแบบ Value Investment จะทำได้ไหม? และถ้าทำไม่ได้ จะเล่นแบบเก็งกำไรจะมีโอกาสไหม? เพราะเขาอยากรวยเร็ว ไม่ชอบอะไรที่ช้า ๆ


คำตอบของผมก็คือ ถ้าเป็นการลงทุนแบบ Value Investment คงทำไม่ได้ หรือมีโอกาสน้อยมาก เพราะการจะได้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่า ใน5ปี แปลว่าต้องมีผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 58% ต่อปีซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนตามสถิติถึง 10 เท่า
แต่ถ้าเอาเงิน 200,000 บาทไปเก็งกำไร ผมคิดว่ามีโอกาสเป็น 2 ล้านบาทได้สูงกว่า เพราะอาจจะไปลงทุนในวอแรนต์และหุ้นเก็งกำไรมาก ๆ ที่ราคาหุ้นผันผวนสูงมาก ว่าที่จริงน่าจะมีคนทำได้บ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่โอกาสที่เงิน 200,000 บาท จะเป็น 2 ล้านบาทใน 5 ปี อาจจะมีเพียง 1 ใน 1,000

แต่ปัญหาใหญ่ของกลยุทธ์นี้ก็คือ โอกาสที่พอถึง 5 ปี คุณจะเหลือเงินเพียง 4-50,000 บาทหรือต่ำกว่านั้นอาจจะมีสูงมากถึง 90% ในขณะที่การลงทุนแบบ Value Investment นั้น โอกาสที่คุณจะได้เห็นเงิน 2 ล้านบาทแทบไม่มี แต่โอกาสที่คุณจะมีเงินเกิน 2 แสนบาทในตอนสิ้นปีที่ 5 นั้นสูงลิ่ว ว่าที่จริงถ้าคุณเก่งหน่อย คุณอาจจะได้เห็นเงิน 400,000 บาทได้ไม่ยากนัก นั่นคือคุณทำได้ปีละ 15% การเล่นเก็งกำไรหุ้นเพื่อหวังรวยมหาศาลนั้น บางทีก็ไม่ต่างกับการซื้อล็อตเตอรี่มากนัก ถ้าคุณถามว่า มีเงิน 100 บาท จะทำให้เป็น 3 ล้านบาท มีทางไหนที่ทำได้?

คำตอบของผมก็คือ ซื้อล็อตเตอรี่ แต่โอกาสที่คุณจะได้จริง ๆ นั้นแทบจะ 1 ในล้าน และโอกาสที่เงิน 100 บาทของคุณจะกลายเป็นเศษกระดาษมีสูงถึง 98-99% Value Investment ไม่สามารถทำให้คุณเป็นเสี่ยในเวลาสั้น ๆ แต่เงินต้นมักไม่หาย และคุณได้ผลตอบแทนในระยะยาวดีกว่าวิธีการอื่น ๆ หลายวิธี เพราะสถิติมันบอกอย่างนั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ch_army
Verified User
โพสต์: 1352
ผู้ติดตาม: 0

บทความอาทิตย์นี้ของดร.นิเวศน์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุรสำหรับ บทความที่นำมาลงให้ตลอดเลยครับ อ่านแล้วก็เป็นเครื่องเตือนใจครับ ว่าเราลงทุนเหตุผลที่น่าจะเป็นคือ เพื่อให้เงินเติบโตแบบมั่นคง เป็นการทำธุรกิจส่วนตัวทางอ้อม หรือเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อก็แล้วแล้วแต่ ซึ่งไม่ใช่การเก็.กำไรครับ เพราะหากเก็งแบบไม่ชำนวญ เก็งแบบแห่ตามชาวบ้าน ผมว่าเหมือนกับไปขอหวย ขูดหวยนั่นแหละครับ แถมหวยยังมีระยะเวลาลุ้นแน่นอน ความน่าจะเป็นแน่นอนกว่าอีก
http://inspirationword.blogspot.com

-กำลังใจ มีอยู่ในตัวคุณ-
-พัฒนาทัศนคติ สู่ชีวิตแห่งชัยชนะ-
ล็อคหัวข้อ