บทเรียนที่ไม่จำ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

บทเรียนที่ไม่จำ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    “Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results” นั่นเป็นคำพูดที่คนชอบอ้างว่าเป็นของอัลเบิร์ท ไอสไตน์ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน  ความหมายก็คือ  “เป็นเรื่องไร้เหตุผลมากที่เราจะทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม”  ถ้าจะอธิบายเพิ่มเติมก็คือ  ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ใหม่  คุณก็ต้องทำแบบใหม่  ทำแบบเดิมก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม  อย่าไปหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ใหม่  ในทางวิทยาศาสตร์นั้น  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ในทางสังคมศาสตร์หรือในทางเศรษฐศาสตร์แล้วมันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  บางครั้งการทำแบบเดิมแต่อาจจะได้ผลลัพธ์ใหม่  เช่น  เคยเล่นหุ้นสั้น ๆ  รายวันแบบเก็งกำไรบางทีหรือบางช่วงก็ขาดทุน  แต่บางครั้งหรือบางช่วงก็กำไร  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวถ้าเราทำซ้ำ ๆ  สุดท้ายเราก็จะต้องขาดทุน  คำถามก็คือ  ทำไมนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นก็ยังชอบเล่นเก็งกำไรแบบสั้น ๆ  วันต่อวัน?  เล่นมาแล้วเป็นสิบ ๆ  ปีก็มีและส่วนใหญ่ก็ขาดทุนมาตลอด  แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาก็จะได้กำไรจากการทำแบบเดิม

    ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ที่ส่งผลมาจากยีน  เรื่องแรกก็คือ  ยีนของคนเรานั้นบอกให้เรา  “เก็งกำไร” เป็นยีนของ  “นักเสี่ยงโชค”  ทุกครั้งที่เราทำ  เราจะรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน  และถ้าทำแล้วได้กำไร  เราก็จะมีความสุข  รู้สึกว่า “เราชนะ”  ถ้าทำแล้วขาดทุน  เราก็มีความทุกข์  รู้สึกว่า “เราแพ้”  แต่เราก็ไม่ได้หมดตัวหรือต้องลำบากอะไรมากนัก   เราหวังว่าคราวหน้าจะต้อง “แก้มือ”  เราจะต้องชนะด้วย  “หุ้นตัวใหม่”  และ “ภาวะตลาดหุ้นใหม่” ที่ดีขึ้น  แต่วิธีการลงทุนหรือการซื้อขายหุ้นก็ยังเป็นแบบเดิมคือซื้อมาและขายไปในระยะเวลาอันสั้น    “การวิเคราะห์หุ้น”  ก็ยังเป็นแบบเดิมซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่คิดถึงพื้นฐานของกิจการ  อาจจะเป็นการวิเคราะห์แบบเทคนิค  หรือบางทีก็ใช้วิธีดู  “โมเมนตัม”  เช่น  ซื้อโดยดูว่าหุ้นตัวไหนกำลังปรับตัวขึ้นแรงและมีปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  บางคนก็อาจจะเสริมด้วย  “ข่าว” ทั้งข่าวดีเกี่ยวตัวบริษัทและข่าวการเข้ามาซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่หรือ  “จ้าว”  ส่วนเวลาขายเองนั้นก็อาศัยการ  “จับจังหวะ” ขาย “ทำกำไร”  หรือมีเกณฑ์การ  “คัทลอส” เมื่อขาดทุนถึงจุดหนึ่ง  เป็นต้น

    ประเด็นก็คือ  นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นนั้น  ยังทำ “แบบเดิม”  สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือตัวหุ้นและ/หรือ สถานการณ์หรือเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป   บ่อยครั้งหุ้นก็ยังเป็นตัวเดิม  แต่เรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทอาจจะเปลี่ยนไป  ราคาหุ้นอาจจะเปลี่ยนไป  เช่น  ราคาตกลงมามาก  เขาเคยเล่นหุ้นตัวนั้นและก็ขาดทุนหนัก   เขาคิดว่าราคามันลงมามากเกินไปแล้ว  ดังนั้นเขาเข้ามาซื้อและหวังว่ามันจะ  “รีบาว” หรือหุ้นจะปรับตัวขึ้น  แล้วเขาก็จะได้กำไร  การทำแบบนี้หรือทำนองนี้ในระยะยาวแล้ว  ผมคิดว่าเขาก็จะขาดทุน  เพราะเขายังทำด้วยวิธีการแบบเดิมที่จะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม

    คนที่ไม่จำ “บทเรียน” การลงทุนจากอดีตที่ผ่านมานั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่เขาจะเก่งและพัฒนาฝีมือการลงทุนให้ดีขึ้นไม่ว่าเขาจะทำมานานแค่ไหน  ประสบการณ์ที่มากขึ้นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้ามันเป็น “ทักษะ” ที่ผิด  ยิ่งทำมากก็แก้ไขได้ยากขึ้น  ผมยังจำได้ในคำพูดในวงการกอล์ฟที่พูดทำนองว่า  “Practice don’t make perfect practice make permanent”  ซึ่งความหมายก็คือ  การซ้อมหรือปฏิบัติบ่อย ๆ  นั้น  ไม่ทำให้การตีกอล์ฟดีสมบูรณ์แบบ  แต่มันทำให้ท่าที่xxั้นติดแน่นและเปลี่ยนไม่ได้  ดังนั้น  ถ้ามันผิด  มันก็ทำให้เราแย่และปรับเปลี่ยนไม่ได้  เรื่องการลงทุนเองนั้น  ผมคิดว่ามันก็คล้าย ๆ  กัน  และดังนั้น  ผมจึงไม่ค่อยได้เห็นคนที่เป็น VI พันธุ์แท้ปรับตัวมาจากนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรที่ชอบเล่นสั้น ๆ  มานาน  VI เก่ง ๆ ที่ผมเห็นนั้นมักจะเริ่มต้นการลงทุนอย่างจริงจังด้วยหลักการ VI ตั้งแต่แรก

    การจดจำบทเรียนว่าอะไรหรือวิธีการอย่างไรใช้ไม่ได้แล้วเปลี่ยนวิธีใหม่เพื่อให้เกิดผลลัพธุ์ที่ถูกต้องและดีนั้นเป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษยชาติพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วและถาวรและนี่ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า “วิทยาศาสตร์” ซึ่งก็เกิดขึ้นมาไม่นานไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง  ในอดีตนั้น  มนุษย์ยึดหลักการแบบ “ไสยาศาสตร์”  ซึ่งน่าจะรวมถึงศาสนา  ภูตผีปีศาจ  โหราศาสตร์และอื่น ๆ  ซึ่งทำให้มนุษย์เราไม่สามารถพัฒนาวิทยาการ  เศรษฐกิจ และสังคมได้รวดเร็ว  เหตุผลก็เพราะว่าศาสตร์เหล่านั้นไม่อนุญาตให้เราเลือกทำสิ่งใหม่หรือวิธีการใหม่ ๆ  เวลาที่ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นไปตามที่คาด  ตัวอย่างเช่น  เวลาที่ “ผู้วิเศษ” ทำพิธีเรียกฝนแล้วฝนไม่มาเขาก็อาจจะบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไป “ขัด” ไม่ให้ฝนตก  เขาไม่คิดว่าวิธีของเขานั้นผิด  เสร็จแล้วคราวหน้าที่เขาจะเรียกฝน  เขาก็ยังคงท่องคาถาเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและก็หวังว่าฝนจะมาในขณะที่ทางวิทยาศาสตร์เองนั้น  ถ้าเขาใช้วิธีติดปีกไว้กับแขนแล้วบินไม่ขึ้น  เขาก็จะใช้วิธีใหม่  ทำไปเรื่อยๆ  จนสำเร็จกลายเป็นเครื่องบิน  เขาไม่ทำแบบเดิมที่ไม่สำเร็จซ้ำ ๆ และหวังว่าวันหนึ่งเขาจะบินได้  และด้วยวิธีการแบบนี้เองที่ทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ  ของคนและโลกได้

    ในเรื่องของการลงทุนนั้น  ผมคิดว่า  “กระบวนการลงทุน” คือสิ่งที่กำหนดว่าเราจะประสบผลสำเร็จในการลงทุนหรือการได้รับผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว  ถ้ากระบวนการนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่มีประสิทธิภาพ  มันก็มักไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้เราได้  กระบวนการของแต่ละคนนั้นมักจะไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์  บางคนต่างกันมากและบางคนก็ต่างกันน้อย  ถ้าจะให้ดีเราต้องศึกษาดู  เราอาจจะไม่รู้ว่าคนอื่นหรือแม้แต่เพื่อนเราเขาทำอย่างไรแน่   แต่เราสามารถเรียนรู้จาก  “เซียน” หรือผู้เชี่ยวชาญได้จากการเขียนหรือการวิเคราะห์วิธีการของเขาได้  ตัวอย่างเช่น  เราเรียนรู้แนวทางของบัฟเฟตต์หรือปีเตอร์ลินช์ได้จากหนังสือและบทความจำนวนมากรวมถึงการติดตามการลงทุนของเขาที่มีการเผยแพร่ออกมาตลอดเวลา  อย่างไรก็ตาม  ในการติดตามหรือเรียนรู้กระบวนการของนักลงทุนอื่นนั้น  สิ่งที่ต้องระวังก็คือ  เราต้องมั่นใจว่ามันเป็นวิธีการที่เขาทำจริง  เพราะในหลาย ๆ  ครั้ง  สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เขาพูดก็อาจจะไม่ตรงกันได้

    ผมเองเชื่อว่านักลงทุนโดยเฉพาะคนเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยนั้น  มักจะไม่ค่อยจำบทเรียนที่เกิดขึ้น  พวกเขายังทำอะไรซ้ำ ๆ  เหมือนเดิมทั้ง ๆ  ที่เคยทำแล้วก็ขาดทุนอย่างหนักมาแล้ว  ตัวอย่างเช่นการชอบเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็ก ๆ  ที่มี “ข่าวดี”  และผู้บริหารออกมาให้ข่าวตลอดเวลา  เสร็จแล้วราคาก็พุ่งขึ้นรุนแรงก่อนที่จะตกลงมาแรงไม่แพ้กันในเวลาไม่นานพร้อมกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัท  แต่แล้วหลังจากที่หุ้นนิ่งอยู่ซักพักจนคนอาจจะลืมเรื่องเก่าไปแล้ว  หุ้นก็กลับ “ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่” เรื่องราวและพฤติกรรมต่าง ๆ  เกี่ยวกับหุ้นก็กลับมา “วนลูป”  เหมือนเดิมซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นนั้นไม่ค่อยจะจำบทเรียนที่ผ่านมาในอดีต   เขากำลังทำแบบเดิมแต่หวังว่าจะไม่ขาดทุนแต่จะได้กำไรในรอบนี้  ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว  ผมคิดว่ามันคงคล้าย ๆ  กับคนเล่นหวยที่พยายามหา “เลขเด็ด” มาแทงในแต่ละงวด  เขามักจะ “ถูกกิน” แม้ว่านาน ๆ  ครั้งจะถูกรางวัลบ้าง  แต่ทุกครั้งเขาก็ “ทำอย่างเดิม”  คือหาเลขเด็ดและก็หวังว่าเขาจะถูกรางวัล  ผมคงไม่ต้องบอกว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนเล่นหวยนั้น  ในระยะยาวแล้ว  ขาดทุน

    ทั้งหมดนั้นผมเองไม่ได้หมายความว่ากระบวนการหรือวิธีการลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นมีทางเดียว  สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ  วิธีนั้นมีมากมาย  แต่ละคนจะต้องหาว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้องหรือไม่  และถ้าดูแล้วมันเป็นวิธีที่ไม่ทำให้ประสบความสำเร็จ  ก็จะต้องเปลี่ยนวิธีใหม่  ไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ  แบบเดิมและหวังว่าวันหนึ่งเราจะชนะ
[/size]
โพสต์โพสต์