โค้ด: เลือกทั้งหมด
สวัสดีปีใหม่ 2562 ครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ขอบคุณกองบรรณาธิการที่ให้พื้นที่นี้แสดงความเห็น
ขอแนะนำตัวครับ ผมเป็นคนไทยซึ่งย้ายถิ่นฐานมาเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอยู่ใกล้เมืองแอตแลนต้าซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลวงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงใต้ อยู่อเมริกาติดต่อมากว่า 30ปี ผมเป็นเด็กอีสาน ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการเอเอฟเอสที่ รัฐไอโอวาเป็นเวลาหนึ่งปี เรียนรัฐศาสตร์จุฬาฯ โดยระหว่างเรียนปีทำงานกับองค์การระหว่างประเทศตั้งแต่ค่ายผู้อพยพอินโดจีนและองค์การช่วยเหลือเรื่องการพัฒนาประชากร เศรษฐกิจและสาธารณสุขในเอเชียแปซิฟิกด้วยงบประมาณของรัฐบาลอเมริกัน
เมื่อจบแล้ว เรียนต่อปริญญาโทโดยเป็นนักเรียนทุนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน และทำงานส่วนตัวสร้างครอบครัวเริ่มจากเป็นคนต่างด้าว จนเป็นพลเมืองอเมริกันเมื่อปี 2015 ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
ปัจจุบันผมทำงานด้านการลงทุนโครงการระหว่างประเทศ เน้นภูมิภาคอเมริกาเหนือ กลาง ใต้ และเอเชียตะวันออกซึ่งต่อไปจะขยายไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่มีความสุขใจและภูมิใจที่สุดคือการได้เป็นครูสอนเรื่องมนุษยสัมพันธ์และการแก้ปัญหาวิกฤติแบบเชิงสร้างสรรค์ โครงการที่ผมกำลังทำปัจจุบันนี้ก็คือ วิชาไทยศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ ไม่ขอกล่าวชื่อในวาระนี้เพราะความเห็นที่เขียนขึ้นจะเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งไม่เกี่ยวกับสถาบัน
ผมเคารพในเวลาของทุกท่านและอยากตอบแทนการลงทุนที่ท่านสละเวลามาอ่านให้คุ้มค่า ผมยึดหลักในการเขียนโดยคุณสมบัติห้าอย่างคือ1)มีประโยชน์ 2)สาระความเป็นจริง 3)มีเมตตา 4)ความจำเป็น และ 5)เหมาะกับกาลเวลาหรือไม่
หากข้อความที่ผมเขียนขึ้นมาไม่ครบคุณสมบัติห้าข้อถือว่าผมใช้เวลาที่มีประโยชน์ของท่านในทางที่ผิด
3 มกราคม 2562 เป็นทำงานวันแรกของรัฐสภาอเมริกันสมัยที่ 116 (สมัยละสองปี) สิ่งสำคัญก็คือวันนี้สภาผู้แทนฯเลือกประธานสภา Nancy Pelosi อายุ 78 ปี รับตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง เป็นผู้นำที่มีประสบการณ์สูงมากและพร้อมเข้าไปคานอำนาจฝ่ายบริหารได้
การเมืองของอเมริกานับจากวันนี้ไปก็จะสมดุลมากขึ้น ฝ่ายบริหารนำโดยประธานาธิบดีTrump จะทำอะไรบุ่มบ่ามก็จะไม่มีผลเหมือนสองปีที่ผ่านมา
วันนี้เป็นวันที่ 13 ซึ่งรัฐบาลอเมริกันประมาณหนึ่งในสี่ส่วนหยุดพัก ที่เรียกกันว่า partially shut down เพราะไม่มีงบประมาณทำงาน เปรียบเสมือนม้าเดินสามขา และอาจจะใช้เวลาอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าพรรคการเมืองสองฝ่ายจะสะสางประนีประนอมกันได้
อเมริกามีเงิน แต่ขัดแย้งเรื่องนโยบายเกี่ยวกับการสร้างกำแพงชายแดนติดเม็กซิโก
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันประมาณ 800,000คน ตอนนี้กำลังว้าวุ่นเพราะไม่มีรายได้ ค่าบ้านค่ารถค่าใช้จ่ายเรื่องครอบครัวต่างๆกำลังเป็นทุกข์ใหญ่
ประชาชนผู้รับบริการจากรัฐก็เดือดร้อน ฝ่ายงานที่กำลังปิดอยู่ 25% กระทบหนักหลายอย่าง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การออกหนังสือเดินทาง การคลัง ยุติธรรม มหาดไทย(ส่วนใหญ่) เกษตร พาณิชย์ เคหะ คมนาคม สาธารณะสุข(บางส่วน) ทำเนียบขาว และอื่นๆ
ยกตัวอย่างก็คือตอนนี้ใครไปที่วอชิงตัน ดี.ซี. ไม่สามารถจะไปชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆได้ ทุกอย่างปิดเงียบเหงา ไปอุทยานแห่งชาติหลายแห่งก็ปิด บางแห่งก็มีคนเข้าไปได้แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ เช่น มีข่าววันนี้ว่ามีคนไปเดินป่าขาหักต้องพึ่งพาคนอื่นช่วยกัน ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วย ขยะก็ล้นถังตามที่ต่างๆ รวมถึงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างต้องระงับชั่วคราวฯลฯ
ถ้าพรรคการเมืองสองฝ่ายคือ Republican (สีแดง) และ Democrat (สีน้ำเงิน) ยังดื้อดึงหาข้อตกลงกันไม่ได้จะเป็นผลเสียหายต่อความศรัทธา เพราะประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่คัดค้านและไม่ชอบเรื่องนี้ และฝ่ายที่เสียหายเรื่องคะแนนนิยมมักจะเป็นฝ่ายของประธานาธิบดี
วันนี้สิ่งที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือตลาดหุ้นอเมริกา โดยก่อนตลาดเปิดมีข่าวว่า Apple (AAPL) คาดการณ์ว่ายอดขายในจีนจะต่ำกว่าเป้า ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงไปทันที 10% บริษัทอื่นก็ตามลงกันไปด้วย ดัชนี Dow Jones หายไป 660จุด ท้องไส้ปั่นป่วนกันทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็ออกมาแสดงความเห็น วิเคราะห์ด้วยเหตุและผลสุดความสามารถ แต่เราผู้บริโภคใช้วิจารณญาณภูมิปัญญาดูก็รู้แล้วครับว่า ตลาดหุ้นอยู่ได้ก็เพราะความมั่นใจของผู้ลงทุน อย่างอื่นที่เป็นทฤษฎีคัมภีร์พันเล่ม เป็นเรื่องย่อย
เพราะฉะนั้นการประชันและปะทะเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ กำลังส่งผลกระทบถึงกระเป๋าเราแทบทุกคน บางท่านก็ต้องนั่งสมาธิและใช้หลักวิชาพื้นฐาน (ซึ่งผมเห็นด้วยว่าควรจะทำต่อไป)คือ การใช้หลักของการกระจายความเสี่ยง และการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Diversification and dollar cost averaging) รวมถึงเลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่ท่านมีความศรัทธาในการประกอบธุรกิจ อย่างเช่นตัวอย่างคือ ผมจะเลือกลงทุนกับบริษัทที่ทำธุรกิจโดยยึดหลักเคร่งครัดเรื่องบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะการที่เราถือหุ้นเหล่านี้เรามีความสุขใจและภูมิใจ ถือว่าเป็นกำไรอยู่แล้ว ส่วนผลตอบแทนทางการเงินถือว่าเป็นผลพลอยได้จะสบายใจกว่า โดยส่วนตัวแล้วหุ้นที่ผมเลือกซื้อไว้ก็จะเก็บ(ไม่ขาย)ให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไป
ต้นปี 2019 เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน การเมืองและเศรษฐกิจของโลกลักษณะปัจจุบันเป็นของแปลกใหม่ ต้องคิดให้รอบคอบเรื่องการลงทุนและการทำธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีการคาดว่าปีนี้ปัญหาใหญ่จะเกิดขึ้นเยอะ สิ่งที่หมักหมมไว้ระยะยาวก็จะมาออกอาการปีนี้
แต่ความกังวลก็ขอให้มีจำกัดพอสมควร อย่าให้กลายเป็นความกลัวจนทำอะไรไม่ได้ การมีสติที่สงบและมีสมาธิจะช่วยผ่านวิกฤตต่างๆได้เสมอ เมืองไทยเรามีองค์ประกอบหลายอย่างซึ่งเป็นพื้นฐานที่แน่นมั่นคงแล้ว มรสุมเศรษฐกิจการเมืองต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว เราก็ต้องเผชิญหน้าแก้ปัญหาร่วมกัน ติชมเชิงสร้างสรรค์ เรื่องเศรษฐกิจการเงินของโลกหรือของประเทศดูเหมือนเป็นข่าวสำคัญซึ่งต้องติดตามอยู่เสมอ
เราทราบดีว่าเศรษฐกิจส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้จะอยู่ในประเทศรวยแต่หากเราดำเนินชีวิตผิดพลาดหมุนเวียนทรัพยากรไม่ทันเราก็รู้สึกเคว้งคว้างเช่นกัน เพราะฉะนั้นปีใหม่นี้ผมขออวยพรให้ทุกท่านมีโชคดีเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนบ้าน เเละมีทรัพยากรใช้จ่ายพอเพียงตามที่ท่านปรารถนา
“พอเพียง มีวินัย สุจริต จิตอาสา” ที่พ่อสอนไว้ครับ
ผมยินดีรับฟังความเห็นและคำถามจากท่านผู้อ่านเสมอนะครับ