โค้ด: เลือกทั้งหมด
สัปดาห์ที่แล้วช่องทีวี “Money Channel” ของตลาดหลักทรัพย์ได้ประกาศปิดตัวลงอย่าง “กระทันหัน” หลังจากเปิดดำเนินการมา 13 ปี วันที่เปิดตัวนั้นผมเองยังจำได้ว่าตนเองไปร่วมงานและเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่เข้าไปร่วมทำรายการ “Money Talk” บรรยากาศในวันนั้นผมเองรู้สึกถึง “พลัง” ของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สถานีโทรทัศน์ที่เน้นแต่เรื่องการเงินการลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคนจำนวนมากต้องการดูต้องการศึกษาหาข้อมูล ในเวลานั้นนักลงทุนส่วนบุคคลเองก็ยังไม่มากนักแต่ดูเหมือนว่าการเติบโตกำลังพุ่งขึ้น การเปิดช่องสถานีทีวีน่าจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้นและที่สำคัญเข้ามาลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น
หลังจากการเปิดตัวของมันนี่แชนเนล ตลาดหุ้นไทยก็ “คึกคัก”ขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสนใจของนักลงทุนส่วนบุคคลที่เริ่มเข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ รายการทีวีทำให้บุคคลธรรมดารู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องของการลงทุนในหุ้นและตราสารต่าง ๆ มากขึ้น หุ้นไม่ใช่เป็นเรื่องของนักพนันหรือนักเก็งกำไรอีกต่อไป เช่นเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ทำโดยสถาบันการลงทุนแต่เพียงฝ่ายเดียว นักลงทุนส่วนบุคคลก็สามารถเรียนรู้และเข้าใจการลงทุนได้และอาจจะไม่แพ้นักลงทุนสถาบันด้วย เซียนและนักลงทุนรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จสูงหลาย ๆ คนกลายเป็น “ไอดอล” ของคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่พยายามเรียนรู้และทำตามเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเงินการลงทุนจนมี “อิสรภาพทางการเงิน” หรือรวยไปเลยด้วยการลงทุนในหุ้น ในเวลาเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าจะมีการสะดุดบ้างแต่ก็มักจะเป็นเวลาสั้น ๆ ไม่เกินปี นั่นส่งผลให้นักลงทุนส่วนบุคคลของไทยมีจำนวนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกลายเป็นที่ “น่าอิจฉา” ของตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน จนถึงวันนี้ ปริมาณการซื้อขายหุ้นโดยรวมของไทยน่าจะสูงกว่าทุกประเทศในอาเซียนทั้ง ๆ ที่ขนาดของตลาดหุ้นของเราไม่ได้ใหญ่ที่สุด
การเติบโตของนักลงทุนส่วนบุคคลในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าจะเริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุสำคัญนั้นน่าจะมาจากการที่หุ้นขนาดกลางและเล็กที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนส่วนบุคคลมีราคาตกลงมาอย่างหนักแทบจะเป็น “หายนะ” หลังจากที่มันถูก “ปั่น” ขึ้นไปสูงมากก่อนหน้านั้นอานิสงค์จากการที่นักลงทุนรายย่อยเข้ามาเล่นหุ้นกันมาก การขาดทุนอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มทยอยออกจากตลาดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาทำให้สัดส่วนการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนส่วนบุคคลลดลงมาเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วจากที่เคยมีสัดส่วน 60-70% เหลือน่าจะไม่เกิน 40% ในช่วงเร็ว ๆ นี้และน่าจะลดลงต่อไปถ้าหุ้นขนาดเล็กและกลางยังไม่ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวซึ่งแนวโน้มก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะราคาหุ้นก็ยังแพงอยู่มาก
เช่นเดียวกับภาวะของตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวย ย้อนหลังไปน่าจะใกล้ ๆ กับช่วงของการเปิดมันนี่แชนเนล หน่วยงานรัฐและรัฐบาลเองก็มีการส่งเสริมให้นักลงทุนส่วนบุคคลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมาก มาตรการที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลสำหรับเงินที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุน LTF และ RMF ก็ทำให้คนที่มีรายได้สูงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นมาก คนเริ่มยอมรับกับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นได้มากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขารู้สึกว่าหุ้นนั้นแค่ “ผันผวน” เวลาตกลงไปแรงไม่นานมันก็กลับมา มันเป็น “โอกาส” ซื้อหุ้นถูก มันไม่ใช่ความเสี่ยง ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าเข้ามาลงทุนในตลาดด้วยตนเองมากขึ้น
บริษัทจดทะเบียนเองก็เริ่มเห็นว่านักลงทุนส่วนบุคคลนั้นมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะสามารถขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปสูงและสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของบริษัทได้ พวกเขาจึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนส่วนบุคคลเข้าไปเยี่ยมชมกิจการและซักถามข้อมูลต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์หุ้นสามารถเข้าถึงได้ ตลาดหลักทรัพย์เองก็สนับสนุนโดยการเปิดรายการ “Opportunity Day” ที่เปิดโอกาสและชักชวนให้บริษัทจดทะเบียนมาให้ข้อมูลแก่นักลงทุนส่วนบุคคลโดยตรงเป็นรายไตรมาศ ซึ่งก็มีบริษัทจำนวนมากมาร่วมกิจกรรมนี้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยรู้สึกว่าเขามีโอกาสที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องที่ “น่าอิจฉา” ของนักลงทุนรายย่อยในประเทศอื่น ๆ แทบจะทั่วโลกไม่ต้องพูดถึงนักลงทุนของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่นักลงทุนส่วนบุคคลมักจะไม่สามารถเข้าถึงผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนได้
มาถึงวันนี้ผมคิดว่าเรื่องราวดี ๆ และที่ช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนส่วนบุคคลของตลาดหุ้นไทยก้าวหน้าและมีบทบาทสูงในตลาดหุ้นไทยนั้น น่าจะใกล้จุดสูงสุดหรือ Peak ไปแล้ว
เริ่มจากภาวะตลาดหุ้นของหุ้นตัวเล็กและกลางที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนรายย่อยนั้น ผมคิดว่าน่าจะจบรอบใหญ่ไปแล้วและน่าจะต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าภาวะที่เคยเป็นจะหมุนกลับมาใหม่ สิ่งที่บอกว่ามันถึง “อวสาน” แล้วก็คือผลงานของหุ้น IPO ที่ในระยะเร็ว ๆ นี้ทำผลงานน่าผิดหวัง หุ้นส่วนใหญ่ที่เข้ามาต่างก็ต่ำกว่าราคาจองตั้งแต่วันแรก หุ้น IPO นั้นเป็น Indicator หรือเครื่องวัดที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง นั่นก็คือ ช่วงที่ตลาด Peak หรือกำลังร้อนแรงสุดนั้น IPO เกือบทุกตัวจะทำกำไรได้ดีมาก เข้าตลาดวันแรกก็ทำกำไรบางทีเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นบริษัทที่ดีหรือถูกแต่อย่างใด จำนวนหุ้น IPO ก็จะมีมากเพราะเจ้าของบริษัทต่างก็อยากรวยโดยการเอาหุ้นเข้าตลาด ตรงกันข้าม เมื่อ IPO เริ่มขาดทุนและขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หุ้น IPO เข้าตลาดน้อยลงเรื่อย ๆ นั่นก็เป็นสัญญาณว่า ตลาดหุ้นกำลังวายแล้ว
ในด้านของการสนับสนุนจากทางการต่อตลาดหลักทรัพย์และหุ้นเองนั้น มาถึงวันนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงมากเฉพาะอย่างยิ่งต่อนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย พวกเขาอาจจะคิดว่าตลาดก้าวหน้าและเติบโตแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมอีกต่อไป มาตรการลดภาษีให้คนลงทุนผ่านกองทุนรวมโดยเฉพาะ LTF และ RMF จึงกำลังถูกยกเลิก นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าทางการไม่อยากส่งเสริมให้นักลงทุนส่วนบุคคลลงทุนเอง พวกเขาคิดว่านักลงทุนรายย่อยไม่มีความรู้หรือความสามารถพอจึงควรให้นักลงทุนมืออาชีพทำผ่านการซื้อกองทุนรวมจะดีกว่า การปิดมันนี่แชนเนลเองนั้น ถึงแม้ตลาดหลักทรัพย์จะบอกว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทีวีกำลังหมดยุคและตลาดจะยังคงส่งเสริมการให้ความรู้กับนักลงทุนส่วนบุคคลผ่านช่องทางหรือแนวทางอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตลาดน่าจะแสดงบทบาทน้อยลงจากอดีตที่เป็น “ผู้นำ” อนาคตนั้นดูเหมือนว่าตลาดจะเป็นคนสนับสนุนให้คนอื่นทำมากกว่า
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นผมเองมองว่าเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่เหมือนกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก จริงอยู่ในช่วงที่นักลงทุนส่วนบุคคล “เฟื่อง” นั้น ตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยค่อนข้างจะเฟื่องกว่าประเทศกำลังพัฒนาหลาย ๆ ประเทศ นักลงทุนส่วนบุคคลของไทยมีบทบาทที่โดดเด่นในแง่ของการลงทุนและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม นักลงทุนส่วนบุคคลที่โดดเด่นมีพอร์ตใหญ่ขนาดกองทุนรวมหลายรายต้อง “ชิดซ้าย” หุ้นที่ “เซียน” เล่นหลาย ๆ ตัวผู้จัดการกองทุนรวมต้องเล่นตาม บริษัทจดทะเบียนหลาย ๆ แห่งต้อนรับนักลงทุนส่วนบุคคลยิ่งกว่านักวิเคราะห์หรือกองทุนรวม แต่สุดท้ายแล้ว “งานเลี้ยงก็จะต้องเลิกรา” ผมเองคิดว่าเวลานี้คือ “อวสานของนักลงทุนส่วนบุคคล” ที่รุ่งเรืองมายาวนาน หลังจากนี้นักลงทุนส่วนบุคคลจะค่อย ๆ มีบทบาทน้อยลง ปริมาณการซื้อขายหุ้นน้อยลงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และถ้าตลาดหุ้นไทยจะโตต่อไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งนักลงทุนส่วนบุคคลก็แทบจะไม่มีความหมายเหมือนกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย