โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตลาดหุ้นไทยในช่วงเกือบ 20 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานั้น ต้องถือว่าเป็น “ยุคทอง” ของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เรียกตนเองว่าเป็น Value Investor หรือ “VI” เพราะพวกเขาจำนวนมากนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงลิ่วแบบที่ “เหนือจินตนาการ” ผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระดับ 20-30% ขึ้นไปเป็นเวลา 5-10 ปีนั้นเป็นสิ่งที่กลายเป็นเรื่องปกติ ผลตอบแทนในปีที่ดีนั้นบางทีเป็นร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มีโดยเฉพาะในกรณีที่พอร์ตการลงทุนยังไม่ใหญ่นัก จริงอยู่ส่วนใหญ่คนที่ทำได้ก็มักอาศัยการ Leverage หรือการกู้เงินและใช้มาร์จินในการซื้อหุ้นในระดับสูง แต่พวกเขาก็มักจะไม่ค่อยพลาดและถูกบังคับขายโดยโบรกเกอร์ เหตุผลก็คือหุ้นที่พวกเขาซื้อนั้นมักจะไม่ตกลงมาแรง ตรงกันข้าม มันมักจะปรับตัวขึ้นเร็วและสูงมากเนื่องจากแรงซื้อนั้นมักจะไม่ได้มาจากคนเพียงคนเดียว แต่มาจากการซื้อกันเป็น “กลุ่ม” เนื่องจากเมื่อ VI คนหนึ่งเห็นและซื้อหุ้นตัวไหน ก็มักจะพูดคุยปรึกษาและแนะนำกับคนในกลุ่มและขยายวงออกไปกว้างส่งผลให้คนอื่นเข้าไปร่วมซื้อด้วย และนั่นทำให้ VI ที่เป็น “วงใน” ซึ่งมักจะซื้อก่อนคนอื่นและสามารถทำกำไรได้งดงามกว่าคนที่ตามมาทีหลัง
เวลาผ่านไปหลายปี พอร์ตของ VI หลาย ๆ คนก็เติบโตขึ้นจนเป็นที่เห็นได้โดยเพื่อนฝูงและสาธารณชน หลายคนมีพอร์ตระดับเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี แน่นอนเม็ดเงินเริ่มต้นของพวกเขาบางคนก็ใหญ่อยู่แล้วแต่การเติบโตที่มาจากการลงทุนก็มักจะสูงมาก เหตุผลนอกจากจะมาจากการเลือกหุ้นลงทุนที่ถูกต้องแล้ว ยังมาจากการที่พวกเขามักจะเป็นคน “เริ่มต้น” ในการขับเคลื่อนราคาหุ้นจากพลังการซื้อที่รุนแรงเนื่องจากปริมาณเม็ดเงินที่มากซึ่งทำให้เขามีต้นทุนที่ต่ำกว่านักลงทุนรายอื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมซื้อทีหลัง “VI พอร์ตใหญ่” เหล่านี้ ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุน หลายคนก็ได้รับเชิญจากสื่อให้ออกความเห็นเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุน จำนวนมากกว่านั้นก็เผยแพร่ความคิดของตนเองผ่านสื่อสังคมสมัยใหม่ บางคนก็ “ออกหนังสือ” เผยกลยุทธ์และเคล็ดลับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ความเป็น “เซียน” ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น จำนวนมากจนแทบจะนับไม่ถ้วน
ผมเคยไปงานสัมมนาใหญ่การลงทุนแนว VI ในประเทศเพื่อนบ้านและถามคนจัดว่าใครคือ “เซียน” ในประเทศของเขา คำตอบคือ เขานึกไม่ออก นักลงทุนส่วนบุคคลในบ้านเขานั้นแทบทั้งหมดก็มักจะเป็นนักลงทุนรายย่อยที่มีเงินลงทุนไม่มากนักและก็มักจะไม่มีข้อมูลพอที่จะไปแข่งกับนักลงทุนสถาบัน คนที่ “รวย” จากตลาดหุ้นโดยการลงทุนนั้น ตามนิยามของเขาอาจจะมีเงินแค่หลักสิบล้านบาทขึ้นไป ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเองนั้นก็มักจะไม่ได้มากมายอะไรนัก “เซียน” ถ้าจะมีก็นับนิ้วได้ ส่วนคนที่เลิกทำงานประจำและออกมาลงทุนเต็มตัวก็มีน้อยมาก
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงตั้งแต่ 1-2 ปีที่ผ่านเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพราะแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ได้สดใสและปรับตัวลงแต่ก็เป็นการปรับตัวขนาดเล็กซึ่งเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นไทยที่ว่าเมื่อหุ้นดีมาปีสองปี โอกาสที่หุ้นจะตกก็มักจะสูงอยู่แล้ว แต่หุ้นตัวกลางและเล็กจำนวนมากนั้น ราคาหุ้นได้ตกลงมาแรงมากขนาดที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “วิกฤติ” หุ้นจำนวนไม่น้อยราคาลดลงมาเกิน 20% หลาย ๆ ตัวซึ่งรวมถึงหุ้นของกิจการที่ดีพอใช้และไม่ได้มีปัญหาอะไรมีราคาลดลงมากว่า 50% เหตุผลที่หุ้นตกนั้น ตัวที่ตกแรงมาก ๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะราคาหุ้นที่แพงจัดมีค่า PE สูงมาก แต่บางตัวก็เป็นเพราะสถานการณ์ทางอุตสาหกรรมและตัวหุ้นเองที่เลวร้ายหรืออาจจะเริ่มเลวร้ายซึ่งทำให้กำไรในอนาคตดูไม่แน่นอน ในหลาย ๆ กรณีหุ้นตกแรงเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่กล่าวข้างต้นประกอบกัน
ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กต่างก็ตกลงมาถ้วนหน้า กลุ่มหุ้น “เติบโต” ที่นักลงทุน VI ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ “เซียน” ชอบเล่นนั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด หลายคนน่าจะ “จนลงไปมาก” บางคนอาจจะสูญเสียสถานะของการเป็นเซียนเลยก็ได้ กลุ่ม “หุ้นถูก” เป็น “หุ้น VI” หลายกลุ่มก็เริ่มตกลงมาแรงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ ๆ ก็เกิดปัจจัยลบหลายเรื่องรวมถึงมาตรการแบ้งค์ชาติในการจำกัดการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของทางการที่น่าจะกำลังปรับขึ้นก็ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ตกลงมาแรงทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการล่าสุดก็ยังดูดีมาก พูดโดยสรุปก็คือ คนที่เป็น VI เกือบทุกคนต่างก็ “บาดเจ็บ” กันถ้วนหน้า ไม่เหมือนกับในอดีตที่ VI มักจะมีผลการลงทุน “ดีกว่าตลาด” และการขาดทุนถ้าจะเกิดขึ้นก็น้อย แต่ปีนี้ทุกอย่างเป็นตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะขาดทุนแล้ว ผลตอบแทนยังแย่กว่าดัชนีตลาดด้วย
ความคึกคักและมีกำลังใจที่ดีในการลงทุนของเหล่า VI นั้น ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาผมเห็นว่ามักจะ “เต็มเปี่ยม” แม้ในยามที่ดัชนีและหุ้นตกลงมาแรง พวกเขาก็มักจะกระตือรือร้นและหาหุ้นลงทุนได้มาก หลายคนไม่กลัวหุ้นตกเพราะเขาคิดว่ามันเป็นโอกาสในการทำเงินโดยการช้อนซื้อหุ้นดีราคาถูกและเขาก็ทำมันอย่างคึกคัก แต่รอบนี้ดูเหมือนว่า VI รวมถึงเซียนทั้งหลายต่างก็ “หมดมุก” หลายคนมองไม่เห็นอนาคตหรือมองไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น หุ้นในมือที่หลายคนก็ยังถืออยู่จำนวนมากก็ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไม่มาก แต่ถ้าจะขายก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี บางคนก็รอที่จะขายถ้าหุ้น Rebound หรือดีดตัวขึ้นหลังจากที่ตกลงมาแรง สำหรับบางคนนั้น มูลค่าพอร์ตลดลงอย่างไม่เคยเจอมาก่อนหลังจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008
ผมเองเชื่อว่ายุคทองของนักลงทุนซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงยุคทองของ VI นั้นสิ้นสุดไปแล้ว เหตุผลเพราะว่ามันดำเนินมานานเป็นทศวรรษแล้ว ราคาหุ้นโดยรวมคือดัชนีได้ปรับตัวขึ้นไปสูงเกินกว่าพื้นฐานหรือผลประกอบการของกิจการน่าจะกว่าหนึ่งเท่าตัว กล่าวคือในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตปีละประมาณ 6-7% ราคาของหุ้นกลับโตขึ้นปีละ 14-15% ส่งผลให้ราคาหุ้นแพงขึ้นมากวัดจากค่า PE ที่สูงขึ้นจากที่ไม่เกิน 10 เท่าเป็น 16-17 เท่าในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน การเติบโตในอนาคตของเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยน่าจะกำลังถดถอยลงตามอายุของประชากรไทยที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว นี่จะทำให้ราคาหรือดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ยาก เราอาจจะกำลังอยู่ในสภาวะที่ “หุ้นหรือบริษัทโตช้าแต่ราคาแพง” ซึ่งทำให้การลงทุนในอนาคตไม่น่าจะสดใสเหมือนตอนที่ “หุ้นโตเร็วแต่ราคาถูก”
ที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องของตลาดโดยรวม แต่สำหรับ VI หรือ “เซียน” ที่ชอบลงทุนในบริษัทขนาดกลางหรือเล็กที่ “โตเร็ว” อาการที่กล่าวมาแล้วก็ยิ่งหนักกว่ามาก เพราะหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ผ่านมาหลายปีนั้นอาจจะโตเร็ว แต่ราคาหุ้นกลับโตเร็วยิ่งกว่ามาก ส่งผลให้ราคาหุ้นแพงเป็นทวีคูณแบบ “เป็นไปไม่ได้” การปรับตัวในรอบนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าลงมาพอหรือยังเพราะค่า PE ก็ยังสูงลิ่ว ในขณะเดียวกัน การเติบโตของบริษัทขนาดกลางและเล็กเองก็ดูเหมือนว่าจะชะลอตัวลงมาก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าโอกาสที่ราคาหุ้นเหล่านั้นจะหวนกลับมาโตเร็วมาก ๆ อีกครั้งก็น่าจะยากมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักลงทุนที่เคยติดตามและเล่นหุ้นเหล่านี้ก็คงจะ “เข็ด” ไปอีกนาน
ถึงวันนี้ผมเองไม่รู้ว่า “เซียน” คนไหนเสียหายจากการตกของหุ้นขนาดกลางและเล็กมากน้อยแค่ไหน จากตัวเลขการตกของหุ้น “High Profile” หรือหุ้นยอดนิยมในกระแสนั้นบ่งบอกว่าถ้าเซียน “หนีไม่ทัน” ความเสียหายก็อาจจะน้อง ๆ หายนะ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ยกเว้นแต่เจ้าตัว ความเชื่อของผมก็คือ หลังจากเหตุการณ์ช่วงนี้ “เซียน” ในตลาดหุ้นไทยคงหายไปพอสมควร และเซียนรุ่นใหม่ก็น่าจะเกิดยากขึ้นมาก สำหรับผม มันเป็น “อวสานของเซียน” บางทีเราอาจจะต้องรออีกนานกว่าจะมีฤดูเซียนใหม่ บางทีอาจจะอีกสิบปีหรือมากกว่านั้น