โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปีเตอร์ลินช์เคยพูดว่าเขาต้องพยายาม “ถอน” การเรียนรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุนที่ได้รับจากอาจารย์การลงทุนในมหาวิทยาลัย เหตุผลก็เพราะว่าสิ่งที่ฝังเข้าไปในสมองของเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาปฏิบัติในทางที่ไม่ถูกต้องและไม่ทำกำไรที่ดี และถ้าเขาไม่ “Unlearn” หรือไม่ถอนความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับหุ้นรวมถึงละทิ้งนิสัยที่ติดมาเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถพัฒนาความสามารถในการลงทุนได้
ผมจะไม่วิจารณ์ว่าปีเตอร์ลินช์คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เขาได้เรียนรู้มา แต่ผมกำลังบอกว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมานับ 10 ปี นั้น อาจจะเรียนรู้และปฏิบัติตนอย่างไม่ถูกต้องเพราะถูกสอนหรือ “ล้างสมอง” จากการเรียน ไม่ว่าจากมหาวิทยาลัยหรือ “เซียน” ผ่านสื่อต่าง ๆ ตั้งแต่หนังสือ รายการทีวีและวิทยุ และสื่ออินเตอร์เน็ต ที่เข้ามาสู่สมองจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาคิดว่าสิ่งที่เขารู้นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน ดังนั้นโอกาสที่จะคิดหรือทำแบบอื่นนั้นเป็นไปได้ยาก แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นและการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางที่ทำอยู่นั้นใช้ไม่ได้ผล การลงทุนที่ทำกำไรได้และบางช่วงเวลาทำได้ดีเยี่ยมนั้น บัดนี้ดูเหมือนว่าจะสวนทางและบางครั้งทำให้ขาดทุนอย่างหนักแต่นักลงทุนจำนวนมากก็ยังพยายามคิดและทำแบบเดิม พวกเขาหวังว่า “วันหนึ่งมันก็จะกลับมา” เช่น หุ้นตัวนี้โดดเด่นมาก “ราคาเคยขึ้นไปเป็น 100 บาท ตอนนี้ราคาแค่ 50 บาท ซื้อหรือถือไว้อีก 2-3 ปียังไงก็ต้องกลับมา” เป็นต้น
นักลงทุนเกือบทั้งหมดต่างก็คิดว่าการซื้อหุ้นแล้วถือไว้ยาวเป็น 5-10 ปี นั้นไม่สามารถทำเงินมาก ๆ ได้ พวกเขาอาจจะคิดว่าถ้าเลือกหุ้นผิดตัวก็ “ติดหุ้น” ยาว ราคาไม่ไปไหนกินแต่ปันผลก็ไม่คุ้ม สู้ซื้อมาพอราคาขึ้นก็ขายทำกำไรไปก่อน แต่ถ้าขาดทุนก็รีบ “Cut Loss” ไม่เจ็บหนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ค่าคอมมิชชั่นก็ “นิดเดียว” ดังนั้น เล่นสั้นดีกว่า นอกจาก “ปลอดภัย” แล้วก็ยัง “ทำกำไรได้หลายรอบ” ส่วนคนที่จะถือยาวนั้นควรต้องเป็นคนที่มี “พอร์ตใหญ่” ดังนั้น “พวกเขาก็สามารถลงทุนแบบ VI นั่งกระดิกเท้ากินปันผลได้” ความคิดแบบนี้ผมคิดว่าจะต้องถูก “ถอน” หรือ Unlearn เพราะความจริงนั้นตรงกันข้ามทุกประเด็น
นักลงทุนแบบ “Passive” ที่ไม่ได้ชำนาญในเรื่องของการวิเคราะห์เองก็มีความเชื่อที่ฟังมาตลอดเวลาว่าการซื้อกองทุนรวมนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ปีหนึ่งจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยบางที 12-15% แบบทบต้นในระยะยาว หลายคนเลือกกองทุนรวมที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจ “ดีกว่าตลาดมาก” ดังนั้นค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนที่สูงก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะยังไงก็แค่ 2-3% ซึ่งเขาคิดว่าคุ้มกับผลตอบแทนที่เคยได้รับจากการลงทุนในกองทุนรวมนี้เพราะ “เขาเก่ง” ความเชื่อนี้ควรที่จะต้องถูกถอน การลงทุนในกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนดีขนาดนั้นจะต้องอยู่ในตลาดที่อยู่ในช่วงดีมากและผู้จัดการกองทุนที่เก่งจริง ๆ ในระยะยาวนั้นมีน้อยมาก
นักลงทุนแบบ “VI” ทั้งที่มี “ฝีมือ” ระดับธรรมดาและที่เป็น “เซียน” นั้น ต่างก็รู้สึกว่าตนเองมีความรู้และวิธีปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมดีอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีอะไรที่จะต้องเปลี่ยน เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานการลงทุนที่ผ่านมา บางคนนับ 10 ปีหรือมากกว่านั้นก็ดีเยี่ยม หลายคนกลายเป็นเศรษฐี จำนวนมากก็มีเงินระดับหลายสิบล้านบาท พวกเขาอาจจะคิดว่าการขาดทุนและความยากลำบากในช่วงนี้เกิดขึ้นจากสถานการณ์และความผิดพลาดในการปฏิบัติ หลักการและแนวปฏิบัติของเขายังถูกต้อง “เดี๋ยวทุกอย่างก็จะกลับมาดีเอง” ผลตอบแทนระดับปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแบบทบต้นที่เคยทำได้มานานนั้นก็น่าจะทำได้ต่อไปด้วยวิธีแบบเดิม นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้อง Unlearn คนที่จะทำผลตอบแทนได้โดยเฉลี่ยถึงปีละ 15% ทบต้นในระยะยาวมากเช่น 15-20 ปีขึ้นไปในภาวะตลาดหุ้นปกติโดยไม่ได้รับความเสี่ยงเกินไปนั้นน่าจะมีน้อยมาก-ในโลก ผลตอบแทนของ VI ไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นอาจจะมาจาก “โชค” มากกว่าฝีมือด้วยซ้ำ
นักเท็คนิคหรือคนที่เรียนมาทางสายกราฟที่เคยทำกำไรได้ บางคนก็เล่นตราสารอนุพันธ์ที่อาศัย Leverage หรือการกู้เงินเพิ่มมาลงทุนในอัตราที่สูงและก็อาจจะเจ็บตัวอย่างหนักในช่วงเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับคนที่เล่น Forex ที่กลายเป็นแหล่งที่ “หาเงินได้เร็วแต่ก็ขาดทุนได้หนัก” ต่างก็มักจะ “ติดใจ” กับการ “ลงทุน” แบบนี้ การเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นหรือตราสารที่ต้อง “ใช้เวลารอคอย” ยาวนานและต้องมีความรู้ที่ซับซ้อนนั้น ดูเหมือนจะไม่ถูกจริตโดยเฉพาะกับ “คนรุ่นใหม่” ที่มักจะ “ไฟแรง” พร้อมที่จะลองของใหม่ ๆ กล้าได้กล้าเสียและอยากจะรวยเร็วในชั่วข้ามคืน ถ้าใครคิดและทำแบบนี้ผมแนะนำว่าเขาควรที่จะต้องล้างสมองของตนเองใหม่ว่านี่ไม่ใช่การลงทุนและหนทางสู่ความร่ำรวย ผมเองยังไม่เคยเห็นคนที่รวยจากวิธีแบบนี้จริง ๆ
นักปั่นหุ้นหรือเล่นหุ้นแบบปั่นซึ่งก็คือคนที่มักจะมีกองทุนที่หนามากและสามารถส่งอิทธิพลต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญผ่านการซื้อหุ้น การได้ข้อมูลพิเศษจากกิจการ และการส่งข้อมูลสู่สาธารณะและนักลงทุนเพื่อล้างสมองให้เห็นข้อดีของหุ้นนั้น แน่นอนว่ายังเชื่อมั่นแนวทางแบบนี้อยู่ เหตุผลก็เป็นเพราะมันเป็นวิธีที่ทำกำไรเร็วและมากสุดยอดโดยเฉพาะในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็ดูเหมือนว่ามันเริ่มไม่ได้ผล หลายคนน่าจะเจ็บหนักยิ่งกว่านักลงทุนทั่วไปเนื่องจากราคาหุ้นจำนวนมากที่ถูกปั่นตกลงมาแทบจะเป็นหายนะ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็อาจจะยังคิดว่าถึงเวลามันก็จะกลับมาอีกเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นกระทิงอีกครั้งหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “นี่ไม่ใช่การปั่นหุ้น” ในนิยามของกฎหมาย “คนเข้ามาเก็งกำไรกันต่างหาก” ความคิดและแนวทางแบบนี้ผมคิดว่ามันผ่านยุคไปแล้ว บางทีมันอาจจะกลับมาอีกแต่ก็อาจจะนานเกินไป
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ผมเองไม่ได้ต้องการที่จะบอกว่าความคิดแบบไหนถูกหรือผิด สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อก็คือ นักลงทุนส่วนใหญ่แล้วมักจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาด บางคนนั้นมีความรู้หรือความคิดและการกระทำที่ผิดพลาดรุนแรงพิจารณาจากเหตุผลและข้อเท็จจริงจากประวัติศาสตร์ และผมดูแล้วถ้าเขายังทำแบบเดิมต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนนั้นก็จะต่ำมาก ถ้าจะให้พูดด้วยความมั่นใจก็เช่น คนที่เล่นหวยหรือล็อตเตอรี่อย่างหนักเป็นประจำโดยพยายามใช้เท็คนิคสารพัดรวมถึงเรื่องของไสยาศาสตร์นั้น โอกาสรวยน่าจะมีน้อยมากแต่โอกาสที่จะจนลงคงจะสูงลิ่ว เพราะนี่เป็นเรื่องทาง “วิทยาศาสตร์” สถิติ ที่มีความเป็นจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ในเรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้น ความรู้หรือความคิดที่ผิดพลาดนั้น ในบางช่วงบางตอนก็อาจจะไม่มีผลอะไร บางครั้งกลับได้ผลที่ดีเกินคาดด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น ในยามที่ตลาดบูมเป็นกระทิง คนที่มักทำกำไรได้สูงสุดก็คือคนที่ใช้ Leverage หรือกู้ยืมเงินหรือใช้ “อัตราทด” ในการลงทุนสูงสุดเช่น มีเงิน 1 ล้านแต่ซื้อหุ้น 10 ล้านบาทผ่านกระบวนการ Block Trade เป็นต้น แต่ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นปกติหรือกำลังตกต่ำลงซึ่งมักเป็นเวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้น การทำแบบนั้นอาจจะทำให้เสียหายรุนแรงจนถึงกับเป็นหายนะได้ ดังนั้น การปรับตัวเองโดยการศึกษาหาหนทางที่ถูกต้องและ “ทนทานต่อกาลเวลา” จึงเป็นสิ่งที่จะรับประกันความสำเร็จของการลงทุนในชีวิต
วิธีที่จะสร้างและพัฒนาแนวความคิดและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ เราต้องทบทวนว่าสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดที่เคยทำให้เราประสบความสำเร็จหรือไม่เลวร้ายเป็นเวลายาวนานนั้น เหตุใดจึงกลายเป็นความล้มเหลวและบางกรณีแทบจะกลายเป็นหายนะ มีอะไรที่น่าจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด การที่จะทำแบบนั้นได้ เราจะต้อง “ล้างสมอง” ตนเอง และเริ่มต้นคิดใหม่โดยการศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของการลงทุน ศึกษาศาสตร์และศิลป์ของการลงทุนของนักลงทุนเอกของโลกและคนรอบตัวในประเทศไทย มองหุ้นแต่ละตัวใหม่โดยไม่มีความลำเอียง หาเหตุผลของราคาหุ้นตัวนั้น ๆ โดยต้องลืมราคาที่เคยเป็นและเรื่องราวที่เราเคยเชื่อในอดีต พูดสั้น ๆ คือเริ่มต้นศึกษาทุกอย่างใหม่จากมุมมองใหม่ของตลาดหุ้นที่เป็น “ปกติ”ของประเทศไทย ทั้งหมดนั้นจะนำมาซึ่งความคิดใหม่ที่ถูกต้องและปลอดภัยสำหรับการลงทุนในระยะยาว