การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
การกลับลำของ Buffett / โดย คนขายของ
เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจสายการบินนั้น ไม่เคยเป็นที่ชื่นชอบของอภิมหาเศรษฐีนักลงทุน Warren Buffett ในปี 2002 เขาให้สัมภาษณ์แบบติดตลกว่า “หากมีตัวแทนทุนนิยม อยู่ที่เมื่อง Kitty Hawk (สถานที่ทดลองการบินของพี่น้องตระกูล Wright) ในช่วงปี 1903 เขาน่าจะยิง Oliver Wright ทิ้งซะ” ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่า Buffett ทราบดีถึงปัญหาที่หลากหลายของธุรกิจการบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) จำนวนมหาศาล และ ยังอ่อนไหวกับสภาวะแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การก่อการร้าย โรคระบาด และ ราคาน้ำมัน Charlie Munger คู่หูการลงทุนของ Warren Buffett ก็เคยกล่าวเป็นใจ ความว่า ธุรกิจสายการบินนั้นเปิดกว้าง การตั้งสายการบินใหม่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ จึงเป็นเหตุให้เขาไม่ชอบธุรกิจสายการบิน แต่เมื่อ Birkshire Hathaway (BRK) ยื่นแบบรายงาน การเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นของไตรมาส 3/2016 หลายคนต้องแปลกใจเมื่อพบว่า Buffett ได้เข้าซื้อหุ้นของ 3 สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเข้าพอร์ตเรียบร้อยแล้ว ในบทความนี้เราจะลอง มาวิเคราะห์ดูว่าเพราะเหตุใด เขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น?
Prof. Michael Porter แห่ง Harvard เคยรวบรวมผลตอบแทนเงินลงทุน (ROIC) ของธุรกิจหลากหลาย ประเภทในช่วงปี 1998-2008 พบว่าธุรกิจสายการบินมีตัวเลขต่ำสุด อยู่ที่ราว 3% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 12.4% ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นมาอีกนิดก็คือ หากใครนำเงิน 100 บาทมาลงทุนธุรกิจสายการบิน เขาจะต้องใช้เวลากว่า 24 ปีถึงจะได้ 100 บาทนั้นคืน แต่หากเราวิเคราะห์ลึกลงไปถึงสภาวะแวดล้อม ในช่วงปี 1998-2008 ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พบว่าในช่วง 10 ปีนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษของความเลวร้ายที่ปรากฎแก่ธุรกิจสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ขึนจาก 18 เหรียญต่อบาเรลในปี 1998 ขึ้นไปสูงสุดที่ราว 145 เหรียญในปี 2008 นอกจากนั้นยังมีเรื่องการก่อการร้าย 9/11 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการด้านการบินในอเมริกาเป็นอย่างมาก และตามมาด้วยวิกฤต Subprimes ซึ่งทำให้สายการบินหันมาควบรวม กิจการกันจนเหลือหลักๆ เพียง 4 ค่ายมีส่วนแบ่งการตลาดถึงราว 75%
ดูเหมือนว่าเมื่อเรื่องร้ายที่สุดได้ผ่านไปและ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวได้ สิ่งดีๆก็เริ่มจะตามมา รายได้ของ 3 ค่ายการบิน American Airlines, Delta และ United Continental ปรับตัวขึ้นมากกว่า 80% ในรอบสิบปีที่ผ่านมา และ จากราคาน้ำมันที่ลดลงและจำนวนคู่แข่งที่หายไป ทำให้ ตัวเลข Net Profit Margin ที่ติดลบหมดทั้งสามค่าย ในปี 2009 กลายมาเป็นบวกหมด (7-14%) ในปี 2016 นอกจากนั้น ปัจจุบัน ทั้งสามบริษัทได้กลายเป็นบริษัทการบินที่ใหญ่ที่สุดของโลกในด้านของรายได้
แล้วทำไม BRK ถึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นบริษัทการบิน? หากจะลองคาดเดาว่าผู้บริหารคิดอะไร ผมคาดว่าคงเป็นเพราะ หนึ่ง ธุรกิจการบินแม้มีประเด็นอ่อนไหวมากมาย แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีความจำเป็น และดูเหมือนว่าเนื่องจากปัจจัยเลวร้ายในอดีต ความคิดของนักธุรกิจที่สนใจลงทุนในธุรกิจนี้ลดลงไปมาก ทำให้คู่แข่งไม่เพิ่มขึ้น สอง ธุรกิจการบิน เป็นธุรกิจรับเงินสดสม่ำเสมอ แม้บางปีมีผลกระทบขาดทุน แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมักยังคงเป็นบวกได้ และ สาม เมื่อมองในแง่การประเมินมูลค่าหุ้น ราคาในปัจจุบัน ก็ดูจูงใจมาก คือถ้าขาดทุนก็คงไม่มาก แต่โอกาสที่จะกำไรงามๆมีสูง เพราะตอนนี้ PE ของสามบริษัทการบินชั้นนำอยู่ต่ำกว่า 10 เท่า ROE สูง และ PBV อยู่ในระดับกลาง ยิ่งดูในแง่ EV/EBITDA พบว่าอยู่ในช่วง 4-6 เท่าเท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ตาม การลงทุนในหุ้นบริษัทการบินครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากของการลงทุนทั้งหมด คือราว 1% ของพอร์ต มูลค่าหุ้นของสามบริษัทการบินที่ลงทุนไปนั้นคิดเป็นเงินเพียง 1.3 พันล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับเงินสดทั้งหมดที่ BRK มีอยู่ราว 85 พันล้านเหรียญ ทำให้ผมสงสัยว่า การลงทุนครั้งนี้อาจจะไม่มีความคาดหวังอะไรมาก อาจเป็นเพราะมีเงินสดเยอะเกินไปมาก ก็เลยหาอะไรที่ลงทุนแล้วน่าจะขาดทุนยาก และมีผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากมาลงทุนแทน ดังนั้นเมื่อนักลงทุนเห็นพาดหัวข่าวเรื่องนี้ ก็ขอให้พิจารณาเพิ่มเติมให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าซื้อบริษัทการบินในตลาดหุ้นไทยด้วยเหตุผลที่ว่า BRK เริ่มลงทุนใน ธุรกิจนี้แล้ว การด่วนสรุปอย่างนั้นอาจจะเร็วไป เพราะโครงสร้างการแข่งขันของบริษัทการบินที่ทำธุรกิจในไทย อาจจะไม่เหมือนในอเมริการ้อยเปอร์เซนต์
อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ มุมมองของ “เซียน” หรือ “กูรู” ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน การฟังความเห็นของเขาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่การปักใจเชื่อว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เรามีมุมมองที่แคบเกินไป หากเราสนใจเรื่องธุรกิจการบิน จริงๆ เราควรให้น้ำหนักกับข้อมูลที่เป็น “Fact” เช่น Cabin Factor ปรับตัวดีขึ้นไหม Revenue per Available Seat มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ดีกว่าจะคอยตามว่ากูรูการลงทุนได้ซื้อหุ้นการบินเข้าพอร์ตแล้ว หรือยัง
เป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจสายการบินนั้น ไม่เคยเป็นที่ชื่นชอบของอภิมหาเศรษฐีนักลงทุน Warren Buffett ในปี 2002 เขาให้สัมภาษณ์แบบติดตลกว่า “หากมีตัวแทนทุนนิยม อยู่ที่เมื่อง Kitty Hawk (สถานที่ทดลองการบินของพี่น้องตระกูล Wright) ในช่วงปี 1903 เขาน่าจะยิง Oliver Wright ทิ้งซะ” ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่า Buffett ทราบดีถึงปัญหาที่หลากหลายของธุรกิจการบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) จำนวนมหาศาล และ ยังอ่อนไหวกับสภาวะแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การก่อการร้าย โรคระบาด และ ราคาน้ำมัน Charlie Munger คู่หูการลงทุนของ Warren Buffett ก็เคยกล่าวเป็นใจ ความว่า ธุรกิจสายการบินนั้นเปิดกว้าง การตั้งสายการบินใหม่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ จึงเป็นเหตุให้เขาไม่ชอบธุรกิจสายการบิน แต่เมื่อ Birkshire Hathaway (BRK) ยื่นแบบรายงาน การเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นของไตรมาส 3/2016 หลายคนต้องแปลกใจเมื่อพบว่า Buffett ได้เข้าซื้อหุ้นของ 3 สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเข้าพอร์ตเรียบร้อยแล้ว ในบทความนี้เราจะลอง มาวิเคราะห์ดูว่าเพราะเหตุใด เขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น?
Prof. Michael Porter แห่ง Harvard เคยรวบรวมผลตอบแทนเงินลงทุน (ROIC) ของธุรกิจหลากหลาย ประเภทในช่วงปี 1998-2008 พบว่าธุรกิจสายการบินมีตัวเลขต่ำสุด อยู่ที่ราว 3% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 12.4% ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นมาอีกนิดก็คือ หากใครนำเงิน 100 บาทมาลงทุนธุรกิจสายการบิน เขาจะต้องใช้เวลากว่า 24 ปีถึงจะได้ 100 บาทนั้นคืน แต่หากเราวิเคราะห์ลึกลงไปถึงสภาวะแวดล้อม ในช่วงปี 1998-2008 ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พบว่าในช่วง 10 ปีนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษของความเลวร้ายที่ปรากฎแก่ธุรกิจสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ขึนจาก 18 เหรียญต่อบาเรลในปี 1998 ขึ้นไปสูงสุดที่ราว 145 เหรียญในปี 2008 นอกจากนั้นยังมีเรื่องการก่อการร้าย 9/11 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการด้านการบินในอเมริกาเป็นอย่างมาก และตามมาด้วยวิกฤต Subprimes ซึ่งทำให้สายการบินหันมาควบรวม กิจการกันจนเหลือหลักๆ เพียง 4 ค่ายมีส่วนแบ่งการตลาดถึงราว 75%
ดูเหมือนว่าเมื่อเรื่องร้ายที่สุดได้ผ่านไปและ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวได้ สิ่งดีๆก็เริ่มจะตามมา รายได้ของ 3 ค่ายการบิน American Airlines, Delta และ United Continental ปรับตัวขึ้นมากกว่า 80% ในรอบสิบปีที่ผ่านมา และ จากราคาน้ำมันที่ลดลงและจำนวนคู่แข่งที่หายไป ทำให้ ตัวเลข Net Profit Margin ที่ติดลบหมดทั้งสามค่าย ในปี 2009 กลายมาเป็นบวกหมด (7-14%) ในปี 2016 นอกจากนั้น ปัจจุบัน ทั้งสามบริษัทได้กลายเป็นบริษัทการบินที่ใหญ่ที่สุดของโลกในด้านของรายได้
แล้วทำไม BRK ถึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นบริษัทการบิน? หากจะลองคาดเดาว่าผู้บริหารคิดอะไร ผมคาดว่าคงเป็นเพราะ หนึ่ง ธุรกิจการบินแม้มีประเด็นอ่อนไหวมากมาย แต่ก็เป็นธุรกิจที่มีความจำเป็น และดูเหมือนว่าเนื่องจากปัจจัยเลวร้ายในอดีต ความคิดของนักธุรกิจที่สนใจลงทุนในธุรกิจนี้ลดลงไปมาก ทำให้คู่แข่งไม่เพิ่มขึ้น สอง ธุรกิจการบิน เป็นธุรกิจรับเงินสดสม่ำเสมอ แม้บางปีมีผลกระทบขาดทุน แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานมักยังคงเป็นบวกได้ และ สาม เมื่อมองในแง่การประเมินมูลค่าหุ้น ราคาในปัจจุบัน ก็ดูจูงใจมาก คือถ้าขาดทุนก็คงไม่มาก แต่โอกาสที่จะกำไรงามๆมีสูง เพราะตอนนี้ PE ของสามบริษัทการบินชั้นนำอยู่ต่ำกว่า 10 เท่า ROE สูง และ PBV อยู่ในระดับกลาง ยิ่งดูในแง่ EV/EBITDA พบว่าอยู่ในช่วง 4-6 เท่าเท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ตาม การลงทุนในหุ้นบริษัทการบินครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากของการลงทุนทั้งหมด คือราว 1% ของพอร์ต มูลค่าหุ้นของสามบริษัทการบินที่ลงทุนไปนั้นคิดเป็นเงินเพียง 1.3 พันล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับเงินสดทั้งหมดที่ BRK มีอยู่ราว 85 พันล้านเหรียญ ทำให้ผมสงสัยว่า การลงทุนครั้งนี้อาจจะไม่มีความคาดหวังอะไรมาก อาจเป็นเพราะมีเงินสดเยอะเกินไปมาก ก็เลยหาอะไรที่ลงทุนแล้วน่าจะขาดทุนยาก และมีผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากมาลงทุนแทน ดังนั้นเมื่อนักลงทุนเห็นพาดหัวข่าวเรื่องนี้ ก็ขอให้พิจารณาเพิ่มเติมให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าซื้อบริษัทการบินในตลาดหุ้นไทยด้วยเหตุผลที่ว่า BRK เริ่มลงทุนใน ธุรกิจนี้แล้ว การด่วนสรุปอย่างนั้นอาจจะเร็วไป เพราะโครงสร้างการแข่งขันของบริษัทการบินที่ทำธุรกิจในไทย อาจจะไม่เหมือนในอเมริการ้อยเปอร์เซนต์
อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ มุมมองของ “เซียน” หรือ “กูรู” ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอน การฟังความเห็นของเขาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่การปักใจเชื่อว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เรามีมุมมองที่แคบเกินไป หากเราสนใจเรื่องธุรกิจการบิน จริงๆ เราควรให้น้ำหนักกับข้อมูลที่เป็น “Fact” เช่น Cabin Factor ปรับตัวดีขึ้นไหม Revenue per Available Seat มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ดีกว่าจะคอยตามว่ากูรูการลงทุนได้ซื้อหุ้นการบินเข้าพอร์ตแล้ว หรือยัง
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 2
เสริมครับ
http://www.reuters.com/article/us-inves ... SKBN1392IS
บางสำนักก็บอกว่า อาจจะเป็นเพราะ ทีมงานผู้จัดการกองทุนอย่าง Todd Combs และ Ted Weschler ที่มีส่วนในการตัดสินใจลงทุน
ขอบคุณกับบทความดีๆของพี่ชายครับ
http://www.reuters.com/article/us-inves ... SKBN1392IS
บางสำนักก็บอกว่า อาจจะเป็นเพราะ ทีมงานผู้จัดการกองทุนอย่าง Todd Combs และ Ted Weschler ที่มีส่วนในการตัดสินใจลงทุน
ขอบคุณกับบทความดีๆของพี่ชายครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณ-คุณคนขายของ
-สำหรับ
บทความคุณภาพสูง
ติดตามเสมอครับ
....
..
แปะข้อมูล
airline industry by IATA
ROIC 2014-2016 p3
https://www.iata.org/whatwedo/Documents ... report.pdf
-สำหรับ
บทความคุณภาพสูง
ติดตามเสมอครับ
....
..
แปะข้อมูล
airline industry by IATA
ROIC 2014-2016 p3
https://www.iata.org/whatwedo/Documents ... report.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 4
http://www.gurufocus.com/term/ROIC/DAL/ ... ines%2BInc
ส่วนอันนี้ ลากลงมาข้างล่าง
จะเป็น roic ของ delta Historical Data
ส่วนอันนี้ ลากลงมาข้างล่าง
จะเป็น roic ของ delta Historical Data
..Delta Air Lines Inc (NYSE:DAL)
Return on Invested Capital
31.08% (As of Sep. 2016)
-
- Verified User
- โพสต์: 2686
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 5
key variable ทีสำคัญที่สุดต่อกำไร
และ roic -ของกลุ่มการบินคือราคาน้ำมัน
ถ้าแน่ใจได้ว่า ราคาน้ำมันไม่สูงไปกว่า 50
ก็อาจจะเห็นภาพกำไร ระยะยาวได้
http://board.thaivi.org/posting.php?mod ... &p=1742974
และ roic -ของกลุ่มการบินคือราคาน้ำมัน
ถ้าแน่ใจได้ว่า ราคาน้ำมันไม่สูงไปกว่า 50
ก็อาจจะเห็นภาพกำไร ระยะยาวได้
imerlot เขียน:อยากรู็ว่า
การเติบโตของรถ EV มีผลต่อ demand ของน้ำมันดิบอย่างไร?
อ่าน
Electric Cars May Take an OPEC-Sized Bite From Oil Use
by Jessica Shankleman
December 3, 2016 — 1:00 AM EST December 4, 2016 — 11:38 AM EST
https://www.bloomberg.com/news/articles ... oil-demand
..By 2035 so-called EVs may remove 1 million to 2 million barrels a day of oil demand from the market -- in the range of the production cut OPEC and its allies agreed this week in order to end a three-year crude surplus.
https://www.iea.org/about/faqs/oil/For 2016, the IEA Oil Market Report forecasts worldwide average demand of nearly 96 million barrels of oil and liquid fuels per day
imerlot เขียน:ในบทความของ
Jessica Shankleman
เขามี chart ประกอบน่าสนใจ
เช่น
1.Battery-Powered Vehicle Growth ปี 2010-2015
จากไม่ถึง 5หมื่นคันในปี 2010 มาเป็นมากกว่า 5แสนคันในปี2015
2. Global Gasoline Growth hit a road block
แปลว่า ราคาน้ำมันไม่ขึ้น ใช่ไหม
และการที brk ไปลง 1b ในกลุ่ม การบิน มีนัยเกี่ยวกันไหม
...
http://board.thaivi.org/posting.php?mod ... &p=1742974
- theerasak24
- Verified User
- โพสต์: 614
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การกลับลำของ Buffett / คนขายของ
โพสต์ที่ 6
ขอขอบคุณครับ ผมว่านี่เป็นข้อดีของนักลงทุนที่เก่งนะครับ เพราะถ้ามองเห็นโอกาส ก็สามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ ทุกรูปแบบไม่ยึดติดกับบริษัทประเภทใดประเภทหนึ่ง (อันนี้น่านับถือด้วยซ้ำไปครับ)
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"