Seth Klarman / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
Seth Klarman / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
Seth Klarman / โดย คนขายของ
ผมเริ่มรู้จักนักลงทุนผู้นี้จากรุ่นพี่นักลงทุนท่านหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังว่า หนังสือเรื่องการลงทุนที่น่าจะแพงที่สุดในโลก ณ เวลานี้คือหนังสือชื่อ “Margin of Safety” เขียนโดย Seth Klarman ซึ่งออกจำหน่ายในปี 1991และไม่มีการพิมพ์เพิ่ม ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายมือสองทางออนไลน์ในอเมริกา ด้วยราคาสูงถึงเล่มละ 900 เหรียญ ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสามหมื่นบาท สำหรับหนังสือขนาดปกติที่มี 249 หน้า ก็ถือว่าแพงมาก แต่ถ้าผู้ที่อ่านได้นำหลักการที่ Seth ได้พูดถึงไว้มาใช้ในการลงทุน เขาอาจจะรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าที่สูงกว่านั้นมาก
Seth Klarman ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงขนาด 29 พันล้านเหรียญ โดยใช้แนวการลงทุนเน้นคุณค่าเป็นหลัก ด้วยพื้นฐานปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Cornell และ MBA จาก Harvard ทำให้เขาเข้าสู่โลกของการบริหารกองทุน ด้วยการก่อตั้ง Baupost Group ในปี 1982 ซึ่งในเวลานั้น เขาอายุเพียง 25 ปี ผ่านถึงปัจจุบัน มีการประเมินกันว่ากองทุนของ Seth สามารถทำผล ตอบแทนทบต้นราว 17% ตั้งแต่ก่อตั้งมา ถึงแม้ว่ายังไม่เทียบเท่า Warren Buffett แต่ก็นับว่าชนะคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันแบบขาดลอย
กองทุน The Baupost Group นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม การถือเงินสดราว 50% ของสินทรัพย์ทั้งหมดดูเป็นเรื่องปกติของกองทุนนี้ Seth ย้ำเสมอว่าการลงทุนของเขานั้นมองกันในระยะเวลาระดับปี และหากใครต้องการให้เขาบริหารเงินให้ โดยเน้นระยะเวลาเพียงแค่ 6-12 เดือนเขาจะแนะนำว่าให้ไปที่คาสิโนน่าจะดีกว่า ในปี 1999 เป็นปีที่ตลาดหุ้นของอเมริการ้อยแรงมาก ดัชนี Dow Jones ขึ้นไป 25% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นไป 21% แต่กองทุน Baupost ของ Seth กลับขาดทุนถึง 18%
Seth เคยอธิบายถึงการแพ้ตลาดในขณะที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิงว่า “…ผมขอย้ำว่าการลงทุนแบบ เน้นคุณค่านั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะชนะตลาดในสภาวะกระทิง ซึ่งในสภาวะกระทิงนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก ซึ่งมีบ่อยครั้งที่ทำได้ดีกว่านักลงทุนเน้นคุณค่า แต่ในสภาวะที่ตลาด อยู่ในสภาวะตกต่ำต่อเนื่องยาวนานต่างหาก ที่หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ…” ผลงานการลงทุนของ Seth กลับมาเป็นที่ประจักษ์อีกครั้งในปี 2000 เมื่อดัชนี Dow Jones ติดลบ 6% และ S&P ติดลบ 9% แต่กองทุน Baupost กลับได้กำไร 10% และต่อมาในปี 2001 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดได้รับผลซ้ำเติมจาก การก่อการร้ายทำให้ ดัชนี Dow Jones ติดลบ 7% และ S&P ติดลบเกือบ 12% แต่กองทุน Baupost กลับทำกำไรได้ถึง 27%
เท่าที่ผมสังเกตุดูการลงทุนของกองทุน Baupost ตามรายงานที่ยื่นต่อตลาด พอจะสรุปสไตล์การลงทุนได้ดังนี้ หนึ่ง กองทุน Baupost จะไม่ไล่ซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นไปมากแล้ว หรือกำลังร่วงตกลงมาแรงๆ แต่จะ เข้าซื้อในช่วงที่ราคาอยู่นิ่งมายาวนาน สอง PE ของหุ้นที่เข้าซื้อมีหลากหลาย ต่ำก็มี สูงแบบ 20 เท่าก็มี หรือ กิจการยังขาดทุนอยู่กองทุนก็ลงทุน แต่เท่าที่สังเกตุคือ บริษัทที่กองทุนลงทุน จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของกำไรไปในทางที่ดีขึ้นในไม่ช้า และสาม กองทุนจะถือหุ้นแบบ “โฟกัส” มาก โดยหุ้นที่ถือมากที่สุด 3 ตัวคิดเป็นมูลค่า 50% ของพอร์ต และ หุ้นที่ถือมากที่สุด 10 ตัวคิดเป็น 75% ของพอร์ต ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตซึ่งแตกต่างจากกองทุนบริหารความเสี่ยงกองอื่นเป็นอย่างมาก
Seth เคยกล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้น คือจุดตัดกันระหว่างความรู้ทางเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ กับความรู้เรื่องจิตวิทยาการลงทุน เขาเชื่อว่าความรู้เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นนั้นไม่ได้ยุ่งยาก แต่ที่ยากคือการตัดสินใจกับคำถามประเภท จะซื้อตอนนี้ดีหรือรอไปก่อน? และวันที่ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เราควรตัดสินใจอย่างไรดี? ซึ่งเขาเชื่อว่าคำถามประเภทนี้ ต้องใช้ประสบการณ์พอสมควร และถึงแม้ Seth เองก็มีประสบการณ์เรื่องการลงทุนมายาวนานพอสมควรถึง 34 ปี แต่ในปี 2015 กลับเป็นปีที่กองทุนทำผลตอบแทนติดลบเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของกองทุน
เรื่องนี้เป็นการตอกย้ำว่าการลงุทนไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้กำไร แม้แต่ระดับมืออาชีพที่มีการศึกษาอย่างดี มีประสบการณ์ที่ยาวนานก็ไม่สามารถที่จะชนะตลาดได้เสมอไป การลงทุนนั้นมักมีการแพ้การชนะเกิด ขึ้นอยู่ตลอดเป็นธรรมดา การตัดสินใจถูกและผิดเป็นเรื่องปกติ ดังที่ George Soros นักลงทุนในตำนาน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ (ในเรื่องการลงทุนนั้น) มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิดที่สำคัญ หากแต่เป็นเรื่องถ้าคุณถูก คุณทำเงินได้เท่าไหร่ และเมื่อคุณผิดคุณจะเสียเงินเท่าไหร่ นั่นแหละที่สำคัญ” ดังนั้นเรื่อง “ส่วนเผื่อความ ปลอดภัย (Margin of Safety)” ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการลงทุนเน้นคุณค่า จึงมีส่วนช่วยให้นักลงทุน อยู่รอดปลอดภัย ถึงแม้เขาอาจจะตัดสินใจผิดไปบ้างก็ตาม
ผมเริ่มรู้จักนักลงทุนผู้นี้จากรุ่นพี่นักลงทุนท่านหนึ่ง ซึ่งเล่าให้ฟังว่า หนังสือเรื่องการลงทุนที่น่าจะแพงที่สุดในโลก ณ เวลานี้คือหนังสือชื่อ “Margin of Safety” เขียนโดย Seth Klarman ซึ่งออกจำหน่ายในปี 1991และไม่มีการพิมพ์เพิ่ม ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายมือสองทางออนไลน์ในอเมริกา ด้วยราคาสูงถึงเล่มละ 900 เหรียญ ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสามหมื่นบาท สำหรับหนังสือขนาดปกติที่มี 249 หน้า ก็ถือว่าแพงมาก แต่ถ้าผู้ที่อ่านได้นำหลักการที่ Seth ได้พูดถึงไว้มาใช้ในการลงทุน เขาอาจจะรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าที่สูงกว่านั้นมาก
Seth Klarman ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงขนาด 29 พันล้านเหรียญ โดยใช้แนวการลงทุนเน้นคุณค่าเป็นหลัก ด้วยพื้นฐานปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Cornell และ MBA จาก Harvard ทำให้เขาเข้าสู่โลกของการบริหารกองทุน ด้วยการก่อตั้ง Baupost Group ในปี 1982 ซึ่งในเวลานั้น เขาอายุเพียง 25 ปี ผ่านถึงปัจจุบัน มีการประเมินกันว่ากองทุนของ Seth สามารถทำผล ตอบแทนทบต้นราว 17% ตั้งแต่ก่อตั้งมา ถึงแม้ว่ายังไม่เทียบเท่า Warren Buffett แต่ก็นับว่าชนะคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันแบบขาดลอย
กองทุน The Baupost Group นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม การถือเงินสดราว 50% ของสินทรัพย์ทั้งหมดดูเป็นเรื่องปกติของกองทุนนี้ Seth ย้ำเสมอว่าการลงทุนของเขานั้นมองกันในระยะเวลาระดับปี และหากใครต้องการให้เขาบริหารเงินให้ โดยเน้นระยะเวลาเพียงแค่ 6-12 เดือนเขาจะแนะนำว่าให้ไปที่คาสิโนน่าจะดีกว่า ในปี 1999 เป็นปีที่ตลาดหุ้นของอเมริการ้อยแรงมาก ดัชนี Dow Jones ขึ้นไป 25% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นไป 21% แต่กองทุน Baupost ของ Seth กลับขาดทุนถึง 18%
Seth เคยอธิบายถึงการแพ้ตลาดในขณะที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิงว่า “…ผมขอย้ำว่าการลงทุนแบบ เน้นคุณค่านั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะชนะตลาดในสภาวะกระทิง ซึ่งในสภาวะกระทิงนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก ซึ่งมีบ่อยครั้งที่ทำได้ดีกว่านักลงทุนเน้นคุณค่า แต่ในสภาวะที่ตลาด อยู่ในสภาวะตกต่ำต่อเนื่องยาวนานต่างหาก ที่หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ…” ผลงานการลงทุนของ Seth กลับมาเป็นที่ประจักษ์อีกครั้งในปี 2000 เมื่อดัชนี Dow Jones ติดลบ 6% และ S&P ติดลบ 9% แต่กองทุน Baupost กลับได้กำไร 10% และต่อมาในปี 2001 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดได้รับผลซ้ำเติมจาก การก่อการร้ายทำให้ ดัชนี Dow Jones ติดลบ 7% และ S&P ติดลบเกือบ 12% แต่กองทุน Baupost กลับทำกำไรได้ถึง 27%
เท่าที่ผมสังเกตุดูการลงทุนของกองทุน Baupost ตามรายงานที่ยื่นต่อตลาด พอจะสรุปสไตล์การลงทุนได้ดังนี้ หนึ่ง กองทุน Baupost จะไม่ไล่ซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นไปมากแล้ว หรือกำลังร่วงตกลงมาแรงๆ แต่จะ เข้าซื้อในช่วงที่ราคาอยู่นิ่งมายาวนาน สอง PE ของหุ้นที่เข้าซื้อมีหลากหลาย ต่ำก็มี สูงแบบ 20 เท่าก็มี หรือ กิจการยังขาดทุนอยู่กองทุนก็ลงทุน แต่เท่าที่สังเกตุคือ บริษัทที่กองทุนลงทุน จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของกำไรไปในทางที่ดีขึ้นในไม่ช้า และสาม กองทุนจะถือหุ้นแบบ “โฟกัส” มาก โดยหุ้นที่ถือมากที่สุด 3 ตัวคิดเป็นมูลค่า 50% ของพอร์ต และ หุ้นที่ถือมากที่สุด 10 ตัวคิดเป็น 75% ของพอร์ต ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตซึ่งแตกต่างจากกองทุนบริหารความเสี่ยงกองอื่นเป็นอย่างมาก
Seth เคยกล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้น คือจุดตัดกันระหว่างความรู้ทางเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ กับความรู้เรื่องจิตวิทยาการลงทุน เขาเชื่อว่าความรู้เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นนั้นไม่ได้ยุ่งยาก แต่ที่ยากคือการตัดสินใจกับคำถามประเภท จะซื้อตอนนี้ดีหรือรอไปก่อน? และวันที่ทุกอย่างดูแย่ไปหมด เราควรตัดสินใจอย่างไรดี? ซึ่งเขาเชื่อว่าคำถามประเภทนี้ ต้องใช้ประสบการณ์พอสมควร และถึงแม้ Seth เองก็มีประสบการณ์เรื่องการลงทุนมายาวนานพอสมควรถึง 34 ปี แต่ในปี 2015 กลับเป็นปีที่กองทุนทำผลตอบแทนติดลบเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของกองทุน
เรื่องนี้เป็นการตอกย้ำว่าการลงุทนไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้กำไร แม้แต่ระดับมืออาชีพที่มีการศึกษาอย่างดี มีประสบการณ์ที่ยาวนานก็ไม่สามารถที่จะชนะตลาดได้เสมอไป การลงทุนนั้นมักมีการแพ้การชนะเกิด ขึ้นอยู่ตลอดเป็นธรรมดา การตัดสินใจถูกและผิดเป็นเรื่องปกติ ดังที่ George Soros นักลงทุนในตำนาน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ (ในเรื่องการลงทุนนั้น) มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิดที่สำคัญ หากแต่เป็นเรื่องถ้าคุณถูก คุณทำเงินได้เท่าไหร่ และเมื่อคุณผิดคุณจะเสียเงินเท่าไหร่ นั่นแหละที่สำคัญ” ดังนั้นเรื่อง “ส่วนเผื่อความ ปลอดภัย (Margin of Safety)” ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการลงทุนเน้นคุณค่า จึงมีส่วนช่วยให้นักลงทุน อยู่รอดปลอดภัย ถึงแม้เขาอาจจะตัดสินใจผิดไปบ้างก็ตาม
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 38
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seth Klarman / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับพี่
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Seth Klarman / คนขายของ
โพสต์ที่ 6
หนังสือ Klarman เล่มที่ว่า มีคนทำเป็น pdf แล้วแชร์
(จะให้เครดิตรึก็ผม download ต่อมาจากใครจำไม่ได้
เลิกพิมพ์แล้ว คิดว่าคงไม่ผิดเรื่องลิขสิทธิ์อะไรนะครับ)
ใครสนใจลองเอาไปอ่านดู
ต้องเอาไปรวมกันนะครับ ขนาดใหญ่กว่า 2M เลยลงในนี้ไฟล์เดียวไม่ได้)
(จะให้เครดิตรึก็ผม download ต่อมาจากใครจำไม่ได้
เลิกพิมพ์แล้ว คิดว่าคงไม่ผิดเรื่องลิขสิทธิ์อะไรนะครับ)
ใครสนใจลองเอาไปอ่านดู
ต้องเอาไปรวมกันนะครับ ขนาดใหญ่กว่า 2M เลยลงในนี้ไฟล์เดียวไม่ได้)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้