สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน
วันที่ 21 สิงหาคม 2555
จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รูปภาพ

เปิดตัวคุณหมอนักลงทุน 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ' ผู้มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหา
Financial Freedom จากแพทย์สูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ ก้าวสู่เซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้า

ใครๆ ก็มีฝันอยากมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ภายใต้สภาวะความมั่นคงทางการเงิน หนึ่งในนั้น "หมอมุข" น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ อดีตหมอสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมาย Financial Freedom ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองของเขา! หลังเล่นหุ้นแบบไม่มีหลักการมานานหลายปี..ปัจจุบันนายแพทย์ประมุขในวัย 43 ปี ค้นพบปลายทางของจุดหมาย "อิสรภาพทางการเงิน" อยู่บนถนนสายตลาดหุ้นที่เขาเลือกเดิน!!

ไม่เพียงเขาเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้าเท่านั้น น.พ.ประมุขยังมีบทบาทเป็นอุปนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" ที่สมาชิกรู้จักดี หมอมุขมี “รอยยิ้ม” เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว มีประวัติการเรียนดีมาตลอด

เขาจบมัธยมต้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒปทุมวัน จบมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนจะตีตั๋วเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 98 รุ่นเดียวกับ น.พ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.thaiclinic.com รวมถึง น.พ.สมพงษ์ พัฒนกิจไพโรจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางสะพานน้อย เจ้าของรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นประจำปี 2553

หลังเรียนจบหมอหนุ่มเลือกไปประจำที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ แถวหนองแขม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้อยู่แผนกสูติ-นรีเวช ส่วนภรรยาที่เรียนแพทย์มาด้วยกันประจำอยู่แผนกเด็ก เขาทำงานเพียง 3 ปี ก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นเวลา 3 ปี ส่วนภรรยาก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี

คุณหมอนักลงทุนย้อนประวัติการการศึกษาให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า เหตุผลที่เลือกเรียนคณะสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นวิชาที่รวมทั้งการผ่าตัดและยาเข้าด้วยกัน ไม่ได้เน้นด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างจากภาควิชาอายุกรรม หรือภาคอายุศาสตร์ที่จะมีความเป็นวิชาการสูงมาก

"ช่วงหนึ่งผมเคยชื่นชอบภาควิชา หู คอ จมูก เป็นวิชาที่มีความถนัดมากที่สุด เรียนแพทย์เคยได้เหรียญทองแดง 3 วิชา (เหรียญทองแดงเป็นเหรียญที่มีคะแนนสอบสูงสุด) แบ่งเป็นสาขาวิชาพยาธิวิทยาคลินิก เหรียญนี้ได้ตอนเรียนปี 3 และภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา (หู คอ จมูก) ได้ตอนเรียนปี 5 และสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (การป้องกันโรค และป้องกันการบาดเจ็บ) ได้ช่วงเรียนปี 6"

หลังจบแพทย์เฉพาะทาง น.พ.ประมุข ไปทำงานที่โรงพยาบาลกลาง แผนกสูติ-นรีเวช ทำได้เพียงครึ่งปี ก็ถูกส่งตัวไปช่วยงานที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ ส่วนภรรยาแยกไปทำงานที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ก่อนจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ เพราะโรงพยาบาลขาดแคลนแพทย์ ทำได้ 3 ปี ก็ลาออกมาเปิดคลีนิคในต่างจังหวัดเกี่ยวกับสูติ-นรีเวช

"ผมเปิดคลีนิคมาแล้ว 18 ปี (ไม่บอกชื่อคลีนิค) ส่วนภรรยาก็ทำงานในโรงพยาบาลประมาณ 10 ปี ก่อนจะลาออกมาเปิดคลีนิคส่วนตัวเกี่ยวกับหมอเด็ก เปิดมาแล้ว 6-7 ปี คลีนิคของเรา 2 คน อยู่ห่างกันไม่มาก เหตุผลที่ลาออกเพราะอยากเป็น "นายตัวเอง" ช่วงที่ออกมาเปิดคลีนิคส่วนตัวก็รับเป็นที่ปรึกษาตามโรงพยาบาลเอกชน 2-3 แห่ง สัปดาห์ละ 1 วัน ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ตอนนี้ไม่ได้รับงานเป็นที่ปรึกษาแล้ว"

สำหรับจุดเริ่มต้นที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น คุณหมอ เล่าว่า สนใจมาตั้งแต่ปี 2534 ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ก็คิดแล้วว่าอยากทำงานอิสระ ไม่อยากมีเจ้านาย มีเงินสักก้อนอยากลงทุนทำเงินให้งอกเงยตอนนั้นก็มองไว้หลายอย่าง..สุดท้ายมองว่าลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะตอบโจทย์ได้ทั้งหมด

"ช่วงนั้นผมเริ่มไปหาหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน ยังไม่มีพ็อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับการลงทุนให้อ่านมากเหมือนสมัยนี้ บางครั้งก็อาศัยถามรุ่นพี่ ถามเพื่อนที่เขาลงทุนอยู่แล้ว จำได้ว่าเคยถามเพื่อนว่าตัวเลขสีเขียวๆ แดงๆ ที่วิ่งอยู่ตามหน้าจอโทรทัศน์มันคืออะไร..ผมศึกษาข้อมูลต่างๆ จนคิดว่ารู้แน่นปึก หลังจบออกมาทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็ไปเปิดพอร์ตลงทุนจำได้ว่าปี 2535 ทุนเริ่มต้น "หลักหมื่นบาท" ช่วงนั้นยังเล่นหุ้นแบบไม่มีข้อมูล ซื้อหุ้นตามสตอรี่ และไม่สนใจดูงบการเงิน เน้นลงทุนระยะสั้น 3 วัน 7 วัน นานสุด 1 เดือน"

ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกกำไรครั้งละ 5-10% สูงสุด 20% บางตัวเคยกำไรสูงถึง 80-90% แต่มาเสียหนักตรงที่ยึดนโยบาย “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” (หัวเราะ) เคยขาดทุนวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้นานจนราคาหุ้นแทบจะกลายเป็น "ศูนย์"

"ครั้งหนึ่งผมเคยขาดทุนหุ้น บงล.เอกชาติ ตอนนั้นเจ็บใจมากซื้อมาหมื่นกว่าหุ้น มาร์เก็ตติ้งบอกหุ้นตัวนี้ดีมาก ตอนแรกๆ ราคาขึ้นมา ก็คิดว่าน่าจะสูงกว่านี้ พอหุ้นลงก็คิดอีกว่าเดี๋ยวมันขึ้นมาใหม่ สุดท้ายราคาก็ลงเรื่อยๆ จนทำให้จำนวนเงินในพอร์ตหายไปประมาณ 80-90%"

บทเรียนการขาดทุนครั้งนั้นทำให้ น.พ.ประมุข มีความคิดว่าการลงทุนในหุ้นเหมือน "เล่นพนัน" ดีๆ นี่เอง ลงทุนแบบไร้ทิศทางอยู่ 2-3 ปี ก็ "ถอยออกมา" ช่วงนั้นต้องออกมาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง แต่ก็มีซื้อหุ้นปันผลและเก็บหุ้นที่ขาดทุนติดพอร์ตไว้ 2-3 ตัว จากปกติจะถือประมาณ 20 ตัว

“ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปในช่วงที่เลิกลงทุน ผมถือว่าเป็นคนที่ “โชคดีมาก" (ลากเสียงยาว) เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ถ้าขืนลงทุนอยู่ต่อชีวิตผมคงต้องเดือดร้อนแน่นอน"

หลังเรียนจบแพทย์เฉพาะทางปี 2541 หมอหนุ่มก็ยังไม่คิดจะกลับมาลงทุน ช่วงนั้นตลาดหุ้นซึมๆ ซื้อขายวันละ 1,000-2,000 ล้านบาท โบรกเกอร์ถึงขนาดนั่งตบยุง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการที่ตลาดหุ้นเป็นแบบนี้มันเหมาะมากที่จะหาซื้อหุ้นดีๆ เป็นอย่างยิ่ง!!! กว่าที่เขาจะกลับมามองตลาดหุ้นอีกครั้งก็ปี 2544

การกลับมาครั้งนี้ น.พ.ประมุข พัฒนาตัวเองโดยหาหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมาอ่าน เล่มหนึ่ง "พ่อรวยสอนลูก" ของโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่สอนว่าเงินมี 4 แบบ คือ 1.E (Employee) เงินเดือนที่ได้จากการทำงานให้กับกิจการที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ข้อนี้..ผมไม่ชอบ ข้อ 2. S (Self-Employed) กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ข้อ 3. B (Business Owner) เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท สุดท้าย คือ I (Investor) นักลงทุน

ในหนังสือเขาจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ซ้ายมือ จะเป็น E กับ S เป็นด้านที่อยู่ในวนเวียนของกับดักหนู คือ ไม่มีทางได้พบอิสระทางการเงิน ส่วนขวามือ คือ B กับ I หลายคนทำอยู่ด้วยการให้เงินเป็นคนทำงาน ซึ่งข้อ 4 “ถูกใจ” ผมมากที่สุด และช่วงนั้นเป็น “แฟนคลับ” ของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ผู้ก่อตั้งชมรมคนออมเงิน ซื้อหนังสือของอาจารย์มาอ่านเกือบทุกเล่ม และก็เป็นแฟนคลับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เพราะทันทีที่อาจารย์ออกหนังสือ “ตีแตก” ก็ซื้อมาอ่าน..อ่านจบก็ปิ๊งๆๆ เลย

ก่อนจะหันมาลงทุนแนว VI ช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลง น.พ.ประมุข ยังคงลงทุนระยะสั้นเหมือนเดิม เพียงแต่จะมีหลักการมากขึ้น โดยเริ่มวิเคราะห์กิจการและแนวโน้มธุรกิจ หลังวิกฤติปี 2540 เริ่มจะมองออกว่าธุรกิจอะไรจะ “รุ่ง” ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนตัวโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับส่งออกดีมาก ช่วงนั้นบอกตรงๆ งบการเงินไม่ดูเลยไม่รู้เรื่อง เป็น “ไม้เบื้อไม้เมา” อ่านทีไรหลับทุกที (หัวเราะ)

"แม้ไม่ค่อยสนใจงบการเงิน แต่ผมก็ได้กำไรเกือบทุกตัว ส่วนใหญ่เล่นหุ้น "พิมพ์นิยม" กลุ่มแบงก์ และพลังงาน ฯลฯ เอากำไรไม่มาก 10-20% ตอนนั้นเริ่มมีหลักกการ จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามตลาด เชื่อหรือไม่! ผมไม่ขาดทุนเลย เล่นหลักการแบบนี้จนถึงปี 2547 วันหนึ่งผมกลับมานอนคิดว่า ถ้าเรายังลงทุนแบบนี้ต่อไป ก็คงไม่ต่างอะไรจากการซื้อมาขายไป ไม่ใช่นักลงทุนที่แท้จริง สุดท้ายจะมีอิสระภาพทางการเงินได้อย่างไร ทำให้ต้องกลับมาค้นหาเส้นทางสู่ Financial Freedom ใหม่อีกครั้ง"

น.พ.ประมุข เริ่มมาดูเรื่องการลงทุนใหม่ๆ เช่น อสังหาริมรัพย์ และหุ้นกู้ สุดท้ายก็รู้ว่าตัวเองไม่ถนัดอสังหาริมทรัพย์ เป็นคนหน้าบางทวงเงินใครไม่เป็น และไม่ใช่นักต่อรอง จึงหันไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 3-5% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง เลือกลงทุน 3 กองทุนที่จ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส ถึงปัจจุบันได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% โดยไม่เคยนำเงินปันผลมาใช้ มีแต่นำไป "ทบต้น"

นอกจากนี้ เมื่ออยากเจอกับคำว่า “อิสระทางการเงิน” ก็เป็นแฟนคอลัมน์ Value Way ในน.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เขียนโดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ และ มนตรี นิพิฐวิทยา ที่เอามาลงในเว็บไซต์ พออ่านแล้วรู้สึก “ตรงใจ” ยิ่งได้มาอ่านหนังสือ “ตีแตก” ยิ่งตอกย้ำเลยว่า "ใช่"

ช่วงแรกๆ หมอแทบ "ถอดใจ" ในเว็บไซต์พูดถึงแต่เรื่องงบการเงินที่ตัวเองไม่ถนัด ไม่รู้เรื่องเลย แต่โชคดีมีเพื่อนนักลงทุนคอยให้กำลังใจตลอด ทุกคนพูดว่า “มาใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ” จึงตัดสินใจ “ฮึด” ใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับงบการเงินและวิเคราะห์ธุรกิจมาอ่านหลายเล่มมาก มีหนังสือของ ดร.นิเวศน์ 3-4 เล่ม กวาดมาหมด หนังสือ One Up On Wall Street ของ ปีเตอร์ ลินช์ และหนังสือแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนังสือที่แปลโดย พรชัย รัตนนนทชัยสุข หน้า 400-500 หน้า อ่านจบภายในระยะเวลาไม่นาน พออ่านมากๆ ทำให้รู้ถึงแก่นแท้ของแนวทางวีไอมากขึ้น

คุณหมอ บอกว่า หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแนว VI จะสอนให้เราดูตัวเลขการเงินสำคัญๆ ไม่จำเป็นต้องดูทุกตัว แรกๆ จะสอนให้เราดูง่ายๆ ก่อน เช่น อัตราส่วนราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น (P/E) รวมถึงอัตราส่วนราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท (P/BV) และอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เมื่อเริ่มยากขึ้นเขาจะสอนให้ดูอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และอัตราส่วนราคาต่อผลกำไรสุทธิต่อหุ้นเทียบกับการเพิ่มของผลกำไร (PEG Ratio)

"เมื่ออ่านจบทำให้ผมรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเก่งตัวเลขทางการเงินทุกตัว การเป็นนักลงทุนแนว VI ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเก่งบัญชี แต่ให้เน้นมองภาพใหญ่ของธุรกิจให้ออก “อาจารย์นิเวศน์” ยังเคยบอกว่า ตัวเขาก็ไม่ได้ดูงบการเงินเป็นทุกตัว เน้นดูแนวโน้มธุรกิจ"

เรื่องราวของ น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ ยังไม่จบ!!! สัปดาห์หน้าตามต่อ "เทคนิคการลงทุน" เขามีกลยุทธ์อย่างไรจึงค้นพบ Financial Freedom โดยเฉพาะในปี 2554 มีกำไรจากการลงทุนสูงถึง 75%
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'


(ต่อ 2) คัมมิ่งซูน
ภาพประจำตัวสมาชิก
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4740
ผู้ติดตาม: 0

Re: สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ปรัชญา เขียน:จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'


(ต่อ 2) คัมมิ่งซูน
มาแล้วครับ
--------------------------------------------------------------------
จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ''นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, August 20, 2012 05:38


ใครๆ ก็ฝันอยากมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ภายใต้สภาวะความมั่นคงทางการเงิน
หนึ่งในนั้น คือ "หมอมุข" นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ อดีตหมอสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์
มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมาย Financial Freedom
ปัจจุบันเขาค้นพบปลายทางของจุดหมาย "อิสรภาพทางการเงิน" อยู่บนถนนสายตลาดหุ้นที่เขาเลือกเดิน !!
กับการก้าวสู่เซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้า
เปิดตัวคุณหมอนักลงทุน 'นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ' ผู้มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหา Financial Freedom จากแพทย์สูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ก้าวสู่เซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้า
"หมอมุข" นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ อดีตหมอสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมาย Financial Freedom ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองของเขา! หลังเล่นหุ้นแบบไม่มีหลักการมานานหลายปี...ปัจจุบันนายแพทย์ประมุขในวัย 43 ปี ค้นพบปลายทางของจุดหมาย "อิสรภาพทางการเงิน" อยู่บนถนนสายตลาดหุ้นที่เขาเลือกเดิน!!
ไม่เพียงเขาเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้านพ.ประมุขยังมีบทบาทเป็นอุปนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" ที่สมาชิกรู้จักดี
เขาจบแพทย์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 98 รุ่นเดียวกับ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.thaiclinic.com รวมถึง นพ.สมพงษ์ พัฒนกิจไพโรจน์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลบางสะพานน้อย เจ้าของรางวัลแพทย์ชนบท ดีเด่นประจำปี 2553 หลังเรียนจบไปประจำที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ แถวหนองแขม ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ให้อยู่แผนกสูติ-นรีเวช ส่วนภรรยาที่เรียนแพทย์ มาด้วยกันประจำอยู่แผนกเด็ก ทำงานเพียง 3 ปี ก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นเวลา 3 ปี ส่วนภรรยาก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางภาควิชากุมารเวช- ศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี คุณหมอนักลงทุนย้อนประวัติการการศึกษาให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า เหตุผลที่เลือกเรียนคณะสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นวิชาที่รวมทั้งการผ่าตัดและยาเข้าด้วยกัน ไม่ได้เน้นด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างจากภาควิชาอายุรกรรม หรือภาคอายุรศาสตร์ที่จะมีความเป็นวิชาการสูงมาก
"ช่วงหนึ่งผมเคยชื่นชอบภาควิชา หู คอ จมูก เป็นวิชาที่มีความถนัดมากที่สุด เรียนแพทย์เคยได้เหรียญทองแดง 3 วิชา (เหรียญทองแดงเป็นเหรียญที่มีคะแนนสอบสูงสุด) แบ่งเป็นสาขาวิชาพยาธิวิทยาคลินิก เหรียญนี้ได้ตอนเรียนปี 3 และภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา (หู คอ จมูก) ได้ตอนเรียนปี 5 และสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (การป้องกันโรค และป้องกันการบาดเจ็บ) ได้ช่วงเรียนปี 6"
หลังจบแพทย์เฉพาะทาง นพ.ประมุข ไปทำงานที่โรงพยาบาลกลาง แผนกสูติ-นรีเวช ทำได้เพียงครึ่งปี ก็ถูกส่งตัวไปช่วยงานที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ส่วนภรรยาแยกไปทำงานที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ก่อนจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ เพราะโรงพยาบาลขาดแคลนแพทย์ ทำได้ 3 ปี ก็ลาออกมาเปิดคลินิกในต่างจังหวัดเกี่ยวกับสูติ-นรีเวช
"ผมเปิดคลินิกมาแล้ว 18 ปี (ไม่บอกชื่อคลินิก) ส่วนภรรยาก็ทำงานในโรงพยาบาลประมาณ 10 ปี ก่อนจะลาออกมาเปิดคลินิกส่วนตัวเกี่ยวกับหมอเด็ก เปิดมาแล้ว 6-7 ปี คลินิกของเรา 2 คน อยู่ห่างกันไม่มาก เหตุผลที่ลาออกเพราะอยากเป็น "นายตัวเอง" ช่วงที่ออกมาเปิดคลินิกส่วนตัวก็รับเป็นที่ปรึกษาตามโรงพยาบาลเอกชน 2-3 แห่ง สัปดาห์ละ 1 วัน ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ตอนนี้ไม่ได้รับงานเป็นที่ปรึกษาแล้ว"
สำหรับจุดเริ่มต้นที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น คุณหมอ เล่าว่า สนใจมาตั้งแต่ปี 2534 ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย สมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ก็คิดแล้วว่าอยากทำงานอิสระ ไม่อยากมีเจ้านาย มีเงินสักก้อนอยากลงทุนทำเงินให้งอกเงยตอนนั้นก็มองไว้หลายอย่าง..สุดท้ายมองว่าลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะตอบโจทย์ได้ทั้งหมด "ช่วงนั้นผมเริ่มไปหาหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน ยังไม่มีพอคเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับการลงทุนให้อ่านมากเหมือนสมัยนี้ บางครั้งก็อาศัยถามรุ่นพี่ ถามเพื่อนที่เขาลงทุนอยู่แล้ว จำได้ว่าเคยถามเพื่อนว่าตัวเลขสีเขียวๆ แดงๆ ที่วิ่งอยู่ตามหน้าจอโทรทัศน์มันคืออะไร..ผมศึกษาข้อมูลต่างๆ จนคิดว่ารู้แน่นปึก หลังจบออกมาทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็ไปเปิดพอร์ตลงทุนจำได้ว่าปี 2535 ทุนเริ่มต้น "หลักหมื่นบาท" ช่วงนั้นยังเล่นหุ้นแบบไม่มีข้อมูล ซื้อหุ้นตาม สตอรี่ และไม่สนใจดูงบการเงิน เน้นลงทุนระยะสั้น 3 วัน 7 วัน นานสุด 1 เดือน"
ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกกำไรครั้งละ 5-10% สูงสุด 20% บางตัวเคยกำไรสูงถึง 80-90% แต่มาเสียหนักตรงที่ยึดนโยบาย "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" (หัวเราะ) เคยขาดทุนวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้นานจนราคาหุ้นแทบจะกลายเป็น "ศูนย์"
"ครั้งหนึ่งผมเคยขาดทุนหุ้น บงล.เอกชาติ ตอนนั้นเจ็บใจมากซื้อมาหมื่นกว่าหุ้น มาร์เก็ตติ้งบอกหุ้นตัวนี้ดีมาก ตอนแรกๆ ราคาขึ้นมา ก็คิดว่าน่าจะสูงกว่านี้ พอหุ้นลงก็คิดอีกว่าเดี๋ยวมันขึ้นมาใหม่ สุดท้ายราคาก็ลงเรื่อยๆ จนทำให้จำนวนเงินในพอร์ตหายไปประมาณ 80-90%"
บทเรียนการขาดทุนครั้งนั้นทำให้ นพ.ประมุข มีความคิดว่าการลงทุนในหุ้นเหมือน "เล่นพนัน" ดีๆ นี่เอง ลงทุนแบบไร้ทิศทางอยู่ 2-3 ปี ก็ "ถอยออกมา" ช่วงนั้นต้องออกมาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง แต่ก็มีซื้อหุ้นปันผลและเก็บหุ้นที่ขาดทุนติดพอร์ตไว้ 2-3 ตัว จากปกติจะถือประมาณ 20 ตัว
"ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปในช่วงที่เลิกลงทุน ผมถือว่าเป็นคนที่ "โชคดีมาก" (ลากเสียงยาว) เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ถ้าขืนลงทุนต่อชีวิตผมคงต้องเดือดร้อนแน่นอน"
หลังเรียนจบแพทย์เฉพาะทางปี 2541 หมอหนุ่มก็ยังไม่คิดจะกลับมาลงทุน ช่วงนั้นตลาดหุ้นซึมๆ ซื้อขายวันละ 1,000-2,000 ล้านบาท โบรกเกอร์ถึงขนาดนั่งตบยุง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการที่ตลาดหุ้นเป็นแบบนี้มันเหมาะมากที่จะหาซื้อหุ้นดีๆ เป็นอย่างยิ่ง!!! กว่าที่จะกลับมามองตลาดหุ้นอีกครั้งก็ปี 2544
การกลับมาครั้งนี้ นพ.ประมุข พัฒนาตัวเองโดยหาหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมาอ่าน เล่มหนึ่ง "พ่อรวยสอนลูก" ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ที่สอนว่าเงินมี 4 แบบ คือ 1.E (Employee) เงินเดือนที่ได้จากการทำงานให้กับกิจการที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ข้อนี้..ผมไม่ชอบ ข้อ 2.S (Self-Employed) กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ข้อ 3.B (Business Owner) เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท สุดท้าย คือ I (Investor) นักลงทุน
ในหนังสือเขาจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ซ้ายมือ จะเป็น E กับ S เป็นด้านที่อยู่ในวนเวียนของกับดักหนู คือ ไม่มีทางได้พบอิสระทางการเงิน ส่วนขวามือ คือ B กับ I หลายคนทำอยู่ด้วยการให้เงินเป็นคนทำงาน ซึ่งข้อ 4 "ถูกใจ" ผมมากที่สุด และช่วงนั้นเป็น "แฟนคลับ" ของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ผู้ก่อตั้งชมรมคนออมเงิน ซื้อหนังสือของอาจารย์มาอ่านเกือบทุกเล่ม และก็เป็น แฟนคลับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เพราะทันทีที่อาจารย์ ออกหนังสือ "ตีแตก" ก็ซื้อมาอ่าน..อ่านจบก็ปิ๊งๆ ๆ เลย
ก่อนจะหันมาลงทุนแนว VI ช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลง นพ.ประมุข ยังคงลงทุนระยะสั้นเหมือนเดิม เพียงแต่จะมีหลักการมากขึ้น โดยเริ่มวิเคราะห์กิจการและแนวโน้มธุรกิจ หลังวิกฤติปี 2540 เริ่มจะมองออกว่าธุรกิจอะไรจะ "รุ่ง" ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาท อ่อนตัวโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับส่งออกดีมาก ช่วงนั้นบอกตรงๆ งบการเงินไม่ดูเลย ไม่รู้เรื่อง เป็น "ไม้เบื่อ ไม้เมา" อ่านทีไรหลับทุกที (หัวเราะ)
"แม้ไม่ค่อยสนใจงบการเงิน แต่ผมก็ได้กำไรเกือบทุกตัว ส่วนใหญ่เล่นหุ้น "พิมพ์นิยม" กลุ่มแบงก์ และพลังงาน ฯลฯ เอากำไรไม่มาก 10-20% ตอนนั้นเริ่มมีหลักการ จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามตลาด เชื่อหรือไม่! ผมไม่ขาดทุนเลย เล่นหลักการแบบนี้จนถึงปี 2547 วันหนึ่งผมกลับมานอนคิดว่า ถ้าเรายังลงทุนแบบนี้ต่อไป ก็คงไม่ต่างอะไรจากการซื้อมาขายไป ไม่ใช่นักลงทุนที่ แท้จริง สุดท้ายจะมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างไร ทำให้ต้องกลับมาค้นหาเส้นทางสู่ Financial Freedom ใหม่อีกครั้ง"
นพ.ประมุข เริ่มมาดูเรื่องการลงทุนใหม่ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกู้ สุดท้ายก็รู้ว่าตัวเองไม่ถนัดอสังหาริมทรัพย์ เป็นคนหน้าบางทวงเงินใครไม่เป็น และไม่ใช่นักต่อรอง จึงหันไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 3-5% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง เลือกลงทุน 3 กองทุนที่จ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส ถึงปัจจุบันได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% โดยไม่เคยนำเงินปันผลมาใช้ มีแต่นำไป "ทบต้น"
นอกจากนี้ เมื่ออยากเจอกับคำว่า "อิสระทางการเงิน" ก็เป็นแฟนคอลัมน์ Value Way ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เขียนโดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ และ มนตรี นิพิฐวิทยา ที่เอามาลงในเว็บไซต์ พออ่านแล้วรู้สึก "ตรงใจ" ยิ่งได้มาอ่านหนังสือ "ตีแตก" ยิ่งตอกย้ำเลยว่า "ใช่"
ช่วงแรกๆ หมอแทบ "ถอดใจ" ในเว็บไซต์พูดถึงแต่เรื่องงบการเงินที่ตัวเองไม่ถนัด ไม่รู้เรื่องเลย แต่โชคดีมีเพื่อนนักลงทุนคอยให้กำลังใจตลอด ทุกคนพูดว่า "มาใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ" จึงตัดสินใจ "ฮึด" ใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับงบการเงินและวิเคราะห์ธุรกิจมาอ่านหลายเล่มมาก มีหนังสือของ ดร.นิเวศน์ 3-4 เล่ม กวาดมาหมด หนังสือ One Up On Wall Street ของ ปีเตอร์ ลินช์ และหนังสือแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนังสือที่แปลโดย พรชัย รัตนนนทชัยสุข หน้า 400-500 หน้า อ่านจบภายในระยะเวลาไม่นาน พออ่านมากๆ ทำให้รู้ถึงแก่นแท้ของแนวทางวีไอมากขึ้น
คุณหมอ บอกว่า หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแนว VI จะสอนให้เราดูตัวเลขการเงินสำคัญๆ ไม่จำเป็นต้องดู ทุกตัว แรกๆ จะสอนให้เราดูง่ายๆ ก่อน เช่น P/E, P/BV เมื่อเริ่มยากขึ้นเขาจะสอนให้ดูอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และอัตราส่วนราคาต่อผลกำไรสุทธิต่อหุ้นเทียบกับการเพิ่มของผลกำไร (PEG Ratio)
"เมื่ออ่านจบทำให้ผมรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเก่งตัวเลขทางการเงินทุกตัว การเป็นนักลงทุนแนว VI ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเก่งบัญชี แต่ให้เน้นมองภาพใหญ่ของธุรกิจให้ออก "อาจารย์นิเวศน์" ยังเคยบอกว่า ตัวเขาก็ไม่ได้ดูงบการเงิน เป็นทุกตัว เน้นดูแนวโน้มธุรกิจ"
เรื่องราวของ นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ ยังไม่จบ!!! สัปดาห์หน้าตามต่อ "เทคนิคการลงทุน" เขามีกลยุทธ์อย่างไรจึงค้นพบ Financial Freedom โดยเฉพาะในปี 2554 มีกำไรจากการลงทุนสูงถึง 75%
"ช่วงปี 2541 ตลาดหุ้นซึมๆ ซื้อขายวันละ 1,000-2,000 ล้านบาท โบรกเกอร์ถึงขนาดนั่งตบยุง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการที่ตลาดหุ้นเป็นแบบนี้มันเหมาะมากที่จะหาซื้อหุ้นดีๆ เป็นอย่างยิ่ง!!!"

บรรยายใต้ภาพ
นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

คุณdome@perth รวดเร็วทันใจคนอ่านดีครับ
รูปภาพ

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รูปภาพ
การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน
วันที่ 28 สิงหาคม 2555
วิธีดูหุ้น 'นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

รูปภาพ
เปิด 7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร 'นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ' เลือกหุ้นแบบไหนสร้างผลตอบแทนได้ 4-5 เท่า..ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ซื้อหุ้น 'ไม่เคยขาดทุน'
จากหมอสูติ-นรีเวช ก้าวสู่เส้นทาง “เซียนหุ้นวีไอ” ต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ คุณหมอวัยกลางคนวัย 43 ปี เคยล้มเหลวจากการลงทุนเพราะยึดนโยบาย “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ทำให้ “ขาดทุน” จากวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้จนราคาหุ้นแทบเป็น "ศูนย์" จากนั้นก็หยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในปี 2544 ด้วยแนวทาง Value Investor อย่างเต็มตัว ปัจจุบันคุณหมอเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นหลักเท่าไร “ไม่รู้” เพราะเจ้าตัวกอดความลับนี้ไม่ยอมเปิดเผย บอกเพียงว่าไม่แตกต่างอะไรจากคณะกรรมการสมาคมวีไอคนอื่นๆ...ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า "พอร์ตคงใหญ่ไม่ใช่เล่น"

หมอมุขเจ้าของชื่อล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ไทยวีไอ เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า หลักๆ จะเน้นดู 7 ข้อ คือ 1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง 15-20% ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อทันที!

ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงกว่า 10% ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือการเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยเอาค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่าราคาหุ้นสูงเกินไป

ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับ 3.5-4% ขึ้นไป ถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3% ข้อ 5. หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้ "ผมจะชอบมากเป็นพิเศษ"

ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ (โปร่งใส) พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้น 20-25% ผมยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก

“ผมไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่ามันมีส่วนลด (Margin of Safety) เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ เช่น ถ้ามีส่วนลด 40-50% จากมูลค่าที่คิดไว้ก็พอใจที่จะซื้อแล้ว”

เซียนหุ้นคุณพ่อลูกสอง กล่าวต่อว่า ในพอร์ตมีหุ้นที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ประมาณ 4-5 เท่า อยู่ใน 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1.กลุ่มโมเดิร์นเทรด (ไม่บอกชื่อหุ้น) ตัวนี้ชอบมากที่สุด เพราะเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดค่อนข้างมาก มีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ที่สำคัญการขยายสาขาส่วนใหญ่จะใช้โมเดลเดิมๆ ใช้เงินลงทุนไม่มากสามารถทำซ้ำๆ ได้ตลอดเวลา

ข้อดีของหุ้นโมเดิร์นเทรดตัวที่ลงทุนเขายังสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตามจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และหาดใหญ่ รวมถึงหัวเมืองรองๆ เช่น ราชบุรี และนครปฐม เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ไปเปิดสาขาใหม่ พวกโมเดิร์นเทรดเล็กๆ ก็จะตามไปเปิดด้วย

รองลงมา คือ กลุ่มที่จะได้ผลประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เพราะเขาจะมีอำนาจการต่อรองกับผู้บริโภคสูง และมีแนวโน้มจะเติบโตไปตามวิถีชีวิตของประชาชน

“จุดเด่นของหุ้นสื่อสารตัวนี้ (ที่ลงทุน) คือเขาจะมีกระแสเงินสดเยอะ ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อยี่ห้อสูงไม่ค่อยเปลี่ยนค่าย รวมถึงได้เปรียบในความใหญ่ ที่สำคัญสเปกทางการเงินของเขาตรงใจผมทุกอย่าง (หัวเราะ)"

กลุ่มที่สาม คือ หุ้นเทิร์นอะราวด์ กลุ่มนี้เคยสร้างผลตอบแทนได้ดีมาก โดยมักจะเข้าไปซื้อในช่วงที่ไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจ หลังพบว่าธุรกิจนั้นเกิดความผิดพลาดเพียงชั่วคราวหากศึกษาแล้วพบว่าอนาคตเขากำลังจะดีขึ้นจะเข้าไปซื้อไว้ จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบว่า นพ.ประมุข เคยเข้าไปลงทุนในหุ้นเทิร์นอะราวด์ อาทิ หุ้นทาพาโก้, ไดเมท (สยาม), พรีบิลท์ และ ซิงเกอร์ประเทศไทย เป็นต้น

“นอกจากนี้ผมก็ชอบลงทุนหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทน 7-10% เพราะมันจะทำให้พอร์ตของผมมั่งคงมากขึ้น ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของผมอยู่ในรูปเงินสด หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ 10-20% ที่เหลือ 80% จะลงทุนในหุ้น โดยจะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต 80% อีก 10-20% จะลงทุนหุ้นปันผล"

หมอมุข เล่าต่อว่า ตอนนี้มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 8 ตัว ปกติจะถือลงทุนไม่เกิน 10 ตัว มากกว่านี้จะดูไม่ทัน หลังจากที่ซื้อหุ้นตัวไหนแล้วก็จะถือไปจนกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ถ้าราคาหุ้นขึ้นมาถึงราคาที่เหมาะสมแล้วแต่ยังหาตัวใหม่ที่ดีกว่าไม่ได้ ก็จะยังไม่ขาย บางตัวเคยถือนาน 2-3 ปี ระยะสั้นที่สุด 8 เดือน

"ตั้งแต่ผมเปลี่ยนมาลงทุนแนว VI "ผมไม่เคยขาดทุน" เพราะราคาที่ซื้อจะพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ไม่ค่อยไล่ราคา..ผมรอได้ ไม่อยากติดบนรถไฟนานๆ (หัวเราะ) อีกอย่างราคาที่ซื้อคิดแล้วไม่แพงเกินไป และทุกครั้งที่ซื้อหุ้นตัวไหนผมจะจดไว้เสมอว่า ซื้อเมื่อไร ซื้อเพราะอะไร ราคาเป้าหมายเท่าไร และจะขายเมื่อไร”

นพ.ประมุข บอกว่า เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงเป้าหมาย ก็จะย้อนกลับไปดูว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นเพราะเหตุผลนี้(ที่จดไว้)หรือไม่ ถ้าขึ้นมาเร็วเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของนักลงทุน แต่ราคายังไม่ถึงเป้าหมายก็อาจจะขายออกไปก่อน แล้วอาจกลับมาซื้อใหม่ถ้าราคาลดลง ตรงกันข้ามหากราคาหุ้นขึ้นเพราะจะมีข่าวดีที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนก็จะถือต่อไป การลงทุนจะถือคติว่า “การเป็นนักลงทุนแนว VI ไม่จำเป็นต้องซื้อจุดต่ำสุด ขายจุดสุงสุดเสมอไป”

คุณหมอ อธิบายยุทธวิธีการซื้อหุ้นของตัวเองให้ฟังว่า หากมั่นใจ 100% จะเข้าซื้อหุ้นตัวนั้น 30% ของพอร์ต (ไม่เกินนี้) วิธีการซื้อจะไม่ซื้อครั้งเดียว 30% แต่จะแบ่งซื้อเป็น 5-10 ไม้ ไม้ละ 10-20% มีทั้งเคาะซื้อทันที และตั้งรอ (ช่อง Bid) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและเพื่อความปลอดภัย เพราะถ้าซื้อทีเดียวบางครั้งความคิดเราอาจยังไม่ตกผลึกพอ แม้จะทำการบ้านมาดีแค่ไหนก็มีโอกาสพลาดได้

"บางคนใจร้อนไม่ยอมรอ..อาจพลาดได้ เวลาซื้อหุ้นกรุณาใจเย็นๆ จงให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นก่อนเสมอ ทุกครั้งที่ผมลงทุนถ้ามีความมั่นใจ 100% มักจะได้กำไร 3-4 เท่า แต่หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นเพียง 50% ผมจะซื้อเพียง 10% ของพอร์ต เน้นซื้อแบบตั้งรับ (ตั้งรอ) ไม่ซื้อทันที โดยจะถอยไป 2-3 ช่องราคา บางครั้งก็ไม่ซื้อเลย ขอดูเรื่อยๆ ขอต่อรองราคา ผมจะไม่รู้สึกเสียดายถ้าตกรถไฟ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจ..อย่าซื้อ!!”

จากสถิติการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คุณหมอได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจมาก ในปี 2553 ได้กำไร 100% ปี 2554 ทำกำไรได้ประมาณ 75% น้อยกว่าปี 2553 เพราะราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมาสูงแล้ว และหาหุ้นดีๆ ได้ยากขึ้น รวมถึงมูลค่าพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ส่วนในปี 2555 ตอนต้นปีตั้งเป้าผลตอบแทนไว้ 40-50% แต่มาถึง ณ วันนี้ กำไรเกินมามากแล้ว เจ้าตัวบอกถ้าเฉลี่ยแต่ละปีได้กำไร 20% ก็ถือว่า “หรู” มากแล้ว

ส่วนคำถามประจำ..คุณหมอมีพอร์ตลงทุนเท่าไร? ความลับนี้เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยโดยบอกเพียงว่า ทุกวันนี้ได้พบกับ “อิสระภาพทางการเงิน” แล้ว (อยู่ได้โดยให้เงินทำงานให้) คุณหมอบอกว่า กำลังค้นหา "หุ้นที่โลกลืม" ที่มีแนวโน้มจะเติบโตสูงในอนาคต ถ้าใครค้นพบหุ้นลักษณะนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก บางครั้งได้กำไร 3-4 เด้ง ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสนใจ

"ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น เพราะงบการเงินเขาตรงสเปกผมทุกอย่าง โดยเฉพาะในแง่ของกระแสเงินสด เขามีเยอะมาก ตอนนั้นมีคนบอกผมว่า ประเมินหุ้นตัวนี้ยากนะ แต่หลังจากผมหาข้อมูลจนครบถ้วนก็ซื้อเลยเพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนี้ไปได้ไกลแน่นอน สุดท้ายก็เป็นจริง"

สำหรับหุ้นที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเลย นพ.ประมุข กล่าวว่า หุ้นที่มีการฟ้องร้องทางกฎหมายมีคดียาวเป็นหางว่าว รวมถึงหุ้นที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และหุ้นที่มีปัญหาด้านศีลธรรม ยิ่งเป็นหุ้นที่มีผู้บริหารไม่โปร่งใสออกแนวสีเทาๆ "ผมไม่ซื้อเลย"

"ผมไม่ค่อยชอบพวกหุ้นโรงงานที่มีการลงทุนเยอะๆ และหุ้นวัฎจักร เช่น คอมมูนิตี้ น้ำมัน และเหล็ก เพราะคาดการณ์ลำบาก ต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา แต่หากเป็นธุรกิจที่มีวัฎจักรยาวๆ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัวที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่า ก็ยังพอลงทุนได้"

แม้ชีวิตจะพบกับอิสระภาพทางการเงินแล้ว แต่คุณหมอและภรรยาจะยังยึดอาชีพ "หมอรักษาคนไข้" ต่อไป แต่อาจลดเวลาการทำงานลงบ้างตามอายุ ทุกวันนี้คุณหมอจะสอนลูกทั้ง 2 คน (ผู้หญิงคนโตอายุ 14 ปี และลูกชายอายุ 8 ปี) เกี่ยวกับการลงทุนโดยคนโตเริ่มซึมซับบางแล้ว ส่วนลูกๆจะเลือกเดินทางไหนทั้งสองหมอให้อิสระเต็มที

สุดท้าย นพ.ประมุข ฝากบอกนักลงทุนมือใหม่ว่า นักลงทุนที่ดีควรจะเป็น “นักสำรวจ” ที่ดีด้วย ต้องหมั่นไปดูสินค้าที่เราเป็นเจ้าของ เช่น ไปเยี่ยมชมเคาน์เตอร์ หรือไปดูสินค้าตามห้าง และไปถามว่าเขาขายดีหรือไม่ เราจะได้กลับมาประเมินอนาคตของหุ้นตัวนั้นได้ถูก
"หนทางนี้จะนำท่านไปสู่คำว่า "อิสระภาพทางการเงิน" ได้หรือไม่..อยู่ที่ตัวของท่านเองแล้ว” คุณหมอกล่าวปิดท้าย
--------------------------------------
โพสต์โพสต์