เวิ้งนาครเขษม

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นำมาเก็บไว้เพราะคิดว่า...จะเป็นประวัติศาสตร์และตำนาน เวิ้งนาครเขษม
ขอขอบพระคุณ ข้อมูลข่าวที่มาจาก...หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


รูปภาพ
จาก....หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลท์
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2555

'เวิ้งนาครเขษม'
ตอนที่ 1 : เจ้าสัวเจริญตั้งโจทย์ขอ 300 ล้าน!!!


รูปภาพ

...เวิ้งนาครเขษม หรือนครเขษม ชื่อนี้มีความหมายว่า เมืองแห่งความสุข แต่ ณ เวลานี้ ชาวชุมชนดังกล่าวกำลังอยู่ในภาวะ "นครเขษม" หรือเปล่านั้นคำตอบมีในใจ...และเดาได้ไม่ยาก!!!

...ย้อนไปเมื่อปี 2554 จากกรณีสำนักงานราชสกุลบริพัตร ผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ดินในเวิ้งนาครเขษม ย่านการค้าเก่าแก่อายุกว่า 300 ปีบนเนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวา โดยมีเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ ณ เวลานั้นคือ ราชสกุลบริพัตร ภายหลังได้ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาผู้เช่า (ซึ่งกำลังสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2555) พร้อมทั้งได้เปิดประมูลขายที่ดินเวิ้งนาครเขษมแบบยกแปลงทั้งกระบิทั้งหมดกว่า 14 ไร่ด้วยราคาเปิดประมูลเริ่มที่ 3,800 ล้านบาท


จากแหล่งข่าวเผยว่าเบื้องหลังของการประมูลทำเลทอง เวิ้งนาครเขษมนี้ว่า ...จริงๆ แล้วแรกเลยทีเดียวก่อนจะมีการเปิดประมูลอย่างเป็นทางการนั้น เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยื่นเสนอขอซื้อด้วยราคา 3,500 ล้านบาท ทั้งที่ ราคาประเมินจากกรมที่ดิน ณ เวลานั้น เวิ้งนาครเขษมมีมูลค่าเพียง 1,700 ล้านเท่านั้น!!! 


กระทั่งในเวลาต่อมาทางสำนักงานบริพัตร ได้ประกาศเปิดประมูลขึ้นเร็วปานฟ้าผ่าสำหรับชาวชุมชนชาวเวิ้ง ทันทีที่ทุกคนรู้ข่าวก็เกิดการรวมตัวกันขึ้นภายในชุมชน โดยมี นายวิศิษฎ์ เตชะเกษม เป็นแกนนำและได้มีการดำเนินการทั้งขอยืดระยะเวลาการประมูล ระหว่างนั้นชาวเวิ้งได้มีการก่อตั้งบริษัท เวิ้งนครเขษมขึ้น เพื่อระดมเงินจำนวน 4,800 ล้านบาทสำหรับนำไปประมูลซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวคืน

...แต่แล้วชาวชุมชนเวิ้งนาครเขษมก็ต้องพ่ายไปตามกติกาแห่งการประมูล โดยเวลานั้นผู้ที่กำชัยได้ประมูลพื้นที่นาครเขษมไป คือกลุ่มอักษรา สนนราคาประมูลที่ 5,500 ล้านบาท
 โดยครั้งนั้นกลุ่มอักษราวางแผนหลังการประมูลไว้ว่าจะทำการรื้อถอนบ้านเรือนในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อจะสร้างเป็นตึกคอมเพล็กซ์ขึ้นมาแทน



'เงิน' สาเหตุทำให้ เวิ้งหลุดมือกลุ่มอักษรา

หลังจากกลุ่มอักษราประมูลได้เรียบร้อยแล้วนั้น ดูเหมือนทุกอย่างจะจบทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงวันที่กลุ่มอักษราต้องจ่ายเงินก้อนแรก ประมาณต้นปีที่ผ่านมาจำนวน 1,500 ล้านบาท ปรากฏว่ากลุ่มอักษราไม่สามารถจ่ายเงินก้อนนี้ได้ เนื่องจากผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจโลกกำลังลุกลาม รวมทั้งยักษ์ใหญ่แบ็กอัพสำคัญของกลุ่มอักษราอย่างประเทศจีน ที่ตัดสินใจแบบเฉียบพลันหันหน้าไปลงทุนปักหมุดในประเทศพม่าแทนประเทศไทย (เพราะเล็งแล้วว่าน่าจะมีอนาคตไกลกว่า) ขณะเดียวกันสถานการณ์ภายในกลุ่มเองก็ไม่สู้ดี เพราะหุ้นส่วนเริ่มทยอยถอนตัวออกไป จนในที่สุดเวิ้งนาครเขษมจำต้องหลุดมือจากกลุ่มอักษรา ดังนั้นเวิ้งฯ จึงตกอยู่ในมือของเจ้าสัวเจริญ ด้วยราคาประมาณ 4,800 ล้านบาท!! โดยได้จดทะเบียนโอนขายให้กับ บ.ทีซีซี เวิ้งนาครเขษม จำกัด ไปเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. 2555 ที่ผ่านมา


วันนี้ที่เวิ้งฯ เป็นอย่างไรบ้าง?

คำถามจากสังคม คือ ณ วันนี้ ที่เวิ้งนาครเขษมเป็นอย่างไรบ้าง? 
นายวิศิษฎ์ เตชะเกษม ตัวแทนคณะกรรมการชาวชุมชนเวิ้งนาครเขษม เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า “สำหรับความคืบหน้าการเจรจาระหว่างกลุ่มชาวเวิ้งนาครเขษม กับทางเจ้าของใหม่ ล่าสุดผมเข้าไปคุยมาเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ก.ค. โดยหลักๆ ทางเราได้เสนอยื่นเงืื่อนไขเรื่องการขอยืดระยะเวลาการขึ้นค่าเช่า ส่วนเรื่องการรักษาไว้ซึ่งคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ท่านเจ้าสัวก็ย้อนถามมาว่าชาวชุมชนมีโปรเจกต์อย่างไรบ้าง เราก็บอกว่าโปรเจกต์เราคือการรักษาอาคารบางส่วน ขณะเดียวกันบางส่วนที่ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากนักก็สามารถทำการปรับปรุงใหม่ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะอิงเฉพาะคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงคุณค่าทางสังคมที่มีอยู่ ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้น ผมจึงเสนอไปว่าอยากจะให้มีการพัฒนาในเชิงอนุรักษ์ ขณะเดียวกันก็อาจมีการสร้างขึ้นมาใหม่อีกบางส่วน โดยให้มันมีความสอดคล้องกลมกลืนกัน ซึ่งท่านเจ้าสัวท่านก็เห็นด้วย”


แต่สิ่งที่ท่านเจ้าสัวได้ตั้งโจทย์กลับมาก็คือ บริษัทฯได้ลงทุนซื้อที่ดินตรงแปลงนี้ไปทั้งหมดด้วยมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ดังนั้นภาระอัตราดอกเบี้ย 6% ที่ทางเจ้าของเวิ้งฯคนใหม่แบกรับอยู่ทั้งหมดทั้งมวลก็ประมาณ 300 ล้าน/ปี
 ลำพังค่าเช่าราคาเดิมที่ชาวเวิ้งเคยจ่ายตกประมาณ 31 ล้านบาท/ปีบวกค่าแป๊ะเจี๊ยะไปอีก 62 ล้านบาท เฉลี่ยรายได้จากการเก็บค่าเช่าพื้นที่นี้ก็ประมาณ 93 ล้านบาท นั่นหมายความว่า 300-93 = 207 เจ้าของใหม่ต้องควักเนื้อตัวเองปีละ 207 ล้านบาท/ปี



...ชาวเวิ้งจะหาคำตอบอย่างไรมาให้เจ้าสัว?
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รูปภาพ
จาก....หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลท์
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2555

'เวิ้งนาครเขษม'
ตอนที่ 2 หยุด!คอมเพล็กมอลล์ ล้างคุณค่าเวิ้งนครเกษม


รูปภาพ

บ.ทีซีซี เวิ้งนาครเขษม จำกัด กู้เงินจำนวน 5,000 ล้านบาทมาเพื่อซื้อที่ดินย่านเวิ้งนครเขษมไว้ทั้งหมด พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยคืนธนาคารจำนวน 300 ล้านบาท ในขณะที่ทางบริษัทฯ เก็บค่าเช่าจากคนในพื้นที่ทั้งหมดได้เพียง 92 ล้านบาท (หมายความว่ารายจ่ายเข้าเนื้อบริษัทฯ 208 ล้านบาท)

ทั้งนี้ก็มีคำถามในใจว่า เศรษฐีระดับ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เศรษฐีอันดับ 307 ของโลก และอันดับ 3 ของประเทศไทย เป็นไปได้หรือว่าจะกู้เงิน (แค่) 5,000 ล้านบาท และในทางกลับกันหากเงิน 5,000 ล้าน เป็นเงินเย็น ตราบใดที่ไม่ถอนออกมาใช้ก็จะได้ดอกเบี้ยจากแบงก์ฟรีๆ ประมาณ 2.2% (ประมาณ 110 ล้านบาท)

รูปภาพ

สมมติถ้าเอาจำนวนดอกเบี้ยที่ได้จำนวน 110 ลบ. ลบกับจำนวนค่าเช่า 92 ลบ. (110-92 =18 ล้านบาท) หมายความว่าค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ อาจเพิ่มขึ้นมา 18 ล้านบาท หรือ 19.56% เท่ากับว่าถ้าบริษัทฯ คิดปรับเพิ่มค่าเช่าอีก 20% ชาวชุมชนคงจะยอมรับได้...เสียดายที่มันเป็นแค่เรื่องสมมติ เพราะทางบริษัทฯ ยังคงยืนยันว่ามีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 300 ล้านบาท

รูปภาพ

...ขณะเดียวกันชาวเวิ้งฯ เองต่างระบุชัดว่าคงจะรับไม่ไหวหากเจ้าของคนใหม่จะปุบปับขยับราคาค่าเช่าจากทั้งหมดจากปีละ 92 ล้านบาท ทะยานโผไปแตะที่ค่าเช่า 300 ล้านเพื่อให้บริษัทฯ มีรายได้กลับคืนไปในอัตราที่เท่าเทียมกับดอกเบี้ยเงินกู้นั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน?....




นายวิศิษฎ์ เตชะเกษม ตัวแทนคณะกรรมการชาวเวิ้งนาครเขษม เผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า จากการเข้าพบเพื่อพูดคุยหาทางออกร่วมกันกับท่านเจ้าสัวเจริญ ซึ่งท่านตั้งคำถามกับชาวเวิ้งว่าจะหาทางออกให้ท่านได้อย่างไรบ้าง?

“ผมเสนอท่านเจ้าสัวไปว่าถ้าท่านต้องการเพิ่มค่าเช่า 20% ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล แล้วในอนาคตข้างหน้าก็อาจจะค่อยๆ ปรับขึ้นไปอีก 20% ต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งมูลค่าของมันก็จะไปแตะกันพอดี อีกทั้งที่ดินตรงนี้มันเป็นการซื้อที่มีกำไรอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทั้งรถไฟฟ้าที่กำลังจะเข้ามา และที่สำคัญคือประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นที่ที่มีมากว่า 300 ปี เรียกว่าการซื้อที่ดินตรงนี้เปรียบกับการซื้อภาพเขียนที่ไม่ใช่ภาพจากพรินเตอร์ ทว่ามันเป็นภาพที่เขียนขึ้นมาโดยศิลปิน ดังนั้น มันวัดเป็นมูลค่าไม่ได้ และในแง่เศรษฐศาสตร์พื้นที่ตรงนี้ถึงอย่างไรมันก็คุ้มค่า แต่ประเด็นคือรูปแบบของการอยู่ร่วมกันจะเป็นไปในทิศทางไหนจึงจะดีที่สุด"


“ผมเสนอขอยืดระยะเวลาการปรับเพิ่มค่าเช่าออกไปอีกประมาณ 3 ปี โดยขอว่าอย่าเพิ่งขึ้นค่าเช่าแบบกะทันหันได้ไหมเพราะทุกคนที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะคนรวยอาศัยอยู่เท่านั้น ทว่าความจริงคือภายในชุมชนยังมีคนจน เช่นร้านก๋วยเตี๋ยว กระทั่งคนแก่คนเฒ่าที่ไม่ได้ทำมาค้าขายใหญ่โตอะไร เพียงแต่พักอาศัยอยู่ที่นี่มานาน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่พวกเขายังอยู่ได้นั่นเพราะค่าเช่ายังไม่สูงมากนัก แต่ถ้าอนาคตจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าแบบทันทีคนกลุ่มนี้ก็ต้องหายจากไปในที่สุด”

ล่าสุดนายวิศิษฎ์ เผยว่า หลังจากจะมีการประชุมในชุมชนที่เวิ้งทั้งหมดไปเมื่อวันอังคารที่ 24 ก.ค. ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ข้อสรุป แต่ได้มีการดำเนินการออกสำรวจราคาพื้นที่ให้เช่าโดยรอบเวิ้งนาครเขษม ณ ปัจจุบันว่ามีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นตัวกลางในการเจรจากับทางเจ้าของพื้นที่ต่อไป

รูปภาพ

คิดว่าเจ้าสัวเจริญเอาเวิ้งไปทำอะไร?

“เท่าที่คุยกัน ผมบอกกับท่านเจ้าสัวว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่ควรสร้างคอมเพล็กขนาดใหญ่ ซึ่งคุณวัลลภา (ลูกสาวเจ้าสัวเจริญ) เขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเสนอว่าไม่ควรมีการรื้อถอนตรงนี้ออกทั้งหมด ส่วนความเห็นของผมอนาคตท่านเจ้าสัวเจริญอาจทำพื้นที่นี้เป็นศูนย์การค้าอะไรสักอย่าง หรือชาวเวิ้งอาจต้องหลุดออกไปอยู่ที่อื่นเนื่องจากไม่สามารถจ่ายค่าเช่าพื้นที่ราคาใหม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้นผมคิดว่ามันจะไม่ใช่หน้าที่ของชาวเวิ้งอีกต่อไปแล้ว แต่มันจะเป็นหน้าที่ของสังคมโดยรวมที่จะเห็นคุณค่าของเวิ้งนครเขษมแล้วพยายามช่วยกันเพื่อให้เวิ้งยังคงอยู่ ผมเชื่อว่าเวิ้ง และจิตวิญญาณของเวิ้งจะยังคงได้รับการอนุรักษ์ แต่การอนุรักษ์จะมีอยู่ในสัดส่วนแค่ไหนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”


ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีซี แคปปิตอลแลนด์ จำกัด (ลูกสาวคนรองของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี) ได้เปิดเผยว่า เกี่ยวกับสัญญาเช่าของชาวชุมชนเวิ้งนครเขษมที่กำลังจะหมดลงในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ เบื้องต้นทางบริษัทฯ จะดำเนินการต่อสัญญาให้อย่างแน่นอน ส่วนจะเอาที่ตรงนี้ไปทำอะไรนั้น ก็คงจะเป็นลักษณะพัฒนาในเชิงพาณิชย์ต่อไปให้ดียิ่งขึ้น และตอนนี้ทางบริษัทฯ ก็พยายามที่จะศึกษาแผนการลงทุน เนื่องจากทางบริษัทฯ เองก็เล็งเห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานบนที่ดินผืนนี้

ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า การต่อสัญญาฉบับใหม่จะมีการกำหนดสัญญาเช่าไว้ที่กี่ปี นางวัลลภา กล่าวว่า ขณะนี้คงยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะต่อสัญญาไปอีกกี่ปี เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการศึกษารายละเอียดต่างๆ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้

รูปภาพ

....อย่างไรก็ตามแม้ชาวเวิ้งจะได้ต่อสัญญา ทว่าเงื่อนไขที่ว่า ชาวเวิ้งจะหารายได้จากส่วนไหนเพื่อมาชดเชยส่วนต่างที่มีมูลค่าถึง 208 ล้านบาท แน่นอนว่าชาวเวิ้งไม่สามารถชดเชยเงินก้อนนี้ได้ด้วยการเพิ่มค่าเช่าแน่ๆ!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รูปภาพ
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
8 สิงหาคม 2555


'เวิ้งนาครเขษม'
ตอนที่ 3:แย้มไต๋ เจ้าสัวเจริญ ใช้เวิ้งนาครเขษมทำอะไรได้บ้าง


รูปภาพ
...หลังจากกลุ่มทุนของ เจ้าสัวเจริญ ได้ควักกระเป๋าซื้อเวิ้งนาครเขษมไป สนนราคา 5,000 ล้านบาท คำถามคือ ท่านเจ้าสัวจะเอาพื้นที่นี้ไปทำอะไร?

ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับปัจจุบัน และร่างฉบับใหม่ปรับปรุุงครั้งที่ 3 ที่กำลังจะประกาศใช้ในเดือนพฤษภาคม 2556 นี้ กำหนดให้บริเวณเวิ้งนาครเขษมเป็นพื้นที่สีแดง "พ.3" หมายความว่า ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินประเภทพาณิชยกรรม สามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ มีพื้นที่ไม่เกิน 1 หมื่นตารางเมตร หากเกินจะต้องอยู่ในเขตมีความกว้างไม่น้อยกว่า 10,16, และ 30 เมตร หรือรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า โดยได้สิทธิ์การพัฒนา FAR หรืออัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่อยู่ที่ 7:1 และ OSR หรืออัตราส่วนของพื้นที่ว่างต่อพื้นที่อาคารรวมอยู่ที่ร้อยละ 4.5

รูปภาพ
ม.ร.ว.เปรมศิริ เกษมสันต์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า "เกี่ยวกับข้อจำกัดในการพัฒนาพื้นที่บริเวณเวิ้งฯ จริงๆ มันก็สามารถที่จะมองได้หลายมุม ทั้งนี้ส่วนของผังเมืองก็มองว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่พาณิชยกรรมเมือง และในอนาคตกำลังมีรถไฟฟ้า หรืออะไรต่างๆ เข้ามา แต่ว่าในการพัฒนาจริงๆ นั้นมันก็ต้องดูให้สอดคล้องกับองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งวิถีชีวิตคนในพื้นที่-การอนุรักษ์ ซึ่งก็ต้องทำให้สองสิ่งนี้ดำเนินควบคู่กันไปได้"

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโซนนี้จะถูกระบุว่าเป็นพื้นที่สีแดง พ.3 ทว่า ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลงอาคารบางชนิด หรือบางประเภทในท้องที่แขวงวัดสามพระยา แขวงบ้านพรานถม เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัสแขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2552 ห้ามมิให้บุคคลใดก่อสร้างอาคาร ดังต่อไปนี้

-ภายในบริเวณที่ 1 (หมายความว่า พื้นที่ในบริเวณระหว่างทิศเหนือจดถนนท่าเกษม ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ถนนจักรพรรดิพงษ์ ถนนหลานหลวง ทิศตะวันออกจดแนวกึ่งกลางคลองผดุงกรุงเกษม ทิศใต้จดแนวกึ่งกลางคลองบางลำพู และแนวกึ่งกลางคลองมหานาค ทิศตะวันตกจดแนวขนาน ซึ่งห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางทิศตะวันออก 45 เมตร ทั้งนี้ ไม่รวมพื้นที่ในบริเวณที่ 3) อาคารที่มีความสูงเกิน 20 เมตร (อาคาร 5 ชั้น)

รูปภาพ
-ภายในบริเวณที่ 2 (หมายความว่า พื้นที่ในบริเวณระหว่างทิศเหนือจดแนวกึ่งกลางคลองมหานาค ทิศตะวันออกจดแนวกึ่งกลางคลองผดุงกรุงเกษม ทิศใต้จดแนวขนานซึ่งห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางทิศเหนือ 45 เมตร ทิศตะวันตกจดแนวกึ่งกลางคลองโอ่งอ่าง ทั้งนี้ ไม่รวมพื้นที่ในบริเวณที่ 3) อาคารที่มีความสูงเกิน 37 เมตร (อาคารไม่เกิน 10 ชั้น)

-ภายในบริเวณที่ 3 (หมายความว่า พื้นที่ในบริเวณที่อยู่ในระยะ 50 เมตร รอบแนวเขตที่วัด วัดกุศลสมาคร วัดกันมาตุยาราม วัดคณิกาผล วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร วัดชัยชนะสงคราม วัดชัยภูมิการาม วัดดิสานุการาม วัดตรีทศเทพวรวิหาร วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร วัดเทวีวรญาติ วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร วัดปรินายกวรวิหาร วัดพระพิเรนทร์ วัดพลับพลาชัย วัดมงคลสมาคม วัดมังกรกมลาวาส วัดโลกานุเคราะห์ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสิตาราม วัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร วัดสามพระยา วัดใหม่อมตรส วัดอุภัยราชบำรุง วัดเอี่ยมวรนุช โบสถ์กัลหว่าร์ มัสยิดมหานาค) อาคารที่มีความสูงเกิน 16 เมตร (อาคารไม่เกิน 4 ชั้น)

...และที่ดินเวิ้งนาครเขษม บนพื้นที่ทั้งหมด 14 ไร่ บางส่วนอยู่ในบริเวณที่ 2 และ 3 นั่นหมายความว่า หากจะพัฒนาพื้นที่ทำเพื่อการพาณิชย์ใดๆ ก็ตาม หากจะสร้างเป็นศูนย์การค้า หรืออะไรก็ตามแต่ คงทำได้ไม่ระดับอาคารที่ไม่สูงมากนัก

รูปภาพ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยงค์ธนิศร์ พิมลเสถียร ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมการผังเมือง และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาพื้นที่าเวิ้งฯ ควรเป็นไปในทิศทางไหน ว่า

"ก่อนจะบอกว่าการพัฒนาเวิ้งฯ ควรจะเป็นไปในแนวทางไหน มันต้องดูก่อนว่าพื้นที่นี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อย่างไรหรือไม่ แล้วจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ที่บอกว่ามีการคุ้มครองแหล่งโบราณสถานไว้แล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าในข้อบัญญัติดังกล่าวกำหนดแค่ว่า 'แหล่งโบราณสถานคือวัด' เท่านั้น ในขณะที่ปัญหา ณ เวลานี้ คือชุมชนที่มีคุณค่าประวัติศาสตร์อย่างเช่น เวิ้งนาครเขษม ซึ่งเป็นชุมชนตึกแถวมีมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตามหลักการ กรมศิลปากรน่าจะมีการสำรวจว่าพื้นที่บริเวณไหนบ้างมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และทางวัฒนธรรม เสร็จแล้วระบุไว้เลยว่าชุมชนเหล่านี้เข้าข่ายเป็นชุมชนโบราณสถานตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน เพราะถ้ามีการระบุอย่างนั้นแล้ว ทางสำนักผังเมือง กทม.จะได้เข้ามาดำเนินการในการปกป้องชุมชนเหล่านี้ต่อไป"

ต้องทำธุรกิจอะไรจึงจะควบคู่กับชุมชนเดิมได้?

รูปภาพ
"การทำธุรกิจ หรือผลกำไร มันไม่ได้หมายความว่าต้องสร้างตึกสูง ขนาดใหญ่เสมอไป เพราะตึกสูงใหญ่หลายๆ ที่ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า หลายแห่งในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็มีการสร้างค้างเอาไว้มากมาย เพราะฉะนั้น ขนาดมันอาจจะเป็นอะไรแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งนักธุรกิจที่ไม่ค่อยมีวิสัยทัศน์ มักจะมองเพียงว่ายิ่งขนาดใหญ่ก็จะทำให้ได้กำไรสูง ขณะเดียวกัน มันก็อาจเป็นความจริงโดยเฉพาะในย่านสีลม บางรัก แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์/วัฒนธรรม สิ่งที่คนทั้งโลกเขาทำ คือ การรักษาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มีเงินอย่างเดียวแล้วจะหาซื้อกันมาได้ง่ายๆ เพราะความเก่าคือ เอกลักษณ์ มีความแตกต่าง

แล้วสิ่งที่ได้จากการรักษาไว้คือ แรงจูงใจที่ใครๆ จะเดินเข้ามาหาเอง ยิ่งทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ล้วนโหยหาคุณค่าเหล่านี้กันมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โอกาสทางธุรกิจมีเห็นๆ อยู่แล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องทุบทิ้งเพื่อสร้างสิ่งใหม่อะไรเลย"

รูปภาพ
ผศ.ยงค์ธนิศร์ ได้ฝากถึงนักลงทุนด้วยว่า ปัจจุบันสังคมมีความเจริญมากขึ้น มีการพัฒนาไม่หยุดยั้ง หลายครั้งก็มีการทุบรื้อถอนสิ่งที่มีคุณค่าออกไปเพื่อจะแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ขณะเดียวกัน หากคิดกันอีกมุมหนึ่ง มองภาพรวมให้ไกลออกไปอีกหน่อยก็จะรู้ว่าสิ่งปลูกสร้างเก่าๆ ที่มีเรื่องราวความเป็นมาล้วนจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาสั่งสมมายาวนานทั้งนั้น และผมก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นหน้าเป็นตา ที่สำคัญที่สุด คือ สิ่งเหล่านี้แหละที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับนักพัฒนาพื้นที่ในอนาคตอย่างแน่นอน"

...เวิ้งนาครเขษม พื้นที่ที่มีตำนานเรืื่องราวยาวนานกว่า 300 ปี เรื่องเล่าต่อไปจะเป็นแบบไหนยังไม่มีใครรู้ รู้เพียงว่า ณ เวลานี้ที่ชาวชุมชนตกอยู่ในภาวะดราม่าน้ำตาตก คงต้องรอ"เวลา" เท่านั้นที่จะเฉลยทุกอย่างออกมาเอง....
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ประวัติความเป็นมาของเวิ้งนาครเขษม

ก่อนจะมาเป็นเวิ้งนาครเขษม ที่ดินตรงนี้เคยเป็นวังมาก่อน ชื่อวังน้ำทิพย์ ในสมัยในหลวงรัชกาลที่ 5 ตอนนั้นมีการขุดสระขนาดใหญ่ และทำเป็นสวนสาธารณะให้คนในวังบูรพามาเล่น สวนสนาน พักผ่อนกัน จนกระทั่งมีการล้มเลิกระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พวกข้าราชบริพารไม่ได้ทำงานในวังกันแล้ว ก็เลยออกมากันหมด พร้อมกับทรัพย์สินที่เจ้านายให้ติดตัวมา บางทีก็มีขโมยมาด้วย ซึ่งก็ข้ามคลองมาขายของแถวนี้ ตอนนั้นพื้นที่นี้เลยเป็นที่ขายของเก่า สมัยนั้นเขาก็เรียกกันว่าตลาดโจร กระทั่งทูลกระหม่อมบริพัตร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ท่านทรงเห็นว่ามีชุมชนเกิดขึ้นที่นี่แล้ว จึงปรับเปลี่ยนที่ดินตรงนี้เป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัย เหมือนกับทางฝั่งตะวันตก ที่วังน้ำทิพย์เลยถูกถมที่ใหม่ทั้งหมด จนกลายเป็นเนินกว้างใหญ่เป็นเวิ้ง ท่านเลยประทานชื่อใหม่ว่า "เวิ้งนาครเขษม" และสร้างเป็นศูนย์การค้าขนาดย่อมขึ้นมา อีกทั้งในการสร้างศูนย์การค้าครั้งแรกนั้นมีการสร้างโรงภาพยนต์นาครเขษมขึ้นมาด้วย เป็นศูนย์การค้าแห่งแรกที่มีโรงภาพยนต์ขึ้น และเลื่องชื่อมาก ด้านวังบูรพาก็ไม่มีคนประทับแล้ว เลยทำให้เช่าเป็นโรงเรียนสตรี วิทยาลัยพาณิชย์ แต่รายได้ไม่ดี เลยรื้อ และสร้างเป็นศูนย์การค้าอีกแห่ง ชื่อศูนย์การค้าวังบูรพา ซึ่งก็เจริญมาควบคู่กัน"

เวิ้งแห่งเสียงเพลง ขวัญใจคนบรรเลงดนตรี

"หลังจากนั้นในยุคเบบี้บูม ช่วงปี 2488 หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ลัทธิทางตะวันตกเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น กระแสดนตรีต่างชาติก็เข้ามาด้วย คนไทยก็อยากได้มาเล่น ที่นี่ก็มีการนำเข้าเครื่องดนตรีมาขายเป็นแห่งแรก ทั้งที่แต่ก่อนไม่มีเลย รู้สึกเจ้าแรกที่นำมาก็ร้าน แต้เซ่งเฮง ย่งเสง จนทุกวันนี้มีร้านแตกแขนงออกมาในเวิ้งอย่างที่เห็น นอกจากนี้ก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และหนังสือเก่าหายากอีกด้วย"

เวิ้งนาครเขษม นอกจากจะมีความผูกพันต่อชาวเวิ้งมาหลายรุ่น เป็นที่สร้างเนื้อสร้างตัวให้คนในชุมชนจนมีหลักปักฐานถึงทุกวันนี้ได้แล้ว ก็ยังมีเรื่องราว เรื่องเล่า มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ตอนนี้เวิ้งนาครเกษมกำลังถูกนำไปตีราคาเพื่อขายให้กับนายทุน เพืื่อรื้อถอนอาคารในพื้นที่เวิ้งนาครเกษมให้กลายเป็นศูนย์ขายส่งแห่งใหม่เหมือนกับคลองถม โดยตีราคาขั้นต้นของเวิ้งที่ 4,700 ล้านบาท การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นทำให้ชาวเวิ้งกว่า 440 หลังคาเรือนออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เพื่อรักษาสภาพของพื้นที่นี้ให้เป็นเหมือนเดิม โดยรวมตัวกันยื่นเสนอราคาประเมินพื้นที่ถึง 4,800 ล้านบาท เพื่อรักษาเวิ้งนาครเขษมไว้เหมือนเดิม

"ตอนแรกเลยคือทางสำนักงานบริพัตรเขาจะเสนอขายที่ดินแปลงนี้ให้กับเอกชนเข้ามาประมูล โดยตั้งราคาเริ่มต้นที่ 4,700 ล้านบาท ซึ่งก็มีเอกชนหลายแห่ง ที่มีเงินทุนจากประเทศจีนเข้ามาเสนอราคา และมีแนวโน้มว่าเขาจะรื้อเวิ้งออกหมด เพื่อสร้างเป็นศูนย์การค้า แผงให้เช่าแบบคลองถม ชาวเวิ้งเลยเห็นว่าถ้าเป็นแบบนั้น ก็อยากจะซื้อมาไว้เองดีกว่า ตอนนี้ก็รวบรวมกันซื้อประมาณ 97% แล้ว เราก็จะไปยื่นเอกสารที่สำนักงานบริพัตร เพื่อยื่นเสนอเงื่อนไขการชำระเงินจำนวน 4,800 ล้านบาท มากกว่าราคาที่ทางสำนักงานตั้งไว้ตอนแรก"

มูลค่าซื้อคุณค่า ตีค่าเวิ้งทำเลทอง กอบโกยผลประโยชน์มหาศาล

"ตอนนี้ทางชาวเวิ้งเสนอราคาที่มากกว่าไปแล้ว แต่ทางบริพัตรขอยืดเวลาต่อไปก่อน ซึ่งทุกครั้งที่ยืดเวลา ราคาที่ดินก็ขึ้นเดือนละ 500 ล้านบาท ทำให้มูลค่าของเวิ้งเป็น 5,500 ล้านบาทแล้ว และอาจมีเอกชนปั่นราคาสูงมากกว่านั้นถึง 6,000 ล้านบาท เพราะมีเงินทุนหนาจากประเทศจีน ซึ่งเขาต้องการที่นี้อยู่แล้ว ตอนนี้ถือว่าเป็นที่ดินที่แพงที่สุดในประเทศไทยแล้วขณะนี้ เพราะมันเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพมาก อยู่ในเขตไชน่าทาวน์ อีกทั้งยังมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในย่านนั้น สามารถสร้างศูนย์การค้าขายส่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้ ในส่วของชาวเวิ้งเอง ถ้าสามารถซื้อกลับคืนมาได้ในราคา 4,800 ล้านบาทตามที่เสนอไป เราก็จะปรับปรุงเวิ้งให้ดีกว่าเดิม ทั้งเรื่องทัศนียภาพ สายลงดิน ทำโครงสร้างให้แข็งแรงมีหลังคาคลุมให้คนที่มาเดินสบายขึ้น รวมถึงการสร้างอาคารจอดรถรวม เพราะตอนนี้เวิ้งไม่มีที่จอดรถ ต่อมาก็จะพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัย เพราะที่นี่มันเป็นประวัติศาสตร์ ลูกหลานชาวเวิ้งทุกคนเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจากที่นี่มาทั้งนั้น แต่ก่อนหน้าที่เราไม่ได้พัฒนาก็เพราะเราเหลือสัญญาเช่าแค่ปีเดียว เลยไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าซื้อได้มาเป็นของเราเองก็จะทำอย่างที่บอก ซึ่งถ้ามองในหลักทางเศรษฐศาสตร์ ที่นี่สร้างอาคารได้ 178,000 ตารางเมตร ทำให้มีมูลค่าทางอาคาร 16,000-20,000 ล้านขึ้นไป ยังไงถ้าเขาทำจริงๆ 4-5 ปีก็มีกำไรแล้ว แต่เขาทำได้ก็ไม่ได้ดูแลรักษาอะไร ได้กำไรเขาก็ไป และขายทิ้งต่ออีก มีนายทุนคนใหม่ เขาไม่สามารถรักษาจิตวิญญาณที่มีอยู่เดิมได้ ซึ่งผมเชื่อว่าเงินทุนที่จะเข้ามาซื้อเป็นของต่างชาติ ส่วนถ้าได้ไปจะเป็นชื่อของใครก็ต้องดูที่ผู้ถือหุ้น เท่าที่ทราบก็คือของจีน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการถูกรื้อจนประวัติศาสตร์หายไปหมด"

ความคุ้มค่าในเรื่องของผลกำไรที่ได้มาอย่างมหาศาล หากเทียบกับสิ่งที่ต้องเสียไป คือ ระยะเวลาที่เวิ้งนาครเขษมสะสมมาเกือบ 100 ปี คงไม่สามารเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งทางซินแสชื่อดัง ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้เป็นข้อคิดว่า

"ในเรื่องของประวัติศาสตร์มันเป็นสิ่งที่สร้างมาเป็น 100 ปี ไม่ใช่ 5-6 ปีสร้างได้ ต่างประเทศที่เจริญมาทีหลังเราอย่างสิงคโปร์เขาอายุน้อยกว่าเรา 40-50 ปี ยังสร้างเป็นสถานที่ให้เป็นแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ให้ได้ หรืออย่างประเทศจีนเอง ถือว่าที่มีพื้นที่แผ่นดินแพงที่สุดในโลกแล้วเนี่ย เขายังเก็บพื้นที่เมืองเก่าไว้ ให้เป็นถนนคนเดิน มีนักท่องเที่ยวชมประวัติศาสตร์รายได้ก็ไม่น้อยด้วย แต่ที่สำคัญวิญญาณทางประวัติศาสตร์ยังคงอยู่ ไม่งั้นเขาคงไปรื้อสร้างเมืองใหม่ แต่นี่เขาไม่รื้อเมืองเก่าเลย บริเวณไหนทรุดโทรม ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เขาถึงจะรื้อสร้างอาคารสูง แต่ประเทศไทยเราเองมีประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าอยู่ กลับไม่รักษาไว้ เห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญ ในขณะที่ประเทศอื่นเขามีประวัติศาสตร์น้อยกว่าเรา ยังพยายามจะสร้างและรักษาไว้ ถ้าคนไทยเห็นคุณค่าของเงินที่มีมากกว่า วันหนึ่งเราก็เป็นทาสเงิน และทุนนิยมก็มาครอบครอง ลูกหลานรุ่นต่อไปก็ไม่รู้จะไปดูหรือเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ที่ไหน คงตองไปดูของประเทศอื่น ของเราก็คงมีแค่ภาพถ่าย มีชื่อไว้ให้ภาคภูมิใจ แต่ไม่มีสิ่งที่ทำให้ต่างชาติทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัสว่าเรามีอารยธรรม มีเลือดเนื้อเช้ื้อไขมาจากที่ไหน ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก"

เวิ้งนาครเขษมจะยังคงสภาพเดิมหรือไม่นั้น อีกไม่นานก็คงได้ข้อสรุป ซึ่งถ้าวันนึงต้องถูกรื้อจริงๆ ก็คงน่าเสียดายอย่างมาก เพราะอันที่จริงแล้ว เฉพาะในกรุงเทพมหานคร หรือในย่านที่ใกล้กับเวิ้งนาครเขษม ก็มีทั้งห้างสรรพสินค้า และศูนย์ขายสินค้าส่งจากจีนมากจนดูวุ่นวายอยู่แล้ว หากเวิ้งนาครเขษมจะถูกยกเว้นเหลือไว้ให้คนที่ไปเดินย่านนั้น ได้มีพื้นที่หายใจได้สะดวกบ้างก็คงจะดี ร้านขายเครื่องดนตรี ร้านหนังสือและของเก่า ที่รายเรียงจะได้มีพื้นที่อยู่เหมือนเดิม เพราะนี่แหละคือเสน่ห์ของเว้ิงนาครเขษมที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของคนไทย ถ้าถูกขายไป ก็ต้องลองคิดกันดีๆ ว่ากำไรที่เห็นเป็นตัวเงินนั้น จริงๆแล้ว เราอาจขาดทุนย่อยยับทางด้านประวัติศาสตร์อย่างมหาศาล เพราะอดีตที่ใช้เวลาสั่งสมมาเกือบร้อยปีนั้น ไม่สามารถย้อนกลับไปสร้างใหม่ได้อีกแล้ว.

การอ้างอิง

ประวัติความเป็นมาของเวิ้งนาครเขษม(เว็บ)

www.facebook.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รูปภาพ

GuitarSiam.com ขอพาทุกท่านไปผจญภัยในสถานที่ๆ น่าสนใจ ในช่วง ADVENTURES

ไม่ว่าจะเป็นร้าน Guitar หรือ แหล่ง Effect และสถานที่น่าสนใจต่างๆ..

ในครั้งแรกนี้เราจะพาทุกๆ ท่านไปสัมผัสกับสถานที่สำคัญ ที่คนดนตรีต้องรู้จักและได้ยินกันจนคุ้นเคย


"เวิ้งนาครเขษม" กับเวลาที่ยาวนานกว่าร้อยปี ในการสืบทอดเจตนาทางด้านศิลปะดนตรี
ปัจจุบันได้เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา เป็นที่รู้จัก เป็นเหมือนที่พักผ่อน ที่คนดนตรีแวะเวียนอย่างไม่ขาดสาย


รูปภาพ


ไม่ง่ายเลยสำหรับการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด การสร้างอย่างหนึ่งอย่างใด

ให้มีความคงทน และยาวนาน ตราบจนทุกวันนี้...




คงเป็นไปได้ยากยิ่ง หากขาดความพยายาม และความตั้งใจ

เวิ้งนาครเขษม เป็นเหมือนที่คุ้นเคย รู้สึกดี ๆ กับความทรงจำที่หลากหลาย แตกต่างกันไป


รูปภาพ

ณ ที่แห่งนี้มีอะไรดี มีอะไรน่าสนใจ .....

รูปภาพ

เราไปทำความรู้จัก เวิ้งนาครเขษม ไปพร้อมกับ Sweet กันเลยคะ

ภาพและข้อมูลที่มา จาก...http://www.guitarsiam.com/adventuresselect.php?id=80
ขอบคุณครับ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ความเจริญมา. ทุกอย่างก็ต้องถอย
ชุมชนนี้แข็งแรงขนาดลงขันในการประมูลสู้ในรอบแรกแต่สุดท้ายก็แพ้
แต่อย่างไงก็ตามน่าจับตาพื้นที่สำเพ็งและพื้นที่ต่อเนื่อง. ว่าชาวบ้านประชาชน จะโดนไล่ที่หรือเปล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: เวิ้งนาครเขษม

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขึ้นค่าเช่าเวิ้งฯพรวด50%
03 กันยายน 2555

กลุ่มเจ้าของเวิ้งนาครเขษมรายใหม่ เล็งขึ้นค่าเช่า 50% ผู้เช่าเร่งหาที่ขายสำรอง

รูปภาพ

แหล่งข่าวจากกลุ่มผู้เช่าพื้นที่ในเวิ้งนาครเขษม เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าของที่ดินเวิ้งนาครเขษมรายใหม่เตรียมปรับสัญญาเช่าใหม่เป็นการเช่าแบบรายปี ไม่มีกำหนดการต่ออายุการเช่า พร้อมกับอัตราค่าเช่าใหม่ที่ปรับขึ้น 50% จากอัตราเดิม โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เรียกประชุมเจ้าของตึกทุกห้องในเวิ้งนาครเขษม เพื่อชี้แจงเงื่อนไขสัญญาเช่าใหม่

สำหรับสัญญาการเช่าที่ผ่านมาจะเป็นแบบเซ้งต่ออายุทุก 3 ปี แต่สัญญาใหม่มีอายุเพียงปีเดียวและวิธีการคิดค่าเช่าใหม่ โดยเจ้าของใหม่ใช้วิธีนำอัตราค่าเซ้งเดิมหาร 3 ปี เพื่อเฉลี่ยเป็นรายเดือน แล้วบวกกับค่าเช่าใหม่ ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 50%

“ถ้าเราจ่ายค่าเซ้ง 3 ปี 2 แสนบาท ก็หารไป 36 เดือน เฉลี่ยแล้วเกือบ 6,000 บาท ส่วนค่าเช่าที่เคยจ่ายให้เจ้าของเดิมอยู่ที่ 6,000 บาท รายใหม่จะคิดเพิ่มอีก 50% เป็น 1.2 หมื่นบาท บวกกับค่าเซ้งเฉลี่ยรายเดือนก็เกือบ 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน” แหล่งข่าวเปิดเผย

อัตราค่าเช่าใหม่ที่แพงขึ้นและระยะเวลาการเช่าที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ผู้เช่าบางส่วนรับไม่ไหวกับค่าเช่าใหม่ต้องตัดสินใจไม่ต่อสัญญาพร้อมหาที่ค้าขายแห่งใหม่ ส่วนผู้เช่าที่มีสายป่านยาวและรับค่าเช่าใหม่ได้ ก็ยังต้องหาแหล่งค้าขายแห่งใหม่ไว้รองรับ เนื่องจากรู้ดีว่าความเปลี่ยนแปลงอาจต้องเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยอมรับว่าการค้าขายในเวิ้งนาครเขษมไม่ได้คึกคักเหมือนในอดีตแล้ว เรียกได้ว่าเงียบเหงามากว่า 10 ปีแล้ว ส่วนใหญ่จึงไม่เปิดขายวันอาทิตย์ ซึ่งเจ้าของใหม่ขอให้เปิดขายในวันอาทิตย์ด้วย

“เราไม่ได้ต่อต้านเจ้าของใหม่ ถ้าเข้ามาจัดระบบให้ดีขึ้น ประชาสัมพันธ์ให้มีคนเข้ามาเดินมากขึ้น และไม่ได้เปลี่ยนแปลงเวิ้งนาครเขษมจนขาดเสน่ห์เดิมๆ ก็ยังรับได้” แหล่งข่าวเปิดเผย

ทั้งนี้ บริษัท ทีซีซี เวิ้งนาครเขษม ของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้าซื้อที่ดินย่านการค้าเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี เวิ้งนาครเขษมบนเนื้อที่กว่า 14 ไร่ จากราชสกุลบริพัตร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่า 4,800 ล้านบาท

รูปภาพ
โพสต์โพสต์