*** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
*** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 1
*** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
มองต่างมุมบ้างนะครับ คำ quotes มีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสีย
คำ quotes คือ คำที่เรายกมาจากคำพูดของคนอื่น คนพูดเขาพูดยาวเลย แต่คนที่ quotes เขาเอามาท่อนเดียวหรือสั้นๆ ผมก็ต้องไปอ่านหาเพิ่มเติมว่ามาจากไหน อย่าง เวลาอ่าน Security Analysis ของเบน แกรม นี่เห็นได้ชัด ถ้าอ่านหน้าอย่างเดียว ไม่ค่อยได้อะไร แต่ถ้าตามอ่าน appendix หรือ footnotes ที่เขาใส่ไว้ตัวเล็ก ๆ หรือกรอบเล็ก ๆ เมื่อผมไปตามอ่านเล่มอื่นจากตรงนั้น ความเข้าใจก็มากขึ้นเมื่อกลับมาอ่าน Security Analysis อีกครั้ง
เวลาอ่านคำ quotes สมัยก่อนผมชอบอ่านมาก กระชับ สั้นๆ เอาเนื้อ ๆ เลย ตอนนั้นเคยคิดว่าดีกว่าอ่านหนังสือซะอีก ประหยัดเวลาได้ตั้งเยอะ แต่พอประสบการณ์นานๆ เข้า มีคนมาถามว่าผมเคยเขียนบทความอย่างนั้น ผมพูดอย่างนั้น หมายถึงอะไร ผมลืมไปด้วยซ้ำ ต้องให้เขาบอกว่าเอามาจากบทความไหน ผมเริ้่มให้นำหนักคำ quotes น้อยลง แต่ไปเพิ่มน้ำหนักว่าเขาพุดตอนไหน พูดเมื่อไหร่ พูดกับใคร แล้วพูดเพราะมีแรงจูงใจอะไร เขาพูดเพราะว่าเขาผ่านประสบการณ์อะไรมา ตอนนี้เขายังเชื่อในคำพูดอย่างนั้นอีกหรือไม่
แล้วก็มานั่งคิดว่า คนอื่นไม่เข้าใจที่เขียน เพราะอะไร ผมยกคำ Quotes ของคนอื่นมามาเขียนบทความ อย่างของมังเกอร์ เอามาเยอะมาก แต่เวลายกมา คนอ่านกลับก็ไม่เข้าใจเท่ากับที่เราเข้าใจ ก็ต้องไปหาตั้นตอหรือฉบับจริงตอนที่เขาใช้ประโยคนั้น บางทีผมต้องอ่านทั้งสุนทรพจน์ เพราะเขาปูเนื้อเรื่องเอาไว้ยาวมาก
ผมเปรียบเหมือนสาวใช้ที่บ้าน เกือบทุกคนเลยที่มาทำงาน ชอบดูละคร และดูได้ทุกเรื่อง พอโฆษณาเรื่องนี้ ก็เปลี่ยนไปอีกเรื่อง สมาธิดีมาก สามารถจับใจความเรื่องต่างๆ ได้เร็วมาก เนื้อเรื่องก็ไม่เข้าใจ ก็ดูกันได้ครับ และที่ชอบมากคือ เรื่องไหนอวสานขอให้บอก ดูได้หมด ทั้งๆ ที่เคยไม่ดูละครเรื่องนั้นมาก่อนเลย พอเห็นว่าเป็นตอนอวสานก็ดูเลย เพราะตอนจบมันมีแต่ความสุข แต่ความเข้าใจเรื่องมันไม่มีเลย ดูเพราะมันเฉลยทุกอย่าง มีความสุขและสงสัยไปด้วย อ้าว....ทำไมแม่นางเอกถูกจับ ไปทำอะไรมา อ้าว......ทำไมพระเอกเข้าใจนางเอกผิด ไม่อยากคิดดีกว่า ไม่อยากสงสัย ดูเลย จบแบบ happy ending เป็นพอ ผมเปรียบเหมือนกินม่าม่า กินอาหารกล่องของ 7-11 ใส่ไมโครเวฟก็กินได้เลย เหมือนคนที่ทำเกมปัญหาต่างๆ ตามนิตยาสาร เช่น เกมจับผิดภาพ เห็นปัญหาเมือไหร่ พอทำไมได้ก็ดูเฉลยดีกว่า สำหรับผม คำ quotes ก็เป็นแบบนั้น
เวลามอง Quotes มองให้เหมือนเวลามองปัญหาตีโจทย์คณิตศาสตร์ ดูแล้วคิดตาม ว่ามันจริงไหม เอามาใช้กับเราได้ไหม ใช้ตอนไหน แล้วข้อเสียของมันคืออะไร อย่ามองเห็น quotes แล้วเชื่อโดยไม่คิด ไม่ตั้งคำถามเลย พอสงสัยอะไรแล้ว มันก็เป็นจุดเริ่มต้น ให่้เราไปค้นหาเพิ่มเติม เหมือนแผนที่อย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่เห้นแล้วเหมือนเป็นขุมสมบัติ quotes ไม่ใช่ข้อสรุป มันคือจุดเริ่มต้นต่างหากครับ
จากเรื่องความเข้าใจ Quotes นี้ ผมเอามาปรับใช้ในการลงทุนครับ
เวลามีน้องๆ มาถามว่า พี่ long หรือ short หุ้น xxx หรือปล่าว ถ้าผมตอบว่า long เขาจะถามต่อว่า พี่ long จากราคาเท่าไหร่ ผมก็จะตอบว่าไปสนใจทำไม สิ่งที่ควรสนใจคือ ผมลงทุนในหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้ผมลงทุน และปัจจุบันแรงจูงใจตัวนั้นยังอยู๋และจะอยู่ไปอีกในอนาคตหรือไม่ และถ้าไม่มีแรงจุงใจนั่นแล้ว ผมจะทำอย่างไร จะขายเลยไหม คำถามเหล่านั้นมีเพื่อหาความเสี่ยงว่าราคาหุ้นตัวนั้นมี risk/reward เป็นอย่างไรในปัจจุบัน
เวลาอ่าน quotes เราต้องประเมิณ risk/reward อย่างนั้นเช่นกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 2
ถูกแล้วครับ คำ quotes เป็นจุดเริ่มต้นไม่ใช่ข้อสรุป จึงต้องนำไปต่อยอด ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
คำ quotes เหมือน short note เวลาเรา lecture .. เป็นคำสั้นๆคอยเตือนให้เราคิด แต่หากไม่นำไปคิดต่อ ก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้ครับ
คำ quotes เหมือน short note เวลาเรา lecture .. เป็นคำสั้นๆคอยเตือนให้เราคิด แต่หากไม่นำไปคิดต่อ ก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้ครับ
Invincible MOS is knowing what you're doing
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 3
ผมชอบ quote และ footnote ที่อยู่หน้าเดียวกันมาก
บางทีถึงจะดูน่ารำคาญ เพราะเหมือนสะดุดเนื้อหา แต่ช่วยต่อยอดความรู้ออกไปเยอะ
แต่บางเล่ม ที่แยกไปต่อท้าย ตามความรู้สึกส่วนตัว ผมว่ากลับน่ารำคาญกว่าอีก ด้อยประสิทธิผลในการเรียนรู้มากกว่า ด้อยในการสื่อสารกับคนอ่านมากกว่า
เพราะกระตุ้นต่อมให้อยากรู้แล้ว ดันเอาไปไว้ห่างๆ ไกลลิบเหมือนขับรถกรุงเทพจะไปแค่ปทุม ดันเอาไปวางไกล ต้องขับไปไกลถึงอุทัยธานี
ถ้าเป็นแค่โยงไปชื่อหนังสืออื่นคงไม่เป็นไร พลิกดูตอนไหนก็ได้ แต่หลายเล่ม มี content ขยายความอยู่ในนั้นด้วย
บางทีกินเวลาไปหลายนาทีกว่าจะเจอ เพราะไปอยู่ท้าย บางทีหน้าไหนไม่รู้ด้วยซ้ำ บางเล่มคนทำหนังสือไม่เป็น หาสารบัญกว่าจะเจอ พอเจอต้องพลิกไปหาบทอีก
พอตอนจะกลับมาเนื้อหาที่เดิมต้องวนกลับมาไกล .... เหนื่อย ... ผมคาดเดาเอาว่าเอาไปวางไกลขนาดนั้น คงไม่มีใครค่อยอยากอ่าน
ผมเป็นคนอยากเก็บความรู้ไม่ให้ตกหล่น แต่ต้องใช้ความพยายามปะติดปะต่อ หนักกว่าลักษณะที่เนื้อหา footnote อยู่หน้าเดียวกัน
ขอนอกเรื่องถามเพื่อนๆ พี่ๆ เป็นความรู้นิดนะครับ
ผมงงอีกอย่าง กับคำว่า "code" ที่ข้างบนหัวตอน reply/edit ก็มี ที่ออกมาเป็นสีเขียว ใส่ BBcode อย่างอื่น ไม่รับ
เคยเห็นใน web กรุงเทพธุรกิจ ตอนที่เขาเอาต้นฉบับมาลง web แล้วไม่ลบตัวหนังสือคำว่า code
นึกว่า พิมพ์ผิดจากคำว่า quote
เพราะสังเกตในกรุงเทพธุรกิจตอนเป็นฉบับกระดาษ ก็ออกมาเป็นกล่องแยกจากบทความ เหมือน quote
ไม่ทราบว่าใครพอจะบอกเป็นความรู้ได้ไหมครับ ว่าความหมาย "code" หมายถึงอะไร มีที่มาอย่างไร
ทำไมการ quote ไปมีความหมายเดียวกับ code ที่ปกติแปลว่า "รหัส" ได้
หรือว่าเป็น jargon อะไรในวงการพิมพ์รึเปล่า?
บางทีถึงจะดูน่ารำคาญ เพราะเหมือนสะดุดเนื้อหา แต่ช่วยต่อยอดความรู้ออกไปเยอะ
แต่บางเล่ม ที่แยกไปต่อท้าย ตามความรู้สึกส่วนตัว ผมว่ากลับน่ารำคาญกว่าอีก ด้อยประสิทธิผลในการเรียนรู้มากกว่า ด้อยในการสื่อสารกับคนอ่านมากกว่า
เพราะกระตุ้นต่อมให้อยากรู้แล้ว ดันเอาไปไว้ห่างๆ ไกลลิบเหมือนขับรถกรุงเทพจะไปแค่ปทุม ดันเอาไปวางไกล ต้องขับไปไกลถึงอุทัยธานี
ถ้าเป็นแค่โยงไปชื่อหนังสืออื่นคงไม่เป็นไร พลิกดูตอนไหนก็ได้ แต่หลายเล่ม มี content ขยายความอยู่ในนั้นด้วย
บางทีกินเวลาไปหลายนาทีกว่าจะเจอ เพราะไปอยู่ท้าย บางทีหน้าไหนไม่รู้ด้วยซ้ำ บางเล่มคนทำหนังสือไม่เป็น หาสารบัญกว่าจะเจอ พอเจอต้องพลิกไปหาบทอีก
พอตอนจะกลับมาเนื้อหาที่เดิมต้องวนกลับมาไกล .... เหนื่อย ... ผมคาดเดาเอาว่าเอาไปวางไกลขนาดนั้น คงไม่มีใครค่อยอยากอ่าน
ผมเป็นคนอยากเก็บความรู้ไม่ให้ตกหล่น แต่ต้องใช้ความพยายามปะติดปะต่อ หนักกว่าลักษณะที่เนื้อหา footnote อยู่หน้าเดียวกัน
ขอนอกเรื่องถามเพื่อนๆ พี่ๆ เป็นความรู้นิดนะครับ
ผมงงอีกอย่าง กับคำว่า "code" ที่ข้างบนหัวตอน reply/edit ก็มี ที่ออกมาเป็นสีเขียว ใส่ BBcode อย่างอื่น ไม่รับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
[b][i][u]ทดลอง BBcode ในคำสั่ง code
[/u][/i][/b]
[youtube]aPnnxhpm4yw[/youtube]
นึกว่า พิมพ์ผิดจากคำว่า quote
เพราะสังเกตในกรุงเทพธุรกิจตอนเป็นฉบับกระดาษ ก็ออกมาเป็นกล่องแยกจากบทความ เหมือน quote
ไม่ทราบว่าใครพอจะบอกเป็นความรู้ได้ไหมครับ ว่าความหมาย "code" หมายถึงอะไร มีที่มาอย่างไร
ทำไมการ quote ไปมีความหมายเดียวกับ code ที่ปกติแปลว่า "รหัส" ได้
หรือว่าเป็น jargon อะไรในวงการพิมพ์รึเปล่า?
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 4
ถามคนดูแลเว็บน่ามีคำตอบนะครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงถามพี่เล็ก CK ได้ ผมเข้าไปอ่านตรงมุมซ้ายมือในหน้าที่เราจะเขียนข้อความตอบกลับ จะมีเขียนตรงซ้ายมือล่างว่า Options จากตรงนั้นผมกดคลิก BBCode แล้วอ่านวิธีใช้ code ว่าเป็นอย่างไร จับใจความได้ว่ามันช่วยให้อ่านง่ายขึ้น
BBCode is ON
[img] is ON
[flash] is ON
[url] is ON
Smilies are ON
BBCode is ON
[img] is ON
[flash] is ON
[url] is ON
Smilies are ON
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 5
ผมลองใช้ code กับบทความ *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes ผลออกมาอย่างที่แสดงครับ
มันอ่านง่ายขึ้นเพราะวิธีจัดเรียงอักษรที่สม่ำเสมอ นี่มันเป็นศิลปของลายเส้นเหมือนตัวหนังสือในคัมภีร์ตาลมุดของคนยิวเลย อ่านได้สบายกว่ารูปแบบอื่น ความสม่ำเสมอของตัวอักษรนำสายตาของเราไปตามบรรทัดโดยอัตโนมัติ ช่วยทำให้อ่านง่ายขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และในที่สุดคนอ่านก็ไม่อ่อนล้า โดยสรุปเป็นตัวหนังสือที่สวยงามและดึงดูดสายตาได้ดีกว่า มันไม่เพียงจูงให้น่าอ่านเท่านั้น มันทำให้คนอ่านได้ คำสั่ง code มันแยกเส้นเชื่อมต่อระหว่างตัวอักษร ทำให้แต่ละตัวแยกออกจากกัน ด้วยวิธีนี้ ตัวอักษรหนาขึ้น เด่นขึ้น ทำให้ปรากฏชัดบนหน้าจอ มันทำให้ผมคิดเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งอ่านง่ายกว่าหนังสืออื่นๆ มองครั้งแรกก็เหมือนมองเห็นภาพ สิ่งที่เห็นมันบอกว่าอ่านง่ายและน่าอ่าน คือตัวอักษรที่ชัดเจนครับ
มันอ่านง่ายขึ้นเพราะวิธีจัดเรียงอักษรที่สม่ำเสมอ นี่มันเป็นศิลปของลายเส้นเหมือนตัวหนังสือในคัมภีร์ตาลมุดของคนยิวเลย อ่านได้สบายกว่ารูปแบบอื่น ความสม่ำเสมอของตัวอักษรนำสายตาของเราไปตามบรรทัดโดยอัตโนมัติ ช่วยทำให้อ่านง่ายขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และในที่สุดคนอ่านก็ไม่อ่อนล้า โดยสรุปเป็นตัวหนังสือที่สวยงามและดึงดูดสายตาได้ดีกว่า มันไม่เพียงจูงให้น่าอ่านเท่านั้น มันทำให้คนอ่านได้ คำสั่ง code มันแยกเส้นเชื่อมต่อระหว่างตัวอักษร ทำให้แต่ละตัวแยกออกจากกัน ด้วยวิธีนี้ ตัวอักษรหนาขึ้น เด่นขึ้น ทำให้ปรากฏชัดบนหน้าจอ มันทำให้ผมคิดเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งอ่านง่ายกว่าหนังสืออื่นๆ มองครั้งแรกก็เหมือนมองเห็นภาพ สิ่งที่เห็นมันบอกว่าอ่านง่ายและน่าอ่าน คือตัวอักษรที่ชัดเจนครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
*** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
มองต่างมุมบ้างนะครับ คำ quotes มีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสีย
คำ quotes คือ คำที่เรายกมาจากคำพูดของคนอื่น คนพูดเขาพูดยาวเลย แต่คนที่ quotes เขาเอามาท่อนเดียวหรือสั้นๆ ผมก็ต้องไปอ่านหาเพิ่มเติมว่ามาจากไหน อย่าง เวลาอ่าน Security Analysis ของเบน แกรม นี่เห็นได้ชัด ถ้าอ่านหน้าอย่างเดียว ไม่ค่อยได้อะไร แต่ถ้าตามอ่าน appendix หรือ footnotes ที่เขาใส่ไว้ตัวเล็ก ๆ หรือกรอบเล็ก ๆ เมื่อผมไปตามอ่านเล่มอื่นจากตรงนั้น ความเข้าใจก็มากขึ้นเมื่อกลับมาอ่าน Security Analysis อีกครั้ง
เวลาอ่านคำ quotes สมัยก่อนผมชอบอ่านมาก กระชับ สั้นๆ เอาเนื้อ ๆ เลย ตอนนั้นเคยคิดว่าดีกว่าอ่านหนังสือซะอีก ประหยัดเวลาได้ตั้งเยอะ แต่พอประสบการณ์นานๆ เข้า มีคนมาถามว่าผมเคยเขียนบทความอย่างนั้น ผมพูดอย่างนั้น หมายถึงอะไร ผมลืมไปด้วยซ้ำ ต้องให้เขาบอกว่าเอามาจากบทความไหน ผมเริ้่มให้นำหนักคำ quotes น้อยลง แต่ไปเพิ่มน้ำหนักว่าเขาพุดตอนไหน พูดเมื่อไหร่ พูดกับใคร แล้วพูดเพราะมีแรงจูงใจอะไร เขาพูดเพราะว่าเขาผ่านประสบการณ์อะไรมา ตอนนี้เขายังเชื่อในคำพูดอย่างนั้นอีกหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 6
คราวนี้ใช้คำสั่ง code จัดเรียงเป็นแบบในคัมภีร์ตาลมุด สายตากวาดมองแค่บรรทัดสั้นๆ สายตาแทบไม่ขยับเลย ผิดกับเมื่อต้องอ่านบรรทัดยาวๆ สายตาเราต้องคลาดเคลื่อนไปไกลกว่า ลองดูนะครับ มันน่าอ่านกว่า เหมือนอ่านบทกวี มันมีสุนทรียภาพมากกว่า ทั้งที่เป้นบทความเดียวกันครับ
[/code]
โค้ด: เลือกทั้งหมด
มองต่างมุมบ้างนะครับ คำ quotes มีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสีย
คำ quotes คือ คำที่เรายกมาจากคำพูดของคนอื่น คนพูดเขาพูดยาวเลย แต่คนที่ quotes เขาเอามาท่อนเดียวหรือสั้นๆ
ผมก็ต้องไปอ่านหาเพิ่มเติมว่ามาจากไหน อย่าง เวลาอ่าน Security Analysis ของเบน แกรม นี่เห็นได้ชัด
ถ้าอ่านหน้าอย่างเดียว ไม่ค่อยได้อะไร แต่ถ้าตามอ่าน appendix หรือ footnotes ที่เขาใส่ไว้ตัวเล็ก ๆ
หรือกรอบเล็ก ๆ เมื่อผมไปตามอ่านเล่มอื่นจากตรงนั้น ความเข้าใจก็มากขึ้นเมื่อกลับมาอ่าน Security Analysis อีกครั้ง
เวลาอ่านคำ quotes สมัยก่อนผมชอบอ่านมาก กระชับ สั้นๆ เอาเนื้อ ๆ เลย ตอนนั้นเคยคิดว่าดีกว่าอ่านหนังสือซะอีก
ประหยัดเวลาได้ตั้งเยอะ แต่พอประสบการณ์นานๆ เข้า มีคนมาถามว่าผมเคยเขียนบทความอย่างนั้น
ผมพูดอย่างนั้น หมายถึงอะไร ผมลืมไปด้วยซ้ำ ต้องให้เขาบอกว่าเอามาจากบทความไหน
ผมเริ้่มให้นำหนักคำ quotes น้อยลง แต่ไปเพิ่มน้ำหนักว่าเขาพุดตอนไหน พูดเมื่อไหร่ พูดกับใคร
ตอนนี้เขายังเชื่อในคำพูดอย่างนั้นอีกหรือไม่ แล้วก็มานั่งคิดว่า คนอื่นไม่เข้าใจที่เขียน เพราะอะไร
ผมยกคำ Quotes ของคนอื่นมามาเขียนบทความ อย่างของมังเกอร์ เอามาเยอะมาก
แต่เวลายกมา คนอ่านกลับก็ไม่เข้าใจเท่ากับที่เราเข้าใจ ก็ต้องไปหาตั้นตอหรือฉบับจริงตอนที่เขาใช้ประโยคนั้น
บางทีผมต้องอ่านทั้งสุนทรพจน์ เพราะเขาปูเนื้อเรื่องเอาไว้ยาวมาก
ผมเปรียบเหมือนสาวใช้ที่บ้าน เกือบทุกคนเลยที่มาทำงาน ชอบดูละคร และดูได้ทุกเรื่อง
พอโฆษณาเรื่องนี้ ก็เปลี่ยนไปอีกเรื่อง สมาธิดีมาก สามารถจับใจความเรื่องต่างๆ ได้เร็วมาก
เนื้อเรื่องก็ไม่เข้าใจ ก็ดูกันได้ครับ และที่ชอบมากคือ เรื่องไหนอวสานขอให้บอก ดูได้หมด
ทั้งๆ ที่เคยไม่ดูละครเรื่องนั้นมาก่อนเลย พอเห็นว่าเป็นตอนอวสานก็ดูเลย เพราะตอนจบมันมีแต่ความสุข
แต่ความเข้าใจเรื่องมันไม่มีเลย ดูเพราะมันเฉลยทุกอย่าง
มีความสุขและสงสัยไปด้วย อ้าว....ทำไมแม่นางเอกถูกจับ
ไปทำอะไรมา อ้าว......ทำไมพระเอกเข้าใจนางเอกผิด
ไม่อยากคิดดีกว่า ไม่อยากสงสัย ดูเลย จบแบบ happy ending เป็นพอ
ผมเปรียบเหมือนกินม่าม่า กินอาหารกล่องของ 7-11 ใส่ไมโครเวฟก็กินได้เลย
เหมือนคนที่ทำเกมปัญหาต่างๆ ตามนิตยาสาร เช่น เกมจับผิดภาพ เห็นปัญหาเมือไหร่
พอทำไม่ได้ก็ดูเฉลยดีกว่า สำหรับผม คำ quotes ก็เป็นแบบนั้น
เวลามอง Quotes มองให้เหมือนเวลามองปัญหาตีโจทย์คณิตศาสตร์
ดูแล้วคิดตาม ว่ามันจริงไหม เอามาใช้กับเราได้ไหม ใช้ตอนไหน แล้วข้อเสียของมันคืออะไร
อย่ามองเห็น quotes แล้วเชื่อโดยไม่คิด ไม่ตั้งคำถามเลย พอสงสัยอะไรแล้ว
มันก็เป็นจุดเริ่มต้น ให่้เราไปค้นหาเพิ่มเติม เหมือนแผนที่อย่างไรอย่างนั้น
ไม่ใช่เห้นแล้วเหมือนเป็นขุมสมบัติ quotes ไม่ใช่ข้อสรุป มันคือจุดเริ่มต้นต่างหากครับ
จากเรื่องความเข้าใจ Quotes นี้ ผมเอามาปรับใช้ในการลงทุนครับ
เวลามีน้องๆ มาถามว่า พี่ long หรือ short หุ้น xxx หรือปล่าว
ถ้าผมตอบว่า long เขาจะถามต่อว่า พี่ long จากราคาเท่าไหร่
ผมก็จะตอบว่าไปสนใจทำไม สิ่งที่ควรสนใจคือ
ผมลงทุนในหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้ผมลงทุน
และปัจจุบันแรงจูงใจตัวนั้น ยังอยู๋และจะอยู่ไปอีกในอนาคตหรือไม่
และถ้าไม่มีแรงจุงใจนั่นแล้ว ผมจะทำอย่างไร จะขายเลยไหม
คำถามเหล่านั้นมีเพื่อหาความเสี่ยง ว่าราคาหุ้นตัวนั้นมี risk/reward เป็นอย่างไรในปัจจุบัน
เวลาอ่าน quotes เราต้องประเมิณ risk/reward อย่างนั้นเช่นกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 7
เทียบกับคัมภีร์ตาลมุดครับ หลายปีก่อน ผมเคยไปยืมโน็ตของเพื่อนสาวชาวคนยิว เธอจดโน๊ตเล็กเชอร์เก่งมาก จดแบบนี้ละครับแบบย่อหน้าสั้นๆ จดเหมือนคัมภีร์ตาลมุด ผมเลยถามว่าทำไม เธอเอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูผมแล้วตอบว่า "มันทำให้เราจำได้ดี" แล้วบอกผมว่า "มีอะไรจะถามอีกไหม" ตอนนั้นบอกไม่มีแล้ว เสียดายเหมือนกันไม่ได้ชวนออกเดทครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
Re: *** Footnotes ข้อระมัดระวังในการใช้คำ quotes
โพสต์ที่ 9
บางทีคำพูดเดียวกันเมื่ออยู่ในบริบทที่ต่างกันก็ให้ความหมายต่างกันครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป