ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

บทความนี้เก่าแล้วครับ อ่านยาก ไม่รู้ว่าเขียนทำไม
 นึกอยากเขียนก็ไปเรื่อยๆ ไมได้เตรียม ไมได้ร่าง
 เขียนด้วยอคติ โปรดอ่านด้วยความระมัดระวังครับ
 ตอนอ่านเรื่องความสัมพันธ์ใหม่ๆ อ่านไม่เข้าใจเลย
  นึกได้ว่า อาจารย์โซรอสพื้นฐานหลักของเรื่องนี้มาจากตอนที่หนีสงคราม
   นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ต้องย้อนกับไป
  เหมือนกับที่ผมย้อนกับไปอดีตของตัวเองว่าอคติอะไรที่สร้างพื้นฐานทางความคิดของเรา
 อ่านพื้นฐานความคิดของอาจารย์ท่านใด
 ลองกับไปอ่านชีวิประวัติของท่านว่าเป็นอย่างไร
 แล้วจะเข้าใจมากขึ้นครับ
...........................

 shalom..

    ช่วงนี้ได้ดูหนังที่โตรตตตตแห่งความทรมานลำบากสุดๆ เหล่านั้น ผมได้อะไรมากว่าที่คาดคิด เพราะไม่คิดเลยไอเดียดี ๆ จึงมาของมันเอง ในที่นี้ ผมบังเอิญเข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับไดมากขึ้นอีกนิด ไม่ได้หวังว่าจะเข้าใจอะไรขนาดนี้ ความสุขและความสำเร็จก็เหมือนกันหรือปล่าวไม่ทราบครับ แต่ผมเคยไดยินคำกว่าวว่า ยิ่งไปไล่ตามหาความสุข มันก็ยิ่งหนี ทำให้มันดีที่สุดเต็มความสามารถ เดียวอะไรดีๆ มันมาเอง

    ผมใช้เวลาในช่วงที่ไม่ปกติในช่วงนี้ทำสิ่งที่ไม่ปกติ ปกติคือนอน นั่งศ๊กษาคนยิวที่ต้องตกเป็นเฉลยในค่ายกักกันของทหารนาซี จินตนาการว่าเป้นคนยิวเหล่านั้นที่ถูกกักขัง ถ้าเราเป็นเขา เราอยู๋ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้นไหม เข้าใจคนอื่นจากมุมมองคนเขา เป้นการ invert นั่นเองครับ ไม่ใช่เรืองใหม่อะไร แล้วไอเดียต่างๆ ก็ค่อยๆ ดาหน้ามาเรียง เกี่ยวโยงกันเป็นหอกข้างแค่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดูหลายรอบ ๆ ไอเดียกระจายซัพพลายเกลื่อนไปทั่วบ้าน ผู้เขียนเดินไปหน้าห้องน้ำ โถ ส้วม กระถางต้อนไม้ ถังขยะ ไมโครเวฟ หิ้งพระ ที่วางจาน ในตู้เย็นก็ยังมีไอเดีย เดินผ่านก็ตอกบัตร ข่มขืนไอเดียเหล่านั้น โดยสร้างดีมานด์เทียมขึ้นมาก่อน จนกว่าความอยากรู้อยากเห็นจะทนไม่ไหว เมื่อสะเด้ดน้ำดีแล้ว ผู้เขียนรีบจดลงไปว่า.....

   ผมสังเกตเห้นบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงแห่งเวลาความทุกข์ สิ่งนั้นคือความวิตกกังวลจนเกิดความกะวนวายใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แต่ลักษาณะความกลัวแบบนี้กลับทำให้สิ่งที่เรากลัวเป็นความจริงขึ้นมาจนนึก หันมาด่าตัวเอง เมื่อสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เราไม่มองโลกตามความจริงหรือเป้นเพราะอคติบางอย่างมาบดบังความคิดที่แจ่มชัด ของเรา อาการทางประสาทจะก็เกิดขึ้น สิ่งนั้นคิอสาเหตุของการสะท้อนกลับระหว่างสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ควรเป้นและกล ไกลหารสะท้อนกลับอย่างกะวนกะวายใจแบบคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านี้ดูจะเป็นต้นเหตุ สำคัญของวงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกต้อง ยิ่งมีการคาดการณ์มากเท่าไร ความวิตกกังวลยิ่งตอกย้ำมากให้มีความกลัวมากเท่านั้นทันทีทันควัน

   ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับในตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง?

  ถ้าฝรั่งหมดสัทธาเงินบาท เพราะเราขาดทุนการค้าตลอด ขายของไม่ดี เงินบาทเต็มไปหมด ไม่มีใครมาแลกเลย เขาก็ขายออก พอขายบาทออกมามาก ๆ แนวโน้มอย่างนี้จะพลักดันให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศซ้ำเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นการตอกย้ำความถูกต้องของแนวโน้มการหมดความเชื่อถือของเงินบาท ที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก

   เมิ่อเราคาดการณ์ เรากำลังใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยกฎของความไม่เที่ยงในฃ่วงสงคราม ช่วงไหนจะไม่เที่ยงสุดๆ เท่าช่วงอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เกิด สิ่งนั้นเลยเกิดตาม สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จึงไม่เกิด ใช้ชีวิตกับเดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกที่อะไรเกิดขึ้นจริง นั่นคือปัจจุบัน ถ้าทำอะไร อย่าบอกใคร จนกว่าคุณจะได้สิ่งนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อคุณบอกคนอื่นแล้ว ความวิตกกังวลแบบการคาดการณ์ล่วงหน้าจะเกิดขึ้นทันที แล้ววงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับก็จะเกิดตามมา

ความสัมพันเชิงสะท้อนกลับมีอยูในนิทานด้วยหรือ?

  ผู้เขียนชอบอ่านนิทานอีสปมาก มันมีทั้งการสะท้อนกลับในรูปแบบต่างๆ มีทั้งสาเหตุของการทำผิดพลาดเหล่านั้น มี psychology of misjudgement ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มันมีไม่หมดหอรกครับ Munger มีแค่ 40 ข้อ มันมีเป้นร้อยเลยเรื่องเหล่านี้ จนผู้เขียนชักสงสัยว่า มันจำเป้นสำหรับคนที่ลงทุนมากกว่าหนังสือการลงทุนซะอีก

 
  นิทานเรื่องไข่ห่านทองคำ

   ชายคนหนึ่งเก้บห่านใกล้ตายมาเลี้ยงด้วยความสงสาร เลี้ยงไปเลี่ยงมา ห่านออกไข่เป้นทองคำ ชายใจดีเห็นห่านออกไข่วันละฟอง เลยเกิดความโลภ อยากได้วันละ 2 ฟอง เลยเอาอาหารมาให้กินเพิ่ม ห่านกินไปเลยอ้วน แล้วขี้เกียจไม่ยอมออกไข่อีกเลย เรื่องนี้เป้น Negative Feedback Loop ทุกอย่างมีผลข้างเคียง แม้กระทั่งเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเหตเป็นผลดีแล้ว ก้ยังไม่วายมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดคิดเสมอ การมีวินัยในการ cut loss จึงโคตรรรสำคัญเลย

  ความไม่เที่ยงของชีวิต?

การเจอกับความทุกข์และความไม่เที่ยงของชีวิตในท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอน รอบตัวคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด มันมีความเป็นไปได้ของความไม่เที่ยงรอบตัวทุกวินาที แม้พวกเขาอาจถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิต ยกเว้นอย่างเดียว คือ อิสรภาพสุดท้ายของคนยิว อิสรภาพทางใจที่จะเลือกว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ใครก็พรากไปไม่ได้ เราเลือกขีดเส้นชะตาชีวิตของเราเอง ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

 เราเครียดเพราะอะไร?

 คนมีความเครียด เพราะเกิดอาการอยาก อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น ช่องว่างระหว่าง 2 ขั้วนี้มีอยู่ตัวเราทุกคน และมันมีสมรรถภาพมากครับ มันไกว่แกว่งสะท้อนไปมาเหมือนกระดานหกอย่างไรอย่างนั้น สะท้อนไปมามากๆ ก็เป็นโรคประสาท และอาจมีจิตใจที่ไร้เสถียรภาพจนเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดใน บางอย่าง

มีตัวอย่างอื่นอีกไหม ?

สองสาวใช้กับไก่
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย Negative Feedback Loop
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้

ทำไมเราถึงมองว่าสิ่งที่เป็นอยู๋กับสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นภาพเดียวกัน?

 เราหลอกตัวเองด้วยอคติต่างๆ ทีมีติดตัวเรา เราเลี้ยงศัตรูไว้ในตัวเอง คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ชอบตัวเอง แปลว่าเราจะอยู่กับคนที่เราใม่ชอบตลอดเวลา อย่างนั้น เราจะมีสุขภาพจิตที่ดีได้อย่าไงร ถ้าเราชอบมันจริงๆ ลองพากลับไปบ้านตามลำพัง ไปยืนหน้ากระจกและบอกดังๆ ว่า โอ้ มันสุดยอดจริง ๆ สุดยอดจริงๆ มันไมได้เป็นฮี่โร่ในตัวเราหรอกครับ ถ้าเราไม่ยอมรับอยางอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ช้าไม่เร็ว มันจะตามมาหลอกหลอนเรา และทำให้เราขาดทุนทั้งทุนชีวิตและทุนที่เป็นทุนอื่นๆ บางทีอาจถึงคนที่เรารัก อาจเสียทุกอย่างที่เรา มี แม้กระทั่งอิสรภาพทางใจ เพราะแม้แต่ใจเองก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวแล้ว

แล้วมีวเทคนิคมาทำให้วงจรอุบาทแบบความสัมพันเชิงภาพสะท้อนหายไปหรือไม่?

มองโลกตามความเป้นจริง หรือจะจำเอาเทคนิคของคนยิวในช่วงสงครามไปใช้ จากสิ่งที่พวกเขาค้นพบเกี่ยวกับการรักษาอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ พวกเขาได้ invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต

เปนไปได้อย่างไรที่ว่า invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต?

ก้ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า เราผ่านมันมาแล้วเมื่อวาน แล้วเรากำลังเจอมันอีกครั้ง แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาดหมดเลย

ยังไม่เข้าใจดี มีคำอธิบานอื่นไหม ?
อนาคตคือความเป็นไปได้ อดีตคือความจริง คำกล่าวนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง
พวกเขา invert ความคิดว่า เด็ก ๆ ควรอิจฉาผู้ใหญ่!
เพราะชีวิตเด็ก ๆ ยังมีเรื่องไม่เที่ยงรออีกเยอะ ผู้ใหญ่มีความจริงเก็บไว้ในอดีต ความจริงที่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเก็บอดีตที่เป็นความจริงเข้าไปไว้ในความทรงจำของเราและอยู๋ในนั้นตลอดการ จะลบอย่างไรก็ทำไมได้ มันเป็นส่าวนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว สิ่งที่เป็นอยู๋ในขณะนี้จึงเป็นสิ่งทีเราเลือกเอง เราเป้นคนกำหนดเองว่า จะเอาภาพอย่างไรเก็บไว้ในความทรงจำของเรา อดีตคือความจริงทีแก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ความคาดหวัง ความกลัว ความกลัวการผิดพลาด อคติทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และตรวจสอบตลอดเวลาว่าสื่งที่เราทำนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตในแต่ละวินาทีเหมือนทีเราเคยใช้มันมาแล้วเมื่อวาน แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาด วันนี้เราจะทำผิดพลาดแบบเดิมอีก เราจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดอย่างเดิมอีก ไม่มีใครสามารถเชื่อมปัจจุบันไปอนาคต ด้วยความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด ทุกอย่างเป็นภาพบิดเบือน เราทำได้แต่เพียงเชื่อมปัจจุบันไปอดีต ทุกอย่างที่ทำจึงมันใจว่า เมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้ว เราจะไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำ เพราะอดีตจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะคิดอย่างไรเป็นผลมาจากการตัดสินใจเลิอกที่จะคิดในใจของคนคนนั้น



ประสบการณือย่างอื่นของการใช้ invert มีอะไรบ้าง?

เรื่องของการ invert อาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์หลายเรื่อง
ครั้งหนึ่ง พาลุกสาวไปขี่จักรยานที่สวนรถไฟ มีนกนพิราบ เรามีขนมปัง มันบินมาหา ลูกสาวเอาขนมปังให้ ยิ่งเดินหามัน มันยิ่งเดินหนี  ผู้เขียนนึกถึงคำว่า invert บอกให้ลุกสาวนั่งเฉยๆ ทำไม่สนใจมัน โยนขนมปังแต่ทำไม่สนใจมัน จากหนึ่งตัว เป็นสองตัว สาม สี่ แล้วค่อยๆ เห็นกระบวนการ critical mass เกิดขึ้นตรงปลายเท้าเรานี่เอง   แล้วผู้เขียนก็เข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ อีกมุมหนึ่งที่ผู้เขียนไม่เคยมอง

ผู้เขียนมีอาการนอนไม่หลับ ไม่ชอบกินยา  นอนนึกว่าจะทำอย่างไร   ลองตั้งใจที่จะไม่นอนในวันนั้น บอกตัวเองว่าจะถ่างตาถึง 6 โมงเช้าเลย  ไม่นานก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว

ผู้เขียนเคยมีอาการวิตกเรื่องเหงื่อออกเวลาขึ้นรถไฟฟ้า อาการนี้เป็นอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับที่มีอคติของการ  กลัวคนอื่นเหม็น  พอขึ้นรถไฟก็เหงื่อออกจริงๆ บางทียังไม่ได้ขึ้นเลย แค่นึกก็เหงืออกแล้ว อากาวิตกกังวลแบบคาดการณืไปล่วงหน้าอย่างนี้มีในตัวเราทุกคน เพราะมีช่องว่างของการความคาดหวัง  ระหว่าง อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น หรือ  สิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เป้นไปตามจริง ในที่นี้อคติของผู้เขียนคือ ความกลัวคนอื่นเหม็น  สิ่งที่ผู้เขียนคิดในใจนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาเกิดขึ้น ถ้ายอมรับความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ภาถลวงตาจะไม่เกิด และ เมื่อมันไม่มีอะไรให้สะท้อนกลับแล้ว ความสัมพัรเชิงสะท้อนกลับเลยไม่เกิดตามไปด้วย   ผู้เขียนชอบ invert  นึกได้ว่า เราต้องเปิดเผยให้โลกรู้ว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน  ผู้เขียนได้แต่งตัวเป้นนักกีฬาทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ  โดยมีติดผ้าขนหนูผันคอทุกครั้ง  ทั้ง ๆที่  ขอโทษนะครับ กรรรรูไม่ได้เล่นอะไรมาเลย    แต่ปกติเดินขึ้นบรรไดเหงื่อออกแล้ว  ครั้งแรกที่ผู้เขียนลอง invert ความกลัวนั้น   ผู้เขียนตั้งใจโชวเต็มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเหงื่อออกเยอะขนาดไหน  ถ้าเหงื่ออกมาก ๆ แม่มมมมมมออกมาขนาดนี้  คราวหน้ากรุรรรรใส่ชุดว่ายน้ำ กางเกงในตัวเดียวโหนรถไฟฟ้าเลยดีกว่า  ผู้เขียน เรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเอง  วันนั้นพออยากให้เหงื่อมันออก มันเลยไม่ออก นึกถึงคำที่ Charlie Munger  สอนว่า   invert, always invert แล้วเรื่องนี้เป็นเทคนิคที่ได้ผลจริงๆ  คราวนี้ลองเอาไปรับใช้ในตลาด ผู้อ่านเก่ง ๆทั้งนั้น

หรือย้อนไปเด็ก ๆ  ช่วงที่ผมติดอ่างตอนเด้ก มีวันหนึ่งในชีวิตกว่า 5 ปีช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครน่าสงสารให้มารับได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด ผู้เขียน invert อาการวิตกของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ อาการภาพสะท้อนเลยหายไป  ท่านผู้อ่านก็มี ลองนึกดู แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้าง หรือ ใครถ้าเจอปัญหาต่างๆ เพื่อนๆ ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม แล้วผลเป็นอย่างไ มาเล่าให้กันฟังเป็นวิทยาทานบ้างครับ

know who สำคัญกว่า know How จริงหรือไม่ ?

สำคัญกว่าครับ  แต่ know why  สำคัญมากกว่า
ส่วนที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นในตอนนั้น มันเป้นเรื่องของการตัดสินใจว่าอะไรควรค่าแก่การลงมือทำ อะไรไม่ควรทำ  ที่เราทำผิดพลาดไปเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราทำไปอย่างนั้น

ถ้าเราไปสำรวจเด็กมหาลัยที่ไหนสักแห่ง  ถามว่าอะไรที่เขาอยากมีที่สุดในยุคนี้ เขาจะตอบว่าอะไร?

ความมั่นคงทางการเงินจะขึ้นเป็นลำดับต้นๆ  การเข้าใจความหมายของชีวิตสำคัญน้อยลงไปมาก การค้นหาตัวเองด้านนามธรรมมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ

การรู้จักตัวตนของตนเองมีความสำคัญกับอาชีพ trader มากแค่ไหน?

แรบไบโซรอสให้ความสำคัญมากทีเดียวครับ
ท่านเน้นให้เราตั้งคำถามว่าเราเป็นใครและเราจะทำอะไรให้กับโลกนี้บ้าง   ท่านเน้นสอนให้เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่อยู๋ข้างในเปลือกหอยส่วนตัวของเรา บ่อยครั้งที่เขาถามลุกน้องว่ามีความคิดอย่างไร โดยหยิบยกสถานการณ์เศรษฐกิจขึ้นมา จากเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น  พวกเขาจะตอบโต้กับสถานการณ์เหล่าน้นอย่างไร สมัยนั้น ทุกเช้าลูกน้องต้องมีพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า การสร้างภาพ

กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง

บางครั้งในห้องน้ำ ระหว่างเดินไปทำงาน พวกเขาจะถุกสอนให้สร้างภาพที่จะเกิดในตลาดหุ้นทุกวัน  ต้องสร้างกรอบขึ้นมาเกี่ยวกับการคาดการณ์ไปข้างหน้าขึ้นมาและสร้างข้อสรุป ว่าจะตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวไหนดี หลักจากนั้นในช่วงเย็น  ก้นั่งทบทวนว่าสิ่งที่เราทำไปในตอนเช้านั้น มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างกับตอนเย็นบ้าง ยังเชื่อในสิ่งที่คิดในตอนเช้าหรือไม่ ประสบการณ์ของการนั่งทบทวนความผิดพลาดตัวเองนั้นเหมือนการมองหาจุดอ่อนตัว เองทุกวัน พยายามค้นหาว่าเหตุผลอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างนั้น

ผู้เขียนจำได้ว่า เคยเขียนสิ่งที่เขาสอนลูกน้อง ว่า..
เวลาลงทุน  ที่สำคัญ สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน แล้ว Invest first , Investigate later,  ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่ หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นshalom
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

นี่มันสุดยอด

คือสุดยอดเข้าใจยาก เดี๋ยวขออีกรอบครับ

แต่คุณ humdrum สุดยอดครับ

เดี๋ยวขออีกรอบครับ แล้วผมมาคุยด้วย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

บทความนี้เก่าแล้วครับ
ปี 2552
ในโอกาสครบรอบปีที่เป็นนักเรียน School of Reflexivity
ผมติดมาให้อ่าน

ผมเขียนด้วย อคติ
ผมเข้าใจด้วย อคติ
อย่าเชื่อด้วย อคติ ของท่าน

ผมอาจผิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ

.......................................

ครบปีแล้ว มีอะไรใหม่จากที่เคยรู้หรือไม่?

ผมได้วิวัฒนาการไปมาก โดยเฉพาะช่วงที่ยอมรับว่าชีวิตคือความทุกข์ ผมสังเกตเห้นบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงแห่งเวลาความทุกข์  สิ่งนั้นคือความวิตกกังวลจนเกิดความกะวนวายใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แต่ลักษาณะความกลัวแบบนี้กลับทำให้สิ่งที่เรากลัวเป็นความจริงขึ้นมาจนนึกหันมาด่าตัวเอง    เมื่อสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เราไม่มองโลกตามความจริงหรือเป้นเพราะอคติบางอย่างมาบดบังความคิดที่แจ่มชัดของเรา  อาการทางประสาทจะก็เกิดขึ้น สิ่งนั้นคิอสาเหตุของการสะท้อนกลับระหว่างสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ควรเป้นและกลไกลหารสะท้อนกลับอย่างกะวนกะวายใจแบบคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านี้ดูจะเป็นต้นเหตุสำคัญของวงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกต้อง  ยิ่งมีการคาดการณ์มากเท่าไร ความวิตกกังวลยิ่งตอกย้ำมากให้มีความกลัวมากเท่านั้นทันทีทันควัน  reflexivity เป็นช่องว่างความเครียดระหว่าง สิ่งทีเราได้ทำสำเร็จตามตั้งใจกับสิ่งทีเราควรจะทำแต่ยังไมได้ทำ   หรือเป้นช่องว่างระหว่าง  สิ่งที่คนนั้นเป็นอยู๋กับคนที่เขาควรจะเป็น   นักลงทุนเน้นภาพสะท้อนที่แท้จริงควรตรวจสอบให้ภาพทั้งสองอย่างหายไป เหลือเพียงภาพเดียวคือภาพปัจจุบันตามความเป็นจริง

ช่วงความทุกข์อย่างนั้นทำให้เข้าใจเรื่อง reflexivity ได้ดีมากขึ้น อย่างนั้นหรือ?

ใช่ครับ ความทุกข์เป็นอาจารย์ผม ยิ่งทุกข์มากยิ่งดี ยิ่งเข้าใจเรือง reflexivity  เมือผ่านไปได้ ไม่ต้องกลัวอะไรอีก เพราะเข้าใจอย่างดี ผมยอมรับความทุกข์ ยอมรับวาตัวเองมีอคติและมันทำให้เกิดทุกข์ ชีวิตก็คือทุกข์ อยู่อย่างไรให้มีความหมาย อยู่กับความทุกข์อย่างเข้าใจ

เข้าใจว่าอะไร?

เข้าใจแก่นแท้ของเรื่อง reflexivity

แก่นแท้คืออะไร?

ความไม่เที่ยง  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตระหนักรู้ทุกวินาทีเสมอว่ามันไม่เที่ยง ตรงนั้นคือหัวใจสำคัญที่สุด

แล้วเกี่ยวข้องอย่างไรกับ reflexivity?

ทุกอย่างเกิดจากภาพ 2 อย่าง ที่มีในตัวเราทุกคน ด้านหนึ่งคือ ภาพลวงตา  คือ สิ่งที่เราคิดว่าควรจะเป้นในอนาคต กับ ด้านหนึ่ง คือ ภาพตามความเป็นจริง หรือ สิ่งที่เป้นอยู่ในปัจจุบัน   เมื่อสองภาพนี้เกิดขึ้น ซึ่งเกิดตลอดเวลาในความคิดของคน ตัวอย่างเราเห็นของที่เราอยากกิน เราจะคิดจินตนาการว่าสิ่งนั้นอยู่ในปากเราแล้ว มีรสชาติอย่างไร มีกลิ่นอย่างไร เราคิดไปล่วงหน้า ความคิดเหล่านั้นเร็วมาก แค่ 1 วินาที แต่เราเห็นเป้นร้อย ๆภาพ ในสมองของเรา ไมได้เห็นด้วยตาเปล่า เห็นในความคิด เราจับภาพเหล่านั้นไม่ทัน  ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ จะจับภาพเหล่านั้นได้



มีภาพสองอย่างแล้วเป็นอย่างไร?

มีแล้วเกิดความวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้า หรือไม่ก็มีแล้ว เกิดความอยากแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้า

ภาพลวงตาเกิดขึ้นเพราะอะไร?

เพราะอคติของคน อคติจะสะท้อนภาพที่เป็นจริงออกมาเป็นภาพที่เราจินตนาการออกมา ภาพทั้งสองจะสะท้อนกลับไปกลับมาในหัวของเรา ช่องว่างระหว่างภาพทั้งสองนี่เองที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่าความทุกข์

อย่างนี้คนเราก็มีทุกข์ตลอดเวลา?

ใช่ครับ เมือมีช่องว่างนี่เกิดในใจเรา ความทุกข์ก็เกิด สำคัญคือ อย่ากลัวความทุกข์ ให้ยอมรับความทุกข์เป้นอาจารย์ แล้วหาอคติของเราที่สะท้อนภาพออกมาเป็นภาพที่สองให้ได้

ภาพที่สอง?

ภาพของ สิ่งที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น  ทุกคนมีออคติบางอย่างที่ซ่อนข้างในที่ใช้ในการตัดสินใจ

นั่นหรือครับหัวใจของ reflexivity?

ครับ อคติเหล่านั้นซ่อนอยู๋ในช่องว่างระหว่างภาพทั้งสอง และมันบังตาทำให้เห็นว่าภาพทั้งสองอย่างเป้นภาพเดียวกัน ซึ่งมันไม่เคยเป็นภาพเดียวกันอย่างที่เราคิด

แล้วทำอย่างไร?
มองหาอคติของตัวเองเหมือนที่โซรอสทำ   ทั้งชาร์ล ดาวิน  ไอไสตน์และเอดิสันใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งจับผิดตัวเอง

จับผิดอย่างไรครับ?

พวกเขาใช้วิธี invert ตลอด โดยเฉพาะชาลี มังเกอร์ เขามองหาแต่อคติของตัวเอง แล้วหลีกเหลี่ยงมัน ถ้าอยากเรียนเรื่องอะไรให้คิดกลับด้านเสมอ  ถ้าอยากรวย

ก็ให้คิดว่าทำอย่างไรให้จน  อย่างหนังสือ วิธีทำให้จนทำอย่างไร  อย่างนี้ขายไม่ได้  อยากให้ลุกเป็นคนดี  สอนอย่างไรให้ลุกเป็นคนเลว ขายไม่ได้  เพราะระบบการศึกษาไทยทำให้เรากลัวการผิดพลาด แต่นั่นเป้นวิธีที่ควรจะเป็น คิดเสมอว่าทำอย่างไรให้ขาดทุน แล้วหลีกเหลี่ยงมัน

เป็นวิธีที่แปลกมาก?


ไม่แปลกหรอกครับ ทุกคนไม่ชอบจับผิดตัวเอง เรามีอคติที่มารั้งเราเอาไว้เสมอจากความประสบความสำเร็จเหมือนอคติเหล่านั้นมดึงเราเอาไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า

แล้วมีวิธีจัดการกับอคติอย่างไร มีวิชา Bias Management บ้างไหม?
ผมไม่ทราบครับ  วิธีคือ การ invert เหมือนอย่างที่นักคณิตศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง Jacobi เคยกล่าวไว้ You must always invert.



Invert อย่างไรครับ ยกตัวอย่างได้ไหม?

Invert อคติของเราครับ เหมือนกับเด็กคนหนึ่งเดินไปโรงเรียนไม่ถึงซะทีเพราะถนนเต็มไปด้วยหิมะ เดินไปข้างหน้า 1 ก้าว ก็ถอยหลังมา 2 ก้าว เดินเท่าไหรก็ไม่ถึง จนกระทั่งเขาหันหลังให้โรงเรียน แล้วมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน เขาจึงถึงเดินถึงโรงเรียนได้ แต่เป็นการหันหลังให้โรงเรียน หิมะเหล่านั้นก็เหมือนอคติของเราเอง

เดินแบบตั้งใจมองไปที่อคติ?


ตั้งใจมองที่อคติของตัวเอง ใช่ครับ จับผิดตัวเองเพราะอคติจะทำให้เกิดภาพลวงตาอีกภาพหนึ่งขึ้นมาตลอดเวลา เวลาเกิดทุกข์หรือช่องว่างระหว่างสองภาพ ก็เข้าไปดูข้างในตัวเอง ดูให้เห้นว่า อคติอะไร อะไรทำให้เป็นต้นเหตุจองอีกภาพ  ถ้าไม่อีกภาพ มันก็ไม่มีทุกข์

คืออยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด?
เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง การคาดหวังสิ่งใดก็คือความทุกข์แล้ว ถ้าไม่คาดหวังอะไรเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ไม่แปลกใจก็คือมีสติและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไม่ผิดพลาด

คนเราอยู่กับความเสี่ยงทุกวัน แล้วไม่คาดการณ์ได้อย่างไร?

จะคาดการร์ถึงสิ่งต่างๆ ทำอย่างนั้นก็ได้ ทำแล้วเตรียมแผนรับมือเอาไว้ว่าจะทำอย่างไร จะได้ไม่ต้องเซอร์ไพร์ แต่อย่างหนึ่งที่เราควรทำคือจินตนาการว่า  ถ้าสิ่งนั้นเกิด.อคติของเราตัวไหนจะออกมา  แล้วทำให้เราต้องตัดสินใจผิดพลาด

โห.ทำอย่างนั้นได้ ต้องมีเวลากับตัวเองมาก ๆ?

ครับ ต้องมีเวลานั่งคิดสิ่งเหล่านี้  ทุกอย่างไม่แน่นอนก็เท่านั้นเอง  การอยู่กับตัวเอง ที่สำคัญให้พิจาณาอริยสัจ 4  ให้มาก ๆ  ศาสนาพุทธเขาบอกไว้หมดแล้ว  อย่าไปดูข้างนอก ข้างในสำคัญมากกว่า

พูดเหมือนพระเลย หลวงพี่เอาบาตรมาด้วยหรือปล่าว?

 นั่นคือความจริงครับ  เรามีตัณหา อุปทานกันทั้งนั้น

จากสิ่งที่พูดมาเรื่อง reflexiivty  แล้วมีกลยุทธ์มาปรับใช้ในการลงทุนอย่างไร?

ผมมีวิวัฒนาการตลอดในระบบการลงทุน ไม่มีอะไรตายตัวสำหรับตลาด ทุกอย่างเปลียนแปลงตามสถานการณ์

ไม่มีสูตรที่แน่นอนในความไม่แน่นอนหรือ?

ทุกอย่างอยู่ที่กฎ 50:50

กฎ 50: 50  อะไรครับ?

ยกตัวอย่าง ถ้าคาดการณ์ว่า คนนี้คนนั้นทำผิด ไม่ควรทำกับเราอย่างนั้น  อย่างนี้วงจรอุบาทย์ reflexivity เกิดขึ้นในใจแล้ว  ให้คิดว่าเราผิด 50% ด้วย ถ้าโกรธก็ต้องโกรธตัวเองด้วย ถ้าเผื่อไว้อีก 50 สำหรับความผิดพลาด เขาอาจไม่ผิดอย่างทีคิด เพราะความคิดเราอาจมีอคติที่เราจับมันไม่ทันในตอนแรก เชื่อไว้ 50% จะได้ไม่เป็นทุกข์ วงจรอุบาทย์ reflexity จะได้ไม่เกิดในใจของเรา

ถ้ามีคนว่าเรา ทำอย่างไร?

ฟังไว้ 50% อย่าพึงเชื่อ อย่าพึงปฎิเสธ

อย่างตอนนี้ ฟังที่พูดเรื่อง reflexivity  อย่างนี้ก็เชือไม่ได้?

โอ้.เก่งมากครับ อย่างนี้เรียนเรื่อง reflexivity ได้ ฟังแล้วเชื่อ 100%  ไม่ถูกเพราะความคิดเป้นสิ่งไม่เที่ยงเหมือนกันครับ ผู้พูดเองอ่านเปลี่ยนใจเมือ่ไหร่ก็ได้ หรือ คนฟังเองอาจฟังผิดไปเอง คนพูดอาจพูดผิด หรือเปลี่ยนความคิดใหม่ได้ตลอดเวลา ถ้าฟังเพียง 50%  ก็จะปลอดภัย ไม่เป็นทุกข์ แม้แต้ความคิดเราเอง คิดอะไรได้ก็อย่าเชื่อตัวเอง 100%

แม้กระทั่งตัวเองก็อย่าเชื่อ แล้วจะอยู่อย่างไร อยู่แบบไม่มั่นใจในตัวเองอย่างนั้นหรือ?

รับฟังตัวเองไว้ 50% เพราะเราเองก็อาจผิด สิ่งที่เราคิดว่าถูก อาจผิดก็ได้ ไม่แน่เสมอไป ไม่ต้องมั่นใจ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องแปลกใจ พิจารณาทุกอย่างให้ดี สิ่งนั้นมร สิ่งนั้นเกิด สุขหายไปก็ทุกข์ ทุกข์หายไปก็สุข สุขและทุกข์มันสะท้อนกลับไปกลับมา ทุกอย่างในโลกล้วนมีความสัมพันธ์แบบภาพสะท้อนเกิดขึ้นทั้งนั้น ทุกอย่างไม่แน่นอน..ก็เท่านั้นเอง ความไม่แน่นอนก็สะท้อนกลับไปกลับมากับความแน่นอน ราคาสะท้อนกับพื้นฐานของหุ้น ผู้เขียนสะท้อนกับคนอ่าน ความคิดผู้เขียนสะท้อนกับสิ่งที่ผู้เขียนกำลังเขียนก้เท่านั้นเอง

จากประการณ์จริง เอาเรื่อง reflexivity ไปใช้ มีอะไรบ้าง?

ผมหลีกเหลี่ยงวงจร reflexivity ไม่ได้ตลอดเวลา แต่ผม invert อคติตัวเองได้ เมื่อเช้ามีคนขับรถชนผู้เขียน ผู้เขียนก็บอกกับตัวเอง ขอบคุณ  พอลงไปดูรถ หน้าเราก็คงยิ้มไปเองหรือปล่าวไม่ทราบ คนที่ชนลงมาขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจอย่างมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงลงไปว่าเขา แล้วคนชนอาจไม่สะท้อนกลับมาด้วยความเกรงใจอย่างนี้ คนชนเอานามบัตรให้ดูถึงรู้ว่าเป็นลุกน้องทีทำงานเก่าของผู้เขียน แล้วรู้จักกับหัวหน้าเก่าอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

คือ invert  อารมณ์ตัวเองในตอนนั้น ?

ใช่ครับ ผมไม่รู้ว่าสมองทำงานอย่างไร แต่ผมรู้ว่าอารมณ์ของตัวเองว่าทำงานอย่างไร  เมื่อเช้า ภรรยาบ่นเรื่องวางรองเท้าคู่ไม่เรียบร้อย  ผมก็ ขอบคุณ อย่างเดียว ขอบคุณที่บอก เพราะว่าพอหยิบรองเท้าแล้ว เห็นว่านาฬิกาที่ลุกเอาไปซ่อนไว้ มันอยู๋ตรงนั้นเอง ผมไม่อยากจะพุดให้เป้นเรื่องของ magic หรือเรื่องไสยศาสตร์ ผมแค่บอกว่า อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าเรามี ทัศคติ ที่ถูกต้อง ตอนนี้ คำว่า ขอบคุณ เป้นคาถาที่ศักสิทธิ์สำหรับผมเลยทีเดียวครับ

 ตื่นนอนมาก็พุดว่า ขอบคุณ เลยได้ไหม?

ลองดูครับ แล้วคุณจะมีมุมมองต่อชีวิตที่เปลี่ยนไปทีเดียว ขอบคุณที่เรายังตื่นขึ้นมาได้อีกวัน

..shalom
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ผู้เขียนรู้จักเกี่ยวกับ critical mass  ครั้งแรกได้อย่างไร?

ตอนเรียนมหาลัย   อ่านประวัติศาสตร์การปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองทางการเมืองที่สำคัยของโลก โดยเฉพาะในฝรั่งเศส  เศรษศาสตร์ที่มหาลัยบังคับให้เรียนปรัวัติศาสตร์และปรัชญา ประวัติศาสตร์และปรัชญาคือทะเล วิชาเศรษศาสตร์เหมือนปลาที่ว่ายอาศัยอยู๋   แยกออกจากปรัวัติศาสตร์และปรัชญา เศรษศาสตร์ก็กลายเป็นปลาที่ตายเพราะขาดน้ำ  ดูเหมือนตอนนั้นเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้เลย เป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุด  แต่ปัจจุบัน  ผู้เขียนกลับเอาความรู้เหล่านั้นใส่ลงไปในการลงทุนทั้งหมด  ความรู้เหล่านั้นย้อนกลับมาใหม่หมดเลย

คิดว่าจากฟิสิกส์?

ผมอ่าน Quamtum physics ไม่เข้าใจ   อ่านประวัติศาสตร์เข้าใจง่ายกว่า

ประวัติศาสตร์สอนอะไรเกี่ยวกับ critical mass?

เมื่อใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ซึ่งคุณค่าความเป็นคนถูกลดถอนลงไป เมื่อเทียบเทียบกับคนส่วนน้อยทีได้รับการส่งเสริมคุณค่าความเป้นคนให้มาก ขึ้นยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อนั้นช่องว่างความไม่เท่าเทียม ความหไม่ยุติธรรมขยายวงมากขึ้นมากขึ้น  ผลที่เกิดตามมาจึงรุนแรง  ความไม่พอใจจนเกิดความครุ่นเครืองเครีนดแค้นของคน  ล้วนมีสาเหตุมาจากสภาวะของคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่มีความความมั่งคั่งใน ทรัพย์สินที่มากขึ้น แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับยากจนลง  เมื่อรวมกับความกดดันที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเข้าไปผสมด้วย จึงไม่น่าแปลกที่ความกดดันลักษณะนี้มักจบลงด้วยการแห่ตามกันของฝูงชน

critcal mass  ในการเมืองไทยจะเกิดไหม?

อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์อย่างนั้น

ผู้เขียนมองหา critical mass ในตลาดหุ้นได้อย่างไร?


คุณหมายถึงการจูงใจนักลงทุนให้ซื้อหุ้นตาม   เมือมีการติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์  อย่างหนึ่งที่ต้องเตรียมใจไว้คือเราอาจไมได้ติดต่อกับสิ่งที่มีชีวิตที่มี เหตุผลตลอดเวลา  เรากำลังติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่มีอารมร์และเต็มเปียมไปด้วยอคติ ต่างๆ  สิ่งที่ต้องสนใจคอืการมีอคติเหล่านั้นมีผลต่อเหตุการณ์ที่จะกเดขึ้นอย่างไร บ้าง ถ้าช่องว่างของการรับรู้ขยายออกไปมากจนนักลงทุนตามไม่ทัน  critcal mass อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดในใจพวกเขาก่อนเสมอ

ในใจพวกเขา ยังไม่เข้าใจ?

Critical mass เกิดในใจก่อนทั้งนั้น  เหมือนการยิ่งปรารถนาการยอมรับจากสังคมมากเท่าไร เรายิ่งกลัวการตำหนืมากเท่านั้น ช่องว่างสองขั้วนี้มีอยู่เสมอในตัวเราทุกคน  ความคิดเห็นที่เป็นมติเอกฉันท์คือความหายนะเหมือน critical mass ถ้าคุณชอบความคิดอะไรมากๆ ลองไปถามคนที่เกลียดคุณ เขาจะมองต่างไปจากคุณ  เขาจะมีแต่ข้อเสียของคุณ ซึ่งนั่นเปนสิ่งที่ดีและคุณต้องการมันมากที่สุด  เมื่อคุณมีความคิดที่ซือ้หุ้นลองคุยกับคนที่มีความขัดแย้งกับคุณ คุณจะได้มุมมองที่คุณคิดไม่ถึงแล้ว critical mass จะไม่เกิดง่ายๆ

แล้วถ้าเกิดหาคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเราไมได้?

นั่นคือเหตุผลที่คุณต้อง invert ความคิดตัวเองครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

วามคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้ความรอบครอบในการอ่านครับ
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป้นไปได้ทั้งนั้น
..............................


ทักษะอะไรที่สำคัญที่สุดถ้าจะลงทุนในตลาด?
ได้ยินว่า cut loss สำคัญที่สุด

คุณเชื่ออย่างนั้นไหม?

ไม่ทั้งหมด  สาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อหุ้นตั้งแรกสำคัญกว่า ถ้าเขาไม่ซื้อหุ้น การ cut loss ก็ไม่เกิดขึ้น การ cut loss เป้นแค่ผลลัพไม่ใช่ต้นตอของสาเหตุ

ในมุมมองของความสัมพันแบบภาพสะท้อน มองเรื่องการ cut loss อย่างไร?

พฤติกรรม cut loss เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่สะะท้อนมาจากโลกภายในของนักลงทุน    คุณภาพของการลงทุนเทคนิคต่างๆ ที่นักลงทุนเอามาปรับใช้ จะไม่สามารถเกินคุณภาพของความคิดที่พวกเขามี   ความหมายของเรื่องนี้คือเรามัวแต่เรียนรู้เทคนิคการ cut loss  สร้างระบบขึ้นมาป้องกันความเสี่ยง แต่ตลอดเวลาเรายังหล่อเลี่ยงสาเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้นไว้ในใจตลอด  เราเฝ้ากังวลที่จะปรับปรุงเงื่อนไขภายนอกแต่กลับไม่ปรับปรุงเงื่อนไขจากภาย ในที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า

เรามองหาวิธี cut loss มากเกินไป จนละเลยต้นเหตุที่แท้จริง?

cut loss  ไม่ใช่วิธีลบภาพสะท้อนจากการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้า แต่เทคนิคการ cut loss ในตัวมันเองเป็นวิธีการป้องกันที่ทำให้ภาพสะท้อนไม่ได้ขยายวงไปมากกว่านั้น   สิ่งที่ก่อให้เกิดภาพสะท้อนจริงๆ ที่เรียกว่า อคติต่างๆ  กลับถูกละเลย เราเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราคิด  สิ่งที่เราคิดนั้นอาจไม่สอดคล้องกับความป็นจริงที่ปรากฏ   และการ cut lossอาจกลายเป็นอคติอย่างหนึ่งโดยที่เราไม่ทันคิด  ถ้าเป็นอคติที่ดี มันจะให้เรามีความสุข แต่ถ้าอคติทุกอย่างมีจังหวะเวาของมัน บางเวลา บางสถานที่ อคติที่ดีกับกลายเปนไม่ดี และบางเวลา บางสถานที่ มันอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม

หมายถึงว่า เรามีความสุขได้เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่เราถูกบดบังด้วยอคติ?

ถ้าอคตินั้นทำให้เรามีความสุข ซึ่งไม่แน่เสมอไป ว่าอคติตัวเดียวกันจะส่งผลอย่างไร แต่ในขณะที่เรายังถูกบอดบังด้วยสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวอต  เราจะลับอาวุธเหล่านั้นไว้ในใจเราตลอดเวลาและมันอาจกลับมาทำลายตัวเราเองใน ภายหลัง  เราควรต้องขุดลึกลงไปในใจตัวเองและหาสาเหตุการขาดทุนที่แท้จริง   หาว่าอคติอะไรเป็นตัวสร้างอุปนิสัยในการลงทุนของเรา อะไรเป็นตัวหล่อหลอมชีวิตที่เราเป้นอยู๋ และเป้นตัวกำหนดชะตากรรมให้เราต้อง cut loss  เรื่องนี้สามารถพิสูจนืได้ด้วยการเผ้าดูตัวเอง คอยติดตามสาเหตุของการตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวนั้น คอยติดตามผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จากนั้นค่อยๆ เชื่อม้หตุและผลต่างๆ เข้าด้วยกัน หาสาเหตไม่ยากครับ

cut loss เป็นวิธีรักษา ไม่ใช่วิธีป้องกัน?


cut loss เหมือนมีดตัดหญ้าในสวนที่คอยตัดวัชพืชออกจากสวน แตสาเหตุที่วัชรพืชขึ้นกลับถูกละเลยเพราะนักลงทุนยอมรับว่าวัชรพืชขึ้นในสวน เป้นเรื่องปกติ  เหมือนที่นักลงทุนยอมรับว่าการขาดทุนเป้นเรื่องปกติในตลาดหุ้น  บางคนกลับหล่อเลีย้งวัณพืขนั้นเสียเองด้วยการเพาะพันให้มันออกดอกในจิตตัว เอง  ด้วยการกรทำอย่างนั้น ไมนานพวกเขาจะพบว่าพวกเขาเป้นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกับเพาะวัชรพืชเหล่านั้น  แทนที่จะเปนผู้เชี่ยวชาญเพาะปลุกดอกไม้ทองคำที่มีค่ามากกว่า

คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดจะ cut loss ก้ได้ cut loss?

คุณจะได้อยู๋ตรงไหนในชีวิตเพราะตัวคุณเอง  ความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของเราเป็นสาเหตุที่พาเราไปอยู๋ ตรงนั้น

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเดินมาผิดทาง?

มองหน้าในกระจกทุกวัน ถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา  สิ่งที่เรานี้ เรายังอยากทำหรือไม่   ถ้าความรู้สึก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดขึ้น เราอาจกำลังเดินตกเหวในไม่ช้า

วิธีแก้มีไหมครับ ?

invert  สิ่งที่เขาคิด ถ้าเขาอยกา cut loss ต้องถามว่า อยากซื้อเพิ่มไหม หรือ cut loss  เพราะว่าเขาคาดการณ์ผิดตั้งแต่แรก   การเปลี่ยนแปลงที่กเดภายนอกเป้นสัดส่วนกับการเปลียนแปลงภายในเสมอ  สถานการณ์ต่าง ๆไมได้กำนหดให้นักลงทุน cut loss   มันเพียงเปิดเผยสิ่งที่นักลงทุนคนนั้นเป้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก  เขาต้องปรับแต่งภายในจิตใจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู๋ภายนอก  หยุดโทษสิ่งต่าง ๆ ทีทำให้ตลาดปรับตัวลง  เรียนร็ที่จะปรับจิตใจให้ยอมรับตามความเปฯจริง  หยุดก้าวโทษ สิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่ต้องเริ่มใช้สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเป้นเครื่องมช่วยให้เราค้นพบสิ่งที่ ซ่อนอยู๋ในใจทีแท้จริงที่ทำให้เราต้อง cut loss     ตลาดหุ้นถูกปกครองด้วยความหยุ่งเหยิง ไม่ใช่คณิตศาสตร์  เราไม่อาจเลิอกเหตการณ์ที่จะกเดขึ้นในตลาดได้ แต่เราเลือกความคิดของเราได้ ซึ่งแน่นอนว่าความคิดจะไปกำหนดสิ่งที่เราทำ  โลกคือกระจกเงา ตลาดหุ้นคือกระจกเงา ตัวเราก็คือกระจกเงา ทุกอย่างที่ปรากฏออกมาให้เราเห้น ล้วนเป้นผลมาจากภาพสะท้อนของความคิดภายในจิตใจของคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และขับเคลื่อยด้วยอคติต่างๆ เราต้องหาว่าอคติที่ซ่อนอย็ค่ออะไร ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

shalom.เขียน ม.ค 2553
โปรดอ่านด้วยความระมัดระวังครับ

...........................



ตลาดในช่วงนี้ เชื้องช้าทรมานมาก ๆ จริงๆ ว่าไหมครับ?

อันที่จริง ผมพึ่งรู้สึกอย่างนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมว่านี่คือจุดที่นักวิเคราะต่างๆ เริ้มยิ่มแหยๆ อ่ยางไม่สบายใจ  ผมอาจมีคำอธิบาย ผู้เขียนใช้เรื่องทฤษฏีภาพสะท้อนมองลงไปในเรื่องของจิตวิทยาในการลงทุน   โปรดกรุนาอ่านด้วยการตั้งคำถามเสมอ สิ่งที่ผู้เขียนจดอาจผิด  ผู้เขียนขออภัยในคำสะกด

เคยได้ยินถึงคำว่า ช่องว่าง  ในทฤษฎีภาพสะท้อนหรือไม่?

เป็นช้อว่างความเครียดระหว่าง สิ่งทีเราได้ทำสำเร็จตามตั้งใจกับสิ่งทีเราควรจะทำแต่ยังไมได้ทำ   หรือเป้นช่องว่างระหว่าง  สิ่งที่คนนั้นเป็นอยู๋กับคนที่เขาควรจะเป็น   นักลงทุนเน้นภาพสะท้อนที่แท้จริงควรตรวจสอบให้ภาพทั้งสองอย่างหายไป เหลือเพียงภาพเดียวคือภาพปัจจุบันตามความเป็นจริง

เหมือนการลงทุนเน้นคุณค่าหรือไม่?

สิ่งเดียวกันแต่มองคนละด้าน   การลงทุนเน้นคุณค่าที่แท้จริง มองไปที่ช่องว่าง สิ่งที่ควรเป้นกับสิ่งที่เป็นอยู๋

ข่าวร้ายขายได้เพราะอะไร?

เพราะว่าแปลกไปจากสิ่งที่ควรเป็น   ข่าวร้ายมีคนถูกยิงตายเป้นสิ่งที่ไม่ควรเป้น เราอยากเห้นคือสังคมไทยที่เป้นสุข  เมื่อมีช่องว่าง  สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่ควรเป็น  เกิดขึ้น วงจรภาพสะท้อนเชิงสะท้อนกลับจะเกิดขึ้นทันที การลงข่าวร้ายจึงขายได้ตลอด เพราะเรามีช่องว่างกับตัวเราเองแล้วเรายังมีช่องว่างกับสิ่งรอบตัวที่เราพบ เห้น   เมื่อมีสิ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างภายในจิตใจเราได้ สิ่งนั้นจะขายได้ทันที   อะไรที่แปลกไปจากปกติ อะไรที่เกินความคาดหมายของคน  อะไรที่แปลกไปจากสิ่งที่ควรเป้น มันกระตุ้น อคติ ของคนได้   ตัวอย่างข่าว นายเม้งทำรองเท้าหล่นบนรถเมล์ แล้วโยนลงไปอีกข้างเผื่อใครมาเก็บจะได้มีใส่ทั้งสองข้าง   เขาจะไมได้ลงข่าวเพราะเขาควรทำอย่างนั้น   แต่ถ้าหลังจากนั้นนายเม้งศึ่งไม่ใส่รองเท้าเดินเข้าห้างทะเลาะกับ รปภ กลับได้ลงข่าวว่าเขาเป็นคนบ้าที่พยายามเดินเข้าห้างเพราะคนดีๆ เขาใส่รองเท้ากันทุกคน ข่าวนายเม้งถูกจับจึงแปลกว่าที่ควรเป้นมันถึงเป้นข่าวได้

หลักการน้ใช้กับตลาดหุ้นอย่างไร?

วันนี้ได้เห้นใน หุ้น (ตู๊ดๆๆๆ)....  การปรับโครงสร้างใหม่ใน (ตู๊ดๆๆๆๆ )......... ทำให้เกิดความเข้าใจผิเกี่ยวกับราคาหุ้นของบริษัท  ในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ปรับลงไม่ใช่ราคาของ (ป๊าดๆๆ)..... แต่เป็น อคติของนักลงทุนต่อความเสี่ยงในเชิงลบที่ทำให้ราคามันปรับตัวลงจนเป้นปัจจัย ที่ส่งเสริมตัวมันเอง

ปัจจัยที่ส่งเสริมในตัวมันเองหมายถึงอะไร?

แนวโน้มพื้นฐานไม่เคยเปลี่ยนไป สิ่งที่เปลี่ยนคือความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อหุ้นตัวนั้น  เมือความคาดหวังจากนัลงทุนไปกดราคาให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางขาลง ราคาลงตามที่มันควรเป็นเพราะความเสี่ยงที่อาจปรับเพิ่มขึ้น แต่การรับร็ต่อความเสี่ยงมักจะเกินเลยไปเสมอ ภาวะไร้ดุลยภาพในตลาด ก็เหมือนภาวะอาการทางประสาทในจิตใจคน แต่ในตลาดเมื่อเกิดภาวะไร้สมดุล จะเกิดพฤติกรรมวิ่งตามกันซื้อ/ขาย  นักลงทุนซื้อเพราะเห้นราคาขยับ และขายเมื่อเห้นราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว

เหมือนอย่างวันนี้?  เขียนช่วง มกราคม 2553

วันนี้ปเนจังพวะที่ดีครับ เพราะเหตุการณ์ไม่ควรเป็นอย่างที่นักลงทุนคิเ พอราคา QH ขยับขึ้นแต่เช้า ข่าวนี้เลยขายได้ เพราะมันแปลกไปจากที่นักลงทุนคาดหวัง และยิ่งมีอาการประสาท หรือ ความไร้เสถียรภาพในตลาดหุ้นมากเท่าไร  คุณจะเห็นแนวโน้มใดอย่างใดอย่างหนึ่ง โดนเฉพาะ สิ่งที่ไม่ควรเป้นแต่กลับกำลังเกิดขึ้น จะมีอิทธิพลต่อนักลงทุนมากไปด้วย เราจะได้เห้นพฤติกรรมอย่างนี้อีก กุญแจดอกสำคัญแค่อยู๋ที่ว่า การจับให้ได้ว่า มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และ การเข้าใจผิดอย่างนี้ มันเหมือนมีช่องว่างระหว่างความคิดของนักลงทุนในตลาดกับภาวะความเปฯจริงที่ ควรเกิดขึ้น

มีวิธีตรวจสอบไหม?

คิดง่าย ๆครับ คูนช่วยคนแก่ข้ามถนน จะไม่วันได้ลงข่าวเลย มันขายไม่ได  ยกเว้นพาข้ามแล้วคุณถูกรถชน เพราะการพาคนแก่ข้ามถนนเป้นสิ่งที่ควรเป้น แต่พาคนแก่ข้ามแล้วกลับถูกรถชน  สิ่งนั้นแปลกไปจากสิ่งที่ควรเป้น  สิ่งนั้นจึงขายได้
สภาพจิตใจคนมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ควรเปนกับสิ่งที่เป้นอยู๋เกิดขึ้นตลอด เวลา


 อะไรที่สร้างช่องว่างนี้ได้จึงขายได้?


    ใช่ครับ . ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นท่ามกลางข่าวร้ายต่างๆ  มันขายได้  สิ่งที่ควรเป้นคือราคาหุ้นควรจะปรับตัวลง สิ่งที่เป้นอยู๋คือราคากลับปรับขึ้น  เมื่อมันแปลกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น มันเลยเกิด ช่องว่าง ที่เป็นภาพสะท้อนที่ไปกระตุ้นอคติบางอย่างในตัวเราที่เราทุกคนมีช่องว่าง มนตัวเราอยู๋แล้ว และเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสิใจผิดพลาดในการลงทุน

หนังสงครามทำให้เราเข้าใจ reflexivity มากขึ้นจริงหรือ?

เวลาดูหนังสงคราม ผม invert ตัวเองลงไปในหนัง ผมไม่ได้แยกตัวเองออกมาในฐานะผู้สังเกตอยู๋ภายนอก ผมอยู๋ในนั้นกับพวกเขา  ผมตกเป้นเฉลยในค่ายกักกันชาวยิว ผมจินตนาการเข้าไปในจิตใจของพวกเขา  เป้นเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย  ผู้เขียนสังเกตว่าตัวเองมีความตื่นตัว อยากรู้อยากเห้นมากกว่าปกติอย่างมาก  อะไรรอบตัวกำลังเกิดขึ้น และถ้าสิ่งนั้นเกิด สิ่งใดอะไรเปนผลตามมา  แล้วมันทำให้ผุ้เขียนตกอยู๋ในอันตรายหรือไม่  แต่ความกระหื่นกับสิ่งต่างที่เกิดขึ้นไมได้ปนกับอารมณ์ต่างๆ ของผู้เขียนเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนมองทุกอย่างตามภาวะความเปนจริง ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เรามีสภาพจิตใจแบบนั้นต่อเมื่อเราคิดที่จะปกป้องตนเองจากการถูกฆ่า   ผู้เขียนทดลองสร้างสภาพจิตนี้ในตลาดหุ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ต้องเจอความ เสี่ยงกับการขาดทุนอยู๋ตลอดทุกวันทุกชั่วโมงจนบางครั้งผู้เขียนต้องหยุดดู หน้าจอ    ทำอย่างไรให้อยู๋รอด  คำนี้ผู้เขียนได้ยินท่านแรบไบโวรอสกล่าไว้    อะไรที่ไม่ปกติในสถานการณ์ที่ไม่ปกติถือเป้นเรืองปกติ  ข่าวร้ายในช่วงนี้อาจเปนข่าวดี ข่าวดีอาจเป็นข่าวร้าย

แล้วทำอย่างไรให้อยู่รอด?

  ปรับตัวแค่นั้นเอง
ผู้เขียนเห้นคนตายในหนัง  ดูนานๆ เข้าเริ่มชินกับภาพที่เห้น จากความคิดว่า  การตายเป้นสิ่งไม่ควรเป้น อารมณ์สงสาร ความหวาดผวากับภาพที่เห้นคนถูกยิงที่หัว ภาพเด้กทารกที่ถูกจับโยนลงไปกองไฟ ความขยะแขยงของศพที่กองกันเป็นพัน นี่ถ้าเป้นที่เมืองไทย มองจากมุมข้างนอก อย่างนี้มันขายได้ เพราะเป้นสิ่งไม่ควรทำ แต่ในสภาวะสงครามสิ่งนี้คือสิ่งปกติ แล้วมันไมทำให้เราเกิดช่องว่างของอการภาพสะท้อนอีกต่อไป เพราะในสงคราม มันคือ สิ่งที่ควรเป้น  และไม่แปลกไปจากชีวิตประจำในช่วงนั้น   พอดูหนังสักพัก  เราจะปรับตัวไปเอง  ความทุกข์ทรมาน ภาพของคนทนทุกข์ทรมานก่อนตายไมได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว เป็นสภาวะที่เฉยชาต่อสภาวะอารมณ์ใดๆ  ที่เคยเกิดตอนเริ่มดูหนังในช่วงเริ่มต้น

เริ่มชาชินกับสิ่งที่เห้น?

ใช่ครับ     ภาวะชินชาอย่างนี้ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งเลวร้ายต่างๆ เป็นสภาวะที่กำลังในสังคมไทยและในตลาดหุ้นไทย   ความร็สึกไม่อินังขอบๆ  กับเรื่องร้ายๆ  ส่งผลต่อความเฉยชาตายด้านของนักลงทุนต่อความเสี่ยง    นักลงทุนบางคนอาจมีอาการตายด้านกับการขาดทุนทุกวันแล้วยังมีความสุขอยู่ได้    โดยสภาวะที่ชินชากับสภาพที่เป็นอยู๋  แต่ในไม่ช้านักลงทุนคนนั้นจะสร้างเกราะป้องกันตัวเองได้ เหมือนกับที่คนยิวอยู๋ในสภาพความเคยชินกับความเสี่ยงเป้นเสี่ยงตายในสงคราม  สิ่งที่ทำให้นักลงทุนเจ็บปวดมากที่สุด ไม่ใช่สภาวะการขาดทุนที่เปนตัวเงิน แต่เปนความเจ็บปวดภายภายในจิตใจที่เหลือทิ้งไว้จนอาจฝังลงไปในจิตใต้สำนึก

จิตใต้สำนึกของนักลงทุนจะเปลี่ยนไป?

   อาการนักลงทุนจะเปลี่ยนไป  อากรถอนหายใจ เฮ้อ.หมดไปอีกวันแล้ว  จะกลายเปฯสภาพปกติในชีวิตประจำวัน  ภารกิจที่จำเป้นที่สุดคือ ..การรักษาชีวิตให้อยู่รอด ไม่ให้ทุนทั้งหมดหมดไป สภาวะที่เกิดขึ้นนี้จะลดอคติทั้งหมดของพวกเขาออกไปจนหมดจนเหลือแต่สัญชาติ ญาณดิบ  ใครที่ไม่เคยเป็น trader  จะไม่เข้าใจกับเหตูการณ์อย่างนี้   ความทรมานในใจกับความพยายามที่จะรักษาจิตใจที่แข้มแข็งเอาไว้

ผู้เขียนรักษาจิตใจที่เข้มแข็งอย่างไร?

นึกภึงเรื่องตลก. ผู้เขียนเคยไปกินข้าวที่พันทิพ มีสาวๆ สงอคนมานั่งหลังผู้เขียน  เขาสั่งซกเล้กมากิน เป้นเนื้อดิบแล้วปรุงให้แซบๆ  คนนหึ่งบอกว่า เฮ้ยกินเนื้อดิบๆ ไปได้อย่างไร  สาวอีกครนบอกว่า ทำไมกินไมได้ ฮำดิบๆ กรูยังกินมาแล้ว      ผู้เขียนแอบยิ้มในใจ เรื่องนี้กถึงทีไร มันพาเราอยู๋เหนื่อสถานการณ์ต่างๆ ที่กดดันได้

ปรับตัวอย่างไร ในช่วงสภาพตลาดหุ้นอย่างนี้?

ความเป็นจริงกับสิ่งที่ควรเป้นมีช่องว่างถ่างออกมากทุกวันจนไกลจุด ดุลยภาพและไม่มีกลไกมาปรับให้มันแคบลงด้วยและรอบๆ ตัวเรามีแต่เรื่องที่ทำให้มันขยับออกไปเรื่อยๆ  สถานการณ์ไร้เสถียรภาพจะเกิดง่ายๆ เหมือนคุฯเป็นโรคประสาท เพราะ สิ่งท่คุณอยากให้เป็นไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง  ถ้ามีอะไรมาสะกิด คุณสามารถนะเบิดออกได้ตลอดเวลาจนตัวคุณเองก็ไม่สามารถตามทันอารมณ์ตัวเองได้   การตัดสินใจทืผิดพลาดจึงเกิดได้ง่ายๆ   ตัวอย่าง ขายหุ้นออกอย่างหนักหรือซื้อตามกันอย่างหนักเป้นอาการดังกล่าว

ช่วงนี้มีแต่ข่าวลือ?

พอมีคนเปรยขึ้นมา ก็มีคนช่วยแพร่ข่าวให้กระจายไปอย่างรวดเร็ว    ช่วงไหนไมเท่ายุคนี้ ยุคแห่ง refelxivity ในสังคมไทยที่เด่นชัดที่สุด   ข่าวลือกับความจริงมักจะขัดแย้งกันอย่างมีจุดบกพร่องให้สังเกต  พอมีข่าวลืออันหนึ่ง จะมีอีกอันวิ่งตามกันมาเป้นละลอก  ยิ่งเป็นการกระตุ้นอาการภาพสะท้อนในจิตใจขอนักลงทุนยิ่งขั้นไปอีก

มีกลยุทธิในการเอาตัวรอดในปีนี้อย่างไร?

คนทีจะรอดจากตลาดหุ้นในปีนี้ได้ ไม่ใช่คนที่มีร่างกายแข้มแข็ง  แต่เป้นคนที่มีจิตใจแข็มแข็งละอียดอ่อนต่อสิ่งต่าๆง รอบตัว และเป้นคนที่ใช้ความคิดถึงความเปฯไปต่างๆ  มองตลาดตามความเป็นจริง  ขุมทรัพย์ในตลาดมีให้ค้นหา แต่ต้องมองหาขุมทรัพย์ในตัวเองก่อน  เข้าใจตัวเอง  ความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้นถึงมากระทบจิตใจเพียงใด  มันจะกลายเป้นเพียงเรื่องเล้กน้อย  คนที่มีมุมมองคิดถึงจิตใจคนอื่น จะเอาตัวรอดได้ดีที่สุด

shalom......


 สุดท้ายนี้ สวัสดีครับ นานๆ ที จะลงยาวขนาดนี้ ไม่มีอะไรมากครับ มีเวลาก็เอาเรื่องที่เคยบันทึกไว้มาง แค่เรื่อง reflexivity เรื่องเดียวเท่านั้นครับ ไม่มากไปกว่านี้ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิม

   หลังจากนี้ไปเป็นเรื่องของโชคดีทุกท่านครับ ขอให้ประสบความสำเร็จเหมือนรุ่นพี่ท่านอื่นๆ ครับ

  ผมขอน้อมกราบเคารพครูทั้งสามท่านที่ประสทธิความรู้็้ให้ลูกศิษย์คนนี้ ท่านแรก จอร์ส โซรอส ท่านที่สอง ดร.วิคเตอร์ แฟรงเกิล และ ท่านที่สาม ชาลี มังเกอร์ ประโยชน์อันใดก่อเกิดคุณุประการ ข้าพเข้าขอน้อมอุทิศให้อาจารย์ทั้งสามท่านทั้งหมดสิ้น

  ที่สำคัญสุด ต้องขอขอบพระคุณพี่โจและพี่มนอีกครั้งสำหรับความเมตตาที่มีให้กับน้องคนนี้เสมอ

  ขอบคุณครับ

   สวัสดีครับ นานๆ ที จะเขียน ไม่มีอะไรมากครับ มีเวลาก็เขียน แค่เรื่อง reflexivity เรื่องเดียวเท่านั้นครับ ไม่มากไปกว่านี้ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมอ่านด้วยความเพลิดเพลินอย่างสูง

กว่าจะซึมลึกขนาดนี้ใช้เวลานานเท่าไรครับท่าน?
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

กว่าจะซึมลึกขนาดนี้ใช้เวลานานเท่าไร?


    สิ่งที่ไร้ระเบียบเกิดตลอดเวลาเพราะอคติของคน ต้องฝึกฝนให้จับอคติของตัวเองอย่างเอาจริงก่อนที่จะไปจับอคติของคนอื่น   ปีที่แล้วผมเริ่มขบวนการ invert ตัวเองและจดบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวสิ่งที่ทำในแต่วันมานั่งดูช่วงเย็นแล้วหาขั้นตอนในการตรวจสอบตนเอง ทบทวนสิ่งต่างๆ และประเมินตัวเองอย่าไม่เกรงใจ และถามตัวเองว่า ผมได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง แต่ผมก็ยังพลาดอีกจนได้  อคติมีมากมายให้เราค้นหาและได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ การทบทวน อคติ ในแต่วันทำให้ผมมีความรูสึกที่แย่มาก แต่บ่อยครั้ง อคติ เหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากว่าเรามี "อคติ" ตัวนี้ ฝังในตัวเราอยู่ด้วยหรือนี่ ?  แน่นอนว่าผ่านไปหลายปี ความผิดพลาดย่อมน้อยลง บางครั้งผมโน้มเอียงเพื่อปลอบใจตัวเองภายหลังมีการตรวจสอบ อคติ ของตัวเอง การวิเคราะห์ตัวเองอย่างปีแล้วปีเหล่าเป็นวิธีการพัฒนาตัวเองที่ได้ผลกว่าวิธี อื่นๆ ที่ผมเคยพยายามใช้มาก่อนทั้งหมด

ผมได้จดลงหัวข้อต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้ไว้ใช้กับตัวเอง

1. เราต้องมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิดตัวเอง
2. ขณะทำทุกอย่างให้ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า เราทำสิ่งนั้นอยู่ด้วย อคติ หรือไม่
3. จดและขีดเส้นใต้ อคติ ที่สำคัญเอาไว้
4. อ่านทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในแต่ละวัน
5. พัฒนาเทคนิคและนำวิธี invert อคติไปใช้ทุกครั้งเมือมีโอกาส ใช้เนือหา อคติ ของท่านสามสลึงทีผมจดมาในกระทู้นี้เพื่อช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตประจำวัน ของเรา
6. ทำให้การนั่งจับ อคติ เป้นเรื่องที่สนุก โดยการเสนอเงินให้ตัวเองอาจเป็น 100 บาท หรือ ตามที่กำหนด ทุกครั้งที่เราจับได้ว่า อคติ ของเราตัวไหนทำให้เราต้องละเมิดสติของเราและจับอคติตัวนั้นไม่ได้
7. ตรวจสอบทุกอาทิตย์ ถามตัวเองอะไรผิดพลาดไป อะไรที่ต้องปรับปรุง เรียนอะไรไปบ้าง
8. คอยเก็บบันทึกไว้ติดตัว เพื่อให้เห้นว่าเราจะนำวิธี invert อคติเหล่านั้นที่เราคิดได้ ไปใช้เมื่อไหร่และอย่างไรได้บ้าง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

อคติในกรณีนี้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบรึเปล่าครับท่าน

ยกตัวอย่าง

ผมเจอคน ๆ หนึ่งแต่งตัว ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนโจร

ผมเกิดอคติ ระวังตัว

แท้จริงแล้ว เค้าอาจจะ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"

ตราบใดที่เค้าไม่มาทำร้ายผม

ในกรณีเช่นนี้ อคติในมุมหนึ่งเกิดผลสะท้อนอีกมุมหนึ่ง

............................................

การตรวจสอบว่าหุ้นตัวหนึ่ง "ดี" หรือ "ไม่ดี"

เราจะวิพากษ์อย่างไรก็ได้ ตราบใดที่มันไม่อยู่ในพอร์ตของเรา

เราปราศจาก "อคติ"

แต่มันคนละประเด็นกับ หุ้นตัวนั้นจะดีจริง ๆ หรือไม่

อคตินี้ควรถูกตระหนักรู้เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์

a ว่าเราวิเคราะห์ด้วย อคติ

b หรือเราวิเคราะห์โดยปราศจาก อคติ

ประเด็นคือ a กับ b ได้ผลลัพธ์เหมือนกันสมมุติผลลัพธ์คือ c และเราควรจะลงมือทำ x ให้เกิด c ขึ้น

แต่ อคติ จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เราทำ x ทั้ง ๆ ที่เราต้องการ c

ใช่หรือไม่ครับ

แต่ไม่ได้ยืนยันว่า x จะเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำเพราะมันคนละประเด็นกัน และไม่ได้ยืนยันว่า c นั้นถูกต้อง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

[quote="Nevercry.boy"]อคติในกรณีนี้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบรึเปล่าครับท่าน
   Reflexivity จะเป้นสิ่งที่กำหนดว่า เราจะกลายเป้นเครื่องเล่นของอคติตนเอง ยอมละทิ้งอิสรภาพของความมีเหตุและผลในตัวเอง จากนั้นยอมให้อคติดังกล่าวหลอมกลืนตัวเราจนมีพฤติกรรมแบบเดียวกับนักลงทุนอื่นๆ ที่เห็นกันทั่วๆ ไป
 
ยกตัวอย่าง
ผมเจอคน ๆ หนึ่งแต่งตัว ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนโจร

      เขาอาจจะคิดว่าคุณเป็นโจรก็ได้ คุณอาจเป็นคนที่ทำท่าทางลับๆ ในสายตาของเขา พฤติกรรมของเราอาจสะท้อนในมุมกลับทำให้เขาต้องระวังตัว เขาอาจกัวคุณทำร้ายเขาเหมือนกัน

    ถ้าไปในที่เปี่ยวก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราจะเกิดความวิตกกังวลไปก่อน่ลวงหน้า  สิ่งที่เป้นธรรมชาติของคนคือความเครียด สุขภาพจิตจะดีขึ้นอยู่กับความเครียดในระดับหนึง ซึ่งมันเกิดขึ้นได้เพราะเราเปรียบเทียบจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่เราคิดว่าควรจะเกิด
   
  ในตลาดหุ้นมีความวิตกกังวลแบบที่เรียกว่าอาการที่ชอบคาดการณ์ไปล่วงหน้าอย่างนี้ อาการวิตกกังวลเหล่านี้เป็นปัจจุยสำคัญที่ทำให้ตลาด ขึ้น/ลง เพราะตลาดตอบสนองต่อความกลัวโดยปราศจากเหตุและผลและเจ้าความกลัวในลักษณะอาการโรคประสาทของตลาด เป็นตัวกระตุ้นอาการดังกล่าว ซึ่งผลสะท้อนกลับของอาการดังกล่าวนี้ยิ่งตอกย้ำให้ตลาดเองมีความกลัวมากขึ้น

 
ผมเกิดอคติ ระวังตัว

    เป็นใครก็ต้องระวังตัว อคติคือ "ตัวกู" นี่ละครับ กรณีนี้คือ "กลัวตาย"  กันทุกคน  ถ้าเขาบุกเข้ามา คุณจะทำอย่างไร หรือ ว่าคุณจะบุกก่อน คุณมีอาวุธไปสู้เขาไหม  ถ้าไม่มี มีวิชาป้องกันตัวไหม โอกาสเอาตัวรอดมีไหม ในมุมของเขา เขาคุ้มหรือป่าวที่เสี่ยงกับเรา ในมุมของเราคุ้มไหมที่เสี่ยงกับเขา

   เราเจอเหตุการร์คล้ายๆ กันอย่างนี้ทุกคน แล้วแต่ว่าเราจะมีอาการประสาทในเรื่องอะไร แล้วการย้ำคิดย้ำทำสะท้อนกลับไปกลับมาอย่างนี้มันเกิดในตลาดหุ้นตลอดเวลา

   เทรดเดอร์จะมีบุคคลิกอย่างไรเป็นผลมาจากอคติของคนคนนั้นที่กำหนดการตัดสินใจภายในจิตใจของของเขา หาใช่เป็นผลมาจากอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวไม่  ความแตกต่างของการตะหนักถึงอคติตนเองนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าคนคนนั้นจะอยู่ในสงครามตลาดหุ้นได้นานแค่ไหน

 
  แท้จริงแล้ว เค้าอาจจะ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"
 
  ใช่หรือไม่ใช่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าใช่แล้ว จะตอบกับอย่างไร  ถ้าไปเตรียมเอาตรงนั้น คงไม่ทัน อย่างน้อย เตรียมไปก่อน ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิด  ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการตะหนักถึงความไม่เที่ยง ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ

   ตอนกับมาเทืองไทยใหม่ๆ ไปเดินแถวสนามหลวง จะข้ามไป ม ธรรมศาสตร์ มีหนุ่มผมยาวเดินมาข้าง ๆ เอามีดออกมา แล้วถามผมว่า "มีเงินไหมพี่ แบ่งกันใช้บ้าง"  ผมตอบไปว่า "วันนี้ยังหาไมได้เหมือนกัน"
    เรา invert ว่าเราเป็นโจรเหมือนกัน เขาทำหน้างง แล้วเดินไป นี่เรื่องจากประสบการณ์จริง

 พ่อของโซรอสได้สอนบทเรียนที่มีค่าอย่างมากอยู๋ 3 ข้ิอ คือ

1. เป้นการถูกต้องที่จะเสี่ยง พ่อบอกว่าไม่ว่าความเสี่ยงครั้งใด ๆ ล้วนมีค่าแห่งการเสี่ยง  ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ต้องเสี่ยง ไม่ใช่หนีความเสี่ยง โลกนี้คือความเสี่ยง ต้องอยู่กับความเสี่ยง ไม่ทำอะไรก็เสี่ยงแล้ว

2.  เวลาเสี่ยง อย่าทุ่มสุดตัว ถึงเสี่ยงก็อย่ามั่นใจ 100 % เพราะทุกอย่างไม่แน่นอนอย่างที่คิดเสมอไป ถ้าพลาดต้องเอาตัวรอดให้ได้ ไม่ใช่พลาดแล้ว ถึงทางตันทันที อย่าให้มีทางตัน ต้องมีช่องว่างไว้สำหรับทางหนีทีไล่เสมอ ต้องเสี่ยงอย่างมีความสุข

3. ผมค่อนข้างกังวลกับความจำเป็นที่จะอยู่รอดให้ได้ แต่ผมไม่มีทางที่จะเสี่ยงแบบให้มันมีผลกระทบกลับมาทำลายตัวเองโดยเด็ดขาด
   

ตราบใดที่เค้าไม่มาทำร้ายผม
 
   เขาอาจไม่ทำร้ายตอนนั้น แต่เขาอาจทำร้ายคนอื่นมาแล้ว หรือ ว่าเราอาจเคยทำร้ายเขาต่างหาก แล้วเขากับมาแก้แค้น อะไรก็เป็นไปได้

  ในกรณีเช่นนี้ อคติในมุมหนึ่งเกิดผลสะท้อนอีกมุมหนึ่ง
   
   ใช่ครับ เหมือนเรื่องนี้
   
  พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกอินเดียนแดงในเขตสงวนแห่งหนึ่งถามหัวหน้าเผ่าคนใหม่ว่า ฤดูหนาวปีนี้จะหนาวจัดหรือเปล่าหัวหน้าเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาอ่านลมฟ้าอากาศจากบรรพบุรุษ แต่ด้วยความกลัวเสียฟอร์มหัวหน้าเผ่า
จึงทำทีแหงนมองฟ้าแล้วบอกว่าปีนี้จะหนาวทารุณ
ขอให้คนในเผ่าเตรียมฟืนไว้ก่อไฟผิงให้มากๆ
เมื่อตอบแล้ว หัวหน้าเผ่าก็แอบโทร.ไปถามกรมอุตุฯ
เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศตอบว่า ท่าทางจะหนาวจัด
หัวหน้าเผ่าจึงย้ำให้คนในเผ่าเร่งหาฟืนเพิ่มขึ้น
สองสามวันต่อมา หัวหน้าเผ่าโทร.ถามกรมอุตุฯให้แน่ใจอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตอบว่า ปีนี้ต้องหนาวแน่นอน
หัวหน้าเผ่าจึงสั่งให้คนในเผ่าเก็บเศษไม้ทุกชิ้นที่หาได้
พอใกล้ฤดูหนาว หัวหน้าเผ่าโทร.ไปถามที่กรมอุตุฯ อีกครั้ง
แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์นะว่าปีนี้จะหนาวจัด
100 เปอร์เซ็นต์ เจ้าหน้าที่ตอบหนักแน่น
หัวหน้าเผ่าถาม ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น
กรมอุตุฯตอบ พวกอินเดียนแดงพากันออกหาฟืนไม่หยุดเลยครับ!!!


   
    เหมือนช่วงเดือนเมษายนปีนี้ ตอนนั้นตาดมันค่อนข้างเงียบมาก  โบรกออกโปรโมชั่นออกมาว่าถ้าใครเทรดถึงยี่สิบล้านเมื่อไหร่ ส่วนที่เกินจะไม่คิดค่าคอมมิสชั่น โบรกออกนโยบายอย่างนี้เพราะอยากได้วอลุ่มเพิ่ม แต่มันดันกับตาลปัตร เพราะวอุ่มมันกับน้อยลง เพราะรายใหญ่เขาปรับตัว  เขาทำอย่างนี้ครับ กลยุทธ์รายใหญ่ คือ รายใหญ่จะรีบซื้อหุ้นให้เข้าเป้าเทรดฟรี หลักจากนั้นก็สามารถซื้อขายหุ้นเร็วได้ ราคาขึ้นมาหนึ่งช่องก็ขายทำกำไรได้แล้วเพราะไม่มีต้นทุน วันแรกๆ รายย่อยเขาปรับตัวไม่ทันก็เข้าไปตาม  พอวันที่สี่  พอทุกคนรู้ทันเกมหมด ไมมีคนเล่นตาม เพราะเขาตบขายอย่างเร็วเลย ผลออกมา ไมมีใครกล้าเล่น ตลาดเงียบกว่าเดิมอีก

  เขาลืมคิดว่าทุกอย่างมีกฎของการสะท้อนกับเพราะคนเป็นสิ่งที่มีชีวิต การศึกษาแบบนิวตันที่คิดแยกส่วนต่างๆ มีโทษเหมือนกัน ถ้าคิดแบบภาพรวมแบบชาร์ ดาวิน คงคิดได้ดีกว่านี้
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

การตรวจสอบว่าหุ้นตัวหนึ่ง "ดี" หรือ "ไม่ดี"
เราจะวิพากษ์อย่างไรก็ได้ ตราบใดที่มันไม่อยู่ในพอร์ตของเรา
 
        ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
   นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง
พระราชาองค์นี้ มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก
และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่
แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก
พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า
คนสนิทกลับตอบว่า
ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่านี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า
ดี หรือไม่ดียากที่จะบอก
พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก
วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมากแล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าพระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว
แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น
พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น
คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ
แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด
จึงรีบปลดปล่อยพระราชา เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไม่เหมาะที่จะนำไป
บูชายัญ พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด
และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า
ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก
เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์
พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน
พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา แต่พระราชากลับประหลาดใจ
เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธ
พระองค์เลย ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ
เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่า
และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่


เราปราศจาก "อคติ"
แต่มันคนละประเด็นกับ หุ้นตัวนั้นจะดีจริง ๆ หรือไม่
อคตินี้ควรถูกตระหนักรู้เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์
a ) ว่าเราวิเคราะห์ด้วย อคติ
b ) หรือเราวิเคราะห์โดยปราศจาก อคติ
ประเด็นคือ a กับ b ได้ผลลัพธ์เหมือนกันสมมุติผลลัพธ์คือ c และเราควรจะลงมือทำ x ให้เกิด c ขึ้น
แต่ อคติ จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เราทำ x ทั้ง ๆ ที่เราต้องการ c
ใช่หรือไม่ครับ

     อะไรถึงเป็นไปได้ทั้งนั้น  วิธีคิด คือ หาทางออกเอาไว้ คิดล่วงหน้าไว้สองสามขั้นเสมอ
  เราต้องยอมรับว่า ในณะที่เรามองสิ่งต่างๆ ทุกคนล้วนมีความเชื่อ ตัวเราเองก็มี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเสมอไป  การคิดไปล่วงหน้ากับความบกพร่องเหล่านี้ต้องเอาความคิด invert เข้าใช้ด้วยตลอด  โดยพื้นฐาน ความเชื่อเกี่ยวกับโลกเป็นสิ่งที่บิดเบือน แม้กระทั่งตังเราเอง ถ้าไม่ระวัง บางครั้งก็บิดเบือนหรือ เรายอมให้บิดเบือนเอง  ฝึกมีสติเฝ้ามองอารมณ์ของเรา  ดูมีผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างไรบ้าง
 
   
แต่ไม่ได้ยืนยันว่า x จะเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำเพราะมันคนละประเด็นกัน และไม่ได้ยืนยันว่า c นั้นถูกต้อง

     โลกการเงินเป็นโลกแห่งการเดิมพันด้วยความเสี่ยง เราต้องจัดการกับความเสี่ยงตลอดเวลา ทำอย่างไรให้อยู่รอดให้ได้ วางแผนเผื่อทางหนีทีไล่ตลอด ตลาดหุ้นไม่ใช่ที่สำหรับคนที่ไม่มีความอดทนต่อความกำกวม ความขัดแย้งต่างๆ ความไร้ระเบียบ ความหยุ่งเหยิง ไม่ใช่ที่สำหรับคนที่ต้องการความแน่นอนในชีวิต ถึงรู้จักความไม่แน่นอน ก็ไม่ใช่ว่าจะเทรดได้  ยอมรับมันมากขนาดไหน  ทั้งยังต้องรู้จักอาการกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกด้วย   ตลาดหุ้นล้วนอยู่เหนือการควบคลุมทั้งสิ้น คนที่ไม่มีความสบายใจกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายต้องไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า

    ใจแบบ reflexivity  คือ ใจที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ใจที่ไร้ใจ ไม่ใช่เป็นก้อนหิน แต่เป็นใจที่ไม่จดจ่อกับสิ่งใด  ถ้าใจยังคิดจะไร้ใจแสดงว่ายังยึดติดอยู๋ตลอดเวลา  ผมอยากจะบอกว่า มาผิดทางแล้ว  หรือมาถูกทางแต่หาทางไปต่อไม่เจอ ความจริงคิอถ้าเราคิดหา reflexivirty ในทุกสิ่ง เราก็ยังยึดติดอยู่ดี

    การฝึกความคิด reflexivity ให้เป็นหนึ่งเดียวกับใจเรา สภาพอย่างนั้นจึงเรียกว่า ไร้ใจ คิดที่จะไม่คิด ก็ยังเป็นความคิดอยู่ดี  ทำอะไรโดยที่ไม่ต้องยึดติดจึงถือเป็นยอดคน
ดั่งสายน้ำ
Verified User
โพสต์: 19
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่นำมาให้อ่านค่ะ
มีข้อสงสัยที่ไม่แน่ใจว่าการ invert เป็นเช่นเหตุการณ์นี้ไหม
การลงทุนในหุ้น เมื่อเราได้ทำการซื้อหุ้นแล้วและเราคาดหวังว่าหุ้นจะต้องขึ้น
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นหุ้นของเราลง  แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งความหวังว่าหุ้น
ของเราจะต้องขึ้น เมื่อนั้นหุ้นเราจะขึ้น
อยากทราบว่าความรู้สึกที่เราไม่ได้ตั้งความหวังคือเป็นการที่เรามองตามความเป็นจริงในสิ่งที่เห็น ถือว่าเป็นการ invert หรือไม่
ขอบคุณค่ะ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

อยากทราบว่าความรู้สึกที่เราไม่ได้ตั้งความหวังคือเป็นการที่เรามองตามความเป็นจริงในสิ่งที่เห็น ถือว่าเป็นการ invert หรือไม่ ?

 อธิบายอย่างไรก็ไม่ชัดเท่ากับเรื่องข้างล่าง

ชายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อ ปรึกษาว่าลุงเป็นโรคหัวใจ มีอะไรมาทำให้ตกใจไม่ได้ หัวใจจะวายได้ง่าย ๆ ปัญหาก็คือเมื่อเช้าเขาไปตรวจล็อตเตอรี่ให้ลุง ปรากฏว่าลุงถูกรางวัลที่ ๑ แต่ยังไม่รู้ ชายคนนี้กลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ ลุงจะดีใจจนหัวใจวายตายไปดื้อ ๆ จึงอยากให้หลวงพ่อช่วยบอกเรื่องนี้ให้ลุงหน่อย เชื่อว่าหลวงพ่อรู้วิธีที่จะเตรียมใจให้ลุงตั้งสติก่อนได้ฟังข่าวดี
ได้เลย ไม่ยากดอก หลวงพ่อตอบ
วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาหลวงพ่อ
โยมตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ? หลวงพ่อเริ่มบทสนทนา
๗๘ ปีแล้วครับ
โยมก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว คงรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีความแน่นอน มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ ควรปล่อยวาง อย่าไปยินดียินร้ายกับอะไรทั้งปวง
เข้าใจครับ ผมก็พยายามทำใจอย่างนี้อยู่
ดีแล้ว ถ้าโยมเข้าใจ อาตมาก็อยากให้โยมตั้งสติให้ดี โยมรู้ไหมว่าโยมถูกรางวัลที่ ๑
จริงเหรอครับ หลวงพ่อ นับว่าเป็นบุญของผม ผมตั้งใจว่าก่อนตาย อยากจะทำบุญสร้างวัดสักครั้ง ถ้าได้เงินมา ผมจะถวา!!!ยให้หลวงพ่อสร้างโบสถ์ ๒ ล้าน ที่เหลือผมจะ....อ้าวหลวงพ่อ..

    ปรากฏว่าหลวงพ่อเป็นลมแน่นิ่งไปแล้ว!!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบพระคุณสำหรับปัญญาครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
dantedragon007
Verified User
โพสต์: 99
ผู้ติดตาม: 0

ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

[quote="humdrum"]อยากทราบว่าความรู้สึกที่เราไม่ได้ตั้งความหวังคือเป็นการที่เรามองตามความเป็นจริงในสิ่งที่เห็น ถือว่าเป็นการ invert หรือไม่ ?
วรันศ์ บัฟเฟต
Verified User
โพสต์: 1679
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ผมคิดว่าท่านผู้เขียนและอ่านหลายๆท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่จริงๆแล้ว ทั้งหมดที่อยู่ในนัั้นมันมีชื่อศาสตร์ของมันมาสักพักแล้ว

เรียกว่า non-dualism ครับ

art ของการใช้ heightened awareness จับจิตตัวเอง ทุกขณะเสี้ยววิ..............

ผมประสบการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กับตัวเอง 3 ปีที่แล้วและเปลี่ยนชีวิตผมอย่างสิ้นเชิง

และถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่เคยเลิกที่จะเสาะหา source ของ hidden human potential และผมได้ค้นพบว่าสิ่งนี้เป็นแค่มิตินึง ที่ "vital' ต่อการ operate at maximum efficiency... ยังมีสิ่งอื่นอีก 3 มิติที่สำคัญ ..............แต่ด้านที่ผู้เขียนพูดถึงนั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (แต่จริงๆในความคิดผมมันยังเป็น subset ของ ศาสตร์ของการ master ตรรกะ และ อารมณ์) ถ้าจะให้เปรียบ อีก 3 มิตินั้นให้ power กับเรา แต่มิตินี้ให้ control.....อาจจะเคยได้ยิน power is nothing without control....

ที่เขียนไปเหมือนผมจะไม่ได้อธิบายทุกอย่าง ใจจริงไม่ได้กะกั๊กความรู้หรืออะไร แต่ผมตั้งเป้ากับตัวเองไว้ว่า ผมต้อง test validitiy ของ mental framework ของผม... และนั้นคือด้านเงิน......วันนึงที่ผม ประสบความสำเร็จ คือมีเงินแบบนับไม่ถ้วนเช่น 10000 ล้าน ผมจะนำ framework ทั้งหมด + หลักฐานที่ validate ว่ามันใช้งานได้จริงออกไปสู่โลก.... เพราะผมเริ่มจาก 0....................และ 0 จริงๆ............ ผมคิดว่ามันมีเหตุผลกับการที่ผมเริ่มจาก 0 และค้นพบสิ่งเหล่านี้ในเวลาเดียวกัน มันเป็นการ validate mental framework ที่ดีที่สุด

การที่ผมทดสอบกับเงินนั้น อาจจะมีคน question เพราะทุกคนก็รู้ ว่า เงินไม่สิ่งที่สูงที่สุด ผมนั้นก็รู้ แต่อีก 99% ของคนไม่รู้และยังติดปัญหาที่มาจากเรื่อง "เงิน" ล้วนๆ............... ผมยังรอคอยการมาถึงของวันนั้นอยู่เช่นกัน

ปกติผมนั้นไม่ใช่ประเภทที่แบ่งปันประสบการณ์เท่าไหร่ ดังนั้นอยากจะขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่เขียนขึ้นมาครับ
วรันศ์ บัฟเฟต
Verified User
โพสต์: 1679
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

อยากจะฝากต่ออีกนิดนะครับ สิ่งเหล่านี้สถิตอยู่ในทุกเสี้ยวจังหวะของชีวิต ไม่อยากให้มองว่า มันคือเรื่องของการลงทุนเท่านั้น จะได้นำมันไปใช้ให้เป็นประโยช์นมากที่สุด ทุกอย่างในโลกนี้ relative กันหมดครับ การเข้าซื้อหุ้นตัวนึงกับการกินข้าวเช้ามื้อนึง

ไม่ต่างกัน
โพสต์โพสต์