Value Way ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 2553
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
วิลเลี่ยม โอนิล
วิลเลียม โอนิลเริ่มงานเป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ในปี 1958 สามปีที่เขาทำงานกับบริษัทนี้เขาได้เรียนรู้การบริหารกองทุนรวมที่เด่นๆในขณะนั้น เขาได้ค้นพบว่ากองทุนเหล่านี้ประสบผลสำเร็จก็เพราะว่าเลือกซื้อหุ้นที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ หรือทางเทคนิคอลเรียกว่า breaking out หุ้นหลายตัวที่มีลักษณะแบบนี้มักจะปรับตัวสูงขึ้นต่อมากกว่า100%
โอนิลได้เลียนแบบการลงทุนแบบนี้ ภายในหนึ่งปีผ่านไปเขาสามารถเพิ่มเงินของเขาจาก 5,000 เหรียญเป็น 200,000 เหรียญ เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่จัดว่ามีผลการดำเนินงานดีเด่นในยุค 60เลยทีเดียว เขาเป็นผู้บุกเบิกการเลือกหุ้นโดยอาศัยข้อมูลทางสถิติ และบริษัทของเขาก็ยังคงให้บริการข้อมูลเหล่านี้แก่ผู้ลงทุนจนทุกวันนี้
ผลการดำเนินงานของเขามีทั้งขึ้นและลงโดยเฉพาะในช่วงที่หลังการปรับตัวที่ดีของ ตลาดหุ้นในช่วงยุค 60 ผลตอบแทนที่เขาได้รับจะอยู่ในอัตราเฉลี่ย 40% ในรอบสิบปี หุ้นที่เขาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นหุ้นบริษัทยาซินเท็ค (SYNTEX) บริษัทนี้เป็นบริษัทแรกที่ผลิตยาคุมกำเนิด ขณะนั้นบริษัทประกาศผลกำไรโตขึ้นมาถึง 300% ราคาหุ้นปรับตัวจาก 100 เหรียญ เป็น 550 เหรียญ ทำให้เขามีกำไรมากพอที่จะเริ่มธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทที่ปรึกษาของเขาเองตั้งอยู่ที่ลอสเองเจอริส อเมริกา
วิธีการและแนวทางการลงทุนของเขาคล้ายๆกับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือก หุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลงเขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้
L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน
I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ
M = ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นตัดขาดทุนเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม และให้ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด ในกรณีที่หุ้นที่ซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บหุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรเช่นเดียวกัน
ที่มา: www.Thaivi.com
วิลเลี่ยมโอนีล:ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
วิลเลี่ยมโอนีล:ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"