โค้ด: เลือกทั้งหมด
นักลงทุนส่วนใหญ่นั้น เวลาจะเลือกหุ้นลงทุน พวกเขามักจะต้องพิจารณาดูว่าหุ้นตัวนั้นจะมีเรื่องราวหรือผลประกอบการดีอะไร ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ บางทีเป็นรายวันหรือรายเดือน จำนวนมากดูว่าผลประกอบการรายไตรมาศที่กำลังจะประกาศนั้นรายได้และกำไรจะโตแค่ไหน พวกเขาคิดว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับประเด็นเหล่านั้นมากที่สุด นักลงทุน “ขาใหญ่” จำนวนมากนั้นต่างก็มักจะแสวงหาข้อมูล “Inside” หรือข้อมูลเฉพาะจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ถ้ารู้ว่าผลประกอบการจะออกมาดีมาก พวกเขาก็จะเข้ากวาดซื้อหุ้นจำนวนมากก่อนที่ผลประกอบการที่โดดเด่นจะออกมาจริง ซึ่งก็มักจะส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วและมีคนเข้ามา “เล่น” หรือซื้อขายกันอย่างหนัก คนที่ซื้อหุ้นไว้ก่อนก็สามารถขายหุ้นทำกำไรอย่างงดงาม ส่วนคนที่เข้ามาทีหลังนั้นมักจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงลิ่ว บางคนก็กำไรบ้าง บางคนก็ขาดทุนบ้าง บางคนขาดทุนอย่างหนัก น้อยคนจะรวยด้วยวิธีนี้ และนี่ก็คือ “เกมการเล่นหุ้น” ที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยแล้วแย่มากในระยะยาว แต่คนก็เล่นกัน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความ “บันเทิง” ที่คนเล่นจะต้อง “จ่ายตังค์” มันไม่ใช่การลงทุนที่จะ “ทำเงิน”
การที่จะลงทุนระยะยาวและหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีนั้น เราต้องไม่เลือกหุ้นด้วยวิธีการแบบนั้น เราต้องเลือกหุ้นที่ในระยะยาวแล้วจะให้ผลตอบแทนที่ดีแม้ว่าบางครั้งในระยะสั้นมันอาจจะดีหรือไม่ก็ได้ สูตรหรือปัจจัยหรือ “มิติ” ใหญ่ ๆ ของหุ้นที่จะช่วยให้เรารู้จักและเลือกหุ้นลงทุนที่ถูกต้องนั้นผมคิดว่ามีอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ ๆ ซึ่งถ้าเรากำหนดได้ถูกต้องแล้วความผิดพลาดก็จะน้อยลง นั่นก็คือ มิติแรกผมเรียกว่า “คุณภาพ” ของกิจการหรือบริษัท มิติที่สองก็คือเรื่องของการเติบโตโดยเฉพาะด้านของยอดขายและกำไรของบริษัท และสุดท้ายก็คือมิติทางด้านของราคาหุ้น
ผมพูดมาบ่อยครั้งถึงนิยามหรือความหมายของ “คุณภาพ” แต่ก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่ามันหมายถึงความสามารถในการขายสินค้าและการทำกำไรของบริษัท คุณภาพที่ดีหมายความว่ามันแข่งขันกับสินค้าของคู่แข่งได้ดี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เช่นเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมมากนัก ผลการดำเนินงานของบริษัทปีต่อปีมีความมั่นคงสูงผันผวนน้อย บริษัทมี “ความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง” ได้ค่อนข้างมาก นี่ก็เป็นเพียงบางส่วนของคำอธิบายเรื่องคุณภาพ ส่วนในด้านของราคาหุ้นเองนั้น คำนิยามมักจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ด้วย บางช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี คำว่าหุ้นถูกอาจจะหมายความว่าค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า และหุ้นแพงคือเกิน 20 เท่า ในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ในเกณฑ์สูง หุ้นถูกอาจจะหมายถึง PE ไม่เกิน 15 เท่า และหุ้นแพงอาจจะขึ้นไปถึงหุ้นที่มี PE เกิน 30 เท่า
หุ้นที่เหมาะที่จะลงทุนระยะยาวนั้น จะต้องมีมิติที่ดีอย่างน้อย 2 มิตินั่นก็คือ 1) อาจจะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีและเติบโตซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น “Super Company” แต่อาจจะไม่ใช่ “Super Stock” เพราะราคาหุ้นไม่ถูก การลงทุนในหุ้นแบบนี้ก็อาจจะให้ผลตอบแทนพอใช้หากราคาหุ้นไม่สูงเกินไปจนรับไม่ได้ หรือ 2) อาจจะเป็นหุ้นที่คุณภาพดีและหุ้นราคาถูกแต่ไม่เติบโตซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น “หุ้นแข็งแกร่ง” ซึ่งกรณีแบบนี้ถ้าบริษัทจ่ายปันผลดีก็อาจจะคุ้มที่จะลงทุนกลายเป็น “หุ้นปันผล” หรือ 3) อาจจะเป็นหุ้นที่เติบโตและราคาหุ้นถูกแต่เป็นหุ้นที่มีคุณภาพไม่ดีอยู่ในธุรกิจโภคภัณฑ์ที่บริษัทไม่สามารถควบคุมอะไรได้มากนัก นี่ก็อาจจะเป็น “หุ้นวัฏจักร” ที่สามารถลงทุนได้แต่ก็ต้องดูจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายหุ้นให้ถูกต้อง
หุ้นที่มีดีอยู่เพียงมิติเดียวนั้น การเข้าไปลงทุนอาจจะเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก เพราะจังหวะที่ดีอาจจะสั้นมาก ตัวอย่างเช่น 1) หุ้นที่มีกำไรโตขึ้นแรงเพราะปัจจัยชั่วคราว เช่นฟื้นจากการขาดทุนหนักเป็นหุ้น “Turnaround” หรือ “หุ้นฟื้นตัว” ที่อาจจะไม่ได้ฟื้นจริง ๆ การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีราคาแพงและคุณภาพไม่ดีแบบนี้ก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้ง่าย หรือ 2) หุ้นที่มีราคาถูกแต่คุณภาพแย่และไม่โตนั้น เราเรียกว่าหุ้น “ตะวันตกดิน” หรือเป็นหุ้นของบริษัทที่สินค้าหมดความสามารถในการแข่งขันหรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่จะค่อย ๆ “ตาย” ถึงแม้ว่าหุ้นจะมีราคาถูก การเข้าไปลงทุนก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ และ 3) หุ้นที่คุณภาพดีอย่างเดียวแต่กิจการไม่โตและราคาหุ้นก็ไม่ถูก นี่ก็เป็นหุ้นที่เรียกว่า “หุ้นโตช้า” ซึ่งคนลงทุนในระยะยาวก็มักจะไม่ได้อะไรตอบแทนเป็นเรื่องเป็นราว ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นตลาดหมี ราคาหุ้นแบบนี้ก็อาจจะลดลงตามไปด้วย
สุดท้ายก็คือหุ้นที่มีดีครบทั้ง 3 มิติ นั่นก็คือบริษัทมีคุณภาพดีเยี่ยม มีการเติบโตของธุรกิจเพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในเมกาเทรนด์ และราคาหุ้นก็ไม่แพง เราเรียกหุ้นแบบนี้ว่า “ซุปเปอร์สต็อก” การลงทุนในหุ้นแบบนี้ในระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก บางทีถือไว้ 10 ปี ราคาหุ้นมักจะขึ้นมาเกิน 10 เท่าตัว โดยที่เราไม่ต้องและไม่ควรทำอะไรกับมัน อย่างไรก็ตาม การที่จะพบหุ้นแบบนี้ก็ไม่ใช่ง่ายโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นโดยรวมเป็นตลาดกระทิง ในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักในบางครั้งเราก็อาจจะพบว่าการหาหุ้นที่มีครบทั้ง 3 มิติทำได้ง่ายขึ้นมาก เหตุผลก็เพราะว่ามิติทางด้านราคาของหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นมากนั่นคือ หุ้นเกือบทั้งตลาดอาจจะกลายเป็น “หุ้นถูก” และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม VI พันธุ์แท้จริง ๆ อย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ จึง “รัก” ช่วงเวลาที่หุ้นตกหนักมากกว่าช่วงที่หุ้นบูมหนัก