เลือกหุ้น 3 มิติ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

เลือกหุ้น 3 มิติ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    นักลงทุนส่วนใหญ่นั้น  เวลาจะเลือกหุ้นลงทุน  พวกเขามักจะต้องพิจารณาดูว่าหุ้นตัวนั้นจะมีเรื่องราวหรือผลประกอบการดีอะไร ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ  บางทีเป็นรายวันหรือรายเดือน  จำนวนมากดูว่าผลประกอบการรายไตรมาศที่กำลังจะประกาศนั้นรายได้และกำไรจะโตแค่ไหน   พวกเขาคิดว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับประเด็นเหล่านั้นมากที่สุด  นักลงทุน “ขาใหญ่” จำนวนมากนั้นต่างก็มักจะแสวงหาข้อมูล  “Inside” หรือข้อมูลเฉพาะจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท  ถ้ารู้ว่าผลประกอบการจะออกมาดีมาก  พวกเขาก็จะเข้ากวาดซื้อหุ้นจำนวนมากก่อนที่ผลประกอบการที่โดดเด่นจะออกมาจริง   ซึ่งก็มักจะส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วและมีคนเข้ามา  “เล่น”  หรือซื้อขายกันอย่างหนัก   คนที่ซื้อหุ้นไว้ก่อนก็สามารถขายหุ้นทำกำไรอย่างงดงาม  ส่วนคนที่เข้ามาทีหลังนั้นมักจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงลิ่ว  บางคนก็กำไรบ้าง  บางคนก็ขาดทุนบ้าง  บางคนขาดทุนอย่างหนัก  น้อยคนจะรวยด้วยวิธีนี้  และนี่ก็คือ “เกมการเล่นหุ้น” ที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยแล้วแย่มากในระยะยาว   แต่คนก็เล่นกัน  ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความ “บันเทิง” ที่คนเล่นจะต้อง  “จ่ายตังค์” มันไม่ใช่การลงทุนที่จะ “ทำเงิน”

    การที่จะลงทุนระยะยาวและหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีนั้น  เราต้องไม่เลือกหุ้นด้วยวิธีการแบบนั้น  เราต้องเลือกหุ้นที่ในระยะยาวแล้วจะให้ผลตอบแทนที่ดีแม้ว่าบางครั้งในระยะสั้นมันอาจจะดีหรือไม่ก็ได้  สูตรหรือปัจจัยหรือ  “มิติ” ใหญ่ ๆ  ของหุ้นที่จะช่วยให้เรารู้จักและเลือกหุ้นลงทุนที่ถูกต้องนั้นผมคิดว่ามีอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ ๆ  ซึ่งถ้าเรากำหนดได้ถูกต้องแล้วความผิดพลาดก็จะน้อยลง  นั่นก็คือ  มิติแรกผมเรียกว่า  “คุณภาพ” ของกิจการหรือบริษัท  มิติที่สองก็คือเรื่องของการเติบโตโดยเฉพาะด้านของยอดขายและกำไรของบริษัท  และสุดท้ายก็คือมิติทางด้านของราคาหุ้น

    ผมพูดมาบ่อยครั้งถึงนิยามหรือความหมายของ “คุณภาพ” แต่ก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่ามันหมายถึงความสามารถในการขายสินค้าและการทำกำไรของบริษัท  คุณภาพที่ดีหมายความว่ามันแข่งขันกับสินค้าของคู่แข่งได้ดี  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เช่นเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมมากนัก  ผลการดำเนินงานของบริษัทปีต่อปีมีความมั่นคงสูงผันผวนน้อย  บริษัทมี  “ความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง” ได้ค่อนข้างมาก  นี่ก็เป็นเพียงบางส่วนของคำอธิบายเรื่องคุณภาพ   ส่วนในด้านของราคาหุ้นเองนั้น  คำนิยามมักจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ด้วย  บางช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี  คำว่าหุ้นถูกอาจจะหมายความว่าค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า  และหุ้นแพงคือเกิน 20 เท่า  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ในเกณฑ์สูง  หุ้นถูกอาจจะหมายถึง PE ไม่เกิน 15 เท่า  และหุ้นแพงอาจจะขึ้นไปถึงหุ้นที่มี PE เกิน 30 เท่า

    หุ้นที่เหมาะที่จะลงทุนระยะยาวนั้น  จะต้องมีมิติที่ดีอย่างน้อย 2 มิตินั่นก็คือ  1) อาจจะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีและเติบโตซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น “Super Company” แต่อาจจะไม่ใช่ “Super Stock” เพราะราคาหุ้นไม่ถูก การลงทุนในหุ้นแบบนี้ก็อาจจะให้ผลตอบแทนพอใช้หากราคาหุ้นไม่สูงเกินไปจนรับไม่ได้    หรือ 2) อาจจะเป็นหุ้นที่คุณภาพดีและหุ้นราคาถูกแต่ไม่เติบโตซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น  “หุ้นแข็งแกร่ง” ซึ่งกรณีแบบนี้ถ้าบริษัทจ่ายปันผลดีก็อาจจะคุ้มที่จะลงทุนกลายเป็น “หุ้นปันผล”  หรือ 3) อาจจะเป็นหุ้นที่เติบโตและราคาหุ้นถูกแต่เป็นหุ้นที่มีคุณภาพไม่ดีอยู่ในธุรกิจโภคภัณฑ์ที่บริษัทไม่สามารถควบคุมอะไรได้มากนัก  นี่ก็อาจจะเป็น “หุ้นวัฏจักร”  ที่สามารถลงทุนได้แต่ก็ต้องดูจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายหุ้นให้ถูกต้อง

    หุ้นที่มีดีอยู่เพียงมิติเดียวนั้น  การเข้าไปลงทุนอาจจะเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก  เพราะจังหวะที่ดีอาจจะสั้นมาก  ตัวอย่างเช่น 1)  หุ้นที่มีกำไรโตขึ้นแรงเพราะปัจจัยชั่วคราว  เช่นฟื้นจากการขาดทุนหนักเป็นหุ้น  “Turnaround”  หรือ “หุ้นฟื้นตัว”  ที่อาจจะไม่ได้ฟื้นจริง ๆ   การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีราคาแพงและคุณภาพไม่ดีแบบนี้ก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้ง่าย  หรือ 2)  หุ้นที่มีราคาถูกแต่คุณภาพแย่และไม่โตนั้น  เราเรียกว่าหุ้น “ตะวันตกดิน”  หรือเป็นหุ้นของบริษัทที่สินค้าหมดความสามารถในการแข่งขันหรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่จะค่อย ๆ  “ตาย”  ถึงแม้ว่าหุ้นจะมีราคาถูก  การเข้าไปลงทุนก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ  และ 3)  หุ้นที่คุณภาพดีอย่างเดียวแต่กิจการไม่โตและราคาหุ้นก็ไม่ถูก  นี่ก็เป็นหุ้นที่เรียกว่า “หุ้นโตช้า” ซึ่งคนลงทุนในระยะยาวก็มักจะไม่ได้อะไรตอบแทนเป็นเรื่องเป็นราว  ยิ่งไปกว่านั้น  ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นตลาดหมี  ราคาหุ้นแบบนี้ก็อาจจะลดลงตามไปด้วย

    สุดท้ายก็คือหุ้นที่มีดีครบทั้ง 3 มิติ  นั่นก็คือบริษัทมีคุณภาพดีเยี่ยม  มีการเติบโตของธุรกิจเพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในเมกาเทรนด์  และราคาหุ้นก็ไม่แพง  เราเรียกหุ้นแบบนี้ว่า “ซุปเปอร์สต็อก”  การลงทุนในหุ้นแบบนี้ในระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก  บางทีถือไว้ 10 ปี ราคาหุ้นมักจะขึ้นมาเกิน 10 เท่าตัว  โดยที่เราไม่ต้องและไม่ควรทำอะไรกับมัน  อย่างไรก็ตาม  การที่จะพบหุ้นแบบนี้ก็ไม่ใช่ง่ายโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นโดยรวมเป็นตลาดกระทิง  ในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักในบางครั้งเราก็อาจจะพบว่าการหาหุ้นที่มีครบทั้ง 3 มิติทำได้ง่ายขึ้นมาก  เหตุผลก็เพราะว่ามิติทางด้านราคาของหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นมากนั่นคือ  หุ้นเกือบทั้งตลาดอาจจะกลายเป็น “หุ้นถูก”  และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม VI พันธุ์แท้จริง ๆ  อย่างวอเร็น บัฟเฟตต์  จึง “รัก” ช่วงเวลาที่หุ้นตกหนักมากกว่าช่วงที่หุ้นบูมหนัก
[/size]
ภูดิศ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 130
ผู้ติดตาม: 0

Re: เลือกหุ้น 3 มิติ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

กำลังเซ็งๆ หุ้นที่ถูกใจไม่ลงมาให้ซื้อซะที บทความนี้ช่วยดึงสติกลับมาได้ดีเลยครับ

เฝ้ารอต่อไป
"Everything that humans can imagine is a possibility in reality" Physicist Willie Gallon.
โพสต์โพสต์