อาหารเพื่อมวลชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

อาหารเพื่อมวลชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    การ “ปฏิวัติ” ของรถไฟฟ้าที่จะเข้ามาแทนที่รถยนต์นั้น  ผมคิดว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อวิถีชีวิตของคนจำนวนมากทั้งที่เป็นผู้ผลิตและใช้รถยนต์  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  จำนวนคนที่ใช้ในการผลิตรถยนต์จะลดลงมากเนื่องจากการผลิตรถไฟฟ้าใช้คนน้อยกว่ามาก  เหตุผลก็เพราะแบตเตอรี่ที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญมากและเป็นต้นทุนที่อาจจะสูงที่สุดนั้นคงใช้คนน้อยมาก  เช่นเดียวกัน  มันไม่ต้องมีชิ้นส่วนของเครื่องยนต์และที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์มากมายที่จะต้องทำ  ทั้งหมดนั้นจะทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ซึ่งรวมถึงผู้ค้นหา  ผลิตและจำหน่ายน้ำมันอยู่ในสถานการณ์ที่ “ลำบาก”  ในด้านของผู้ใช้นั้น  พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากรถไฟฟ้า  ไล่ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายที่จะถูกลงมากเนื่องจากต้นทุนค่าพลังงานที่จะมาจากกระแสไฟฟ้าที่ถูกกว่าค่าน้ำมันมากและค่าซ่อมและดูแลรักษารถที่จะถูกลงเนื่องจากมันไม่ใคร่มีชิ้นส่วนที่จะต้องหล่อลื่นและสึกหรอเหมือนรถยนต์  มาถึงเรื่องของการ  “ขับ” ที่จะ  “ไม่ใช้คน” เมื่อการพัฒนาทางด้านของกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  พร้อมที่จะรองรับ  ซึ่งนั่นจะทำให้ “ต้นทุน” ในการเดินทางลดลงมหาศาล  และสุดท้าย  ค่าประกันภัยเกี่ยวกับรถไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้เองก็จะถูกลงเนื่องจากอุบัติเหตุก็จะลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน

    นอกจากรถยนต์แล้ว  ภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่พอ ๆ กันและตกเป็นเป้าหมายที่จะถูก  “ปฏิวัติ”  โดยความก้าวหน้าของ  “เทคโนโลยี 4.0”  ผมคิดว่าคืออาหาร  เหตุผลก็เพราะว่าอาหารนั้นเป็นกิจกรรมที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกสังคมและใช้คนมากมายโดยเฉพาะในการผลิตอาหารสำเร็จที่พร้อมจะรับประทาน  การใช้ระบบอัตโนมัติยังทำได้ยากเนื่องจากคนต้องการกินอาหารที่สดและใหม่ทุก 4-5 ชั่วโมง   อย่างไรก็ตาม  ความพยายามที่จะ “แก้ปัญหา” เหล่านั้นก็ดำเนินมาตลอด  การผลิตทางด้านวัตถุดิบที่เป็นอาหารสดนั้นมีความก้าวหน้ามากมายต่อเนื่องมานาน  ความสามารถในการประมง  การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์   รวมถึงการจัดเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมใช้ในการผลิตอาหารสำเร็จ  ต่างก็มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ  จนทำให้ต้นทุนนั้นลดลงมาจนถึงจุดเกือบจะต่ำสุด  อย่างไรก็ตาม  การผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสำเร็จก็ยังมีต้นทุนที่สูงและใช้คนจำนวนมาก  ธุรกิจภัตตาคารนั้นยังต้องอาศัยคนจำนวนมากในการปรุงและบริการแม้ว่าธุรกิจ  “อาหารจานด่วน”  จะลดต้นทุนส่วนนี้ลงไปบ้าง  แต่โดยรวมแล้วอาหารก็ยังใช้คนมากอยู่ดี   และสิ่งที่คนยังไม่ตระหนักที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ   “ต้นทุน” ของคนที่ปรุงอาหารกินเองที่ต้องเสียเวลาและแรงงานในการทำ  ซึ่ง “ต้นทุน” ส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตาม “ค่าแรง” ที่เพิ่มขึ้นมาตลอด

    ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการผลิตและเก็บรักษารวมถึงการจัดจำหน่ายอาหารที่ “สดใหม่” พร้อมกินตลอดเวลานั้นกำลังก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่ง  หลักฐานที่ผมเห็นนั้นรวมถึงการที่ได้เห็นโรงงานผลิตเกี๊ยวซ่าระบบอัตโนมัติในประเทศจีนที่แทบไม่ต้องใช้คนเลยและมีกำลังการผลิตมหาศาลที่มีคนโพสต์ในยูทูปเร็ว ๆ นี้   ผมคิดว่าต้นทุนต่อหน่วยในการผลิตน่าจะต่ำกว่าการผลิตแบบเดิมมากและนี่จะเป็นตัวอย่างที่จะมีการสร้างโรงงานผลิตอาหารสำเร็จเมนูอื่น ๆ  ต่อ ๆ ไป    แน่นอนว่าไม่ใช่อาหารทุกเมนูที่จะทำแบบนั้นได้เนื่องจากลักษณะของอาหารที่มีความหลากหลายมาก  แต่มันก็ทำให้อาหารเหล่านั้นถูกลงเมื่อเทียบกับอาหารเมนูอื่นและนั่นทำให้อาหารที่ผลิตเป็นแมสเหล่านั้นขายได้ดีขึ้นและคนที่กินได้ประโยชน์ชัดเจนเช่นเดียวกับบริษัทที่ผลิตอาหารด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ที่จะทำกำไรได้มากขึ้น

    เช่นเดียวกับโรงงานเกี๊ยวซ่าแต่เป็นเรื่องของวัตถุดิบก็คือ “โรงงานเลี้ยงปู” ที่สิงคโปร์ที่มีคนโพสต์ในยูทูปเร็ว ๆ  นี้   นี่คือการเลี้ยงปูที่มีราคาสูงใน  “คอนโด” ที่เป็นห้องเล็ก ๆ  ที่จะมีปูแต่ละตัวอาศัยอยู่  ปูเหล่านี้จะถูกเลี้ยงในระบบที่มีการควบคุมทุกอย่างโดยเฉพาะอาหารที่จะใช้เลี้ยงปูอย่างมีประสิทธิภาพสูง  และมีจำนวนที่แน่นอนสม่ำเสมอ   ทั้งหมดนี้ใช้คนน้อยมากและเป็นคนที่ทำงานในสถานที่ที่น่าอภิรมย์เมื่อเทียบกับชาวประมงที่ต้องอยู่บนท้องทะเลเป็นเวลานาน

    การเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิตอาหารไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัตถุดิบและอาหารสำเร็จน่าจะดำเนินไปเรื่อย ๆ  ในอัตราเร่งในยุคปัจจุบัน  เหตุผลก็เพราะว่าต้นทุนของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั้นลดลงเรื่อย ๆ  อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากความก้าวหน้าด้านดิจิตอลที่เติบโตแบบก้าวกระโดด  นักคิดค้นที่ทำ  “Startup”  รวมถึงบริษัทที่พยายามเพิ่มผลกำไรโดยการคิดหาโอกาสใหม่ ๆ  ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและจำหน่ายอาหารให้กับผู้บริโภคจำนวนมากจะทำให้เกิดการ “ปฏิวัติเล็ก ๆ”  เกิดขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร  โดยเฉพาะในประเทศไทยเองนั้นผมคิดว่าช่องทางน่าจะยังเปิดกว้างมากเนื่องจากสังคมไทยเองนั้นเราเป็นประเทศที่มีวัตถุดิบด้านอาหารค่อนข้างสมบูรณ์และเป็นผู้นำของโลกประเทศหนึ่ง  กิจการที่ทำทางด้านนี้น่าจะมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์สูงในการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตที่จะลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพได้ไม่ยากนัก

    ในด้านของการผลิตอาหารสำเร็จและการจัดจำหน่ายนั้น  ในภาคของ “High End” หรืออาหารที่มีราคาแพงและบริโภคโดยคนที่มีรายได้สูงนั้น  เราคงทำอะไรไม่ได้มากและไม่คุ้มที่จะทำเนื่องจากมียอดขายจำนวนน้อยและผู้บริโภคเองไม่ได้สนใจเรื่องของราคา  แต่ในด้านของแมสหรือคนจำนวนมากที่เป็นคนชั้นกลางและเป็นคนส่วนใหญ่นั้นผมคิดว่าความต้องการกำลังถึงจุดที่พร้อมจะรับกับการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิตและการจำหน่ายแบบใหม่ ๆ  มากขึ้นมาก    เหตุผลก็เพราะว่า “ต้นทุน”  ของการทำรูปแบบเดิมนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่ต้นทุนและราคาของการผลิตและการจำหน่ายรูปแบบใหม่ต่ำลงเรื่อย ๆ

    รูปแบบเดิมที่คนส่วนใหญ่ยังทำอาหารกินที่บ้าน  หรือรูปแบบที่กินตามร้านอาหารขนาดเล็ก  “แถวบ้าน”  ซึ่งปรุงอาหารโดย “แม่ครัว”  นั้น  เมื่อสมาชิกของครอบครัวที่จะกินน้อยลงมากมักจะไม่เกิน 3-4 คน  จำนวนมากนั้นเพียง 1- 2 คน จะเป็นอะไรที่  “ไม่คุ้ม”  มากขึ้นทุกที  เช่นเดียวกัน  ร้านอาหาร “ตามสั่ง”  เล็ก ๆ  แถวบ้านเองนั้น  ด้วยต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ  ประกอบกับการซื้อวัตถุดิบจำนวนน้อยทำให้ต้นทุนรวมต่อหน่วยของอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเทียบกับระบบการผลิตและจำหน่ายอาหารที่เป็นระบบ  “อัตโนมัติ” และขายให้แก่คนจำนวนมาก  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  กิจการขนาดใหญ่มี  Economies of Scale หรือมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลงมากเมื่อเทียบกับระบบการผลิตและจัดจำหน่ายอาหารรูปแบบเก่า  ดังนั้น  ธุรกิจก็จะเฟื่องฟูขึ้นเนื่องจากสามารถดึงดูดคนให้หันมากินอาหารของตนแทนที่จะกินที่ร้านเล็ก ๆ  หรือทำอาหารกินเองทุกวัน

    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า “อาหารแพ็ค” จาก “โรงงาน” นั้นสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นก็คือการที่อาหารเหล่านั้นมีราคาลดลงเหลือเพียงจานหรือกล่องละ 30-40 บาท ในขณะที่อาหารตามร้านแถวบ้านก็ขายในระดับใกล้เคียงกันและมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นไปอีก  รวมถึงการที่อาหารแพ็คมีรสชาติและ “คุณภาพ” ที่ดีกว่าในด้านของความสะอาดถูกหลักอนามัยและก็ไม่ต่างในด้านของ “ความสด”  มากนักในขณะที่สามารถกินในเวลาไหนก็ได้และ “เสริพ” ได้ทันที  ทำให้อาหารเหล่านั้นมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ผมเองคิดว่านอกจากธุรกิจ “อาหารแพ็ค”  แล้ว  การผลิตและให้บริการอาหารแก่คนจำนวนมากด้วยรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพดีจะถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และคนหรือบริษัทที่ทำสำเร็จก็จะมีกำไรที่ดีเช่นเดียวกับผู้บริโภคที่จะได้ “ผลตอบแทน” ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับระบบเดิม  และทั้งหมดนั้นก็คือสิ่งที่ผมจับตามอง—โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนหรือกิจการที่สามารถฉกฉวยโอกาสที่จะเข้ามา  “แก้ปัญหา”  ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากในด้านของกิจกรรมการกินอาหารที่ต้องทำทุกวันวันละหลายเวลา  และเมืองไทยเองนั้นยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอแต่พร้อมที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ  ที่ดีกว่า
[/size]
RnD-VI
Verified User
โพสต์: 2187
ผู้ติดตาม: 0

Re: อาหารเพื่อมวลชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบพระคุณมากครับ :D
เราลงรายละเอียดระดับไหน + แผนการ + วินัยในการแบ่งและใช้เวลาในแต่ละวัน
wk0966
Verified User
โพสต์: 490
ผู้ติดตาม: 0

Re: อาหารเพื่อมวลชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

คิดว่า 7-11 จะเหมือนแบบที่ ญี่ปุ่นสินะครับ
“Survival of the fittest”
“รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
chode
Verified User
โพสต์: 590
ผู้ติดตาม: 0

Re: อาหารเพื่อมวลชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

การเลี้ยงปูแบบนี้เป็นการทรมานสัตว์เหมือนการเลี้ยงไก่KFC หรือไม่
โพสต์โพสต์