ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    คนที่ศึกษาและติดตามเรื่องการลงทุนผ่านสื่อต่าง ๆ  มานานก็จะพบกับ “กลยุทธ์การลงทุน”  หรือ  “เทคนิคในการลงทุน”  มากมายที่มีคน  “นำเสนอ”  หรือ  “บอกต่อ”  ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีและจะนำไปสู่  “ความสำเร็จในการลงทุน”  โดย  “อัตโนมัติ”  และบ่อยครั้งพวกเขาก็แสดงผลงานและตัวเลขย้อนหลังให้เห็น  หรือไม่ก็ยกประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำมาและได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ  จริงอยู่สิ่งที่ทำหรือกลยุทธ์ที่ใช้อาจจะไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุด  แต่มันก็ให้ผลตอบแทนที่ “ดี” และมี “ความเสี่ยงต่ำ” เสมอ  ดังนั้น  คนที่คิดหรือรู้ว่าตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการลงทุนจริง ๆ จึงสนใจที่จะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ  เหล่านั้นที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด   แต่ทั้งหมดนั้นจริงหรือไม่?  และมันมีปัญหาอะไรที่อาจจะทำให้กลยุทธ์บางอย่างนั้น  ใช้ไม่ได้จริง ๆ ในทางปฏิบัติ  ลองมาดูกลยุทธ์การลงทุนหลาย ๆ  อย่างที่เราได้ยินบ่อย ๆ

    เรื่องแรกก็คือ  การลงทุนระยะยาวในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดประมาณ 10-12% ต่อปีแบบทบต้น  ดังนั้น  ถ้าเราเลือกหุ้นไม่เป็น  เราก็ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนี  เช่น SET50 แล้วก็ถือไว้เรื่อย ๆ  ไม่ต้องทำอะไรไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  ตัวเลขย้อนหลังซัก 15 ปีของตลาดหุ้นไทยได้แสดงให้เห็นว่าคนที่ทำแบบนี้จะได้ผลตอบแทนทบต้นที่น่าประทับใจถึง ประมาณ 14% ต่อปีรวมปันผล  หรือถ้ามองย้อนหลังไป 41 ปีตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์  ผลตอบแทนรวมปันผลก็น่าจะยังอยู่ในระดับประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้น  ประเด็นก็คือ  กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้อาจจะได้ผลดีใน “อดีต”  และได้ผลตอบแทนดีเฉพาะ  “บางช่วงเวลา”  เช่น  เวลาที่ตลาดหุ้นตกต่ำมาก ๆ  และหุ้นมีราคาถูกกว่าปกติ  เช่น  เมื่อ 15 ปีที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติและตลาดหุ้นตกต่ำลงมากเหลือเพียง 200 กว่าจุดจาก 1700 กว่าจุด  การลงทุนถือกองทุนรวมอิงดัชนีระยะยาวก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมถึง 14% ต่อปีในเวลา 15 ปี  แต่ถ้าเข้าลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นสูงสุดในปี 2537 ที่ 1700 กว่าจุด  หรือประมาณ 22 ปีที่แล้ว  การลงทุนในตลาดหุ้น 22 ปีจนถึงวันนี้ก็จะได้ผลตอบแทนน้อยมากประมาณ 2% ต่อปีรวมปันผลแล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอาจจะเถียงว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว  ถ้าเราถือหุ้นระยะยาว  เช่น  อย่างน้อย 30 ปีขึ้นไป  ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยก็น่าจะค่อนข้างดี  โอกาสที่จะแย่นั้นน้อยกว่ามาก  และถึงจะแย่ก็ยังได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ  เช่น  5-6% ขึ้นไป  โดยอาจจะยกตัวเลขของตลาดหุ้นอเมริกาหรือตลาดหุ้นไทยในอดีตมาประกอบ    แต่ในความเห็นผม  ผมคิดว่า “อนาคต”  ต่อจากนี้ก็ไม่แน่ว่าพฤติกรรมผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอาจจะเหมือนเดิมในช่วง 41 ปีที่ผ่านมาหรือตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ยาวกว่านั้นมาก  เหตุผลของผมก็คือ  ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมานั้นตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วมาก  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐที่อยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจของอเมริกาโตเร็วมากเช่นเดียวกัน  ถ้าเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้โตช้าลงมาก  ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะไม่เหมือนเดิม  ดังนั้น  การลงทุนในช่วงเวลาที่หุ้นมีราคาไม่ถูกและอนาคตเศรษฐกิจอาจจะแย่ลง “อย่างถาวร”  การลงทุนระยะยาวในหุ้นก็อาจจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ดีก็ได้  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ  ญี่ปุ่น  ที่ตลาดหุ้นในระยะกว่า 25 ปีที่ผ่านมานั้น  ดัชนีตกต่ำลงจาก สามหมื่นกว่าจุดเหลือเพียงหมื่นกว่าจุด  คนที่ถือกองทุนรวมอิงดัชนีระยะยาวจะเสียหายหนักมาก

    กลยุทธ์การลงทุนเรื่องที่สองก็คือ  การลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA)  นี่คือการลงทุนระยะยาวในหุ้นหลายตัวที่เราคิดว่าดี  โดยที่เราจะเก็บสะสมหุ้นเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ  ด้วยเม็ดเงินคงที่ทุกเดือนหรือทุกปีโดยไม่สนใจราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือลง  ถ้าราคาหุ้นขึ้น  พอร์ตเราก็โตขึ้น  ไม่มีอะไรเสียหาย  ถ้าราคาลง  เราก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้นหรือได้หุ้นในราคาต่ำลง  อนาคตถ้าหุ้นขึ้นปรับตัวกลับขึ้นไป  พอร์ตเราก็จะโตเร็วขึ้น  เพราะจำนวนหุ้นเรามากขึ้นกว่าการขึ้นตามปกติ   แนวความคิดหรือกลยุทธ์นี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า  ถ้าหุ้นดี  ราคาหุ้นในระยะยาวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ดังนั้น  การทำ DCA มีแต่จะดีและปฏิบัติง่าย    แต่ประเด็นก็คือ  ถ้าหุ้นไม่ดีหรือราคาหุ้นตัวนั้นแพงเกินไปล่ะ  การซื้อหุ้นในแต่ละเดือนหรือแต่ละปีในอนาคตโดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น  โดยเฉพาะหุ้นที่ราคากำลังตกลงมาเรื่อย ๆ  ก็อาจจะไม่ให้ผลดี  ยิ่งถ้า “พื้นฐาน”  ของกิจการกำลังเปลี่ยนแปลงในทางเลวร้ายลงอย่างถาวร  การทำ DCA ก็จะกลายเป็น  “หายนะ” เหมือนกับการ  “ขุดหลุมฝังตัวเอง” แทนที่จะหนีออกจากหลุม  ดังนั้น  การทำ DCA ที่จะให้ผลดีนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าในวันที่เราซื้อหุ้นทุกครั้ง  พื้นฐานของกิจการยัง  “ดีเยี่ยม” เหมือนวันที่เราเริ่มลงทุนในหุ้นตัวนั้น

    กลยุทธ์ที่สามก็คือการขายหุ้น “ทำกำไร”  บางส่วน  เพื่อ “ลดต้นทุน” ของหุ้น  หรือ  “เอาทุนคืนมา”  ดังนั้น  ต้นทุนของหุ้นที่เราถือก็จะต่ำลง  หรือในบางกรณี  “ไม่มีต้นทุนเลย”  ดังนั้น  เราก็จะรู้สึกไม่มีแรงกดดันหรือเกิดความเครียดเวลาหุ้นตัวนั้นตกลงมา  เพราะอย่างไรเสียเราก็จะยังไม่ขาดทุน  หรือไม่มีทางขาดทุนเลยเนื่องจากเราไม่มีต้นทุนแล้ว  ที่เหลือก็มีแต่กำไรทั้งสิ้น   นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่หลายคนบอกว่าเขาทำแล้วได้ผลดีมาก  เพราะได้ขายหุ้นไปเอาทุนคืนมาก่อนที่หุ้นจะปรับตัวลงมามาก   แต่ทั้งหมดของกลยุทธ์นี้นั้น  แท้ที่จริงแล้วตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้ว  ราคาของหุ้นได้ขึ้นไปมากพอสมควรที่ทำให้เราสามารถขายและ “ล็อก” กำไรไว้และเอาไป  “ลดต้นทุน” หุ้นที่เหลืออยู่  แต่ถ้าไม่ใช่  แทนที่หุ้นจะขึ้นกลายเป็นหุ้นตกลงมา  กลยุทธ์นี้ก็ใช้ไม่ได้   นอกจากนั้น  การขายหุ้นเพื่อ “ลดต้นทุน” โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือผลประกอบการที่ดีขึ้นเทียบกับราคาก็อาจจะเป็นการ  “ขายหมู”  เพียงเพื่อที่จะทำให้ตัวเอง  “สบายใจ” ว่า  เราจะไม่เจ็บจากการที่ราคาหุ้นอาจจะลดลงในอนาคต  ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่าเราควรจะหาวิธีการอื่นที่ทำให้ตนเองสบายใจโดยไม่ต้องเสียโอกาสหรือประโยชน์จากการลงทุนในหุ้นมากกว่า

    กลยุทธ์ที่สี่ที่ผมจะพูดนั้น  อาจจะไม่มีการพูดถึงเป็นเรื่องเป็นราวแต่ผมคิดว่ามีคนทำไม่น้อยก็คือ  การซื้อเมื่อหุ้นลงมาที่  “แนวรับที่แข็งแกร่ง”  ของหุ้นแต่ละตัว  เสร็จแล้วก็รอขายเมื่อหุ้นขึ้นไปในระดับหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนพอสมควร  อาจจะ 5-10%   นี่มักเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่เฝ้าติดตามและอาจจะเคย  “เล่นหุ้น” ตัวใดตัวหนึ่งมาหลายครั้งต่อเนื่อง  หุ้นเหล่านั้นมักจะเป็นหุ้นที่  “แข็งแกร่ง” ไม่ใช่ “หุ้นปั่น” หรือหุ้นขนาดเล็กที่ราคาหวือหวามาก ๆ  ที่มีความเสี่ยงสูงที่อาจจะขาดทุนมหาศาล  พวกเขาจะเผ้าดูราคาหุ้นต่อเนื่องมาตลอดและคิดว่าเขาเริ่มจะเห็น  “Pattern”  หรือรูปแบบของราคาที่ปรับตัวขึ้นลงและก็อาจจะพบว่าพอราคาลงมาถึงจุดหนึ่งก็จะหยุดแล้วซักระยะหนึ่งก็จะปรับตัวขึ้นไป  อาจจะ 5-10%  ดังนั้น  พอเขาพบว่าหุ้นตัวนั้นปรับตัวลงมาถึงจุดนั้น  เช่น  อาจจะ 10 บาทต่อหุ้น  เขาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเพื่อที่จะคอยให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปและเขาสามารถขายทำกำไรได้  ปัญหาของกลยุทธ์นี้ก็คือ  ในวันที่เขาซื้อหุ้นครั้งหลังสุดนั้น   รูปแบบของราคาหุ้นอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีก  หุ้นอาจจะตกลงไปต่ำกว่า 10 บาท  แต่แทนที่จะหยุดเหมือนเดิมมันกลับไหลลงไปถึง 8 บาทและก็อาจจะไม่ปรับตัวขึ้นมาถึง 10 บาทอีกนานมากเนื่องจากพื้นฐานของกิจการอาจจะยังไม่ดีไปอีกนานแม้ว่าบริษัทก็อาจจะยังเป็นกิจการที่  “แข็งแกร่ง”  อยู่เหมือนเดิม

    ข้อสรุปของผมสำหรับคนที่ชอบใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ  ที่มีคนบอกว่าดีก็คือ  ในทุก ๆ  กลยุทธ์และทุก ๆ สถานการณ์นั้น  เราต้องวิเคราะห์ว่าพื้นฐานของตลาดและตัวหุ้นแต่ละตัวที่เราเกี่ยวข้องนั้นเป็นอย่างไร  ดีหรือร้าย  ดูว่าดัชนีหรือราคาหุ้นที่เราเห็นนั้น  ถูกหรือแพง  แน่นอนว่าไม่มีใครมีข้อมูลที่สมบูรณ์หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่สุดยอดไม่ผิดพลาด  ประเด็นก็คือ  เราต้องประเมินเรื่องของพื้นฐานและราคาตลอดเวลาและพยายาม  “ประมาณ”  ว่ามันถูกหรือแพงในภาพใหญ่ ๆ   ถ้าดูแล้วมันอยู่ในระดับที่เรามีโอกาสชนะมากกว่าแพ้พอสมควรไม่ว่าในด้านซื้อหรือขาย  เราถึงจะตัดสินใจโดยอิงกับกลยุทธ์ที่เราชอบ  แต่ถ้าประเมินแล้วเป็นทางตรงกันข้าม  เราก็อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะใช้กลยุทธ์ดังกล่าว  สำหรับผมเองนั้น  ผมแทบไม่ใช้เทคนิคหรือกลยุทธ์ที่กล่าวมาเลย  ผมคิดว่าการลงทุนนั้น  ความยืดหยุ่นสำคัญมาก    มี “กฎเหล็ก” น้อยมากที่ผมจะไม่ยอมผ่าน  หนึ่งในนั้นก็คือ  พื้นฐานเมื่อเทียบกับราคาจะต้องถูกหรือสมเหตุผลในการที่จะซื้อขายหุ้น  ผมไม่ตั้งเกณฑ์อะไรล่วงหน้า
[/size]
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อจ ครับ
รออ่านแก้วดวงที่ 2 และ 3 อยู่ครับ
แก้วประการแรกอ่านแล้ว ทำให้รอติดตามตอนต่อไปอยู่ครับ
อย่าให้รอเหมือน การ์ตูนที่ออกปีละ 2 เล่ม
รอมา 20 ปีออกได้แค่ 37-38 เล่มยังไม่มีทีท่าจะจบ
:)
:)
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ผมชอบบทความตอนนี้ของอจ นิเวศน์มากครับ เป็นการกรั่นกรอง
จากประสบการณ์การลงทุนจริงของ อจ เลยครับ
เทคนิคการลงทุนในแต่ละวิธีที่อจ นิเวศน์พูด ใช่เลย
แต่ละวิธีจะมีจุดด้อยของมัน ดังนั้นเราต้องพิจารณาดูว่า
ถ้าเป็นหุ้นแต่ละตัว เราจะใช้วิธีการลงทุนแบบไหนถึงจะเหมาะสม
ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ลงทุนมาช่วยในการตัดสินใจ

ตัวอย่างเช่นวิธีที่หนึ่งลงทุนแบบอิงดัชนี ถ้าลงทุนช่วงตลาดขาลง
เราต้องอยู่กับมันนานมาก เช่น ผมเคยลงกองทุนรวมสมัยต้มยำกุ้งซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีกองทุนดัชนี
มีแต่ Active fund ราคาจาก10บาทลงไปถึงบาทกว่าๆ
แต่โชคดีที่เป็นกองทุนactive fund ดังนั้น ราคากลับมาเกินสิบบาท ถึงแม้ดัชนียังไม่ถึงที่เดิมก็ตาม

ส่วนวิธีที่สอง DCA จริงๆแล้วมันจะช่วยให้เราซื้อหุ้นได้ในราคาเฉลี่ยในช่วงนั้นเท่านั้น เหมาะกับ
ตอนราคาหุ้นไซด์เวย์ ผันผวน วิธีนี้น่าจะเหมาะมากกว่า
ถ้าเป็นช่วงuptrend DCA อาจไม่เหมาะสม ควรซื้อหมดตั้งแต่ไม้แรกเลย แต่ก็นั่นแหละไม่มี
ใครรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน

ส่วนวิธีที่3 ขายเอาทุนออกมาก่อน หรือคุณเทพ เคยใช้แบบกลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ผมเคยลองอาจได้
ในหุ้นบางตัวผมว่าวีไอหลายท่านก็ใช้วิธีนี้ แต่บางทีก็เจอว่าขายหมูอย่างที่อจ นิเวศน์ว่า บางครั้งต้องดูพื้นฐานดีๆ
ถ้ามันดีจริงๆอยู่เฉยดีกว่า ผมเคยลงหุ้นบางตัวแล้วทำงานจนลืมไปเลย ไม่ได้มาดู ปรากฎว่า
ช่วงนั้นหุ้นขาขึ้นเลยได้ประโยชน์ไป แต่บางตัวเป็นหุ้น วัฐจักร ผมว่าใช้วิธีนี้น่าจะwork

วิธีที่สี่ เห็นภาพอย่างที่อจ ว่าเลย ซื้อขายในช่วงเรียกว่า band ซื้อตอนราคาถูกและพอราคาขึ้นต้องขายออก
แต่อาจเจอราคาลงมาแนวรับก็ซื้อไว้ปรากฎว่าล่าสุดทะลุกรอบล่างลงยาว เป็นชาวดอยไปเลย


ดังนั้น ต้องจำบทสรุปของอจ นิเวศน์ ให้วิเคราะห์และประเมินว่าควรใช้หลักเกณฑ์ใดถึงเหมาะสม
ถึงแม้จะพิจารณาอย่างถึ่ถ้วนแล้ว แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ต้องขายออกตามหลักการขายของ
อจ วิบูลย์ในรายการ Money talk @ Set เมื่อเสาร์ที่แล้ว

ขอบคุณ อจ นิเวศน์ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์การลงทุนในพวกเราครับ
RnD-VI
Verified User
โพสต์: 2187
ผู้ติดตาม: 0

Re: ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบพระคุณมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
วิมานดิน
Verified User
โพสต์: 170
ผู้ติดตาม: 0

Re: ปัญหาของกลยุทธ์การลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
โพสต์โพสต์