โค้ด: เลือกทั้งหมด
คนที่ศึกษาและติดตามเรื่องการลงทุนผ่านสื่อต่าง ๆ มานานก็จะพบกับ “กลยุทธ์การลงทุน” หรือ “เทคนิคในการลงทุน” มากมายที่มีคน “นำเสนอ” หรือ “บอกต่อ” ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีและจะนำไปสู่ “ความสำเร็จในการลงทุน” โดย “อัตโนมัติ” และบ่อยครั้งพวกเขาก็แสดงผลงานและตัวเลขย้อนหลังให้เห็น หรือไม่ก็ยกประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำมาและได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ จริงอยู่สิ่งที่ทำหรือกลยุทธ์ที่ใช้อาจจะไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุด แต่มันก็ให้ผลตอบแทนที่ “ดี” และมี “ความเสี่ยงต่ำ” เสมอ ดังนั้น คนที่คิดหรือรู้ว่าตนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการลงทุนจริง ๆ จึงสนใจที่จะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านั้นที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเองที่สุด แต่ทั้งหมดนั้นจริงหรือไม่? และมันมีปัญหาอะไรที่อาจจะทำให้กลยุทธ์บางอย่างนั้น ใช้ไม่ได้จริง ๆ ในทางปฏิบัติ ลองมาดูกลยุทธ์การลงทุนหลาย ๆ อย่างที่เราได้ยินบ่อย ๆ
เรื่องแรกก็คือ การลงทุนระยะยาวในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดประมาณ 10-12% ต่อปีแบบทบต้น ดังนั้น ถ้าเราเลือกหุ้นไม่เป็น เราก็ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนี เช่น SET50 แล้วก็ถือไว้เรื่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ตัวเลขย้อนหลังซัก 15 ปีของตลาดหุ้นไทยได้แสดงให้เห็นว่าคนที่ทำแบบนี้จะได้ผลตอบแทนทบต้นที่น่าประทับใจถึง ประมาณ 14% ต่อปีรวมปันผล หรือถ้ามองย้อนหลังไป 41 ปีตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์ ผลตอบแทนรวมปันผลก็น่าจะยังอยู่ในระดับประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้น ประเด็นก็คือ กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้อาจจะได้ผลดีใน “อดีต” และได้ผลตอบแทนดีเฉพาะ “บางช่วงเวลา” เช่น เวลาที่ตลาดหุ้นตกต่ำมาก ๆ และหุ้นมีราคาถูกกว่าปกติ เช่น เมื่อ 15 ปีที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติและตลาดหุ้นตกต่ำลงมากเหลือเพียง 200 กว่าจุดจาก 1700 กว่าจุด การลงทุนถือกองทุนรวมอิงดัชนีระยะยาวก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมถึง 14% ต่อปีในเวลา 15 ปี แต่ถ้าเข้าลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นสูงสุดในปี 2537 ที่ 1700 กว่าจุด หรือประมาณ 22 ปีที่แล้ว การลงทุนในตลาดหุ้น 22 ปีจนถึงวันนี้ก็จะได้ผลตอบแทนน้อยมากประมาณ 2% ต่อปีรวมปันผลแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอาจจะเถียงว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราถือหุ้นระยะยาว เช่น อย่างน้อย 30 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยก็น่าจะค่อนข้างดี โอกาสที่จะแย่นั้นน้อยกว่ามาก และถึงจะแย่ก็ยังได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ เช่น 5-6% ขึ้นไป โดยอาจจะยกตัวเลขของตลาดหุ้นอเมริกาหรือตลาดหุ้นไทยในอดีตมาประกอบ แต่ในความเห็นผม ผมคิดว่า “อนาคต” ต่อจากนี้ก็ไม่แน่ว่าพฤติกรรมผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอาจจะเหมือนเดิมในช่วง 41 ปีที่ผ่านมาหรือตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่ยาวกว่านั้นมาก เหตุผลของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมานั้นตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยเติบโตเร็วมาก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐที่อยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจของอเมริกาโตเร็วมากเช่นเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้โตช้าลงมาก ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะไม่เหมือนเดิม ดังนั้น การลงทุนในช่วงเวลาที่หุ้นมีราคาไม่ถูกและอนาคตเศรษฐกิจอาจจะแย่ลง “อย่างถาวร” การลงทุนระยะยาวในหุ้นก็อาจจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ดีก็ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ญี่ปุ่น ที่ตลาดหุ้นในระยะกว่า 25 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีตกต่ำลงจาก สามหมื่นกว่าจุดเหลือเพียงหมื่นกว่าจุด คนที่ถือกองทุนรวมอิงดัชนีระยะยาวจะเสียหายหนักมาก
กลยุทธ์การลงทุนเรื่องที่สองก็คือ การลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) นี่คือการลงทุนระยะยาวในหุ้นหลายตัวที่เราคิดว่าดี โดยที่เราจะเก็บสะสมหุ้นเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ด้วยเม็ดเงินคงที่ทุกเดือนหรือทุกปีโดยไม่สนใจราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือลง ถ้าราคาหุ้นขึ้น พอร์ตเราก็โตขึ้น ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าราคาลง เราก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้นหรือได้หุ้นในราคาต่ำลง อนาคตถ้าหุ้นขึ้นปรับตัวกลับขึ้นไป พอร์ตเราก็จะโตเร็วขึ้น เพราะจำนวนหุ้นเรามากขึ้นกว่าการขึ้นตามปกติ แนวความคิดหรือกลยุทธ์นี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ถ้าหุ้นดี ราคาหุ้นในระยะยาวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การทำ DCA มีแต่จะดีและปฏิบัติง่าย แต่ประเด็นก็คือ ถ้าหุ้นไม่ดีหรือราคาหุ้นตัวนั้นแพงเกินไปล่ะ การซื้อหุ้นในแต่ละเดือนหรือแต่ละปีในอนาคตโดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่ราคากำลังตกลงมาเรื่อย ๆ ก็อาจจะไม่ให้ผลดี ยิ่งถ้า “พื้นฐาน” ของกิจการกำลังเปลี่ยนแปลงในทางเลวร้ายลงอย่างถาวร การทำ DCA ก็จะกลายเป็น “หายนะ” เหมือนกับการ “ขุดหลุมฝังตัวเอง” แทนที่จะหนีออกจากหลุม ดังนั้น การทำ DCA ที่จะให้ผลดีนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าในวันที่เราซื้อหุ้นทุกครั้ง พื้นฐานของกิจการยัง “ดีเยี่ยม” เหมือนวันที่เราเริ่มลงทุนในหุ้นตัวนั้น
กลยุทธ์ที่สามก็คือการขายหุ้น “ทำกำไร” บางส่วน เพื่อ “ลดต้นทุน” ของหุ้น หรือ “เอาทุนคืนมา” ดังนั้น ต้นทุนของหุ้นที่เราถือก็จะต่ำลง หรือในบางกรณี “ไม่มีต้นทุนเลย” ดังนั้น เราก็จะรู้สึกไม่มีแรงกดดันหรือเกิดความเครียดเวลาหุ้นตัวนั้นตกลงมา เพราะอย่างไรเสียเราก็จะยังไม่ขาดทุน หรือไม่มีทางขาดทุนเลยเนื่องจากเราไม่มีต้นทุนแล้ว ที่เหลือก็มีแต่กำไรทั้งสิ้น นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่หลายคนบอกว่าเขาทำแล้วได้ผลดีมาก เพราะได้ขายหุ้นไปเอาทุนคืนมาก่อนที่หุ้นจะปรับตัวลงมามาก แต่ทั้งหมดของกลยุทธ์นี้นั้น แท้ที่จริงแล้วตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้ว ราคาของหุ้นได้ขึ้นไปมากพอสมควรที่ทำให้เราสามารถขายและ “ล็อก” กำไรไว้และเอาไป “ลดต้นทุน” หุ้นที่เหลืออยู่ แต่ถ้าไม่ใช่ แทนที่หุ้นจะขึ้นกลายเป็นหุ้นตกลงมา กลยุทธ์นี้ก็ใช้ไม่ได้ นอกจากนั้น การขายหุ้นเพื่อ “ลดต้นทุน” โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือผลประกอบการที่ดีขึ้นเทียบกับราคาก็อาจจะเป็นการ “ขายหมู” เพียงเพื่อที่จะทำให้ตัวเอง “สบายใจ” ว่า เราจะไม่เจ็บจากการที่ราคาหุ้นอาจจะลดลงในอนาคต ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่าเราควรจะหาวิธีการอื่นที่ทำให้ตนเองสบายใจโดยไม่ต้องเสียโอกาสหรือประโยชน์จากการลงทุนในหุ้นมากกว่า
กลยุทธ์ที่สี่ที่ผมจะพูดนั้น อาจจะไม่มีการพูดถึงเป็นเรื่องเป็นราวแต่ผมคิดว่ามีคนทำไม่น้อยก็คือ การซื้อเมื่อหุ้นลงมาที่ “แนวรับที่แข็งแกร่ง” ของหุ้นแต่ละตัว เสร็จแล้วก็รอขายเมื่อหุ้นขึ้นไปในระดับหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนพอสมควร อาจจะ 5-10% นี่มักเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่เฝ้าติดตามและอาจจะเคย “เล่นหุ้น” ตัวใดตัวหนึ่งมาหลายครั้งต่อเนื่อง หุ้นเหล่านั้นมักจะเป็นหุ้นที่ “แข็งแกร่ง” ไม่ใช่ “หุ้นปั่น” หรือหุ้นขนาดเล็กที่ราคาหวือหวามาก ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงที่อาจจะขาดทุนมหาศาล พวกเขาจะเผ้าดูราคาหุ้นต่อเนื่องมาตลอดและคิดว่าเขาเริ่มจะเห็น “Pattern” หรือรูปแบบของราคาที่ปรับตัวขึ้นลงและก็อาจจะพบว่าพอราคาลงมาถึงจุดหนึ่งก็จะหยุดแล้วซักระยะหนึ่งก็จะปรับตัวขึ้นไป อาจจะ 5-10% ดังนั้น พอเขาพบว่าหุ้นตัวนั้นปรับตัวลงมาถึงจุดนั้น เช่น อาจจะ 10 บาทต่อหุ้น เขาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเพื่อที่จะคอยให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปและเขาสามารถขายทำกำไรได้ ปัญหาของกลยุทธ์นี้ก็คือ ในวันที่เขาซื้อหุ้นครั้งหลังสุดนั้น รูปแบบของราคาหุ้นอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีก หุ้นอาจจะตกลงไปต่ำกว่า 10 บาท แต่แทนที่จะหยุดเหมือนเดิมมันกลับไหลลงไปถึง 8 บาทและก็อาจจะไม่ปรับตัวขึ้นมาถึง 10 บาทอีกนานมากเนื่องจากพื้นฐานของกิจการอาจจะยังไม่ดีไปอีกนานแม้ว่าบริษัทก็อาจจะยังเป็นกิจการที่ “แข็งแกร่ง” อยู่เหมือนเดิม
ข้อสรุปของผมสำหรับคนที่ชอบใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีคนบอกว่าดีก็คือ ในทุก ๆ กลยุทธ์และทุก ๆ สถานการณ์นั้น เราต้องวิเคราะห์ว่าพื้นฐานของตลาดและตัวหุ้นแต่ละตัวที่เราเกี่ยวข้องนั้นเป็นอย่างไร ดีหรือร้าย ดูว่าดัชนีหรือราคาหุ้นที่เราเห็นนั้น ถูกหรือแพง แน่นอนว่าไม่มีใครมีข้อมูลที่สมบูรณ์หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่สุดยอดไม่ผิดพลาด ประเด็นก็คือ เราต้องประเมินเรื่องของพื้นฐานและราคาตลอดเวลาและพยายาม “ประมาณ” ว่ามันถูกหรือแพงในภาพใหญ่ ๆ ถ้าดูแล้วมันอยู่ในระดับที่เรามีโอกาสชนะมากกว่าแพ้พอสมควรไม่ว่าในด้านซื้อหรือขาย เราถึงจะตัดสินใจโดยอิงกับกลยุทธ์ที่เราชอบ แต่ถ้าประเมินแล้วเป็นทางตรงกันข้าม เราก็อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะใช้กลยุทธ์ดังกล่าว สำหรับผมเองนั้น ผมแทบไม่ใช้เทคนิคหรือกลยุทธ์ที่กล่าวมาเลย ผมคิดว่าการลงทุนนั้น ความยืดหยุ่นสำคัญมาก มี “กฎเหล็ก” น้อยมากที่ผมจะไม่ยอมผ่าน หนึ่งในนั้นก็คือ พื้นฐานเมื่อเทียบกับราคาจะต้องถูกหรือสมเหตุผลในการที่จะซื้อขายหุ้น ผมไม่ตั้งเกณฑ์อะไรล่วงหน้า