ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    การประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละตัวว่ามันควรมีมูลค่าเท่าไร  หรือพูดอีกทางหนึ่งก็คือหุ้นมีราคาแพงหรือราคาถูกเทียบกับพื้นฐานของกิจการนั้น  เป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนระยะยาว   ตัวเลขที่ใช้กันมากและแพร่หลายที่สุดในทางปฏิบัติก็คือ  PE หรือราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น  ค่า PB หรือราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี  และ D/P หรือเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้น  โดยที่หุ้น PE ต่ำเช่นต่ำกว่า 10 เท่าหรือต่ำกว่าค่า PE โดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นก็มักจะถือว่าเป็นหุ้นราคาถูก  เช่นเดียวกับหุ้นที่มีค่า PB ต่ำกว่า 1 เท่าหรือต่ำกว่าค่า PB เฉลี่ยของตลาดก็ถือว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก  ตรงกันข้าม  หุ้นที่มี Dividend Yield หรือ D/P สูง เช่น 4-5% ต่อปีก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูก  อย่างไรก็ตาม  ยังมีตัวเลข  “ทางเลือก”  อื่น ๆ  อีกหลาย ๆ  ตัวที่นักวิเคราะห์อาจจะใช้  เช่น  ตัวเลขราคาหุ้นเทียบกับยอดขายของบริษัท   ราคาหุ้นเทียบกับจำนวนลูกค้าอย่างในกรณีของหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย  และตัวเลขและเทคนิคอื่น ๆ  อีกมากที่ถูกนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น

    แต่ตัวเลขที่ผมคิดว่ามีประโยชน์และผมนำมาใช้ค่อนข้างมาก  หรือถ้าจะพูดว่าดูทุกครั้งที่ประเมินมูลค่าหุ้นก็คือ  Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดของบริษัท  เหตุผลที่ผมใช้ตัวเลขนี้ก็เพราะว่านี่คือ  “ภาพใหญ่” ของมูลค่าของบริษัทที่ตลาดหุ้น “มอบให้”    ความหมายก็คือ  ตลาดหุ้นตีมูลค่าของบริษัทว่าถ้าใครอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้เขาจะต้องจ่ายเท่าไร?   หรือ  ถ้าเราต้องการเป็นเจ้าของบริษัทนี้เพียงคนเดียว  เราต้องจ่ายเงินซื้อหุ้นทั้งหมดเท่าไร?  นี่ก็จะคล้าย ๆ  กับเวลาเราไปซื้อกิจการนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เราจะเป็นเจ้าของและหวังที่จะทำธุรกิจมีรายได้  กำไร  และปันผลจากบริษัทตลอดไปโดยที่ไม่มีโอกาสที่จะขายหุ้นให้คนอื่นในราคาแพงหรือขายทิ้งในราคาถูกได้เลย  เราต้องถือหุ้น  “ยาวมาก”  และดังนั้น  เราจะต้องคิดว่าในอนาคตอีกนานบริษัทจะโตขึ้นไปได้แค่ไหน  มันคุ้มกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่

    Market Cap. ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันของบริษัททั้งหมดนั้น  มันเป็นเสมือน  “ตัวแทน”  ความ “ยิ่งใหญ่”  หรือ  “ความเล็ก” ของแต่ละกิจการในสายตาของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์   ตัวอย่างเช่น ณ. วันที่ 19 สิงหาคม 2559  บริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสายตาของนักลงทุนก็คือ  ปตท. ที่มีมูลค่าหุ้นถึง 996,848 ล้านบาท  รองลงมาคือ SCG หรือปูนซิเมนต์ไทยที่ 614,400 ล้านบาท  อันดับ 3 คือ AOT หรือท่าอากาศยานไทย ที่ 567,142 ล้านบาท  อันดับ 4 คือ Cp All ที่ 541,231 ล้านบาท อันดับ 5 คือ แบ้งค์ไทยพาณิชย์ที่ 534,751 ล้านบาท  อันดับ 6 คือ ADVANC ที่ 511,372 ล้านบาท  อันดับ 7 คือ ธนาคารกสิกรไทย ที่ 466,685 ล้านบาท  อันดับ 8 คือ  BDMS หรือกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพที่ 353,193 ล้านบาท  อันดับ 9 คือ ธนาคารกรุงเทพที่ 334,047 ล้านบาท  และอันดับ 10 คือ ปตท.สผ. ที่ 325,538 ล้านบาท

    ดูจากข้อมูลและตัวเลขแล้วผมก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและกิจการของประเทศไทยที่ก้าวหน้าขึ้นมามากจากอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน  ถ้ามองย้อนหลังไปไกลช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว  หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับน่าจะเกือบทั้งหมดเป็นแบ้งค์  ต่อมาพลังงานก็มีบทบาทมากขึ้นเช่นเดียวกับสื่อสารที่สังคมใช้กันแพร่หลายขึ้นมาก  และล่าสุดก็น่าจะเป็นเรื่องของค้าปลีก สุขภาพและการท่องเที่ยวที่เป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่   ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นและสังคมไทยเองนั้นมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นมาก  สิบอันดับหุ้นที่ใหญ่ที่สุดประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นและเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจใน พ.ศ. นี้  โดยที่มีถึง 3 บริษัทที่เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เท่าในช่วงเพียงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา  นี่ยังไม่นับว่ามีบริษัทที่มี Market Cap. ในระดับ Top 20 ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแต่บริษัทเล็ก ๆ  ในอดีต

    การเปลี่ยนแปลงของบริษัทยักษ์ใหญ่ในระดับ 10 หรือ 20 อันดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนั้นไม่ใช่เกิดเฉพาะในประเทศไทย  ว่าที่จริงในระดับโลกเช่นในอเมริกาเองนั้น  การเปลี่ยนแปลงนั้นรุนแรงยิ่งกว่า   เพราะเพียงไม่ถึง 10-20 ปีที่ผ่านมา  บริษัทในกลุ่มดิจิตอลเช่น แอปเปิล กูเกิล อเมซอน  และเฟซบุค ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่าบริษัทในยุคก่อนรวมถึงวอลมาร์ทและบริษัทพลังงานอย่างเอ็กซอน  ไม่ต้องพูดถึงผู้ผลิตเช่น GM GE  และธุรกิจรุ่นเก่าอื่น ๆ  ที่ Market Cap. มีแต่ทรงหรือเล็กลงเรื่อย ๆ

    พูดถึงหุ้นตัวใหญ่มาก ๆ  แล้วก็คงต้องมองไปที่หุ้นตัวเล็กบ้าง  ผมเองนั้นเวลาว่าง ๆ  บ่อยครั้งก็จะ Scan หรือกวาดสายตาดู Market Cap. ของหุ้นทั้งตลาดอยู่เสมอ  ระหว่างที่ดูผมก็จะคิดตามไปด้วยว่ามีหุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนที่มีการปรับตัวของ Market Cap. มากเป็นพิเศษ   บ่อยครั้งก็จะรู้สึก  “ทึ่ง” ในความเปลี่ยนแปลงที่บางครั้ง  “ไม่น่าเชื่อ”  เช่น  หุ้นตัวเล็ก ๆ  บางตัวมี Market Cap. เพิ่มขึ้นมโหฬารในเวลาอันสั้นเช่น  หุ้นขึ้นมา 5-10 เท่าในเวลาเพียงปีเดียวและมีขนาดใหญ่กว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและมี Business Model หรือรูปแบบการทำธุรกิจใกล้เคียงกันแต่มีขนาดของธุรกิจและกำไรสูงกว่ามาก  ในกรณีแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วผมก็จะลงความเห็นว่าไม่มีเหตุผลทางพื้นฐานและ Market Cap. ที่เห็นนั้นน่าจะสูงเกินไปและในที่สุดราคาหุ้นก็จะลดลงมาแม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไร

    นาน ๆ  ครั้งผมก็อาจจะพบว่า Market Cap. ของหุ้นบางตัวนั้นต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน  อาจจะเนื่องจากปัญหาบางอย่าง  แบบนี้ผมก็จะจับตาดูหรือศึกษาละเอียดขึ้นเผื่อว่าอาจจะเป็นโอกาสในการลงทุน  บ่อยครั้งผมเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นด้วยที่มีอิทธิพลหรือส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกัน  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเปรียบระหว่างกลุ่มสุขภาพกับกลุ่มสื่อสารที่ต่างก็เป็นเมกาเทรนด์ทั้งคู่  บริษัทในกลุ่มไหนที่จะโตและทำกำไรได้ดีกว่าหรือ  “ง่ายกว่า”  ในอีกซัก 4-5 ปีข้างหน้า  และบริษัทที่เปรียบเทียบกันนั้น  บริษัทไหนมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนกว่า  เป็นต้น   และทั้งหมดนั้นผมก็จะมาดูว่า Market Cap. ของ 2 บริษัท นั้นเป็นเท่าไรเพื่อจะดูว่าผมควรจะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหนที่ Market Cap. จะโตเร็วกว่าและบริษัทจะใหญ่กว่าในอนาคต

    อุตสาหกรรมหรือธุรกิจบางอย่างนั้น  โดยธรรมชาติเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ใหญ่หรือใหญ่มากไม่ได้อาจจะเนื่องจากมันอิงอยู่กับคนที่มีความสามารถสูงที่สามารถแตกหรือ “แยกวง” ออกไปทำเองได้  หรือบางทีก็เป็น  “Niche” ในอุตสาหกรรมใหญ่  นั่นคือมันมีความโดดเด่นอยู่ในสินค้าเฉพาะที่มีผู้ใช้หรือผู้บริโภคเพียงกลุ่มเล็ก ๆ   นาน ๆ  ครั้งก็จะมีบริษัทที่สร้างผลงานที่ประทับใจและสามารถสร้างยอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมากซึ่งก็มักจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงขึ้นไปอย่างมากจนมี Market Cap. สูงกว่าบริษัทที่มียอดขายและกำไรสูงกว่ามากได้   อย่างไรก็ตาม  ลักษณะแบบนี้เราก็ต้องระวังว่าในระยะยาวแล้ว  บริษัทก็อาจจะโตขึ้นไปมากไม่ได้  การเติบโตที่เร็วมากจะต้องหยุดลงตามขนาดของตลาดที่เล็กอยู่แล้วโดยธรรมชาติ  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น  ในที่สุดราคาหุ้นและ Market Cap. ก็จะยืนอยู่ไม่ได้

    ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางประเด็นที่สามารถนำเรื่องของ Market Cap. มาใช้ประกอบในการวิเคราะห์และประเมินหุ้นเพื่อที่จะดูว่ามันถูกหรือแพงเมื่อคำนึงถึงการลงทุนระยะยาว  มันเป็นวิธีการที่  ไม่ได้แม่นยำเป็นตัวเลขแน่นอน  แต่จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราพบ  “ความผิดพลาดที่ร้ายแรง”  ทั้งทางด้านที่แพงและถูก  หน้าที่ของเราก็คือ  หลีกเลี่ยงหุ้นที่แพงมาก ๆ  มองจาก Market Cap.  และเลือกซื้อหุ้นที่ถูกสุด ๆ  และอาจจะกลายเป็นหุ้น 10 เด้งในอนาคตอีกหลาย ๆ  ปีข้างหน้าที่ Market Cap. จะโตขึ้นตามสถานะทางเศรษฐกิจในวันนั้น
[/size]
RnD-VI
Verified User
โพสต์: 2187
ผู้ติดตาม: 0

Re: ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราก

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบพระคุณมากครับ
เราลงรายละเอียดระดับไหน + แผนการ + วินัยในการแบ่งและใช้เวลาในแต่ละวัน
Mr.CHANOPPS
Verified User
โพสต์: 65
ผู้ติดตาม: 0

Re: ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราก

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ อาจารย์
นักลงทุนที่ดี คือ นักลงทุนที่รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
nuitoi
Verified User
โพสต์: 17
ผู้ติดตาม: 0

Re: ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราก

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบพระคุณคะ
Mister_Ban
Verified User
โพสต์: 5
ผู้ติดตาม: 0

Re: ประเมินมูลค่าหุ้นด้วย Market Cap./ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราก

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์