โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเขียนถึงรถยนต์ของบริษัท Tesla มา 4 ตอนแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าจะเป็นผู้นำเทคโนโลยีที่ส่งผล “พลิกแผ่นดิน” อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ดำเนินมากว่า 100 ปีหรือไม่ แต่ทั้งนี้ต้องขอชี้แจงตรงนี้ก่อนครับว่าผมได้มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท Tesla ทั้งในทางตรงและทางอ้อมประการใดเลย รถ Tesla ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสหรือทดลองใช้แต่อย่างใด
ในครั้งที่แล้วผมเขียนว่าราคาหุ้นของ Tesla นั้นสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เช่น Benz BMW Ford และ GM อย่างมากและหากนักลงทุนยอมซื้อและถือหุ้น Tesla ในราคาสูงลิ่ว (เพราะมีแต่ขาดทุน) เมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทรถยนต์ชั้นนำที่ให้เงินปันผล 4-5% ต่อปี ก็จะต้องแปลว่านักลงทุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าอนาคตในการทำกำไรของ Tesla นั้นสดใสอย่างยิ่งและ Tesla จะต้องพัฒนามาเป็นบริษัทรถชั้นนำเทียบเท่ากับ Benz BMW Ford GM ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในอีกด้านหนึ่งผมขอสรุปข้อมูลจาก Consumer reports เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประชาชนชาวอเมริกันสามารถสัมผัสได้ดังนี้
1) มีรถยนต์ไฟฟ้า (Electronic Vehicle หรือ EV) ที่ประชาชนสามารถเลือกซื้อมาใช้ได้ประมาณ 10-12 รุ่น ส่วนใหญ่เป็นรถเก๋งนั่ง 5 คน แต่ SUV /Minivan ก็มีคือ Tesla X และรถหรูเทียบเท่ากับ Benz S Class ก็มีคือ Tesla S
2) รถลูกผสมที่มีทั้งเครื่องเบนซิน/ดีเซล และเครื่องยนต์ไฟฟ้า หรือ plug-in hybrid (PHEV) ก็มีให้เลือกประมาณ 10 รุ่นเช่นกัน
3) ภายในปลายปีนี้ GM จะรีบออก EV รุ่น Chevy Bolt มาตัดหน้า Tesla model 3 ที่จะเริ่มผลิตปลายปี 2017 โดย Chevy Bolt จะมีราคาประมาณ 35,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยรถยนต์ที่อเมริกาคือ 27,000 ดอลลาร์ (แปลว่าเมื่อราคา EV กดลงมาได้ที่ 27,000 ดอลลาร์หรือต่ำกว่านั้น รถ EV อาจเริ่มกินส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ ICE อย่างก้าวกระโดด)
4) ต้นทุนไฟฟ้า (ที่ใช้ใน EV) นั้นประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อ “แกลลอน” แปลว่าต้นทุนการใช้ EV นั้นคิดเป็นบาทประมาณ 9.50 บาทต่อลิตร กล่าวคือถูกกว่าที่ใช้อยู่ในสหรัฐ (และไทย) ประมาณ 3 เท่า แต่ในสหรัฐนั้นหลายรัฐจะให้แรงจูงใจทางภาษี คิดเป็นเงิน 1-3 แสนบาทหากซื้อ EV นอกจากนั้นการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านตอนกลางคืนยังทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปแวะเติม น้ำมันที่ปั๊ม ซึ่งปัจจุบันรถไฟฟ้าสามารถขับไปได้ 250-300 กิโลเมตร จึงจะต้องนำมาชาร์จไฟ (ยกเว้น Nissan Leaf ที่เป็น EV ที่เคยมียอดขายสูงสุดในสหรัฐ แต่จะขับได้เพียง 100-150 กิโลเมตรแล้วต้องนำมาชาร์จไฟ)
5) ราคาพื้นฐานของรถ EV หรือ PHEV เริ่มต้นจากประมาณ 22,000 ดอลลาร์ จนสูงถึง 125,000 ดอลลาร์ โดยปัจจุบันรถ EV ที่เป็นที่นิยมสูงสุดจะมีราคา 26,000 ถึง 32,000 ดอลลาร์ โดย “ค่าน้ำมัน” เฉลี่ยประมาณ 3.5 เซ็นต่อ 1 ไมล์ (ต่ำกว่า 1 บาทต่อ 1 กิโลเมตร) ในขณะที่รถ Toyota Corolla จะมีค่าน้ำมันเฉลี่ย 12 เซ็นต่อ 1 ไมล์ หรือเกือบ 3 บาทต่อ 1 กิโลเมตร ทำให้ผู้ซื้อรถ EV ในสหรัฐสามารถคุ้มทุนได้ภายในเวลา 1 ปีหลังการซื้อรถดังกล่าว
ที่เขียนสรุปมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ในสหรัฐนั้น เริ่มมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างหลากหลายมากยิ่ง ขึ้น และใน 1-2 ปีข้างหน้า รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญมากยิ่งขึ้นสำหรับรถยนต์เบนซินและดีเซล เพราะ ไม่เพียงแต่จะมีรถยนต์ Tesla model 3 เท่านั้นที่คาดหวังว่าจะผลิต 500,000 คันต่อปีตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป แต่จะมีรถยนต์จาก GM Ford และผู้ผลิตรายใหญ่ของเยอรมันก็จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มาเป็นทางเลือกอีกหลายรุ่น ดังนั้นจึงต้องตั้งคำถามว่ารถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค จนกระทั่งรถยนต์เบนซินและดีเซลเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดได้จริงหรือไม่
กล่าวคือ “จุดอ่อน” ของรถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร (เพราะ จุดแข็งนั้นเรารับทราบกันไปหมดแล้วว่า เด่นกว่ารถยนต์เบนซินและดีเซลในส่วนของสมรรถนะและค่าบำรุงรักษาอย่างเทียบ กันไม่ติด) ซึ่งคำตอบสั้นๆ คือรถยนต์ไฟฟ้าจะ “ครองโลก” ได้หรือไม่ใน 10-15 ปีข้างหน้า น่าจะขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ลิเธียม(Lithium ion battery) และการพัฒนาให้ระบบเก็บไฟฟ้านี้ราคาถูกลง บรรจุไฟฟ้าได้มากขึ้นและราคาถูกลงไปเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละ 14-15% เช่นที่ได้ทำแล้วในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาหรือไม่เพราะหากทำให้ราคาแบตเตอรี่ถูกลงปีละ 10-12% ใน 10 ปีข้างหน้า โดยประสิทธิภาพไม่ลดลงหรือดีขึ้น ก็จะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันแบตเตอรี่ลิเธียมในรถยนต์ Tesla นั้น น่าจะมีน้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัม (เท่ากับผู้โดยสาร 7 คน) และราคาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-50% ของราคารถ Tesla สมมุติว่าในปี 2018 Tesla สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขายได้ 500,000 คันดังที่ตั้งเป้าเอาไว้ ซึ่งบริษัทอื่นๆ รวมกันก็น่าจะขายรถไฟฟ้าได้อีกประมาณ 1 ล้านคันรวมกัน 1.5 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งไม่สูงมากนัก แต่ก็เริ่มมีนัยสำคัญ แต่หากสามารถทำให้ราคาแบตเตอรี่สิเธียมลดลงได้ปีละ 10-12% ดังกล่าวข้างต้นและสมมุติว่าตรงนี้จะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงได้ปีละ 4-6% ผลที่ตามมาคือราคารถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงอย่างมากภายในเวลา 10 ปี ดังนี้
หากราคารถยนต์ไฟฟ้าปรับลดลงเช่นนี้จริง คือใน 5 ปีข้างหน้าราคาเหลือ 25,700 ดอลลาร์ (หรือ 900,000 บาท) ถึง 28,000 ดอลลาร์ (หรือ 1,000,000 บาท) ก็จะกระทบยอดขายของรถยนต์เบนซินและดีเซลอย่างมากและภายใน 10 ปี หากราคาลดลงไปอีกเหลือ 18,850 ดอลลาร์ (หรือ 670,000 บาท) ถึง 23,270 ดอลลาร์ (หรือ 820,000 บาท) ก็อาจทำให้ยอดขายของ รถยนต์เบนซินและดีเซลลดลงอย่างมาก เพราะที่ระดับราคาดังกล่าวนั้นใกล้เคียงกับราคารถราคาประหยัดที่ผลิตอยู่ใน ปัจจุบันครับ