โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผลการลงประชามติของอังกฤษที่ให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาพของประชาคมยุโรปหรือ EU นั้นเป็นข่าวใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกที่น่าจะรุนแรงที่สุดหลังจากกรณีวิกฤตซับไพร์มของอเมริกาในปี 2008 ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐตกลงไปถึง 610 จุดหรือ 3.39% ในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 59 หลังจากทราบผลการลงประชามติ ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นตกลงไปถึง 1,286 จุดหรือ 7.92% เช่นเดียวกับดัชนี FTSE 100 ของตลาดลอนดอนที่ตกลงไป 3.15% ในด้านของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินปอนด์ที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 31 ปี และในช่วงหนึ่งของตลาดตกลงมาถึง 10% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ผลกระทบของการถอนตัวจาก EU หรือ BREXIT นั้นดูเหมือนว่าจะกระทบกับตลาดหรือเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ตลาดหุ้นของไทยนั้นตกลงมาเพียง 1.62% มาเลเซียตกลงมาเพียง 0.36% อินโดนีเซียลดลง 0.82% ฟิลิปปินส์ 1.29% เซี่ยงไฮ้ลดลง 1.33% เป็นต้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าความเกี่ยวพันกันของเศรษฐกิจการเงินจากการออกจาก EU ของอังกฤษนั้นจะกระทบกับ EU เป็นหลัก และ EU เองนั้นเกี่ยวพันกับประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา ว่าที่จริงถ้าจะถามว่าประเทศไทยจะถูกกระทบอย่างไรเมื่ออังกฤษจะออกจาก EU คำตอบก็ยังไม่ค่อยชัด ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบทางอ้อมที่ห่างไกล หุ้นที่ตกลงมาเพียง 1.62% นั้นอาจจะเป็นเรื่องของความ “ตกใจ” ของนักลงทุนไทยก็เป็นไปได้ เหนือสิ่งอื่นใด นักลงทุนต่างชาติซื้อขายหุ้นน้อยและขายหุ้นสุทธิในวันนั้นเพียง 783 ล้านบาทในขณะที่นักลงทุนสถาบันและโบรกเกอร์ขายหุ้นสุทธิ 7,482 และ 4,652 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนส่วนบุคคลดูเหมือนว่าจะ “ไม่ตกใจ” และเข้าไป “ช้อนซื้อ” ถึง 12,917 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายทั้งวันสูงลิ่วถึง 88,223 ล้านบาท หรือกว่าสองเท่าของปริมาณการซื้อขายปกติ
ผลกระทบโดยตรงจริง ๆ ในระยะสั้นต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นคงมีน้อยเพราะถึงอย่างไรอังกฤษก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีกว่าจะออกจาก EU ได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินโดยเฉพาะเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศนั้นปรับตัวเร็วมาก และนั่นทำให้หลายประเทศอย่างเช่นญี่ปุ่นและอังกฤษนั้น “ช็อก” เพราะค่าเงินอาจจะแข็งเกินไปหรืออ่อนเกินไปมากส่งผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกทันที เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็อาจจะยิ่งหนักขึ้น ในระยะยาวเองนั้น การที่อังกฤษและ EU จะต้อง “ปรับตัว” เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขต่าง ๆ เช่นในเรื่องของการ “ย้าย” ธุรกิจและแรงงานที่ผสมปนเปกันไปมากแล้วกลับประเทศ ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจชะงักหรือเติบโตช้าไปบ้าง ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ดีต่อเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินและตลาดทุนตกลงมาอย่างแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะมันเป็นเรื่องที่ “ไม่คาดคิด” ก่อนหน้านี้
มองภาพที่ใหญ่ขึ้น ผมเองลึก ๆ แล้วก็มองว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็น “จุดเริ่ม” ของสิ่งที่ใหญ่กว่า BREXIT มันอาจจะเป็นเรื่องของการ “แตกสลาย” ของการ “รวมกัน” ของสังคมโลกที่ดำเนินมานาน ผมยังจำได้ถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่รวมรัฐต่าง ๆ มากมายเข้าด้วยกันแล้ววันหนึ่งจู่ ๆ ทุกอย่างก็ “ล่มสลาย” ลงกลายเป็นประเทศอิสระเป็นสิบ ๆ ประเทศที่ต่างก็มีวิถีของตนเองและไม่ขึ้นอยู่กับประเทศใหญ่อย่างรัสเซียอีกต่อไป EU เองนั้นก็เป็นกระแสที่พยายาม “รวมประเทศ” เข้าด้วยกันเพื่อที่ต่างก็จะได้ประโยชน์จากการรวมกันนั้นในทุก ๆ ด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการป้องกันประเทศ หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นอาเซียนหรือ AEC ที่พยายามรวมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันเพื่อให้ทุกประเทศได้ประโยชน์จากสังคมและเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะเป็นเครื่องดึงดูดให้เกิดการลงทุนต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจเฉพาะอย่างยิ่งก็คือตลาดจะใหญ่ขึ้นมากสำหรับทุก ๆ ประเทศที่เข้ามารวมกัน
แต่การรวมกันเองนั้น ทุก ๆ ประเทศก็จะต้อง “สละ” สิทธิและความชอบส่วนตัวลงและต้องยอมรับ “เสียงส่วนใหญ่” ที่จะเข้ามาบังคับแทน ถ้าผลประโยชน์ของประเทศส่วนใหญ่สอดคล้องกัน สิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องเสียสละก็จะน้อยลงในขณะที่ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะมากกว่า แบบนี้ประชาคมก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขและ “เหนียวแน่น” แต่ถ้าไม่ ก็จะมีบางประเทศที่เริ่มจะเห็นว่าตนเอง “เสียเปรียบมาก” และเริ่มไม่มีความสุขและในที่สุดก็จะไม่อยากอยู่และถอนตัวออกไปในที่สุด นอกจากนั้น บางครั้งการที่บางประเทศอาจจะรู้สึก “เสียศักดิศรี” ที่ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามแนวคิดของตนเอง ตรงกันข้าม กลับถูกบังคับให้ต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเองต่อต้านหรือมีความคิดไม่เห็นด้วยรุนแรงก็จะเกิดความคับแค้นใจและอาจจะก่อให้เกิดกระแสสังคมในประเทศที่จะเรียกร้องให้ถอนตัวออกจากประชาคมทั้ง ๆ ที่ผลประโยชน์โดยรวมก็ยังเป็นบวกต่อประเทศตนเองอยู่
การที่สงครามทั้งร้อนและเย็นของโลกสงบลงและประเทศต่าง ๆ ต่างก็ “เปิดกว้าง” ต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติรวมทั้งลดภาษีและข้อจำกัดต่าง ๆ ทางการค้าและในการทำธุรกิจลงเพื่อเป็นการกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง ความจำเป็นที่จะต้องรวมกันเพื่อความปลอดภัยหรือป้องกันประเทศ หรือรวมกันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจก็อาจจะเริ่มน้อยลง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เทคโนโลยีด้านข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้าในระดับที่ “ปฏิวัติ” วิธีการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนได้ทำให้เรื่องของ “พรมแดน” หรือข้อบังคับของแต่ละประเทศมีความหมายน้อยลง พูดง่าย ๆ จะรวมหรือไม่รวมกันเป็นประชาคมก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก วิธีที่ดีกว่าอาจจะเป็นเรื่องของการทำสัญญาการค้าเสรีระหว่างประเทศที่ได้ประโยชน์เต็มที่โดยเสียสิทธิในการตัดสินใจเรื่องอื่น ๆ น้อยกว่า ตัวอย่างที่น่าจับตามองก็คือการทำสัญญาการค้าเสรี TPP ที่มีอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นหัวเรือใหญ่ที่ดูเหมือนว่าอาจจะทำให้ AEC นั้นมีความหมายน้อยลงไปมากถ้าสมาชิกบางประเทศที่อยู่ใน AEC ด้วยได้ประโยชน์สูงและทำให้สมาชิกอื่นขอเข้าร่วมในภายหลัง
ถึงขณะนี้ผมเองคิดว่าความคิดเรื่องของประชาคมร่วมนั้นน่าจะเริ่ม “ตกยุค” แม้แต่เรื่องของ AEC เองที่พวกเราคาดหวังไว้มากว่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศในย่านนี้ผมก็คิดว่าคงไม่เกิดมากไปกว่านี้นัก ที่แน่นอนก็คือไม่มีทางที่เราจะมีเงินตราร่วมกัน ผมคิดว่าประเทศอย่างเวียตนามนั้นเขาคงมุ่งสู่การเป็นสมาชิก TPP มากกว่าที่จะสนใจการรวมกันมากขึ้นของเพื่อนบ้าน เหนือสิ่งอื่นใด ความคิด วัฒนธรรม เรื่องของเชื้อชาติ และเรื่องอื่น ๆ อีกร้อยแปดที่แตกต่างกันมากนั้นจะทำให้ AEC ไม่ก้าวไปไกลกว่านี้มากนัก แม้แต่ EU ที่ประชากรและวัฒนธรรมต่าง ๆ ใกล้เคียงกันและดำเนินมานานนั้น ผมก็คิดว่ามีโอกาสที่ในที่สุดก็อาจจะ “แตก” จากกันได้ อาจจะคล้าย ๆ กับกรณีที่สหภาพโซเวียตแตกมาแล้ว
ก่อนที่จะจบ ผมเองรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก สิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ประเด็นก็คือ ปัจเจกบุคคลในโลกปัจจุบันนั้นได้รับข่าวสารแบบเสรีและรวดเร็ว นั่นทำให้ความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก สิ่งที่ในอดีตต้องการเวลาเปลี่ยนเป็น Generation หรือเป็นชั่วอายุคน เดี๋ยวนี้สามารถเปลี่ยนได้ในเวลาไม่กี่ปี และไม่มีใครขวางมันได้ ทั้งหมดที่พูดมานั้นแทบไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นเลย แต่นี่คือโลกยุคปัจจุบันที่เราต้องเข้าใจและนำมันมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนเอง