โค้ด: เลือกทั้งหมด
การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษของทีมฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ต้องถือว่าเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก คงมีคนที่จะ “วิเคราะห์” และพูดถึงเหตุการณ์นี้จำนวนมาก คนที่อยู่ในแวดวงฟุตบอลทั่วโลกคงจะพูดถึงเรื่องของการ “ทำทีม” ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งของเลสเตอร์ซิตี้ที่สามารถนำชัยชนะทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ที่โดดเด่นเลย บางคนโดยเฉพาะที่เป็นคนไทยก็อาจจะเชื่อว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับ “สิ่งศักดิ์สิทธ์” ที่เจ้าของสโมสรใช้ “ช่วย” ในการแข่งขันซึ่งก็มักจะเป็น “ปัจจัยสำคัญ” สำหรับคนไทยที่เชื่อในเรื่องเหล่านี้มากกว่าอีกหลาย ๆ สังคมอยู่แล้ว เหตุผลก็เพราะว่าก่อนเริ่มฤดูการแข่งขันนั้น ทีมเลสเตอร์ซิตี้ถูกมองว่าเป็นทีม “รองบ่อน” ที่แทบไม่มีโอกาสจะชนะเลยมองจากตัวผู้เล่น ผลงานในอดีตและอื่น ๆ ว่าที่จริงปีก่อนหน้านี้ทีมยังแทบจะ “เอาตัวไม่รอด” จากการที่จะยังสามารถเล่นอยู่ในลีกระดับสูงสุดนี้ ตัวเลขการ “ต่อรอง” สำหรับคนที่ต้องการพนันว่าเลสเตอร์จะชนะก็คือ 5000-1 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับว่ามีเพียงคนเดียวที่คิดว่าเลสเตอร์จะชนะจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” เรื่องฟุตบอล 5000 คน
ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับฟุตบอลมากนัก แต่ผมรู้จัก “แต้มต่อ” ของการพนัน เพราะเรื่องของแต้มต่อนั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากถึงมากที่สุดในการที่จะกำหนดว่าเราจะชนะหรือแพ้พนัน—ในระยะยาว จริงอยู่ที่ผม “ไม่เล่นการพนัน” แต่นั่นคือการพนันในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจเช่น การเล่นไพ่หรือการเล่นพนันต่าง ๆ ในคาสิโน การเล่นม้า การเล่นพนันฟุตบอล หรือแม้แต่การเล่นหวยหรือล็อตเตอรี่ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่เล่นอยู่แล้ว เหตุผลก็คือ ในเกม “พนัน” เหล่านี้ คนที่เข้าไปเล่นนั้นมักจะแพ้เสมอในระยะยาวโดยเฉพาะคนที่ไม่มีความรู้ ส่วนคนที่ชนะนั้นก็มักจะเป็น “เจ้ามือ” ที่เป็นคนกำหนด “แต้มต่อ” ของการพนัน เช่น เจ้ามือหวยที่กำหนดว่าแทงถูกเลขท้าย 2 ตัวจะจ่าย 60 บาท แต่ถ้าแทงผิดจะถูกกิน ซึ่งในระยะยาวแล้ว เจ้ามือก็มักจะกำไร 40 บาทโดยเฉลี่ย เพราะโอกาสที่จะถูกนั้นอยู่ที่ 1 ใน 100 คนแทง 100 คนจะถูกเพียง 1 คน ดังนั้นเจ้ามือก็จะกินเงิน 100 บาท แต่จ่ายให้กับคนเพียงคนเดียวที่แทงถูกจำนวน 60 บาท นี่เป็นเรื่องของสถิติโดยแท้ เพราะตัวเลขหวยที่ออกนั้นไม่มีใครทำนายได้ไม่ว่าจะเป็น “เกจิอาจารย์” สำนักไหน
แต่จริง ๆ แล้วผมเป็น “นักการพนัน” ตัวยงก็ว่าได้ เพราะผมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผม “พนัน” ว่าหุ้นที่ผมซื้อไว้ในราคาหนึ่งนั้น จะมีราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานพอ อัตราการเพิ่มขึ้นรวมถึงการจ่ายปันผลจะสูงในระดับที่น่าพอใจเช่นปีละ 10-15% โดยเฉลี่ยแบบทบต้นในอีกไม่น้อยกว่า 5 ปีข้างหน้า โดยที่ผมกล้าพนันแบบนั้นก็เพราะว่าผมวิเคราะห์แล้วผมเชื่อว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องไปอีก 5 ปี กำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นเร็วถึงปีละ 10% แบบทบต้น และบริษัทจะเข้มแข็งที่ทำให้บริษัทอื่นไม่สามารถแย่งธุรกิจไปจากบริษัทได้ เป็นต้น
คำถามก็คือ แล้วใครมา “พนัน” กับผม คำตอบก็คือ “ตลาดหุ้น” ซึ่งก็คือนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นคนอื่นทั้งหมดรวมกัน คนทุกคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดนั้น จริง ๆ แล้วเขากำลัง “พนัน” กับคนทั้งตลาดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน คนเล่นหุ้นหรือลงทุนนั้นมักคิดว่าเขา “เก่ง” และ “รู้ดีกว่า” คนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ “ร่วมกัน” มาเล่นหุ้นแข่งกับเขา เพียงแต่ว่าคนที่รวมกันเหล่านั้นไม่ได้ปรึกษากันเป็นทางการ พวกเขาใช้วิธี “โหวต” ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยที่แต่ละคนนั้นก็มีข้อมูลความรู้และความเข้าใจต่อตัวหุ้นที่หลากหลาย บางทีก็ขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อ “นับเสียง” ของแต่ละคนก็จะได้ข้อสรุปว่าหุ้นตัวนั้นพวกเขาให้ราคาเท่าไร พูดอย่างย่อและเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ เมื่อเราเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็เท่ากับว่าเราเข้ามา “พนัน” กับคนอื่นทุกคนว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือลงในอนาคต คำถามต่อมาก็คือ “แต้มต่อ” อยู่ตรงไหน?
นี่ก็ต้องกลับไปที่การเลือกหุ้นที่จะลงทุนซื้อข้างต้น นั่นคือ ผมอาจจะคาดการณ์ถูกต้องว่ากำไรของบริษัทก็เติบโตเป็นไปตามคาด แต่ราคาหุ้นแทนที่จะขึ้นไปและให้ผลตอบแทน 10-15% ต่อปีนั้นกลับไม่ไปไหน เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวนั้นมีค่า PE ในขณะที่ผมซื้อที่ 50 เท่า เวลาที่ผ่านไปนั้นแม้ว่ากำไรบริษัทจะเพิ่มขึ้นจริงแต่ค่า PE ของหุ้นกลับลดลงส่งผลให้ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 ปี ค่า PE อาจจะลดลงมาจนเหลือ 20 เท่าโดยที่ราคาหุ้นไม่ขึ้นเลยแม้ว่าผลประกอบการจะดีขึ้นโดยตลอด และนี่ก็คือสิ่งที่วงการหุ้นมักพูดว่า แม้บริษัทจะดีมากแต่ถ้าซื้อในราคาที่แพงเกินไป (PE 50 เท่า) คุณก็ “แพ้” เพราะ “แต้มต่อ” ในกรณีนี้ก็ต้องเรียกว่า “ต่ำมาก”
ตรงกันข้าม หุ้นบางตัวนั้นกิจการดูแล้ว “แย่” โอกาสทำกำไรเท่าที่เราดูแล้วต่ำมาก บริษัทคู่แข่งก็มีเพียบแถมเก่งกว่า โอกาสชนะในธุรกิจของบริษัทน้อยมาก แต่ราคาหุ้นตัวนี้ถูกมาก คิดเป็นค่า PE แล้วก็แค่ 5 เท่า หรือเรียกว่า “แต้มต่อ” สูงมาก นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กับทีมฟุตบอลลีกรองบ่อนที่ไม่มีคนสนใจและไม่มีใครคิดว่าจะชนะได้ ในกรณีแบบนี้ ถ้าเรามีข้อมูลและมีความสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทจะดีขึ้นอย่างโดดเด่นในอนาคต เราก็อาจจะ “พนัน” กับ “ตลาด” ที่มองว่าบริษัทนั้นไม่ดีและมีโอกาสชนะน้อยได้
โดยทั่วไปแล้ว ในตลาดหุ้นที่ “พัฒนาแล้ว” ตลาดจะมีความสามารถสูงมากในการ “พนัน” เหตุผลก็เพราะว่าตลาดนั้นประกอบไปด้วย “ผู้เชี่ยวชาญ” จำนวนมากที่เอาข้อมูลและความสามารถในการวิเคราะห์มา “ร่วมกัน” กำหนดแต้มต่อของหุ้นแต่ละตัว ราคาหุ้นที่จะ “รับพนัน” กับเราจึงมักเป็นราคาที่ตลาดจะทำกำไรได้มากกว่าเรา ตลาดนั้นรู้ว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการทำธุรกิจสูงและได้กำไรดีและรู้ด้วยว่า “แต้มต่อ” หรือราคาหุ้นที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม ในตลาดที่ยังไม่พัฒนามาก หรือในหุ้นที่มีขนาดเล็กที่ตลาดยังไม่สนใจที่จะลงทุน ราคาหุ้นที่ตลาด “รับพนัน” ก็อาจจะมี “แต้มต่อ” ที่ผิดพลาด และอาจจะทำให้เราที่อาจจะ “รู้มากกว่า” สามารถทำกำไรจากการพนันในตลาดหรือตัวหุ้นได้
กรณีของทีมเลสเตอร์ซิตี้นั้น ในมุมมองของ “การพนัน” ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรมหัศจรรย์ ผมเองไม่แน่ใจว่าจะมีใครหรือเม็ดเงินมากแค่ไหนที่พนันเลสเตอร์ตั้งแต่ต้นฤดูการแข่งขันที่มีแต้มต่อ 5000-1 แต่คิดว่าคงมีน้อยมาก และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่จะรวยจากการแทงเลสเตอร์ด้วยเพราะคงไม่มีใครกล้าลงเงินมาก ๆ เพราะโอกาสที่จะชนะนั้นต่ำมากและโอกาสที่จะสูญเงินมีสูง อย่างไรก็ตาม โอกาสนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตมันจะมีโอกาสเกิดสูงขึ้น ทีมเลสเตอร์เองในฤดูกาลหน้าแต้มต่อก็คงลดลงมาก อาจจะเหลือแค่ 4 หรือ 5 ต่อ 1 ซึ่งก็อาจจะทำให้ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
ในตลาดหุ้นเองนั้น หุ้นที่อาจจะมีแต้มต่อสูง ๆ หรือสูงลิ่วก็มีอยู่ตลอดเวลา เช่นหุ้นของบริษัทที่เข้าข่าย “ใกล้ล้มละลาย” หรือกิจการไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ที่ “แต้มต่อ” สูงลิ่วเป็นประเภท “100-1” คิดจากราคาหุ้นที่อาจจะเหลือต่ำกว่า 3-4 สตางค์ต่อหุ้นและ Market Cap. เหลือไม่ถึง 100 ล้านบาท จากธุรกิจที่เคยทำเป็น 1,000 ล้านบาท แต่แล้ว “ปาฏิหาริย์” ก็เกิดขึ้น บริษัทฟื้นตัวและราคาหุ้นกลับมามีราคาเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีส่งผลให้คนที่กล้าเข้าไปซื้อและถือต่อเนื่องร่ำรวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนก็กลายเป็น “เซียนหุ้น Turnaround” อย่างไรก็ตาม หลายคนนั้นอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความสามารถและไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เขาอาจจะ “เล่นต่อ” และก็พบว่าโอกาสที่หุ้นหรือการพนันที่มีแต้มต่อสูงมากจะ “ชนะ” นั้น มันน้อยจริง ๆ และทำให้เขาเสียหายอย่างหนัก และดังนั้น เราจึงไม่ควรจะ “เล่น” หรือเล่นมาก ผมเองคิดว่าถ้าอยากจะเล่น เราควรจะทำคล้าย ๆ เอาเงินไปซื้อลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตหรือโยกสล็อตแมชินที่เราพร้อมเสียเงินเพื่อ “ความบันเทิง” เท่านั้น