โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปัญหาของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investor ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ เขาไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะวิเคราะห์ตัวหุ้นที่เขาจะเลือกลงทุน นอกจากนั้น เขาก็อาจจะไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะวิเคราะห์คุณภาพของกิจการหรือคาดการณ์อนาคตของบริษัทว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเขา “ไม่เก่งพอ” หรืออาจจะเพราะว่าเขาไม่มีเวลาพอที่จะทำอย่างนั้น เช่น การลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เขามักไม่ค่อยมีโอกาสสัมผัสกับธุรกิจของบริษัทมากนัก ในกรณีแบบนี้ VI จะทำอย่างไร?
ถ้าเป็นในอดีตที่ข้อมูลโดยเฉพาะที่เป็นตัวเลขของกิจการและหุ้นยังเป็นสิ่งที่หาได้ยาก การลงทุนในแบบ VI ก็ทำได้ยาก แต่ในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าสูงมากในด้านของอินเตอร์เน็ตและข้อมูลต่าง ๆ ที่หาได้ง่าย “เพียงแค่ปลายนิ้ว” การลงทุน “แบบ VI” ก็ทำได้ง่ายขึ้นมาก และอาจจะไม่ต่างจากการลงทุน “แบบเทคนิค” ที่ทำได้ในชั่วพริบตา ลองมาดูกันว่าทำอย่างไร
วิธีลงทุนแบบ VI ที่ “ไม่ต้องวิเคราะห์” นี้ก็คือการลงทุนที่เรียกว่า Mechanical Trading หรือการลงทุนโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ที่จะมากรองหุ้นเพื่อที่จะเลือกหุ้นลงทุน สูตรที่ใช้ก็คือตัวเลขที่เกี่ยวกับพื้นฐาน เช่น อัตราการทำกำไรและการเติบโตของกิจการ และอัตราความถูกความแพงของราคาหุ้น เป็นต้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สามารถที่จะหาได้ง่าย ๆ จากข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์หรือในเว็บไซ้ต์ต่าง ๆ ทั้งที่ให้ฟรีและต้องเสียเงินซื้อ
สูตรที่มีการศึกษาในอดีตและพบว่าสามารถเลือกหุ้นเป็นพอร์ตและทำกำไรและผลตอบแทนได้น่าประทับใจนั้น เริ่มแรกก็เป็นสูตรที่เน้นเลือกหุ้นที่มีราคาถูกแนว “VI ดั้งเดิม” ซึ่งสูตรหนึ่งที่ใช้กันมากก็คือ เลือกหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ เช่น ไม่เกิน 10 เท่า และค่า PB ต่ำ เช่นไม่เกิน 1 เท่า และค่า Dividend Yield สูง เช่น ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปีในปีล่าสุด หุ้นตัวไหนที่เข้าข่ายทั้งสามข้อก็จะถูกเลือกเข้ามาลงทุนในพอร์ต โดยที่ทุกตัวจะลงทุนเท่า ๆ กันเช่นอาจจะตัวละ 10,000 บาท จำนวนหุ้นที่เข้าข่ายอาจจะประมาณ 50 ตัว ใช้เงินไปประมาณ 500,000 บาท หลังจากซื้อในตอนต้นปีก็จะถือไปถึงสิ้นปีแล้วเราก็จะคำนวณว่าพอร์ตมีมูลค่าเท่าไร อาจจะเป็น 700,000 บาทหรือกำไร 40% ต่อปี (รวมเงินปันผลแล้ว) ในปีแรก หลังจากนั้นเราก็จะเอาหุ้นทั้งตลาดมาเลือกใหม่ด้วยสูตรเดิม เราอาจจะได้หุ้นจำนวน 35 ตัวที่เข้าเกณฑ์ที่จะลงทุน โดยที่แต่ละตัวเราจะลงทุนเท่า ๆ กันคิดเป็นเงินตัวละ 20,000 บาท ซึ่งสิ่งที่เราจะทำก็คือการ “Rebalance” หรือการปรับพอร์ตหุ้น 50 ตัวของเราให้เป็นไปตามพอร์ตใหม่ 35 ตัวที่เราคัดไว้แล้ว เราจะทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ทุกปีตราบที่เรายังลงทุนอยู่และนี่ก็คือสูตรแรก
สูตรแบบที่สองที่ภายหลังเริ่มมีคนเสนอและใช้กันมากขึ้นจนอาจจะมากกว่าสูตรแบบแรก นั่นก็คือสูตรที่ใช้ข้อมูลด้าน “คุณภาพ” ของกิจการ เช่นการทำกำไรที่วัดโดยผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ประกอบกับข้อมูลความถูกความแพงที่วัดด้วยค่า PE ของหุ้น และสูตรหนึ่งที่น่าจะเป็นที่นิยมไม่น้อยนั้นเสนอโดย Joel Greenblat ในหนังสือชื่อ The Little Book That Beats The Market ซึ่งเขาเรียกมันว่า Magic Formula (MF) หรือ “สูตรมหัศจรรย์” เพราะจากการศึกษาย้อนหลังพบว่ามันให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดมหาศาลคิดเป็นปีละกว่า 20-30% โดยเฉลี่ยเป็นเวลายาวนานถึง 17 ปี ตั้งแต่ปี 1988 ถึง 2004 เปรียบเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่ประมาณ 10% ต้น ๆ ต่อปี
เกณฑ์ของ MF คร่าว ๆ ก็คือ การเลือกหุ้นที่มี “ROE สูงที่สุด และ PE ต่ำที่สุด” พูดง่าย ๆ ก็คือ “คุณภาพดีสุดแต่ราคาต่ำสุด” โดยวิธีที่เขาทำก็คือ ข้อแรก เขาจะเรียงลำดับหุ้นทุกตัวในตลาดด้วยค่า ROE แล้วก็จะกำหนดตัวเลข 1 ให้แก่ตัวที่มี ROE สูงที่สุด ตัวเลข 2 ให้แก่หุ้นตัวที่มี ROE สูงที่สุดอันดับสอง และไล่ไปเรื่อย ๆ กับหุ้นทุกตัว ขั้นตอนที่สอง เขาจะเรียงลำดับหุ้นทุกตัวใหม่ด้วยค่า PE จากต่ำสุดไปสูงสุด จากนั้นก็ให้ตัวเลขหุ้นที่มีค่า PE ต่ำสุดเป็นเลข 1 หุ้นที่มีค่า PE ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองก็ได้ตัวเลข 2 ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ กับหุ้นทุกตัว ในขั้นตอนที่สาม เขาจะเอาตัวเลขค่า ROE กับค่า PE ของหุ้นแต่ละตัวมาบวกกันหรือรวมกันเพื่อให้ได้ตัวเลขที่เรียกว่า “คะแนน” ของหุ้น โดยที่คะแนนน้อยคือหุ้นที่ดีเพราะจะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีแต่ราคาถูก ในขั้นตอนที่สี่นั้น เขาจะเอาหุ้นทุกตัวมาเรียงลำดับตามคะแนนและเลือกเฉพาะหุ้นที่มีคะแนนต่ำที่สุด 30 ตัวแรกมาลงทุนตั้งแต่ต้นปี เมื่อถึงปลายปี เขาก็จะปรับพอร์ตใหม่โดยใช้เกณฑ์เดิมและทำซ้ำ ๆ แบบเดียวกับในกรณีแรกที่ใช้สูตรหุ้นถูกที่ผมกล่าวถึงแล้ว
ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ที่นิด้าได้ทำการศึกษาทดสอบผลการลงทุนโดยใช้ทั้งเกณฑ์แบบแรกและ Magic Formula กับตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 1996 -2010 คิดเป็นเวลา 15 ปี ก็พบว่าพอร์ตสามารถทำผลตอบแทนสูงอย่าง “น่ามหัศจรรย์” คือแบบ VI ดั้งเดิมให้ผลตอบแทนทบต้นโดยเฉลี่ยปีละ 36.69% เทียบกับตลาดที่เพียง 2.4% เงิน 1 ล้านบาทกลายเป็น 108.7 ล้านบาทเทียบกับ 1.42 ล้านบาทในกรณีของตลาด และในกรณีที่ใช้ MF นั้น ให้ผลตอบแทนปีละถึง 66.18% เทียบกับ 2.4% ของตลาด เงิน 1 ล้านบาทกลายเป็น 2,035 ล้านบาทเทียบกับตลาดที่เพียง 1.42 ล้านบาทในเวลา 15 ปี
นั่นคือ “การศึกษาข้อมูลจากอดีต” ที่มีการตั้งสมมุติฐานหลายอย่าง เช่น เราสามารถซื้อขายหุ้นได้จริงตามที่เรากำหนด แต่ความเป็นจริงอาจจะทำไม่ได้ เช่น หุ้นมีสภาพคล่องน้อย เวลาเราซื้อ หุ้นอาจจะวิ่งขึ้นไปมากทำให้ต้นทุนของเราสูงกว่าที่เห็นในตัวเลขย้อนหลัง เช่นเดียวกับที่เวลาขาย เราอาจจะขายไม่ได้ราคาที่เห็น นอกจากนั้น พฤติกรรมของหุ้นใน “อนาคต” ก็อาจจะไม่เป็นแบบเดิมเพราะสถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเดียวกับนักลงทุนที่ก็อาจจะเปลี่ยนความนิยมจากหุ้นที่เข้าเกณฑ์ VI ในสมัยก่อน เช่น นักลงทุนอาจจะสนใจลงทุนในหุ้นที่เติบโตเร็วมากกว่าหุ้นที่ถูกอย่างในอดีต เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การใช้เกณฑ์การลงทุนแนว VI นั้น ก็น่าจะเป็นวิธีที่น่าสนใจอยู่โดยเฉพาะในโลกที่เป็นโลกาภิวัตรและการลงทุนข้ามประเทศมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของหุ้นมีจำกัด ผมเองได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามโดยอาศัยเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นทั้งแบบแรกและ MF โดยมีการผสมผสานบ้าง จำนวนหุ้นที่ถืออยู่มีถึงกว่า 50 ตัว การลงทุนผ่านมาเกือบ 2 ปี ผลตอบแทนที่ได้นั้นต้องถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งแต่ปัญหาก็คือ ผมไม่สามารถขายทำกำไรได้เนื่องจากสภาพคล่องของหุ้นดูเหมือนจะไม่ใคร่พอเนื่องจากหุ้นที่ถือนั้นมีขนาดเล็กเกินไป ผมคงต้องรอไปอีก อาจจะหลายปีถ้าต้องการขาย ผมคิดว่าเกณฑ์ที่ผมใช้นั้นอาจจะไม่เหมาะสมโดยเฉพาะในแง่ของขนาดและสภาพคล่องของหุ้น นั่นทำให้ผมไม่ได้ปรับพอร์ตในแต่ละปีตามเกณฑ์ ผมไม่รู้ว่าหลังจากการลงทุนอาจจะซัก 4-5 ปี อะไรจะเกิดขึ้น ในขณะนี้ถ้าจะเรียกว่าผม “ติดหุ้น” ก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าประสพผลสำเร็จก็ไม่น่าจะใช่ เวลาและผลตอบแทนที่จะได้รับที่แท้จริงคือ “ขายหุ้นได้” จะเป็นตัวบอก แต่บทเรียนสำหรับคนที่จะใช้หลักเกณฑ์การลงทุนตามสูตรก็คือ ผลตอบแทนที่จะได้จาก “สูตรมหัศจรรย์” อาจจะไม่ได้มหัศจรรย์อย่างที่เขาบอก ดังนั้นก่อนที่จะใช้ต้องคิดดูให้ดีและต้องพร้อมที่จะรับผลของมันด้วย