โค้ด: เลือกทั้งหมด
ถ้าจะถามผมว่าหุ้นตัวไหนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานี้คือ “หุ้นแห่งทศวรรษ” ผมคิดว่าคือหุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือหุ้น JAS ไม่ใช่เพราะว่าเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แม้ว่าในช่วงหนึ่งมันให้ผลตอบแทน “สุดยอด” แต่เพราะว่า JAS เป็นหุ้นที่ “มีทุกอย่าง” ที่คนเล่นหุ้นหรือนักลงทุนต้องการไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ เป็นหุ้นยอดนิยมของทั้ง Value Investor ของ “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้น และของนักเล่นหุ้นและนักลงทุนรายย่อย เป็นหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงติดอันดับ 1 ใน 10 เกือบทุกวันเป็นเวลาต่อเนื่องมาหลาย ๆ ปี เป็นหุ้นที่ทำให้คนบางคนรวยเป็นเศรษฐีและทำให้คนบางคนโดยเฉพาะรายย่อยบางคน “เจ๊งยับเยิน” และอื่น ๆ อีกมาก มาดูกันว่าหุ้นตัวนี้มีเรื่องราวและ “ดราม่า” มากน้อยแค่ไหนโดยที่ผมเองนั้นจะเขียนจากความทรงจำคร่าว ๆ ที่ได้รับรู้เกี่ยวกับบริษัทจากสื่อและวงการนักลงทุนที่ผมรู้จัก
หุ้นของ JAS นั้นเริ่มต้นน่าจะเกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์มีสายในต่างจังหวัดผ่านบริษัท TT&T และการให้บริการอื่น ๆ เกี่ยวกับโทรคมนาคม ราคาหุ้น JAS นั้นเคยขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 10 บาทต่อหุ้นในช่วงปี 2539 ก่อนปีวิกฤติเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลงมาอย่างหนัก ภายในปีเดียวหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 บาทเศษ ๆ หรือลดลงถึงเกือบ 80% หลังจากการลดค่าเงินบาทในปี 2540 หุ้นก็ตกลงมาอีกจากประมาณ 2 บาทเหลือเพียง 1 บาทภายในเวลาเพียงปีเดียวเช่นเดียวกัน รวมแล้วหุ้นตกลงมาประมาณ 90% คนที่ถือหุ้นระยะยาวในช่วงนั้นขาดทุนแทบเป็น “หายนะ” เหตุผลนั้นนอกจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว ผลการดำเนินงานของบริษัทก็แย่มากเนื่องจากสัมปทานการให้บริการโทรศัพท์ในต่างจังหวัดนั้นขาดทุนหนักเนื่องจากค่าสัมปทานที่สูงมากเกินกว่าที่จะคุ้มค่าเนื่องจากธุรกิจโทรศัพท์บ้านไม่ได้ดีอย่างที่คิด นอกจากนั้น โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็เริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนจำนวนมากเริ่มใช้มือถือแทนโทรศัพท์บ้าน
หุ้น JAS หลังจากนั้นก็ “เงียบเหงา” ยกเว้นแต่ในบางช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นแรงในลักษณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติอย่างเช่นในปี 2542 และ 2546 ที่ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมา 36% และ 117% ตามลำดับ โดยที่ราคาหุ้น JAS ที่ปรับตัวขึ้นแต่ละครั้งนั้นสูงขึ้นมาครั้งละถึงประมาณ 3-4 เท่าตัว จากราคาที่เป็น “เศษสตางค์” แต่หลังจากนั้นราคาก็ปรับตัวลงกลับมาใกล้กับราคาเดิมก่อนที่จะขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าราคาที่ขึ้นมานั้น มาจากการเล่นเก็งกำไรมากกว่าที่จะเกิดจากพื้นฐานของบริษัทที่น่าจะยังไม่ฟื้นตัว แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าหุ้น JAS นั้นมีศักยภาพของการเป็นหุ้นเก็งกำไรสูงมากตั้งแต่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์
ราคาของหุ้น JAS หลังจากปี 2546 ก็ตกต่ำลงและนิ่งอยู่ที่ประมาณ 40-50 สตางค์ต่อเนื่องยาวนานมากเป็นเวลา 7 ปี จนถึงปี 2553 ในช่วงเวลานี้แม้ว่าตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจะมีกำไรมากกว่าขาดทุน แต่ก็เป็นกำไรที่น่าจะเป็น “ตัวเลข” นั่นคือเกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้และอื่น ๆ ตัวกิจการเองนั้นโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์พื้นฐานดูเหมือนว่าจะ “ไปไม่ไหว” ดังนั้น หุ้น JAS จึงกลายเป็นหุ้นที่ “โลกลืม” แต่แล้ว ผลจากการปรับโครงสร้างและการหันมาเล่นธุรกิจที่เกี่ยวข้อง “เล็ก ๆ” อย่างหนึ่งนั่นคือธุรกิจให้บริการอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่บริษัทสามารถใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ให้บริการได้ในต้นทุนที่ถูกก็ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเริ่มจะดีขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปสังคมไทยก็เริ่มเข้าสู่ยุคบูมของการใช้อินเตอร์เน็ต บริษัทก็เริ่มขยายตัวและมีกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เน็ตบรอดแบรนด์ในต่างจังหวัด
ผลการดำเนินงานของ JAS เริ่มฟื้นตัวในปี 2552 ที่บริษัทมีกำไรประมาณ 200 ล้านบาทเศษหลังจากขาดทุนกว่าพันล้านในปี 2551 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานที่ชัดเจนว่าโดดเด่นขึ้นจากการดำเนินงานทางธุรกิจจริง ๆ นั้นน่าจะเกิดขึ้นในปี 2553 ที่ JAS สามารถทำกำไรได้ถึง 663 ล้านบาท และก็ในปีนี้เองที่หุ้นเริ่มเป็นที่สนใจของ VI “ชั้นนำ” หลาย ๆ คนที่ต่างก็เข้ามาซื้อหุ้น JAS กันอย่างหนักในราคาประมาณ 40-50 สตางค์ต่อหุ้นจนกลายเป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” และหลังจากนั้น หุ้นก็ได้รับการ “ประโคม” อย่างหนักในสื่อทุกช่องทางโดยเฉพาะในเวบไซ้ต์ของเหล่านักลงทุน VI และเวบไซ้ต์ที่เน้นนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก “สตอรี่” ของหุ้นก็คือ มันอยู่ในเมก้าเทรนด์ที่จะต่อเนื่องไปยาวนานนั่นคือ ให้บริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่จะมีการใช้เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด บริษัทนั้นถึงแม้ว่ายังมีลูกค้าน้อยกว่ารายอื่นแต่บริษัทเป็นเอกชนที่มีความคล่องตัวสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เป็นรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่บริษัทมีเครือข่ายที่กว้างขวางอานิสงค์จากการที่บริษัทมีอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าคู่แข่งอื่น
ปี 2552 -2555 คิดเป็นเวลา 4 ปี นั้น คือปีที่ตลาดหลักทรัพย์ไทย “บูมสุดขีด” หลังภาวะวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในปี 2551 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น 63% 41% 0% และ 36% ตามลำดับ แนวความคิดและวิธีการลงทุนแบบ VI ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและนักลงทุน VI ระดับ “เซียน” รุ่นใหม่เกิดขึ้น “ทุกวัน” หลายคนกลายเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ทั่วทั้งสังคมต่างก็พูดถึงการลงทุนที่จะสามารถ “เปลี่ยนชีวิต” ของคนรุ่นใหม่ได้ในเวลาอันสั้นจากการลงทุน “แบบ VI” หุ้นที่เข้าข่ายเป็น “หุ้น VI” ต่างก็ปรับตัวขึ้นไปแรงและบ่อยครั้ง “มโหฬาร” หุ้นเหล่านั้นจะเป็นหุ้น VI ทุกตัวหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่นักวิชาการคงต้องไปหาคำตอบภายหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ “เซียน VI” ในช่วงนั้นมองหาก็คือ มันต้องเป็นหุ้นที่ “โตเร็ว” และยิ่งเร็วยิ่งดี และหนึ่งในสุดยอดหุ้นในช่วงนั้นก็คือหุ้น JAS
ราคาหุ้น JAS ตั้งแต่กลางปี 2553 ปรับตัวขึ้นมโหฬาร อานิสงค์จากแรงเชียร์และแรงซื้อจากเหล่า VI ราคาหุ้นปรับขึ้นไปน่าจะประมาณ 4 บาท หรือเป็นหุ้น “10 เด้ง” ภายในเวลาปีเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นนอกจากพลังจาก VI แล้วยังน่าจะมาจากการผลประกอบการของบริษัทที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก กำไรโตปีละ 30-40% บริษัทเป็นผู้นำในตลาดต่างจังหวัดและรุกคืบขยายตัวเข้ากรุงเทพ การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดึงดูดนักเล่นหุ้นรายย่อยเข้า “ร่วมวง” สถาบันลงทุนบางแห่งก็น่าจะเข้าเล่นด้วย หุ้น JAS กลายเป็นหุ้นยอดนิยมที่มีการซื้อขายสูงสุดสิบอันดับแทบทุกวันและบ่อยครั้งเป็นอันดับหนึ่งทั้งที่เป็นหุ้น “ตัวเล็ก ๆ” ในตลาด มีนักเล่นหุ้นน้อยคนในตลาดที่ไม่เคยเข้ามาซื้อขายหุ้น JAS อย่างไรก็ตาม การขึ้นของหุ้นขนาด 10 เท่าในปีเดียวนั้นน่าจะยากที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีเรื่องของการเก็งกำไรอย่างรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น “เซียน VI” และเหล่า “VI วงใน” จึงเริ่มขายหุ้น JAS ทิ้ง อย่างรวดเร็ว ภายใน 6 เดือน ราคาหุ้น JAS ดิ่งลงจาก 4 บาท เหลือประมาณ 1.5 บาท ลดลงถึง 75% นักเล่นหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยที่เล่นหุ้น JAS ตาม “เซียน VI” จำนวนมากเสียหายอย่างหนัก และเข้าไปวิจารณ์ในสื่อสังคมเกี่ยวกับหุ้นว่าตนเอง “ถูกหลอก” ให้เข้าไปรับหุ้นเพื่อให้ “เซียน VI” ขาย และเรียกเหล่า VI นั้นว่าเป็น “VI ทมิฬ”
หลังจากหุ้น JAS ปรับตัวลงมาแรงในปลายปี 2554 แล้ว ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอาจจะเนื่องจากผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าประทับใจ กำไรของบริษัทเติบโตอย่างมากและก้าวกระโดดจากแค่ 200 ล้านบาทเป็นกว่า 3000 ล้านบาทในปี 2558 หรือโตขึ้นกว่า 10 เท่าเป็นไปอย่างที่ VI กลุ่มนั้นคิด ราคาหุ้นขึ้นจาก 1.5 บาทกลับมาเป็น 10 บาทหรือเพิ่มขึ้น 5-6 เท่าตัวในช่วงเวลาประมาณปีครึ่งและรักษาระดับราคาอยู่ที่ 7-8 บาทมาจนถึงต้นปี 2558 ก่อนที่จะ “ทิ้งดิ่ง” อีกครั้งเมื่อเริ่มมี “ภัยคุกคาม” จาก “อินเตอร์เน็ตเคลื่อนที่” ที่มาจากโทรศัพท์มือถือที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นทำให้บริษัทต้องเข้าไปเล่นหรือเข้าไปประมูลคลื่นวิทยุเพื่อเข้าไปเป็นผู้เล่นในธุรกิจที่ “ใหญ่กว่าตัวเองมาก”
นับจากต้นปี 2558 หุ้น JAS ตกลงมาจาก 9 บาทเหลือไม่ถึง 3 บาทเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผลจากการที่คนไม่มั่นใจว่า JAS จะไปต่ออย่างไรภายใต้ภาวะ “คุกคาม” จากเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น มันเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงของโลกในปัจจุบัน เราคงต้องดูต่อไปว่าหุ้น JAS ในที่สุดแล้วจะไปทางไหน จะสามารถเข้าไปเล่นในธุรกิจมือถือได้หรือไม่และธุรกิจเดิมจะอยู่อย่างไรถ้าพลาดจากธุรกิจใหม่ แต่ระหว่างนี้ผมขอยกให้หุ้น JAS เป็น “หุ้นแห่งทศวรรษ” อย่างไม่มีข้อสงสัย