โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเพิ่งกลับจากการไปท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มนอร์ดิกหรือประเทศในยุโรปตอนเหนือซึ่งประกอบไปด้วยเดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอรเวย์ และสวีเดน เป็นเวลา 8-9 วัน ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ ที่จริงผมเตรียมที่จะไปฝรั่งเศสตอนใต้ที่เรียกว่าริเวียร่า แต่ต้องถูกเปลี่ยนกะทันหันเนื่องจากเหตุก่อการร้ายในฝรั่งเศสเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก่อนไปผมก็รู้สึกว่าคงจะแย่พอสมควรเนื่องจากสภาวะอากาศที่หนาวมากของประเทศเหล่านี้ คนส่วนใหญ่ที่ไปนั้นมักจะไปกันตอนช่วงฤดูร้อนที่อากาศดีและอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สำคัญและหาดูที่อื่นได้ยากนั่นก็คือ อาทิตย์เที่ยงคืนและแสงเหนือ การไปช่วงฤดูหนาวนั้น ไม่รู้ว่าจะไปดูอะไรที่เด่น ๆ เพราะประเทศเหล่านี้ก็ไม่ได้มีสิ่งประดิษฐ์อะไรที่ยิ่งใหญ่หรือมหัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม ผมก็จำเป็นต้องไปเนื่องจากได้จ่ายเงินไปหมดแล้ว
สิ่งแรกที่เจอเมื่อเดินทางถึงประเทศแรกในกลุ่มก็คือ ความมืดของท้องฟ้าทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว เวลาที่ฟ้าสว่างแบบสลัว ๆ เองนั้นก็สั้นมากเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมง ประมาณบ่าย 3 โมง เมืองทั้งเมืองก็อยู่ในความมืด ร้านค้า สำนักงาน และบ้านเรือนต้องเปิดไฟทำงาน ไกด์บอกว่านี่คือเรื่องปกติของประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ที่มีช่วงเวลา 6 เดือนที่จะหนาวจัดและท้องฟ้ามืดไม่ค่อยมีแสงอาทิตย์เกือบทั้งวัน และอีก 6 เดือนที่ฟ้าสว่างวันละอาจจะ 20 ชั่วโมงและมีช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าถึงเที่ยงคืน สาเหตุเป็นเพราะแกนโลกนั้น “เอียง”
ปีนี้คนท้องถิ่นบอกว่าอากาศนั้นอุ่นมากกว่าปกติ อาจจะเป็นเรื่องของภาวะ “โลกร้อน” อากาศ “ดีมาก” แต่ที่ผมเจอก็คือ บวกลบประมาณ 0 องศา เกือบทุกวันและมีหิมะตกตลอด มากบ้างน้อยบ้าง บางจุดที่เดินทางโดยเฉพาะที่ขึ้นภูเขานั้น ต้องหยุดพักรถเพื่อรอรถกวาดหิมะมากวาดหิมะเช่นเดียวกับที่ต้องรอรถคันอื่น ๆ มาเข้า “ขบวน” ไปด้วยกัน เพราะมิฉะนั้นก็อาจจะเป็นอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องให้บริการเต็มที่เพราะประเทศเหล่านี้ล้วนเป็น “รัฐสวัสดิการ” ที่รัฐจัดบริการอย่างดีให้กับประชาชนซึ่งรวมถึงการดูแลพลเมืองที่อยู่กระจัดกระจายกันมากเนื่องจากประเทศกว้างใหญ่แต่มีประชากรน้อยประเทศละไม่เกิน 10 – 20 ล้านคนเป็นอย่างมาก รัฐบาลทำได้เนื่องจากเขาเก็บภาษีสูงมาก บางประเทศอาจจะเก็บถึง 50% ของรายได้ประชาชาติ ไกด์บอกว่าในฟินแลนด์ที่เต็มไปด้วยภูเขาและฟยอร์ดนั้น เวลาคนป่วยต้องการการรักษาอย่างรีบด่วนนั้น สามารถเรียกเฮลิคอปเตอร์ให้มารับที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเงิน
ทัวร์ครั้งนี้ของผมจึงพูดได้ว่ามา “ผิดเวลา” ทั้งมืดทั้งหนาวและเสียเวลาจากการเดินทางมาก ในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปนั้นแทบไม่มีคนอื่นเลยนอกจากกรุ๊ปของผม ร้านค้าก็ไม่เปิดกันเต็มที่ ร้านค้าหลายแห่งก็ปิดเนื่องในวันปีใหม่ ในบางจุดที่มีร้านของคนไทยขายของที่ระลึก ไกด์ถึงกับไปขอร้องให้เขาเปิดเพื่อต้อนรับกลุ่มของเราโดยเฉพาะ
ฟังดูแล้วอาจจะนึกว่าผมคงรู้สึกแย่มากที่ต้องมาเที่ยวในช่วงที่ “เลวร้าย” และไม่ค่อยมีใครเขาเที่ยวกันในฤดูนี้ แต่เมื่อคิดดูอีกทีผมกลับรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าการมาเที่ยวในช่วงที่ทุกอย่าง “สดใส” ในฤดูร้อน การได้เจอกับอากาศที่หนาวจัดมาก ๆ สภาพท้องฟ้าที่มืดสลัวจนไม่รู้ว่ามันคือกลางวันหรือกลางคืน หิมะที่ปกคลุมพื้นดินและภูเขาที่ขาวโพลนไปทั่วอย่างที่เห็นในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องมันให้บรรยากาศที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยประสบ มันทำให้ผมนึกไปถึงคนในประเทศเหล่านี้ว่าเขาคงต้องอยู่อย่างยากลำบากโดยเฉพาะในอดีตที่ไกลโพ้นสมัยไวกิ้งที่กลายเป็นชนกลุ่มที่มีความสามารถสูง “ระดับโลก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเดินเรือและการต่อสู้ทั้ง ๆ ที่เป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยมาก ความสามารถของคนในประเทศเหล่านี้ ยังโดดเด่นมาจนถึงปัจจุบันวัดจากรายได้ต่อหัวของคนที่สูงที่สุดประเทศหนึ่ง นอกจากนั้น ระดับของ “ความสุข” ของประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดของโลกด้วย เช่นเดียวกับการที่เป็นแหล่งของบริษัทชั้นนำของโลกในด้านต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ผมคิดว่ามาจากการที่คนของเขานั้น ต้องต่อสู้กับความโหดร้ายของสภาพแวดล้อมมายาวนาน เปรียบเทียบกับคนในประเทศที่อยู่อย่างสบายได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากอย่างประเทศในเขตศูนย์สูตรอย่างบ้านเรา
นอกจากประสบการณ์เรื่องของภูมิอากาศและภูมิประเทศแล้ว เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศผมจะดูว่ามีอะไรที่เขาเริ่มทำกันและเรายังไม่ได้เริ่ม เพราะนี่จะเป็นเทรนด์ต่อไปที่เราจะต้องจับตามองในฐานะของนักลงทุน สิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกว่าโลกของเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปก็คือการ “เพิ่มประสิทธิภาพ” ของการทำงานโดยอาศัย “พลังของผู้บริโภค” เรื่องแรกที่เห็นและต้องไปทำด้วยในฐานะที่เป็นผู้ใช้หรือผู้บริโภคก็คือ การเช็คอินที่สนามบินที่บางประเทศได้เริ่มให้เราเช็คอินเองแล้วทั้งการออกเลขที่นั่งและการโหลดกระเป๋าเดินทางที่สนามบิน พูดง่าย ๆ เขากำลังเลิกมีกราวโฮสเตทซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนได้ไม่น้อย นี่ก็เป็นเรื่องที่ต่อมาจากสิ่งที่ผมได้เคยพูดถึงแล้วเมื่อคราวที่ผมไปอังกฤษ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ที่เขาเริ่มให้คนซื้อของในห้างอย่างเทสโก้คิดและจ่ายเงินค่าสินค้าเองซึ่งทำให้สามารถประหยัดคนทำงานได้มาก พูดง่าย ๆ อะไรที่ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนและมีการทำซ้ำ ๆ จำนวนมากก็มีโอกาสที่จะถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์ด้านไอทีที่มีประสิทธิภาพสูงโดยคนซื้อเอง อย่างในเมืองไทยนั้น ผมก็เห็นว่าในตอนนี้การจองตั๋วต่าง ๆ เช่นตั๋วภาพยนตร์คนดูก็ทำเองได้แล้ว เช่นเดียวกับการสั่งอาหารในภัตตาคารก็เริ่มมีการให้คนกินสั่งผ่านโปรแกรมในไอแพดของร้านได้แล้ว เป็นต้น
เทรนด์ของการใช้เครื่องมาให้บริการแทนที่คนนั้น ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทหรือธุรกิจที่ต้องใช้คนจำนวนมากทำงานที่มีมาตรฐานและมีรูปแบบที่แน่นอน ในทางตรงกันข้าม มันก็เป็นภัยคุกคามกับคนหรือพนักงานที่ทำงานดังกล่าว ผมเองก็ไม่รู้ว่าเทรนด์นี้จะมาเร็วแค่ไหนในเมืองไทยแต่เชื่อว่ามันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามการพัฒนาของระบบไอทีและคนที่ใช้มันรวมถึงต้นทุนการให้บริการด้วยคนว่ามากน้อยแค่ไหน ในประเทศที่พัฒนาแล้วและต้นทุนค่าแรงสูงมาก การให้ผู้บริโภคบริการตนเองก็จะมากตามกันไป ผมเองเชื่อว่าหลังจากนี้ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปต่างประเทศที่เจริญแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องพบเสมอก็คือ ผู้บริโภคต้องทำเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในประเทศนอร์ดิกหลายประเทศนั้น มีรูปแบบและสินค้าต่างกับที่ในไทยและย่านอื่นมาก คือมันถูกตกแต่งอย่างสวยงามกว่าและสินค้าที่ขายนั้นเป็นอาหารน่าจะกว่า 90% ขึ้นไป อาหารที่ขายก็จะเป็นแนวเบเกอรี่ แซนวิช แฮมเบอรเกอร์ ขนมขบเคี้ยวเช่นมันฝรั่งทอด น้ำ เบียร์ ไวน์ โดนัท ขนมหวานสารพัดรวมถึงชอกโกแลต สินค้าอย่างอื่นนั้นเท่าที่เห็นก็จะมีแต่บุหรี่และวารสารอีกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีของใช้ในบ้านและของใช้อย่างอื่นเลย ดูไปแล้ว มันคือร้านอาหารแนวสะดวกทุกประเภทมากกว่าที่จะเป็นสินค้าสะดวกซื้ออย่างที่เรารู้จัก
ก่อนที่จะจบ “รายการทัวร์” ครั้งนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นเทรนด์ก็คือ ภาษาพูดเพื่อการสื่อสารโดยเฉพาะการท่องเที่ยว เพราะตลอดระยะเวลาการเดินทางนั้น ผมรู้สึกว่าคนในประเทศแถบนี้แทบทุกคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว นี่ทำให้ผมนึกถึงคนขายของรถเข็นริมทางซอยรางน้ำบ้านผมที่เดี๋ยวนี้พูดจีนกันได้แทบทุกคนแล้วเพราะลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก