โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในโลกของการลงทุนในหุ้นนั้น การใช้ข่าวสารเพื่อ “เพิ่มมูลค่า” ให้กับหุ้นนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่มีการทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ยิ่งมี “แรงจูงใจ” มากเท่าไร การใช้ข่าวสารก็มีมากขึ้นเท่านั้น แรงจูงใจที่จะเพิ่มมูลค่าของหุ้นนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากผู้ถือหุ้นตั้งแต่รายเล็กย่อยไปจนถึงรายใหญ่ที่อาจจะเป็น “เจ้าของ” ที่เป็นคนบริหารบริษัทด้วย การเพิ่มมูลค่าของหุ้นโดยการใช้ข่าวสารในความหมายที่ผมพูดนั้น เป็นเรื่องของการให้ข้อมูลที่ดี ๆ เกี่ยวกับบริษัท เช่น ทำให้นักลงทุนเห็นว่าบริษัทนั้นมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการแข่งขันทางธุรกิจ สภาวะที่เอื้ออำนวยของอุตสาหกรรม แผนงานการเจริญเติบโตของบริษัท ในขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงหรือแก้ต่างข้อด้อยหรือจุดอ่อนที่มีคนชี้ให้เห็นหรือเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป
กระบวนการให้ข่าวสารเพื่อทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีมูลค่าหรือราคาปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันนั้น ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตก่อนวิกฤติปี 2540 ที่มักจะเล่นแต่เรื่องข่าวสารเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของ “ขาใหญ่”และการ “ปั่นราคาหุ้น” เป็นหลัก ในระยะหลังที่นักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็น “VI” หรือนักลงทุนที่เน้นการลงทุนแนว “พื้นฐาน” จำนวนมาก ข่าวสารที่เกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำมาใช้ในการ “เพิ่มมูลค่า” ของกิจการ นอกจากนั้นสื่อสารที่ใช้ในการเผยแพร่ข่าวสารก็เปลี่ยนแปลงไปมาก นั่นคือ มันมีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกจนแทบจะ “ไม่มีต้นทุน” ผลก็คือ หุ้นจำนวนมากนั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้น “ตามพื้นฐาน” หรือ “สูงเกินกว่าพื้นฐาน” เนื่องจากการให้ข่าวสารที่ดี ๆ มากกว่าสิ่งที่แย่ ๆ ทำให้นักลงทุนเห็นบริษัทในทางที่ดีเกินกว่าความเป็นจริงและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปมากกว่าความเป็นจริง
คงไม่เป็นปัญหาถ้าข่าวสารที่ส่งออกไปเพื่อเพิ่มราคาหุ้นนั้นเป็นข่าวสารที่ถูกต้องและสิ่งที่คาดในอนาคตมีความเป็นไปได้สูง ประเด็นก็คือ เนื่องจากแรงจูงใจที่จะเพิ่มราคาหุ้นนั้นมีสูง ในบางครั้งและในบางบริษัทจึงมีผู้ถือหุ้นและ/หรือผู้บริหารที่ให้ข่าวสารข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือมีโอกาสที่จะเป็นไปได้น้อยเพื่อที่จะ “หลอก” ให้คนเชื่อเพื่อที่จะได้หลงเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้ขึ้นไปสูงเกินความเป็นจริง โดยที่วิธีการหรือเรื่องที่จะใช้หลอกนั้น แน่นอน จะต้องไม่ทำให้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของทางการ และคนที่จะถูกหลอกนั้นก็ต้องเชื่อและนำเรื่องนั้น “บอกต่อ” ให้คนอื่นเชื่อตามอีกอย่าง “ทวีคูณ” ยิ่งมากก็ยิ่งดี และนี่ก็นำมาสู่ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดในวันนี้นั่นก็คือ การ “หลอก VI” ซึ่งถ้าคิดโดยสามัญสำนึกแล้วพวกเขาไม่ควรทำ เหตุเพราะว่า “VI” นั้นดูเหมือนว่าน่าจะเป็นคนที่มีความ “รอบรู้” มี “เหตุมีผล” และ “ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่าย ๆ” แต่นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง
ผมเองมีความเชื่อว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะถูกหลอกได้ง่ายหรือยากนั้น อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็น “VI” หรือคุณเป็น “แมงเม่า” แต่มันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และคนที่หลอก ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวยและคนที่จะถูกหลอกนั้นมี “ความพร้อมที่จะให้หลอก” อาจจะเนื่องจากมีอารมณ์โลภหรืออะไรก็ตาม และคนที่หลอกนั้นมีความรอบรู้ มีข้อมูล และ/หรือความเป็นเหตุเป็นผลเหนือกว่าคนที่จะถูกหลอก การหลอกก็จะประสบความสำเร็จได้เท่า ๆ กัน ว่าที่จริง คนที่เป็น VI อาจจะถูกหลอกได้อย่างมั่นคงกว่าคนที่เป็นแมงเม่าด้วยซ้ำเนื่องจากพวกเขาอาจจะเชื่อด้วย “เหตุผล” โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเหตุผลที่ผิด
เรื่องราวการหลอกหรือเรื่องไม่จริงที่ผมเคยได้ประสบมาและ VI จำนวนไม่น้อยมักจะเชื่อนั้น ผมจะลองจัดกลุ่มโดยเริ่มจากเรื่องแรกก็คือ “บริษัทหรือกิจการเป็นผู้นำหรือมีเทคโนโลยีที่คนอื่นทำไม่ได้ ดังนั้นบริษัทก็จะได้งานหรือได้ธุรกิจที่กำลังจะโตมหาศาล” ผมเองเคยเป็นวิศวกรโรงงานมานานหลายปี “ธรรมเนียม” อย่างหนึ่งที่ผมเคยประสบและคิดว่าถึงวันนี้ก็คงไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากก็คือ วิศวกรทั่ว ๆ ไปนั้น ไม่ค่อยหวงเทคโนโลยี เรายินดีต้อนรับถ้าใครอยากมาดูเทคนิคของเรา ดังนั้น ผมไม่ใคร่จะเชื่อเวลามีใครอ้างว่าคนอื่นหรือบริษัทอื่นทำไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าจำเป็น บริษัทอื่นอาจจะมา “ซื้อตัว” คนของบริษัทที่อ้างว่าเป็นรายเดียวที่ทำได้ก็ได้
เรื่องที่ว่าบริษัทหนึ่งจะ “เก่ง” กว่าบริษัทอื่นนั้น สิ่งที่ผมจะให้น้ำหนักจริง ๆ ควรจะเป็นเรื่องของ “โครงสร้าง” ของบริษัท เช่น บริษัทมีปัจจัยได้เปรียบในเรื่องของขนาดที่ทำให้คู่แข่งไม่สามารถทำเลียนแบบได้มากว่าเรื่องของเทคโนโลยีหรือระบบที่มักจะสามารถจัดหามาได้มากกว่า
เรื่อง “หลอก VI” กลุ่มที่สองนั้น ผมยกให้เป็นเรื่องของ “อนาคตของบริษัท” นี่คือการที่หลอกว่าอนาคตยอดขายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรของบริษัทจะ “โตก้าวกระโดด” โดยดูตัวเลขจากอดีตที่บริษัทโตขึ้นมาหลายปีในอัตราที่สูงลิ่วแต่จากฐานที่ต่ำมาก ประเด็นที่ไม่น่าจะจริงก็คืออัตรากำไรต่อยอดขายหรือมาร์จินที่สูงลิ่วในอดีตทั้ง ๆ ที่สินค้านั้นเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือเป็นสินค้าที่โดยธรรมชาติไม่สามารถทำมาร์จินได้สูงนั้น อาจจะมาจากปัจจัยอย่างอื่น เช่น ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราวหรือรายได้พิเศษอื่น ๆ ที่ผู้บริหารไม่ได้บอก “VI” ที่ “ถูกหลอก” ก็จะรู้สึกดีกับกิจการมากว่าเป็นบริษัทที่ “โตเร็ว” และดังนั้นจึงทุ่มซื้อหุ้นและบอกเพื่อน “VI” ด้วยกันว่ามันเป็นหุ้นที่โตเร็วและหุ้นจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
การหลอก VI อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเองก็ไม่ได้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือเรื่องของการซื้อหุ้นของเจ้าของและ/หรือผู้บริหาร และนักลงทุน “รายใหญ่” ประเด็นที่น่าสนใจเป็นพิเศษที่ผมสังเกตพบอยู่เรื่อย ๆ ก็คือ การซื้อขายหุ้นและการ “โอนหุ้น” ของเจ้าของที่บางทีดูไม่ใคร่สมเหตุผล ตัวอย่างเช่น หุ้นบางตัวนั้น เจ้าของมักเข้ามาซื้อหุ้นอยู่เรื่อย ๆ ในจำนวนไม่มากนักหรือน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนที่เขาถืออยู่แล้ว ส่วนตัวผมเองนั้นอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการ “หลอก” โดยการแสดงให้คนเห็นว่าเขาในฐานะเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นเห็นว่าหุ้นนั้นมีราคาต่ำเกินไปจึงเข้ามาซื้ออยู่เรื่อย ๆ เหตุผลของผมก็คือ ถึงแม้ว่าหุ้นจะถูกในสายตาของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพื่อหวังกำไรเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าในอนาคตหุ้นปรับตัวขึ้น เขาก็มีหุ้นเดิมมากอยู่แล้ว จะไปซื้อเพิ่มขึ้นมาอีกเพียงเล็กน้อยทำไม ปล่อยให้หุ้นหมุนเวียนในตลาดให้มีสภาพคล่องดีขึ้นจะดีกว่า เรื่องของการซื้อขายหรือโอนหุ้นรวมถึงการเข้ามาซื้อหุ้นแบบ PP ที่ต้องแสดงต่อสาธารณะนั้น ผมคิดว่าในหลายกรณีมี “ลูกหลอก” อยู่ ดังนั้น เราต้องประเมินดูก่อนจะใช้ข้อมูลนั้น
เรื่องของการถูกหลอกนั้น ผมคิดว่าทุกคนแม้แต่ตัวผมเองที่เป็นคน “ขี้สงสัยและเชื่อคนยาก” ก็มีโอกาสที่จะถูกคนที่มีความรู้บางเรื่องสูงกว่าหลอกในเรื่องนั้น กระบวนการที่สำคัญนอกจาก “เรื่องราวที่สมเหตุสมผล” แต่ไม่จริงแล้ว ยังขึ้นอยู่กับ “ความถี่ในการรับรู้” ด้วย ดังนั้น คนที่หลอกคนอื่นก็จะต้องพูดซ้ำหรือย้ำอยู่เรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส นี่คือกระบวนการของการ “ล้างสมอง” ที่ได้ผลมาตลอดในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงก็คือ ถ้าคนถูกป้อนข้อมูลเข้าสมองมากและนานพอ เขาก็จะเชื่อในสิ่งนั้นแม้ว่าตอนแรกจะฟังดูไม่มีเหตุผลที่ดีพอ แต่ในกรณีที่เหตุผลก็ดูดี(แต่ไม่จริงและเราก็ไม่รู้ว่าไม่จริงแต่เราเชื่อเพราะว่าเราอยากเชื่อ) เราก็จะเชื่อทันทีและเชื่ออย่างมั่นคงจนกว่าความจริงจะปรากฏและหักล้างความเชื่อนั้นอย่างสิ้นเชิง และนี่ก็คือจุดอ่อนของนักลงทุนทุกคนไม่เว้นแม้แต่ VI เพราะในปัจจุบันนั้น “VI” กลับกลายเป็นเป้าหมายของคนที่คิดจะหลอกในตลาดหุ้น