โค้ด: เลือกทั้งหมด
ถ้าดูโดยภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วเราก็จะพบว่าดัชนีหรือราคาตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2558 นั้น ไม่ได้มีการปรับตัวลงมามากนัก ดัชนีตลาดลดลงมาเพียง 94 จุดหรือเป็นการปรับลงมาประมาณ 6.3% และถ้าคิดรวมปันผลที่ได้ประมาณ 3% นักลงทุนระยะยาวโดยเฉลี่ยก็น่าจะขาดทุนประมาณ 3.3% ถือว่าน้อยมาก แต่ถ้าคุยกับนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากก็จะพบว่าตลาดปรับตัว “รอบนี้” ค่อนข้าง “หนัก” หลายคน “ร้องไห้หนักมาก” เพราะเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นในตลาด ไม่เคยได้กำไรแต่ขาดทุนหนักมากเนื่องจากหุ้นที่เข้าไปเล่นนั้นเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีความผันผวนสูง จำนวนมากจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านักลงทุนส่วนบุคคลส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถอนใจออกจากตลาด ความหวังที่จะ “เอาคืน” หรือทำกำไรจากตลาดหุ้นยังมีอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาอาจจะคิดว่าหุ้นก็ลงมามากแล้ว คงไม่ลงไปอีกมากนักแต่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ เขาอาจจะเชื่อว่าการเล่นหุ้นนั้น “ต้องกล้าในยามที่คนอื่นกลัว”
ลองวิเคราะห์ดูข้อมูลตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็พบว่า ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่หรือ SET นั้น ราคาหุ้นตกลงมาไม่มากนักเพียงแค่ 6.3% วัดจากดัชนี ส่วนค่าความถูกความแพงวัดจากค่า PE ก็ปรากฏว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้วค่า PE ของ SET เองอยู่ที่ 17.81 เท่าเทียบกับ 18.49 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งเท่ากับว่าหุ้นขนาดใหญ่นั้น คนยังคงให้ “คุณค่า” เท่าเดิม นั่นก็คือ ถ้าคุณลงทุนในตลาดหุ้นวันนี้ แต่ละปีก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 5-6% (หาได้จากการกลับเศษเป็นส่วนของค่า PE คือค่า EP ที่เท่ากับ 1 หารด้วย 18 โดยประมาณ) ซึ่งก็เป็นอัตราที่ดีพอใช้เมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตร การที่ราคาหุ้นตกลงมานั้น เกิดจากผลประกอบการหรือกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา นี่ก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมาในแง่ที่ว่าราคาหุ้นนั้น “ขึ้นอยู่กับพื้นฐานหรือผลประกอบการ” ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนับจากต้นปี
ในส่วนของตลาดหุ้นขนาดเล็กที่วัดจากดัชนีหุ้น MAI นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดัชนี MAI ปรับตัวลดลงจากประมาณ 700 จุดเหลือเพียง 585 จุดในช่วงเวลาเดียวกันหรือลดลงประมาณ 16.4% และถ้าคิดรวมปันผลที่ประมาณ 0.9% ก็จะทำให้โดยเฉลี่ยแล้วหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ยประมาณ 15.5% หรือนักเล่นหุ้นขาดทุนเป็นประมาณ 4.7 เท่าเมื่อเทียบกับตลาด SET และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนบุคคลรายย่อยจึงเสียหายค่อนข้างหนักทั้ง ๆ ที่ตลาดโดยรวมไม่ได้เลวร้ายมากนัก
หุ้น MAI ที่ตกลงมานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง แต่ราคาหุ้นที่ลดลงนั้นน่าจะเกิดจากการที่การ “เก็งกำไร” ในหุ้นตัวเล็กนั้นลดลง ความหมายของผมก็คือ ราคาของหุ้นนั้น โดยปกติจะมาจากสองส่วนนั่นคือ ราคาที่เกิดจากพื้นฐานกับราคาที่เกิดจากการเก็งกำไร ราคาที่เกิดจากพื้นฐานนั้น คือราคาที่เกิดจากความสามารถในการทำกำไรปกติของบริษัทที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขกำไรตัวนี้ถ้าคูณ 18 เท่าก็จะเป็นค่าของราคาหุ้นตามพื้นฐาน ส่วนราคาที่มาจากการเก็งกำไรนั้น จะเป็นราคาที่นักลงทุนให้กับหุ้นโดยดูจากการคาดการณ์กำไรในอนาคต หุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนที่คนคาดหวังสูงมากว่าจะทำกำไรได้ดีมากในอนาคตก็จะได้ราคาสูงมาก เช่น ถ้านักลงทุนคาดว่าในอนาคตกำไรจะเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อหุ้น เขาอาจจะให้ราคาบริษัทเพิ่มขึ้น 50 เท่า เป็นต้น แต่ถ้าหุ้นตัวไหนไม่มีการ “เก็งกำไร” ราคาหุ้นก็จะมาจาก “พื้นฐาน” เพียงอย่างเดียว
ดูจากค่า PE ของตลาดหุ้น MAI นั้น เมื่อปลายปีที่แล้วค่า PE เท่ากับ 69.6 เท่า ก็น่าจะชัดเจนว่าไม่ใช่ราคาที่เกิดจากพื้นฐานเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะถ้าคิดเป็นค่า EP ก็จะให้ผลตอบแทนคนลงทุนเพียงปีละไม่ถึง 1% ดังนั้น หุ้นตลาด MAI จึงมีมูลค่าที่เกิดจากราคาเก็งกำไรอยู่มาก ถ้าเราสมมุติว่าหุ้นในตลาด MAI มี “คุณค่า” เท่ากับหุ้นในตลาด SET คือควรมีค่า PE ประมาณ 18-19 เท่า เราก็จะคำนวณได้ว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นที่เกิดจาก “การเก็งกำไร” นั้นเท่ากับการมีค่า PE เพิ่มขึ้นอีก 50 เท่า (69.6-19) เมื่อสิ้นปีที่แล้ว พูดง่าย ๆ หุ้นในตลาด MAI เมื่อสิ้นปีที่แล้วนั้น มีราคาตามพื้นฐานเพียง 18-19 เท่าของกำไรแต่มีราคาตามการเก็งกำไรถึง 50 เท่าของกำไรที่ “คาด” ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ถึงวันนี้ ค่า PE ของตลาด MAI ลดลงมาเหลือ 59.8 หรือลดลงมาประมาณ 10 เท่าของกำไรและนี่ทำให้ดัชนีหุ้น MAI ลดลงมาประมาณ 16.4% การลดลงมานี้ผมคิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานอะไรนักเพราะกำไรของหุ้น MAI ก็ไม่ได้ลดลง ราคาหุ้นที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการเก็งกำไรที่ลดลง และการเก็งกำไรที่ลดลงนั้น ผมคิดว่าเกิดจากการที่ความคาดหวังที่บริษัทจะโตขึ้นลดลง และความคาดหวังที่ลดลงนั้นผมคิดว่าน่าจะเกิดจากสองประเด็นใหญ่ก็คือ หนึ่ง Story ของบริษัทหรือเรื่องราวที่สร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนนั้นเริ่ม “สั่นคลอน” เช่น ที่คาดว่าจะทำธุรกิจใหม่มีกำไรมหาศาล เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นลดลง คาดว่าจะได้สัญญาขายไฟฟ้าทางเลือกก็ยังไม่ได้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น ข้อสอง กำไรที่เคยคาดการณ์หรือหวังว่าจะทำได้จากยอดขายสินค้าเดิมที่จะ “เพิ่มขึ้นมาก” นั้น อาจจะยังไม่มาหรือยอดขายอาจจะเพิ่มขึ้นแต่มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำกว่าเดิมมาก เช่น เคยขาย 100 กำไร 20 ซึ่งเป็นกำไรที่ “มโหฬาร” นั้น เมื่อเวลาผ่านไปพบว่ากำไรแบบนั้นไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ ในกรณีทั้งสองแบบนี้อาจจะเริ่มทำให้คนที่ซื้อหุ้นไว้เริ่มกลัวและขายหุ้นทิ้งก่อนที่ “ความจริงจะปรากฏ” มากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นตลาด MAI และหุ้นตัวเล็กหลาย ๆ ตัว จึงปรับตัวลงมาอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามสำคัญก็คือ การปรับตัวลงของหุ้น MAI นั้น ลดลงมาพอหรือยัง? คำตอบก็คือ ไม่มีใครรู้! แต่ถ้าดูจากค่า PE ที่ประมาณ 60 เท่าในวันนี้และสมมุติว่าค่า PE ที่เหมาะสมตาม พื้นฐานควรจะประมาณไม่เกิน 20 เท่า ราคาที่เกิดจากการเก็งกำไรก็ยังสูงถึง 40 เท่าของกำไร หรือพูดง่าย ๆ ถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น ราคาปัจจุบันก็จะเท่ากับ 60 บาทต่อหุ้น โดยเป็นราคาพื้นฐานแค่ 20 บาทและราคา “เก็งกำไร” อีก 40 บาท ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้หรือหุ้นกลุ่มนี้ก็มีโอกาสที่จะตกลงมา 40 บาทเหลือเพียง 20 บาทต่อหุ้นหรือเป็นการลดลงประมาณ 66% ถ้า “การเก็งกำไรหมดไป”
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วการเก็งกำไรจะหมดไปได้อย่างไร? คำตอบของผมก็คือ ไม่รู้! แต่ปัจจัยสำคัญของการเก็งกำไรก็คือ ภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงนั้นส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรสูง แต่บางทีตลาดหุ้นที่ “ไม่เลวร้าย” ก็ไม่ทำลายการเก็งกำไรเท่าไรนัก บางทีถ้าหุ้นตัวใหญ่ไม่ดี คนก็ยังอาจจะหันมาเล่นเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กได้ แต่ในกรณีที่ตลาดหุ้นเกิด “แพนิก” หุ้นตกลงมาแรงและกลายเป็นตลาดหมี แบบนี้ก็อาจจะทำให้การเก็งกำไรหายไปได้
บ่อยครั้ง การเก็งกำไรในหุ้นรายตัวก็อาจจะหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไปและ Story ไม่เป็นไปตามที่คาด หุ้นตัวนั้นอาจจะมีค่า PE 100 เท่าแต่เป็นราคาพื้นฐานเพียง 20% อีก 80% เป็นการเก็งกำไร ดังนั้น เมื่อ “ฝันสลาย” ราคาหุ้นก็อาจจะตกลงมา 80% ได้
บ่อยครั้งการเก็งกำไรนั้นมาจากการที่มี “จ้าวมือ” ซึ่งเป็นรายใหญ่ซื้อและถือหุ้นจำนวนมากในบริษัททำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและหุ้น Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อย ลักษณะนี้ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมาง่าย ๆ แม้ว่า Story หรือกำไรที่คาดหวังยังไม่เกิด “ภาพ” ที่ถูกส่งออกมาก็คือให้นักเก็งกำไร “รอต่อไป เดี๋ยวก็มา” ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมากนัก
หุ้นตัวเล็กที่ “ล่มสลาย” จริง ๆ นั้น มักจะเกิดจาก “ความเชื่อมั่นหมดไป” ด้วยเหตุอะไรก็ตามและมักรวมถึงการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็น “จ้าวมือ” ทิ้งหุ้นหมดสิ้น ในวันนั้นก็จะกลายเป็น “หายนะ” ของหุ้นที่ราคาหรือมูลค่าลดลงมา บางที 90% หรือมากกว่านั้น ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาโลกและก็อย่าได้คิดว่ามันจะไม่เกิดกับเราถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเป็นนิจสิน