โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนจะเป็นตลาดหุ้นที่ “ร้อนแรงที่สุดในโลก” เพราะดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวขึ้นมาจากประมาณ 2,100 จุดในช่วงเดือนมิถุนายน 2014 ขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นประมาณ 5,370 จุดในวันที่ 10 มิถุนายน 2015 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 155% ในเวลาเพียงปีเดียว แต่แล้ว ภายในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ก็ตกลงมาอย่างหนักเป็น “วิกฤตตลาดหุ้น” คือถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2015 ดัชนีก็ลดลงเหลือเพียง 3,659 จุด หรือเป็นการตกลงมาถึง 32% ก่อนที่จะดีดกลับมาประมาณ 6% ภายในเวลาเพียง 2 วัน เมื่อรัฐบาลจีนออกมาตรการ “กู้ตลาดหุ้น” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีปิดตลาดวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2015 ที่ 3,878 จุดหรือคิดเป็นการตกลงมาจากจุดสูงสุดเมื่อเดือนที่แล้วประมาณ 28%
ผมเองไม่รู้ว่าหลังจากนี้ตลาดหุ้นจีนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เชื่อว่า “ความผันผวน” ของราคาหุ้นจีนน่าจะดำรงต่อไปอีกนาน เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นจีนนั้น เป็น “ตลาดหุ้นของนักลงทุนส่วนบุคคล” นั่นคือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นน่าจะกว่า 80% นั้น เป็นการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่เข้าไป “เก็งกำไร” ในตลาดหุ้น ว่าที่จริง ตลาดหุ้นจีนนั้นไม่ได้เพิ่ง “ผันผวนรุนแรง” หรือเป็นตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดหุ้นจีนนั้นมีความผันผวนรุนแรงมาโดยตลอด เพียงแต่ว่างวดนี้ดูเหมือนว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไป “ร่วมวง” มากเป็นพิเศษเนื่องจากจีนได้เปิดตลาดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ง่ายขึ้นมากในปีที่แล้ว และตลาดหุ้นก็ใหญ่ขึ้นมาก ดังนั้น มันจึงเป็นข่าวใหญ่ที่คนสนใจกันทั่วโลกรวมถึงนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนกองทุนรวมหุ้นจีนทั้งที่กำไรและขาดทุนกันอย่างหนัก
ความผันผวนของหุ้นจีนนั้นผมดูแล้วก็คล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยเพียงแต่จะรุนแรงกว่าเนื่องจากพฤติกรรมและนักลงทุนในตลาดนั้นมีความคล้ายคลึงนั่นก็คือ เป็นตลาดที่เต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลหรือนักลงทุนรายย่อย แต่ในตลาดหุ้นไทยนั้น เรายังมีนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศที่ค่อนข้างใหญ่กว่าจีนโดยเปรียบเทียบเนื่องจากเราเปิดตลาดหุ้นและเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนนานกว่า อีกส่วนหนึ่งที่คล้ายกันก็คือ ลักษณะประชากรศาสตร์และระดับของความมั่งคั่งของคนจีนกับไทยนั้น มีความใกล้เคียงกันมาก นั่นคือ เรามีอายุเฉลี่ยของคนในประเทศและรายได้ต่อหัวของคนพอ ๆ กัน และนั่นอาจจะทำให้พฤติกรรมการลงทุนคล้าย ๆ กัน ลองมาดูว่าตลาดหุ้นจีนกับไทยคล้ายกันอย่างไรและต่างกันตรงไหน
เรื่องแรกนั้นลองมาดูกันที่ “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในตลาดก่อน ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นั้น “เปิดใหม่” เมื่อปลายปี 1990 นับจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 24 ปี ปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบหรือขาดทุนเท่ากับ 10 ปี ปีที่กำไรเท่ากับ 14 ปี คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คือขาดทุนประมาณ 42% กำไรประมาณ 58% ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นเปิดมาตั้งแต่ปี 2518 ถึงปีนี้ก็ 40 ปีแล้ว ปีที่บวกน่าจะ 22 ปี และปีที่ลบ 18 ปี คิดแล้วเป็นปีที่ขาดทุน 45% และปีที่กำไรเท่ากับ 55% ซึ่งก็ต้องพูดว่าทั้งสองตลาดนั้นมีความเสี่ยงสูงทั้งคู่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาที่ตลาดหุ้นในแต่ละปีนั้นจะให้ผลตอบแทนแต่ละปีเป็นบวกน่าจะไม่ต่ำกว่า 70% ส่วนปีที่ผลตอบแทนติดลบน่าจะต่ำกว่า 30%
ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องของผลตอบแทนรายปี ตลาดหุ้นจีนนั้นต้องพูดว่าปีที่ผลตอบแทนเป็นบวกนั้น มักจะเป็นปีที่ได้ผลตอบแทนที่สูงมาก คือให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยถึงปีละ 64.4% เช่นเดียวกัน ปีที่เป็นลบก็ให้ผลตอบแทนที่เลวร้ายคือประมาณลบ 22.2% ต่อปีโดยเฉลี่ย ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมดูแค่หลังจากวิกฤติปี 2540 เป็นต้นมา ผลตอบแทนของปีที่เป็นบวกนั้นเท่ากับ 37% ต่อปีโดยเฉลี่ย ส่วนปีที่เป็นลบนั้นเท่ากับลบ 21.8% ต่อปี ซึ่งก็ต้องถือว่าผลตอบแทนแต่ละปีนั้นค่อนข้างจะผันผวนรุนแรงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะในปีที่ติดลบ
ถ้ามองใน “ระยะยาว” และลืมความ “ผันผวน” ในแต่ละปี เราก็จะพบว่าทั้งตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นจีนต่างก็ให้ผลตอบแทนที่ดี หุ้นไทยนั้น ในเวลา 40 ปี ราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจาก 100 จุดเป็น ประมาณ 1,485 จุดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 คิดแล้วคนที่ลงทุนระยะยาว 40 ปีจะได้กำไรหรือผลตอบแทนปีละประมาณ 7% ถ้าคิดรวมปันผลปีละประมาณ 3% ก็คือได้ผลตอบแทนปีละ 10% โดยเฉลี่ย ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม “ระดับโลก” เหตุคงเป็นเพราะประเทศไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมานั้นมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากระดับ “ดารา” และน่าจะพอ ๆ กับผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้ผลตอบแทนปีละประมาณปีละ 10% เช่นเดียวกันเพียงแต่ของอเมริกานั้น สถิติยาวกว่าไทยมาก คือน่าจะเกือบ 100 ปี
ตลาดหุ้นจีนนั้น เพิ่งจะเริ่มดำเนินการใหม่มาได้ 24 ปี ราคาหุ้นในวันเปิดตลาดน่าจะ 100 จุดเช่นกัน แต่เวลาผ่านไป 24 ปีนั้น ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวขึ้นไปถึง 3,878 จุด สูง 2.6 เท่าของดัชนีตลาดหุ้นไทย คิดเป็นผลกำไรจากราคาหุ้นโดยเฉลี่ยทบต้นถึงปีละประมาณปีละ 16.5% หรือกว่า 2 เท่าของหุ้นไทย ถ้ารวมปันผลด้วยปีละ 3-4% ผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนก็สูงลิ่วถึงประมาณ 20% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นผลตอบแทนน่าจะระดับ “ต้น ๆ ของโลก” เหตุผลก็คงเป็นเพราะประเทศจีนในช่วง 24 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูงมากเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” อานิสงค์จากการปรับระบบของประเทศเป็น “ทุนนิยม” และ “เปิดประเทศ” ของ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำของจีนยุคใหม่
มองย้อนหลังไปตั้งแต่เปิดตลาดหุ้น หุ้นไทยเคยขึ้นไปแบบ “ซุปเปอร์บูม” มาหนึ่งครั้งคือในปี 2537 ที่ดัชนีขึ้นไปถึง 1,753 จุด แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลงมาต่อเนื่องเหลือเพียง 200 จุดเศษ ๆ หรือเป็นการลดลงถึงเกือบ 90% หลังวิกฤติในปี 2540 จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วราคาก็ยังไม่กลับไปที่จุดสูงสุดเดิมแม้ว่าหุ้นกำลังไต่ระดับขึ้นเป็นซุปเปอร์บูมอีกครั้งหนึ่งในช่วงเร็ว ๆ นี้ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ก็เช่นเดียวกัน ตลาดหุ้นเคยเป็น “ซุปเปอร์บูม” มาหนึ่งครั้งในช่วงเดือนตุลาคม 2007 ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 6,092 จุด แต่หลังจากนั้นมันก็เกิด “วิกฤติ” ดัชนีร่วงลงมาจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2008 เหลือเพียง 1,628 จุด หรือเป็นการลดลงถึง 73% ในเวลาเพียงปีเศษ ๆ และจนถึงวันนี้ดัชนีก็ยังไม่กลับไปถึงจุดเดิมแม้ว่าหุ้นกำลังไต่ระดับเป็นซุปเปอร์บูมอีกครั้งหนึ่งในช่วงเร็ว ๆ นี้
มองโดยสรุปแล้ว ภาพของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นั้น ผมคิดว่าเป็นตลาดหุ้นที่คล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยในหลาย ๆ ด้านเพียงแต่ว่ามัน “สุดโต่ง” ยิ่งกว่า มันเป็นตลาดหุ้นที่มีการ “เก็งกำไร” สูงมากเห็นได้จาก “ภาพใหญ่” ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว และ “ภาพเล็ก” จากข้อเท็จจริงที่ว่า หุ้นตัวเล็กที่ทำราคาได้ง่ายนั้นมีค่า PE เกิน 50 เท่าเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่นั้นมีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า คล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นตัวใหญ่ก็ไม่ได้มีค่า PE สูงมากนัก ในขณะที่หุ้นตัวเล็กมีค่า PE 60 เท่าเป็นเรื่องปกติ แต่ในแง่ของพื้นฐานของตลาดแล้ว ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนก็คล้าย ๆ กับหุ้นไทยในแง่ที่ว่ามันให้ผลตอบแทนระยะยาวที่งดงามมาจนถึงวันนี้โดยที่หุ้นจีนนั้นให้ผลตอบแทนที่ “สุดยอด”
ถ้าจะให้นิยามกับตลาดหุ้นจีนในวันนี้ ผมคงต้องบอกว่ามันคือ “ซุปเปอร์คาสิโน” ที่คนเล่นหุ้นเหมือนการพนันที่ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็น “ซุปเปอร์” ก็คือ คุณมีโอกาสรวยมหาศาลถ้าคุณ “เล่นเป็น” นั่นก็คือ ลงทุนระยะยาวผ่านร้อนผ่านหนาวไปให้ได้ ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นไทยก็คงคล้ายกัน อย่างไรก็ตาม นั่นคืออดีต อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน นับจากวันนี้ไป ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ทั้งตลาดหุ้นจีน–และไทย