การเก็บภาษี/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

การเก็บภาษี/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ได้มีการพูดกันว่ารัฐบาลควรเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาพัฒนาประเทศให้ขยายตัวเร็วยิ่งขึ้น และเพื่อให้รัฐบาลนำรายได้ดังกล่าวที่เก็บจากคนรวยมาใช้จ่ายและจัดสรรให้คนจน เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ปัจจุบันรัฐบาลเก็บภาษีได้ประมาณ 17-18% ของจีดีพี แต่อยากเก็บให้ได้ 20% ของจีดีพีใน 2-3 ปีข้างหน้าและมองว่าประเทศพัฒนาแล้วเก็บภาษีคิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของจีดีพี รัฐบาลจึงมีเงินมากพอที่จะนำไปพัฒนาประเทศและลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน 

วันนี้ผมขอนำเอาตัวเลขที่เกี่ยวข้องมาเปรียบเทียบให้ดูและหาข้อมูลทางวิชาการมาพยายามตอบคำถามว่าสัดส่วนภาษีต่อจีดีพีที่เหมาะสมนั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่งข้อสรุปคือปัจจุบันเข้าใจว่ายังไม่มีใครคำนวณว่าสัดส่วนภาษีต่อจีดีพีที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่ แต่หากให้ประเมินก็จะต้องสรุปว่าอาจจะไม่ได้สูงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ได้ ที่สำคัญคือในหลักการแล้วหากรัฐบาลคิดจะตั้งเป้าว่าจะเก็บภาษีให้ได้เป็นสัดส่วน 20 หรือ 25 หรือ 30% ของจีดีพี ก็ควรจะต้องศึกษาในเชิงวิชาการและแจ้งให้ประชาชนทราบว่าสัดส่วนภาษีใดเหมาะสมด้วยเหตุผลประการใดบ้าง กล่าวคือทำไมควรเป็น 25% ไม่ใช่ 20% หรือ 30% ของจีดีพี เป็นต้น

จุดเริ่มต้นคือการดูสัดส่วนของภาษีต่อจีดีพีในประเทศอื่นๆ ซึ่งผมนำมาสรุปดังปรากฏในตาราง

ผมแบ่งประเทศต่างๆ ออกเป็น 6 กลุ่มคือกลุ่มหนึ่งที่มีรายได้หลักจากการขุดน้ำมันมาขาย ทำให้ไม่ต้องไปรบกวนประชาชนมากจึงเก็บภาษีต่ำมาก เช่น คูเวตและซาอุดีอาระเบีย อีกกลุ่มที่เก็บภาษีไม่ได้มากเพราะขาดเสถียรภาพทางการเมืองอย่างรุนแรง เช่น ลิเบีย อัฟกานิสถานและเยเมน และกลุ่มที่ไม่ได้ใส่เอาไว้ในตารางคือประเทศเช่นคิวบาและซิมบับเว ซึ่งมีระบบการเมืองที่เข้มงวดและปิดค่อนข้างมาก ทำให้เก็บภาษี (และควบคุม) ประชาชนเป็นสัดส่วนสูงถึง 45-49% ของจีดีพี

ส่วนที่น่าสนใจคือกลุ่มประเทศในเอเชียที่จนกว่าหรือมีฐานะเทียบเท่าหรือร่ำรวยกว่าไทยนั้นล้วนแล้วแต่จะมีสัดส่วนภาษีต่อจีดีพีต่ำกว่าไทยทั้งสิ้น เว้นแต่จีนและมาเลเซียที่เท่ากับไทย (17%) และอินเดียที่สูงกว่าไทยเล็กน้อย (17.1%) แต่น่าสังเกตว่าสิงคโปร์และฮ่องกงนั้นเก็บภาษีเป็นสัดส่วนเพียง 14.2% และ 13% ของจีดีพีตามลำดับ

สำหรับประเทศพัฒนาแล้วนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มที่เก็บภาษีน้อยกว่า เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐ แคนาดา และนิวซีแลนด์ (25% ถึง 35% ของจีดีพี) ซึ่งจะเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูงกับประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี อิตาลีและฝรั่งเศส (ภาษีสูงกว่า 40% ของจีดีพี) ซึ่งจีดีพีขยายตัวค่อนข้างต่ำ ยกเว้นเยอรมนีซึ่งได้เปรียบเพราะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรซึ่งหลายประเทศในกลุ่มนั้นเศรษฐกิจเปราะบาง ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อน แต่เศรษฐกิจเยอรมันค่อนข้างแข็งแรงจึงได้ประโยชน์อย่างมากจากเงินยูโรที่อ่อนค่า

ในเชิงวิชาการนั้นพอจะสามารถคำนวณได้ว่าสัดส่วนภาษีเท่าใดจะทำให้จีดีพีขยายตัวได้สูงสุด (optimum tax level to maximize economic growth) เช่น หากภาษีต่ำไปก็จะไม่สามารถป้องกันประเทศ รักษาความสงบและบังคับคดีด้านการพาณิชย์ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาเพื่อให้ประชาชนเป็นคนดีมีความรู้ความสามารถได้ ในกรณีดังกล่าวจีดีพีของประเทศก็จะขยายตัวต่ำกว่าเกณฑ์ แต่หากเก็บภาษีมากเกินไปก็จะเริ่มทำให้จีดีพีขยายตัวต่ำลง เพราะจะมีความพยายามที่จะเลี่ยงภาษีมากขึ้น (รวมทั้งการลดเวลาทำงานและพักผ่อนดีกว่าทำงานเพราะต้องเสียภาษีสูง) ตลอดจนหากรัฐบาลเก็บภาษีจากประชาชนมากก็อาจนำไปใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวังและให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการคืนภาษีให้ประชาชนนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

กล่าวคือในหลักวิชาการนั้นอัตราภาษีที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงสุดนั้นจะต่ำกว่าอัตราภาษีที่จะทำให้รัฐบาลมีรายได้สูงสุด ตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของ Yolande Van Heerden ในปี 2008 เรื่อง Finding the optimum tax ratio and tax mix to maximize growth and revenue for South Africa ต่อมาวิทยาลัย Poetaria สรุปว่าสัดส่วนภาษีที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงสุดนั้นเท่ากับ 18.9% ของจีดีพี (ปัจจุบันสัดส่วนภาษีของแอฟริกาใต้อยู่ที่ 26.9%) แต่หากต้องการเก็บภาษีให้ได้มากที่สุด (tax rate to maximize tax revenue) นั้นสามารถเก็บได้สัดส่วนสูงถึง 56.9% ของจีดีพี

ผมไม่ได้บอกว่าตัวเลขดังกล่าวแม่นยำถูกต้องในรายละเอียด แต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่าการจะเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์ใดและในรายละเอียดนั้นก็อาจจะต้องคำนึงว่าจะเก็บภาษีประเภทใดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ เช่น หากเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเก็บภาษีได้มาก แต่จะเป็นภาระสำหรับคนจนมากกว่าคนรวย แต่เนื่องจากเลี่ยงได้ยากและเป็นฐานภาษีที่กว้างจึงอาจจะไม่กระทบกับประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและทำให้การขยายตัวของจีดีพีไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากจะขึ้นภาษีดังกล่าวในสภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว เป็นต้น
[/size]
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: การเก็บภาษี/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
CARPENTER
Verified User
โพสต์: 423
ผู้ติดตาม: 0

Re: การเก็บภาษี/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ในความเห็นผม อย่าขึ้นภาษีเลย
ถ้าต้องการเงินเพิ่ม ก็ไปยกเลิกส่วนลดหย่อนต่างๆเช่น
LTF RMF การประกันชีวิต ดอกเบี้ยบ้าน BOI
กรณีมนุษย์เงินเดือนที่ได้ประโยชน์ คือคนที่มีเงินเหลือ
คนที่เงินเดือนไม่เหลือ ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากส่วนลดหย่อนพวกนี้
ที่เงินเดือนไม่เหลือ เพราะ อาจจะต้องอุปการะ พ่อแม่ญาติพี่น้อง
ส่วนบริษัทที่ได้ BOI ส่วนมากมีฐานะการเงินดี มีขนาดใหญ่ พวก SME ไม่มีใครได้ BOI
แล้วพวก ที่ไม่ได้ BOI จะไปแข่งกับพวกที่ได้ BOI ได้ยังงัย
เรื่องภาษีมีเรื่องให้พูดอีกเยอะ เต็มไปด้วยความอยุติธรรม
โพสต์โพสต์