โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเพิ่งกลับจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงวันหยุดสงกรานต์ทั้ง ๆ ที่เพิ่งไปญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เหตุที่ไปญี่ปุ่นอีกนั้นเป็นเพราะผมตัดสินใจเปลี่ยนโปรแกรมท่องเที่ยวกะทันหันจากประเทศในยุโรปแห่งหนึ่งเนื่องจากมีปัญหาบางอย่าง และในระยะเวลาอันสั้นนั้น ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีและสะดวกที่สุดที่จะไปเที่ยวเนื่องจากเป็นประเทศที่สาธารณูปโภคในเรื่องของการเดินทาง อัธยาศัยของผู้คน สถานที่ท่องเที่ยวและช็อปปิง และต้นทุนหรือราคาของค่าบริการและสินค้าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคุณภาพ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศในช่วงนี้ ทั้งหมดนั้นทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวลำดับต้น ๆ ของคนไทยในปัจจุบัน และนั่นก็ทำให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมากจนน่าจะอยู่ในลำดับต้น ๆ ของชาวต่างชาติที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจนทำให้สถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมากในญี่ปุ่นต้องมีภาษาไทยเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ จีนและเกาหลี ในร้านค้ายอดนิยมของนักท่องเที่ยวบางแห่งนั้นถึงกับมีการประกาศเป็นภาษาไทยเพื่อแนะนำหรือเชียร์ให้คนไทยซื้อสินค้า
เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ ผมมักจะสังเกตพฤติกรรมของผู้คนในท้องถิ่น กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการซื้อขายตามห้างร้านต่าง ๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวว่าพวกเขาชอบทำอะไรกัน และก็อย่างที่เป็นมาตลอด ในถานะของนักลงทุน ผมก็มักจะอดคิดไปถึงเรื่องหุ้นและการลงทุนไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การลงทุนนั้นเริ่มที่จะเป็นเรื่องโลกาภิวัตรมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถที่จะลงทุนในต่างประเทศจำนวนมากได้โดยมีอุปสรรคน้อยลงมาก และต่อไปนี้ก็คือข้อสังเกตของผมในการไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้
ข้อแรกก็คือ คนที่ไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากจริง ๆ ในช่วงนี้นั้นน่าจะเป็นคนจีนและคนไทยที่มีรายได้ปานกลาง พวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวประเภท “Economy” ที่ไม่ได้ใช้จ่ายเงินมากนักโดยเฉพาะในสิ่งที่เป็น “ความหรูหรา” พวกเขาไม่อยู่โรงแรมที่แพงมาก กินอาหารเหมือนคนชั้นกลางในท้องถิ่น ชอบซื้อสินค้าราคาถูกและเข้าร้านสะดวกซื้อ พวกเขาดูเหมือนจะชอบการช็อปปิงและดูธรรมชาติและบ้านเมืองมากกว่าการดูโบราณสถานและฟังเรื่องประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นหรือสถานที่ จำนวนของนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะมีนัยสำคัญมากขนาดที่จะช่วยให้ภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นได้ และทั้งหมดนี้ดูไปแล้วก็คล้าย ๆ กับสถานการณ์ในประเทศไทยที่เรามีคนจีนที่มีโปรไฟล์คล้าย ๆ กันเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจำนวนมากจนน่าจะมีผลต่อการประคองเศรษฐกิจของไทยในช่วงนี้ไม่ให้เลวร้ายเกินไปเช่นเดียวกับในกรณีของญี่ปุ่น
ข้อสังเกตที่สองของผมก็คือ ร้านค้าขายยอดนิยมของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้นน่าจะมีอย่างน้อย 2 ร้านหรือสองเครือข่าย โดยร้านแรกคือร้านที่ขายสินค้าราคาถูกสารพัดชนิดที่ไม่ใช่สินค้าเน่าเสียเช่นอาหารสดหรือเป็นสินค้าแฟชั่นที่ตกยุคได้ง่ายเช่นพวกเสื้อผ้าชื่อ “Don Quijote” ออกเสียงว่า “ดอน คี โฮ เต” ส่วนอีกร้านหนึ่งนั้นเป็นร้านขายเครื่องสำอางและยาขนาดใหญ่ที่มีสินค้าสารพัดชนิดที่ผู้หญิงทุกคนต้องใช้เป็นประจำชื่อ “Matsumoto” ออกเสียงว่า “มัตสึโมโต” เหตุที่ผมรู้ก็เพราะว่าเมื่อเข้าไปร้านทั้งสองนี้ก็จะพบคนไทยและคนต่างชาติที่เป็นคนเอเซียจำนวนมากหิ้วตะกร้าหาซื้อสินค้าสารพัดอย่าง เวลาจ่ายเงินก็จะแสดงพาสพอร์ตเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีกรณีที่เราซื้อถึงจำนวนหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นความสะดวกมากเทียบกับการที่ต้องไปเคลมภาษีคืนที่สนามบินอย่างในประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ ร้านทั้งสองเครือข่ายที่ว่านี้ แน่นอน ไม่ใช่ขายเฉพาะนักท่องเที่ยว ว่าที่จริง มันเป็นร้าน “ยอดนิยม” ของคนญี่ปุ่นเองอยู่แล้วเห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ค่อนข้างคึกคักตลอดเวลา เพียงแต่ว่านักท่องเที่ยวก็เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีนัยสำคัญมากโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่น
จุดเด่นของ ดอนคีโฮเต นั้นอยู่ที่ราคาสินค้าที่ “ถูกที่สุด” และมีของทุกอย่างที่คุณต้องการ ดอนคีโฮเตจะทำทุกอย่างที่เป็นการประหยัดต้นทุน การตกแต่งร้านมีน้อยมาก ร้านเก่า ๆ บางแห่งของบริษัทอย่างเช่นร้านหนึ่งที่โอซากานั้นไม่มีแม้แต่บันไดเลื่อนแม้ว่าจะมีถึง 4-5 ชั้น การวางสินค้าของบริษัทก็จะแน่นมากและชั้นวางสินค้าก็จะสูงขึ้นไปหลายชั้นจนหยิบไม่ถึง สินค้าของบริษัทนั้นน่าจะมีขายทุกแบรนด์ถ้าราคาไม่แพง แม้แต่สินค้าอย่างกระเป๋าหลุยส์วิตตองหรือแชนเนลก็มีขายแต่เป็นของเก่าที่อาจจะขายในราคา 20-30% ของราคาของใหม่เป็นต้น สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว นื่คือร้านสำหรับ “คนจน” หรือคนชั้นกลางที่ต้องการประหยัด ตำแหน่งการตลาดของร้านนั้นชัดเจนที่ว่ามันคือร้าน “Super Cheap” ที่มีการออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น และนั่นก็ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยว “รุ่นใหม่” ของเอเซียโดยเฉพาะจีนที่กำลังเติบโตอย่างมากเนื่องจากอานิสงค์ของการที่การเดินทางโดยเครื่องบินและค่าใช้จ่ายของการท่องเที่ยวที่ถูกลงมาก
ผมเองรู้จัก ดอนคีโฮเต มาน่าจะ 2-3 ปีแล้วโดยไม่เคยรู้ว่ามันเป็นบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดโตเกียวมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว การเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่ามันคือหุ้นที่เริ่ม “ร้อนแรง” มาได้ 2-3 ปีแล้วโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับการเติบโตของนักท่องเที่ยว “ชนชั้นกลาง” ของเอเซียหรือไม่แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น ย้อนหลังไป 3 ปี ราคาหุ้นของดอนคีโฮเตอยู่ที่ประมาณ 2600 เยนเท่านั้น ขณะที่ปัจจุบันราคาขึ้นไปที่ประมาณ 10,500 เยน หรือเป็นการปรับขึ้น 300% ในขณะที่ดัชนีนิกเกอิเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 130% เท่านั้น ถ้าดูยอดขายของบริษัทก็พบว่ารายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 6-7% ซึ่งถ้ามองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นแทบไม่โตเลยในช่วงเดียวกันก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือ กำไรของบริษัทกลับโตได้ปีละถึงเกือบ 20% โดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และนี่น่าจะเป็นแรงขับให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาก ผมเองคงสนใจที่จะลงทุนซื้อหุ้นดอนคีโฮเตถ้าราคาหุ้นไม่แพง แต่เมื่อดูค่า PE ของบริษัทที่ประมาณ 39 เท่า และปันผลที่ประมาณแค่ 0.34% ต่อปีเทียบกับราคาหุ้นก็ทำให้ผม “ถอย” และก็ได้แต่เสียดายว่า “เรารู้ช้าไป 3 ปี”
เช่นเดียวกับหุ้น ดอนคีโฮเต หุ้นมัตสึโมโตเองก็จดทะเบียนในตลาดโตเกียวเช่นเดียวกัน มองในแง่ธุรกิจแล้ว มันอาจจะไม่เด่นเท่ากับดอนคีโฮเตเนื่องจากมันมีคู่แข่งที่อาจจะโดดเด่นพอ ๆ กันในตลาดของคนญี่ปุ่น แต่จุดที่ดีของหุ้นตัวนี้ก็คือ ราคาหุ้นนั้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากกว่าดัชนีตลาด ค่า PE ของหุ้นนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 21 เท่าขณะที่ปันผลต่อราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1.4% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลประกอบการและการทำกำไรของบริษัทดูจะไม่โดดเด่นนัก และนี่ก็ทำให้ผมเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่ามันน่าซื้อหรือไม่
บทสรุปโดยรวมของผมก็คือ การท่องเที่ยวของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ คนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นมหาศาลโดยเฉพาะในจีนประกอบกับการลดลงของราคาของการท่องเที่ยวทำให้คนชั้นกลางกลายเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมหาศาลซึ่งส่งผลกระทบในทางที่ดีไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรง และกับธุรกิจที่เดิมไม่ได้อิงหรือเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเช่น ธุรกิจค้าปลีกสินค้าผู้บริโภคเช่น ดอนคีโฮเตหรือมัตสึโมโตด้วย หน้าที่ของเราในฐานะของนักลงทุนก็คือ การวิเคราะห์หาดูว่าธุรกิจหรือบริษัทไหนจะได้ประโยชน์และอาจจะเป็นโอกาสในการลงทุน