โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเป็นคนชอบอ่าน Quote หรือคำพูดที่ “แหลมคม” ของ “นักปราชญ์” คนที่มีความสามารถ หรือ “คนดัง” ในแวดวงต่าง ๆ เพราะผมรู้สึกว่า Quote นั้นมักจะมีแนวความคิดและปรัชญาที่สำคัญที่สามารถบรรจุอยู่ในคำพูดสั้น ๆ ไม่กี่ประโยคอ่านแล้วก็เข้าใจได้ทันที ซึ่งก็แน่นอนว่า ผมชอบอ่าน Quote ของกูรูการลงทุนมากมายที่ได้พูดไว้ และต่อไปนี้คือ Quote ที่ถูกรวบรวมโดยคุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข นักเขียนและนักลงทุนอาวุโสทางด้าน VI ซึ่งได้จัดทำเป็นหนังสือเพื่อแจกให้แก่คนที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ผมจึงถือโอกาสนี้ขอบคุณคุณพรชัยและนำ Quote บางส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในปัจจุบันที่กำลังร้อนแรงมาดูกัน
Quote แรกเป็นของ Michael K. Farr “คุณไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ราคาหุ้นมันขึ้นเอา ๆ คุณเห็นคนที่ไม่ได้ฉลาดอะไรรวยเอา ๆ ในขณะที่คุณมัวแต่ตั้งคำถามเพื่อพิจารณาเหตุผล ในที่สุดคุณตัดสินใจว่า การมัวนั่งพินิจพิเคราะห์ทำให้คุณไม่ได้กำไรอย่างคนอื่น ไม่วิเคราะห์มันแล้ว ซื้อเลยดีกว่า คุณต้องมีหุ้นตัวนี้กับเขามั่งแม้ว่ามันจะเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ก็เหอะ ฟังคุ้น ๆ ปะ”
คำพูดที่สองเป็นของ วอเร็น บัฟเฟตต์ “พอราคาหุ้นขึ้นต่อเนื่องแบบไม่ยอมตก เราจะเริ่มคิดว่า การขึ้นของราคาหุ้นมันคงสมเหตุผล เราจะเริ่มมองเห็นโลกเสี้ยวเดียว การขึ้นของราคาหุ้นและผลกำไรเป็นตัวกระตุ้นให้เราเชื่อ เชื่อแม้ว่ามันจะขัดกับสามัญสำนึก ข่าวดีกระจ้อยร่อยกระตุ้นราคาราวกับเป็นข่าวใหญ่น่าเฉลิมฉลอง ส่วนข่าวร้ายและคำวิพากษ์วิจารณ์ถูกมองข้ามและไม่มีใครให้น้ำหนัก จนในท้ายที่สุดเมื่อความเป็นจริงปรากฏ “รู้งี้” คือคำพูดที่จะหลุดออกมาจากปากเรา”
บัฟเฟตต์ยังพูดต่อว่า “ยามที่การใช้มาร์จินได้ผล มันจะทำให้กำไรของคุณเพิ่มทวีคูณ เมียคุณจะมองว่าคุณช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก เพื่อนบ้านจะอิจฉาคุณ แต่การใช้มาร์จินเป็นสิ่งเสพติด พอเคยได้กำไรอย่างมหัศจรรย์แล้ว น้อยคนนักจะหวนกลับมาลงทุนแบบระมัดระวังได้ และก็อย่างที่พวกเราเคยเรียนตอนอยู่ประถมและหลายคนได้เรียนอีกครั้งตอนวิกฤติในปี 2008 ว่า ไม่ว่าตัวเลขมันจะสวยหรูแค่ไหน มันจะมลายไปทันทีถ้ามันถูกเอาไปคูณกับเลขศูนย์เพียงแค่ตัวเดียว ประวัติศาสตร์บอกเราว่า มันกลายเป็นศูนย์ได้บ่อยครั้ง แม้ว่าคนที่ใช้มันจะเฉลียวฉลาดมากก็เหอะ”
คำพูดที่สี่และห้าเป็นของ Jack D. Schwager “จะซื้อหรือถือหุ้นที่มีค่า PE สูง ๆ การเติบโตของกำไรสุทธิต้อง Feasible, Visible, Predictable และ Durable”
“จังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวก็คือช่วงเวลาหลังจากที่หุ้นให้ผลตอบแทนไม่ดีติดต่อกันมายาวนาน”
คำพูดที่หกเป็นของ Peter Keefe “คนชอบอยากรู้ว่าตลาดหุ้นเกิดภาวะฟองสบู่แล้วหรือยัง จนลืมไปว่า ภาวะฟองสบู่ไม่ได้เกิดขึ้นได้กับตลาดโดยรวมเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเกิดกับหุ้นเป็นกลุ่ม ๆ หรือเป็นตัว ๆ ก็ได้”
Quote ที่เจ็ดนั้นอาจจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์การลงทุนอย่างหนึ่งของบัฟเฟตต์เลยก็ว่าได้เพราะเขาบอกว่า “เวลาที่ตลาดหุ้นตกหนัก ๆ จะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถซื้อหุ้น Philip Fisher (หุ้นเติบโต) ได้ในราคา Benjamin Graham (P/E, P/B ต่ำ)”
คำพูดที่แปดเป็นของ Francisco Garcia Parames “การที่ราคาหุ้นขึ้นมา 20 เปอร์เซ็นต์มันหมายความว่าหุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจน้อยลงไป 20 เปอร์เซ็นต์”
Joel Greenblatt พูดว่า “ความผิดพลาดข้อใหญ่ที่สุดสามข้อของนักลงทุนคือ 1. ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น ตอนอ่านบทวิเคราะห์หรืออ่านข่าว 2. ซื้อหุ้นแบบไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้ ประเมินมูลค่าบริษัทไม่ออก ซึ่งถ้าประเมินไม่ได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นถูกหรือเปล่า 3. ให้น้ำหนักกับผลประกอบการล่าสุดของบริษัทมากเกินไป”
ถ้าเราคิดว่าหุ้น IPO คือสุดยอดของการลงทุน เราควรฟัง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่พูดว่า “หุ้น IPO เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง การที่ผู้บริหารต้องการขายหุ้น ทำให้หุ้นพวกนี้ไม่น่าจะเป็นหุ้นที่ถูกที่สุดสำหรับการเข้าซื้อ”
Quote ที่ 11 เป็นของ Stuart Walton “ความเข้าใจผิดข้อใหญ่ที่สุดก็คือ มีการเชื่อกันในวงกว้างว่า การหาเงินด้วยการเทรดหุ้นเป็นเรื่องง่าย คนพากันคิดว่า พวกเขาสามารถเลิกทำงานและมานั่งเทรดหุ้นอย่างเดียวได้ สุดท้ายแล้ว คนส่วนใหญ่จะต้องพบกับความผิดหวัง”
คำพูดที่ 12 ถูกกล่าวโดย Jack Schwager “ทำไมการขาดทุนครั้งใหญ่มักมีแนวโน้มเกิดตามหลังช่วงที่ดีที่สุด? คำอธิบายหนึ่งก็คือ ในยามที่อะไร ๆ ดูเหมือนจะสวยหรูเหมือนมีคนกำกับ นักลงทุนมักจะเริ่มการ์ดตก พวกเขาเริ่มลืมคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ ในช่วงดี ๆ แบบที่ว่า แต่ละคนมักลงทุนสุดตัวทุ่มสุดขีด คำเตือนของผมก็คือ ในยามที่พอร์ตคุณสวยหรูดูดีนิวไฮมีหุ้นน้อยไป อย่าการ์ดตกและจงระมัดระวังตัวให้มาก”
คำพูดนี้เป็นของ Anthony Bolton “จากการศึกษาพบว่า เมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุด นักลงทุนที่มีประสบการณ์น้อยมักคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าและมั่นใจมากกว่าว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะตลาดได้ เมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานาน”
Quote ที่ 14 และ 15 เป็นของ Gerald M. Loeb เซียนหุ้นเก็งกำไร “ผลของตลาดกระทิงที่มีต่อความคิดของเรา: 1. เราจะชื่นชมตัวเองว่าเรานี่แหละเซียนหุ้น 2. รู้สึกว่าตัวเองโง่ที่อนุรักษ์นิยมเกินไปในช่วงที่ผ่านมาและจะนั่งคิดว่าถ้ากล้ากว่านี้จะได้เงินอีกเยอะเลย 3. เริ่มเสี่ยงมากขึ้นและอยากได้กำไรเร็วๆ จนกลายเป็นนักเก็งกำไร”
“สามสาเหตุหลักที่จะทำให้เราขาดทุนคือ 1. ซื้อหุ้นมาในราคาที่แพงเกินไป 2. ซื้อหุ้นที่มีงบดุลอ่อนแอ 3. ไปหลงเชื่อตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรที่สูงเกินจริง”
คำพูดที่ 16 ซึ่งเป็นคำพูดสุดท้ายที่ไม่ระบุชื่อคนพูดก็คือ “เรื่องของเรื่องก็คือ หุ้นมันก็เป็นแบบนี้แหละ บางทีมันก็ขึ้น บางทีมันก็ลง ตอนหุ้นขึ้นได้กำไร ก็อย่าผยองปากกล้าจนเกินงาม ตอนหุ้นตกขาดทุนหนักก็อย่าหดหู่ซึมเศร้าจนเกินควร ใช้เหตุผลและปัญญานำทาง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจ”