โค้ด: เลือกทั้งหมด
หนึ่งในมาตรการที่รัฐจะช่วยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมคือการตั้งกองทุนร่วมลงทุนหรือ Venture Capital Fund (VC) ในฐานะที่ดิฉันเคยเป็นผู้จัดการกองทุนเพื่อร่วมลงทุนมาก่อนจึงอยากจะขอแบ่งปันประสบการณ์ให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอปูพื้นเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจไปพร้อมๆกันกองทุนร่วมลงทุนหรือ Venture Capital Fund คือกองทุนที่ผู้ลงทุนรวมเงินทุนมาเพื่อร่วมลงทุนในกิจการต่างๆที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ผู้ลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการแต่เป็นผู้ลงทุนที่เรียกว่า “ผู้ลงทุนทางการเงิน” หรือ Financial Investors โดยอาจจะลงทุนตั้งแต่กิจการยังเตาะแตะอยู่ที่เรียกว่า Green Field ส่วนใหญ่จะเป็นทุนประเดิม (Seed Money) หรือดิฉันเคยเรียกว่า “เชื้อไฟ” คือนำเงินไปลงทุนเพื่อให้กิจการสามารถเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆได้เช่นอาจจะเพื่อทำสินค้าต้นแบบออกมาหรือนำมาใช้ลงทุนผลิตสินค้าล็อตแรกเพื่อทดลองตลาด
ถัดมาจะเป็นการลงทุนในช่วงที่ธุรกิจเริ่มขยายหรือเรียกว่า Expansion Phase และช่วงเติบโต (Growth)ในช่วงนี้ธุรกิจจะต้องการเงินเพิ่มซึ่งอาจจะกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์แต่หากฐานของทุนไม่แข็งแกร่งก็อาจจะกู้ได้น้อยจึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนให้กับธุรกิจเพื่อให้สามารถสร้างฐานทุนให้ใหญ่ขึ้นหรือกองทุนร่วมลงทุนอาจจะเป็นผู้ให้กู้และผู้ลงทุนไปพร้อมกันทั้งสองอย่างได้
กองทุนร่วมทุนจะไม่ได้ถือหุ้นของกิจการตลอดไปแต่จะถืออยู่ระยะหนึ่งซึ่งอาจเป็นช่วงเวลา 3-7 ปีแล้วก็จะขายหุ้นออกไปเมื่อกิจการแข็งแกร่งขึ้นเพราะผู้ลงทุนเป็นผู้ลงทุนทางการเงินตามที่ได้กล่าวไปแล้วไม่ได้ต้องการร่วมลงทุนกับกิจการไปตลอดเพราะอาจจะมีกิจการอื่นๆต้องการเงินลงทุนประเภทนี้อีก
เมื่อกิจการแข็งแกร่งขึ้นอาจเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (IPO) และนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Listing) ซึ่งกองทุนร่วมลงทุนอาจจะขายเงินลงทุนออกในช่วงนี้
แต่หากกิจการไม่มีความประสงค์จะจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์กองทุนร่วมลงทุนอาจขายคืนให้กับเจ้าของกิจการหรือขายคืนให้กับผู้ลงทุนรายอื่นที่มีความสนใจลงทุนซึ่งประเด็นนี้ก็ต้องตกลงกันให้ดีมิฉะนั้นหากผู้ลงทุนรายใหม่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ไม่ตรงกันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้
ประเด็นของการร่วมลงทุนจากภาครัฐที่ดิฉันอยากจะฝากไว้มีดังนี้
ประการแรกคือการลงทุนประเภทเงินร่วมลงทุนหรือ VC นี้มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะหากร่วมลงทุนกับวิสาหกิจขนาดย่อมในต่างประเทศถือเป็นเรื่องธรรมดามากที่กิจการที่ลงทุนจะให้ผลดีเพียง 1 หรือ 2 กิจการจาก 10 กิจการที่ลงทุนเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้จัดการกองทุนร่วมลงทุนหรือตัวแทนของภาครัฐที่เข้ามาเป็นกรรมการหรือผู้กำกับนโยบายต้องได้รับการคุ้มครองว่าหากเป็นการลงทุนที่เป็นไปโดยใช้ความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงกระทำแล้วผู้จัดการหรือกรรมการเหล่านั้นไม่ควรต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวมิฉะนั้นดิฉันทำนายว่าจะไม่สามารถหากิจการร่วมลงทุนได้เพราะเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องจะเกร็งไปหมดและประโยชน์ของกองทุนจะหดหายไปทันทีจะมีแต่ข่าวการตั้งกองทุนเพื่อให้กิจการขนาดกลางและขนาดย่อมดีใจและมีความหวังเท่านั้น
ประการที่สองการดำเนินการควรมีความโปร่งใสในลักษณะการจ้างให้หน่วยงานเอกชนหรือกึ่งเอกชนดำเนินการดิฉันเห็นด้วยกับการอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกลต. แต่ผู้จัดการกองทุนอาจจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุนก็ได้เนื่องจากการบริหารจัดการเงินร่วมลงทุนต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนและจัดโครงสร้างซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของวาณิชธนากรหรือ Investment Banker ซึ่งอาจจะเป็นหน่วยงานในธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์รูปแบบอื่นๆได้ การดำเนินงานเองโดยหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานเก่าหรือใหม่จะก่อให้เกิดประเด็นการแทรกแซงจากหน่วยงานหรือบุคคลภายนอกได้ผู้ปฏิบัติงานก็มีความลำบากใจ
ประการที่สามกฏเกณฑ์คุณสมบัติของกิจการที่จะขอรับการสนับสนุนต้องไม่ซับซ้อนหรือเข้มงวดจนเกินไปเช่นต้องการเน้นการจ้างงานในชนบทด้วยต้องการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมด้วยหลายครั้งคุณสมบัติหรือกฏเกณฑ์เหล่านี้อาจจะขัดแย้งกันทำให้กิจการที่ผ่านคุณสมบัติให้พิจารณามีน้อยลงอาจกำหนดให้มีคุณสมบัติ 2 ใน 10 อย่างถือว่าผ่านเบื้องต้นเป็นต้นเพราะกิจการยังจะต้องไปผ่านด่านอื่นๆที่ “หินและโหด” อีกมากเช่นการมีความโปร่งใสการมีธรรมาภิบาลในการประกอบการฯลฯ
ประการที่สี่อยากให้รัฐตั้งผลตอบแทนที่คาดหวังให้ต่ำกว่ากองทุนร่วมลงทุนทั่วไปเพราะณปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำต้นทุนเงินของรัฐก็ถูกลงการลงทุนในกิจการในประเทศไทยไม่ค่อยมีกิจการที่มีนวัตกรรมในลักษณะแปลกใหม่หรือ Breakthrough เหมือนของซีกโลกตะวันตกเช่นแอปเปิลหรือเฟซบุ้คแต่กิจการของไทยโดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจะเป็นกิจการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นจึงยากที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประเภทหลายเท่าตัวของเงินลงทุน
ประการที่ห้าหากต้องการให้ได้ผลสัมฤทธิ์สูงดิฉันอยากเสนอให้แบ่งกองทุนเป็นหลายกองโดยแยกตามวัตถุประสงค์เช่นกองทุนที่เน้นหนักเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม กองทุนที่เน้นบริษัทการค้า (Trading Company) และกองทุนที่เน้นการต่อยอดธุรกิจเช่นการบริการโลจิสติกส์หรือกองทุนที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมการผลิตที่ไทยเราทำได้อย่างดีเยี่ยมอยู่แล้วแต่อยากทำให้ดียิ่งขึ้น
สาเหตุที่เสนอให้แยกเนื่องจากผู้จัดการเงินร่วมลงทุนจะสามารถหาผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาและแนะนำกิจการต่างๆที่ร่วมลงทุนได้หรือหากยังมีความเหมาะสมไม่ถึงขีดขั้นที่จะลงทุนอาจจะช่วยปั้นช่วยนวดให้เก่งขึ้นแข็งแรงขึ้นเพราะจากประสบการณ์ของดิฉันบางกิจการมาขอรับการสนับสนุนร่วมลงทุนเพราะอยากได้คำแนะนำอยากขอความช่วยเหลือหารือปรึกษาในการทำธุรกิจซึ่งหากเป็นผู้จัดการกองทุนร่วมลงทุนเราจะไม่มีเวลาทำในเรื่องต่างๆเหล่านี้เพราะเป้าหมายอยู่ที่ต้องร่วมลงทุนให้ได้เร็วให้ได้ดีที่สุดสิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่ให้คำแนะนำไปหาหน่วยงานที่จะช่วยให้คำปรึกษาได้
หากรัฐจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนควบคู่ไปกับการตั้งหน่วยงานหรือว่าจ้างหน่วยงานเอกชนทำหน้าที่ “พี่เลี้ยงธุรกิจ” ไปพร้อมๆกัน ดิฉันเชื่อว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME ของไทยจะต้องแข็งแกร่งและเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นแน่นอน
สำหรับผู้สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนร่วมลงทุนเพิ่มเติมขอแนะนำให้อ่านหนังสือ Venture Capital ธุรกิจเงินร่วมลงทุน : หนทางสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่เขียนโดยดร.เรวัตตันตยานนท์และคุณสุธีพนาวรจัดพิมพ์โดยศูนย์ส่งเสริมพัฒนาความรู้ตลาดทุนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยราคาเล่มละ 250 บาทค่ะ