โค้ด: เลือกทั้งหมด
นักลงทุนในตลาดหุ้นมักจะชอบอยากรู้ว่าคนอื่นๆโดยเฉพาะขาใหญ่หรือเซียนหุ้นกำลังซื้อหุ้นตัวไหนอยู่ หลายคนพอรู้ว่ารายใหญ่กำลังซื้อหุ้นบริษัทใดอยู่ก็เข้าไปซื้อตามในทันทีโดยไม่ได้ศึกษาหุ้นบริษัทนั้นอย่างดีพอ นอกเหนือจากนั้นตามงานสัมมนาต่างๆหลังเลิกงานแล้ว คำถามที่ได้ยินอยู่เสมอคือช่วงนี้ซื้อหุ้นอะไรดี ซึ่งเป็นคำถามที่ยอดนิยมและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ยิ่งในช่วงนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก เพียงเพราะมีคนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้มากจึงอยากได้กำไรเหมือนคนอื่นบ้าง แต่หลายคนเข้ามาโดยไม่มีความรู้ในการลงทุนเพียงพอ
คำถามหนึ่งที่ตลอดเวลาที่เป็นนักลงทุนและไปบรรยายในโอกาสต่างๆไม่เคยมีนักลงทุนคนใดใครถามเลยคือคำถามที่ว่า”มีหลักการลงทุนอย่างไร” คนส่วนใหญ่ต้องการรู้แค่ชื่อหุ้นเพื่อไปซื้อตามแค่นั้น แต่มีน้อยคนมากที่สนใจว่าหลักการลงทุนที่ทำเงินจากตลาดหุ้นนั้นจริงๆแล้วมีอยู่หรือไม่ ถ้ารู้หลักการนี้แล้วสามารถนำไปใช้ได้ตลอดอายุการลงทุนเลยทีเดียว แต่คนส่วนใหญ่สนใจใน”วิธีการ”มากกว่า”หลักการ”ดังนั้นพอมีบางอย่างเกิดขึ้นกับหุ้นที่ตนไปสอบถามมาก็เกิดอาการประสาทเสีย ไม่รู้จะทำอย่างไรดีโดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นที่ซื้อมาตกลงๆทุกวัน
หลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นถ้าสรุปใจความสำคัญสั้นๆง่ายๆนั้นมีเพียงประโยคเดียวคือ “ซื้อหุ้นในธุรกิจที่เข้าใจ ราคาต่ำกว่ามูลค่า ผู้บริหารไว้ใจได้และถือไว้ตราบเท่าที่บริษัทยังมีผลประกอบการที่ดี” ฟังดูเหมือนไม่ยากแต่ในความเป็นจริงการปฏิบัติตามหลักการนี้หลายคนไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่ง เหตุผลหนึ่งก็คือหุ้นบริษัทที่ซื้อมาราคาไม่ไปไหน ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆที่มีเจ้ามือคอยลากราคาหุ้นมีราคาสูงขึ้นทุกวัน สุดท้ายก็ทนใจตนเองไม่ไหว หันไปเล่นหุ้นปั่นดีกว่า ได้กำไรเร็วกว่าการมายึดมั่นในหลักการที่ไม่รู้ว่าจะทำกำไรได้อย่างไร
นักลงทุนที่มีหลักการในการลงทุนอย่างเหนียวแน่นนี้ต้องยกให้วอร์เรน บัฟเฟต มีหลายครั้งที่บัฟเฟตทำอะไรสวนกระแสจนผู้คนในช่วงนั้นกล่าวหาว่าเขาคงบ้าไปแล้วหรือไม่ก็คงเพิ้ยนจนตามโลกสมัยใหม่ไม่ทัน ในช่วงปี 1970 ตอนนั้นบัฟเฟตยังบริหารกองทุนของเขาเองที่ชื่อบัฟเฟตพาร์ทเนอร์ชิพ (Buffet Partnership) เขาลงทุนโดยรวบรวมเงินของครอบครัวและผู้ร่วมลงทุนมาลงทุนในตลาดหุ้นโดยใช้หลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเกรแฮม เขาประสบความสำเร็จมากจนมูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงเวลาสิบปีของการก่อตั้ง จนถึงต้นปี 1970 ตลาดหุ้นในอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจนบัฟเฟตไม่สามารถหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าของกิจการได้ เขาตัดสินใจยุบกองทุนของเขาและคืนเงินให้กับผู้ลงทุนไป คนที่รู้เรื่องต่างประหลาดใจเป็นอย่างมากเพราะตลาดหุ้นกำลังไปได้ดีและหุ้นก็มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่บัฟเฟตกลับเลิกที่จะลงทุนในหุ้น สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อประเทศกลุ่มโอเปกประกาศขึ้นราคาน้ำมันกว่าเท่าตัวทำให้เศรษฐกิจอเมริกาฟุบหนัก ตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงปี 1970 ต้องล่มสลายและราคาหุ้นส่วนใหญ่ตกลงอย่างมาก ผ่านไปสามสี่ปี บัฟเฟตถึงเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหลังจากที่มีหุ้นราคาถูกในตลาดมากเพียงพอ
เหตุการณ์ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี 2000 ในช่วงนั้นตลาดหุ้นแนสแดคกำลังฟู่ฟ่าเนื่องจากนักลงทุนมองว่าหุ้นของบริษัทดอดคอมทั้งหลายกำลังมาแรงและจะเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจของบริษัทในอเมริกา หุ้นบางบริษัทเพิ่งเข้าไปไอพีโอมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลายบริษัทราคาเพิ่มขึ้นกว่าร้อยเท่า นักลงทุนโดยเฉพาะผู้บริหารบริษัทและผู้ถือหุ้นร่วมทุน (Venture Capital) ต่างร่ำรวยกันถ้วนหน้า ช่วงนั้นราคาหุ้นเบิร์คไชน์ของบัฟเฟตราคาไม่ไปไหนแถมมีราคาลดลงทุกวัน เพราะนักลงทุนหันไปเล่นหุ้นเทคโนโลยี่กันหมด จนหลายคนกล่าวว่า”บัฟเฟตตายแล้ว การลงทุนแบบเน้นคุณค่าใช้ไม่ได้อีกต่อไป” บัฟเฟตไม่ได้ซื้อหุ้นเหล่านี้เข้าพอร์ตเลยเพราะเขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจในธุรกิจดอดคอมดีพอ บัฟเฟตถูกเปรียบเทียบกลายเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี สุดท้ายคนที่หัวเราะทีหลังแล้วดังกว่าก็คือบัฟเฟตเพราะในช่วงต้นปี 2000 ตลาดหุ้นแนสแดคตกลงอย่างมาก หุ้นหลายบริษัทต้องล้มละลายและถูกถอดออกจากตลาดไป หลายบริษัทราคาหุ้นลดลงเหลือแค่ 10 เปอร์เซนต์ ดังนั้นคนที่เชื่อมั่นในหลักการอย่างบัฟเฟตถึงสามารถยืดหยัดอยู่ในตลาดหุ้นได้มานานกว่า 70 ปีนับจากวันแรกที่เขาซื้อหุ้นตัวแรกเมื่ออายุ 12 ขวบจนถึงปัจจุบัน แล้วเราๆท่านๆมี”หลักการ”ในการลงทุนอย่างไรบ้าง