โค้ด: เลือกทั้งหมด
คนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้นมักจะมีนิสัยที่สำคัญหลาย ๆ ประการ และต่อไปนี้คือบางส่วนที่ผมคิดว่าเราควรจะต้องมีหรือต้องฝึกฝนไว้:
ข้อแรกคือ เวลาลงทุนอะไรก็ตาม คิดถึงเรื่องความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากกว่ากำไร ในการคิดถึงเรื่องนี้นั้น ผมมักจะดูหรือวิเคราะห์ถึง “พื้นฐาน” ที่แท้จริงของบริษัท การดูเรื่องนี้แปลว่าเราจะต้องคิดถึงผลประกอบการในระยะยาวหลาย ๆ ปี ในกรณีของบริษัทปกติก็อย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป ในกรณีของกิจการที่เป็นสัมปทานหรือมีใบอนุญาตที่มีกำหนดเวลาแน่นอน ส่วนใหญ่ผมก็จะต้องคิดไปถึงเวลาที่ครบกำหนด ผมมักจะ “หลอก” ตัวเองว่า เมื่อซื้อหุ้นแล้ว ผมไม่มีสิทธิที่จะขายในเวลาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี ดังนั้น เวลาเราคิดแบบนี้ เราจะไม่เอาข่าวหรือการคาดการณ์ผลประกอบการในระยะสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปี มาเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน มีอยู่บ่อย ๆ ที่ผมพลาดลงทุนในหุ้นที่ราคาพุ่งพรวดเพราะกำลังมีเหตุการณ์ที่ดี ๆ เกิดขึ้นและผมก็คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ซื้อมัน เหตุเพราะว่าผมคิดว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว อนาคตต่อไปก็ “ไม่แน่นอน” ถ้าเราถือหุ้นยาวไปก็อาจจะขาดทุนได้ ความมี “วินัย” ที่แรงกล้าแบบนี้ทำให้เราพลาดโอกาสทำกำไรง่าย ๆ แต่ก็ช่วยให้เราไม่ขาดทุนกับหุ้นตัวไหนได้ง่าย ๆ และแม้ว่าบางตัวจะ “สะบักสะบอม” ในช่วงแรก แต่เมื่อถือยาวต่อไปมันก็มักจะ “ได้ทุนคืนมา”
ข้อสองคือ ถ้าเราเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีในระยะยาวและ/หรือมีระบบในการลงทุนที่ถูกต้อง เช่น มีพอร์ตการลงทุนที่เราคิดว่าเหมาะกับตัวเราแล้ว เช่น มีจำนวนเงินลงทุนในหุ้น 50% มีหุ้นกู้หรือพันธบัตร 30% มีสินทรัพย์ทางเลือกเช่น ทอง 10% ที่เหลือเป็นเงินสด เราก็ควรจะรักษาการลงทุนของเราให้ “คงเส้นคงวา” ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปมาเมื่อประสบกับสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่าตื่นเต้นหรือตกใจง่ายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรง ว่าที่จริงอะไรก็ตามถ้าไม่กระทบกับบริษัทที่เราลงทุนตรง ๆ และแรง โดยส่วนใหญ่แล้วเราก็ไม่ต้องทำอะไร นิสัยสำคัญที่เราจะต้องสร้างก็คือ เราต้องทำใจให้สงบ เป็นคนที่ “ใจเย็นเป็นน้ำ” เวลาลงทุน ผมเองไปลอนดอนบ่อย สิ่งที่เห็นเป็นประจำก็คือป้ายคำขวัญที่ทำเป็นของที่ระลึกที่เขียนว่า “Keep Calm and Carry on” หรือ “ใจเย็นและสู้ต่อไป” ซึ่งผมเข้าใจว่าเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่คนอังกฤษพยายาม “ปลอบใจ” ให้คนใจเย็น ๆ มีขวัญกำลังใจที่จะเอาชนะสงคราม ตอนหลังสินค้าก็เอามาทำเป็นคำโฆษณามากมายเช่น Keep Calm and Have a Cupcake หรือ ใจเย็น ๆ แล้วก็กินขนมเค้กซักชิ้น และอื่น ๆ อีกมาก
นิสัยข้อสามที่ผมคิดว่าควรจะเตือนตัวเองให้ปฏิบัติตลอดเวลาก็คือ “สังเกตและคิดแบบนักลงทุน” นี่จะทำให้เราพบโอกาสในการลงทุนเช่นเดียวกับฝึกฝนให้เราเป็นนักวิเคราะห์ที่ดี สูตรที่ผมใช้ก็คือ พยายามคิดว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ต่างก็ “แข่งขันกัน” ผู้ชนะนั้นจะได้ “รางวัล” มากน้อยตามระดับการชนะนั้น ซึ่งก็จะส่งผลให้เขาหรือบริษัทหรือองค์กรอะไรก็ตามมี “ค่า” ต่อ “เจ้าของ” ตามที่ควรจะเป็น แน่นอน บางสิ่งบางอย่างเช่นวัดหรือศิลปินที่ไม่มีสังกัดนั้นไม่มี “เจ้าของ” ซึ่งในฐานะของนักลงทุนเราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ในกรณีของบริษัทจดทะเบียนนั้น เราสามารถเป็นเจ้าของได้ และนี่ก็คือโอกาสที่เราจะลงทุน ในช่วงที่เรายังไม่คุ้นเคยกับการคิดแบบนี้ สิ่งที่เรามักจะสับสนก็คือ เราไม่รู้ว่าใครแข่งกับใคร บ่อยครั้งเราอาจจะสรุปว่ามัน “ไม่มีคู่แข่ง” แต่ในความคิดผมแล้ว สิ่งมีชีวิตหรือองค์กรของสิ่งมีชีวิตนั้นมีคู่แข่งและแข่งกันเสมอ เพียงแต่บางครั้งเราอาจจะยังหาไม่พบ
นิสัยข้อสี่ที่สำคัญก็คือ หมั่นศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์และจิตวิทยานอกเหนือไปจากการศึกษาเรื่องการลงทุน การอ่านหนังสือควรเป็นนิสัยที่ติดตัว ผมเองมีคติว่าเราต้องกินอาหารที่ดีทุกวันเช่นเดียวกับต้องบริโภค “อาหารสมอง” เป็นประจำ ดังนั้น ทุกสัปดาห์ที่ผมไปจ่ายตลาดเพื่อหาอาหารมากินตลอดสัปดาห์แล้ว ผมก็มักจะต้องไปจ่าย “อาหารสมอง” ในร้านหนังสือที่มีหนังสือดี ๆ ที่ผมต้องใช้เวลาอยู่กับมันพอ ๆ กับการจ่าย “อาหารกาย” อาหารสมองหรือความรู้ที่เราได้รับนั้นจะช่วยให้เรามีพื้นฐานและความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการลงทุน
ข้อที่ห้า นิสัยที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนก็คือ อย่าเล่น “หุ้นปั่น” ทุกกรณี และพยายามหลีกเลี่ยงหุ้นที่มี Story หรือเรื่องราวที่น่าสนใจที่ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงมากในเวลาอันสั้นแล้ว วิธีสังเกตว่าตัวไหนเข้าข่ายเป็นหุ้นปั่นหรือหุ้นที่มี Story นั้น นอกจากข่าวและเหตุผลดี ๆ ที่ออกมาจากบริษัทหรือแหล่งข่าวอื่น ๆ แล้ว ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นก็เป็นข้อมูลสำคัญที่จะชี้ว่ามันเป็นหุ้นดังกล่าวหรือไม่ เกณฑ์คร่าว ๆ ก็คือ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงติดต่อกันหลายวันคิดแล้วหุ้นอาจจะขึ้นไปเป็น 100% ในเวลาเพียงไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ส่วนปริมาณหุ้นเองก็สูงขึ้นมาก อัตราการหมุนเวียนหุ้นนั้นอาจสูงเป็น 50-100% ของปริมาณหุ้นทั้งหมดของบริษัทภายในการซื้อขายเพียงวันเดียว เป็นต้น นอกจากนั้น ในเวบบอร์ดเกี่ยวกับหุ้นที่แพร่หลายมีผู้ติดตามกันมากนั้นก็มักจะมีคนโพสต์ข้อความเกี่ยวกับหุ้นดังกล่าวมากผิดปกติ นิสัยไม่สนใจหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูงและราคาหุ้นขึ้นไปมากแล้วนั้น ผมคิดว่าจะช่วยปกป้องให้เราไม่ขาดทุนหรือล้มเหลวจากการลงทุนในระยะยาว เหตุผลหนึ่งก็คือ มันทำให้เราต้องเน้นการเลือกหุ้นลงทุนเฉพาะในกิจการที่มีผลประกอบการเป็นหลักแทนที่จะเน้นที่ข่าวและปัจจัยเอื้ออำนวยในระยะสั้นซึ่งอาจจะไม่ได้กระทบกับพื้นฐานจริง ๆ ของบริษัท
นิสัยแห่งความสำเร็จของการลงทุนข้อที่หกก็คือ ลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ตนเองรู้และเข้าใจ นั่นก็คือ ไม่ลงทุนตามคนอื่นตราบใดที่ตนเองยังไม่เข้าใจตัวกิจการจริง ๆ นั่นหมายความว่า เราอาจจะไม่ยอมลงทุนในหุ้นของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น ปิโตรเคมีเลยเนื่องจากมันเป็นอุตสาหรรมที่อยู่นอกเหนือความรู้ของเรา นิสัยข้อนี้อาจจะทำให้เรามีหุ้นที่สามารถลงทุนได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม ข้อดีก็คือ ทำให้เรามีเวลาศึกษาวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวมากขึ้น นอกจากนั้น ความถูกต้องของการวิเคราะห์ก็จะสูงขึ้น การลงทุนของเราก็จะ Focus หรือไม่กระจายมากเกินไป และนี่ก็จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเรามีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น
นิสัยสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเน้นคุณค่าเวลาจะซื้อหรือทำอะไรต่าง ๆ นี่ไม่ใช่เฉพาะการลงทุนแต่รวมถึงการซื้อของอย่างอื่นหรือแม้แต่การทำงาน พูดง่าย ๆ ทำอะไรก็ต้องดูว่าเราจะได้ผลตอบแทนสูงกว่ารายจ่ายหรือต้นทุนที่เราทุ่มเทลงไป เมื่อเราทำแบบนี้จนกลายเป็นนิสัย การลงทุนของเราก็จะมีแนวทางหรือแนวคิดแบบเดียวกัน และนั่นจะทำให้การลงทุนของเราเป็นเรื่องของ Value Investment หรือเป็นการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยอัตโนมัติ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ ถ้าจะว่าไป ไม่มีเซียน VI คนไหนที่จะรักษาสถิติหรือผลงานการลงทุนที่ดีได้โดยปราศจากการมีนิสัยการลงทุนที่ดีด้วย และไม่มีใครคนไหนที่จะกลายเป็นเซียนได้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติและพัฒนานิสัยที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการเป็น VI ผมเชื่ออย่างนั้น