10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 1
10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, March 10, 2014 06:12
เปลือยชีวิตการลงทุน พ่อหนุ่มนักเขียนเรือง Out of My Mind on Investment "ปราการ สมใจเพ็ง" เจ้าของนามแฝง Out of My Mind จากทุน 5 หมืนล้านบาท ขึนแท่นเจ้าของพอร์ต "หลักสิบล้านบาท" หลังวิกฤติปี 2551 เคยโกยกำไรมากถึง 180 เปอร์เซ็นต์
ชาลินี กุลแพทย์
"ลองคุยกับนักลงทุนคนนี้ดูนะ เขาเป็นคนเขียนหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment วิธีคิดของเขาน่าสนใจทีเดียว" "โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com แนะนำให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ไปทำความรู้จัก "เปา-ปราการ สมใจเพ็ง" เจ้าของนามแฝง Out of My Mind ตามคำร้องขอ
ร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก ย่านเรียบทางด่วน รามอินทรา คือ จุดนัดพบ "เปา-ปราการ"เดินเข้ามาในร้านพร้อมภรรยา มือข้างหนึ่ง ถือหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เล่ม 1 ติดตัวมากด้วย "คงไม่ได้ นั่งคุยด้วย เปาคุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งคุยเรื่องการลงทุนคงยาว" หญิงคู่ใจ "เปา" เอ่ยปากเพื่อขอตัวไปธุระ
หนังสือเล่มนี้จะวางขายเฉพาะใน Facebook ชื่อ Out Of My Mind on Value Investment ยอดพิมพ์ครั้งแรก 1,000 เล่ม ราคาเล่มละ 200 บาท ตอนนี้น่าจะเหลือประมาณ 200 เล่ม ตั้งใจจะพิมพ์เล่ม 2 เร็วๆนี้ เนื้อหาจะเข้มข้นกว่าเล่มแรกมาก เล่มแรกออกแนวอ่านง่ายๆ เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้มีโอกาสได้คุยกับ "โจ ลูกอีสาน" ผ่านตัวหนังสือมากกว่าเจอตัวเป็นๆ
"ผมไม่ค่อยไปมิตติ้งกับกลุ่มนักลงทุนวีไอ ส่วนใหญ่จะคุยกันผ่านแมสเสจ เพราะต้องการอยู่ไกลแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นอะไรสักตัว มักเลือกลงทุนหลังได้อ่านข้อมูลต่างๆจากสื่อเท่านั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หากเพื่อนอยากเล่าข้อมูลอะไรให้ฟัง ผมฟังได้ แต่ไม่เคยไปขอฟัง เมื่อฟังแล้วไม่เคยปฏิบัติตาม" เจ้าของพอร์ต "หลัก สิบล้านบาท" บอกถึง ตัวตนของตัวเอง
"ชายวัย 39 ปี"ในมาดนิ่งๆ เริ่มแชร์ประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนนนทบุรี มีน้องชาย 1 คน อายุ 36 ปี คุณพ่อยึดอาชีพ ผู้จัดการสาขาธนาคารพาณิชย์ เปลี่ยนมาแล้วหลากหลายแบงก์ ส่วนแม่ เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัดสินใจ บินไปเรียนต่อปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 ปี เรียนจบบินกลับเมืองไทยทันที ไม่ได้มีโอกาสทำงานหาประสบการณ์ที่โน้นเลย สมัยก่อนยังหาความชอบของ ตัวเองไม่เจอ ทำให้ตอนปริญญาตรีเลือกไปสอบโควตาเรียนดี เมื่อสอบติดและเรียนไปสักพักถึงค่อยรู้สึก "สนุก" น่าเสียดายหาก วันนั้นรู้ว่า ตัวเองชอบเรื่องการลงทุน คงสนุกกว่านี้อีกหลายเท่า เขา สถบ
ก่อนเหินฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโท "เปา" มีโอกาสได้ทำงานฝ่ายโฆษณา 1 ปี ในบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ในเครือของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ตอนนั้นพยายามหางานที่ทำแล้วรู้สึก "สนุก"
ด้วยความที่เป็นคนชอบการเปลี่ยนแปลง ทำให้มักย้ายที่ทำงานทุกๆ 2 ปี ถือคติที่ว่า การทำงานคือ การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เมื่อเราต้อง ย้ายไปทำงานที่อื่น นั่นหมายความว่า เราต้องมีของใหม่ๆ ไปแลกกับบริษัท ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีของมาแลกคืนเราเช่นกัน ถือเป็น การเสริมซึ่งกันและกัน
อาชีพมนุษย์เงินเดือนแห่งที่ 2 เริ่มต้น ที่ฝ่ายการตลาดในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ทำงานได้ 2 ปี ย้ายไปหาความรู้เพิ่มเติมต่อที่บริษัท พิณ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเด็ก
จากนั้นย้ายไปที่บริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ก่อนจะกลับมา ทำงานที่เครือซีพีใหม่อีกรอบ ตามคำเชื้อเชิญของเจ้านายเก่าที่ต้องการคนมาทำเรื่องกลยุทธ์การตลาด
ปัจจุบันลาออกจากงานประจำมาแล้ว 3 ปี เรียกว่า จบชีวิตมุนษย์เงินเดือนก็ว่าได้ บังเอิญคุณพ่อท่านป่วยหนัก ด้วยโรคอัมพาต หลังเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ต้องเข้าออก โรงพยาบาลบ่อยๆ ประจวบเหมาะกับภรรยากำลังจะคลอดลูกคนแรก "เปา" ยื่นโทรศัพท์ มือถือให้ "บิสวีค" ดูหน้าตา "น้องเพลิน"ลูกสาววัย 4 ขวบ ปัจจุบันอาการคุณพ่อออกแนว ทรงๆตัวแล้วจึงตัดสินใจจ้างคนมาช่วยดูแลท่าน
"ปราการ" เล่าต่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นในช่วงอายุ 30 ปี ตอนทำงานในบริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด สมัยก่อนเคยฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ สุดท้ายไม่เคยทำได้ เพราะยิ่งเราทำงานมากเท่าไรยิ่งรู้สึกว่า การเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยมากมาย
ที่สำคัญคุณต้องมีสายป่านยาวมาก ต้อง มีเครือข่ายกว้างขว้าง และต้องใช้เงินลงทุน ค่อนข้างสูง อีกอย่างตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่า จะทำธุรกิจอะไร ช่วงนั้นทำได้เพียงสะสมประสบการณ์และเงินทุน แต่เงินเก็บส่วนใหญ่ มักหมดไปกับการท่องเที่ยวทั่วไป ตามประสาคนอายุ 30 ปี ที่เมื่อมีตำแหน่ง มีตังค์จะ เริ่มเที่ยว
วันหนึ่งของปี 2547 น้องชายที่กำลังเรียนอยู่ประเทศเดนมาร์ก เกิดมีความสนใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นขึ้นมา เขาจึงแนะนำเราว่า หากต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจให้ลองไปเล่นหุ้นและถ้าอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นดีอย่างไรให้ลองไปศึกษาประวัติของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" มหาเศรษฐีคนดังของโลก เพราะในหนังสือจะบอกว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นเจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นจาก "ศูนย์" แต่หนังสือเรื่องการลงทุนเล่มแรกๆ ที่อ่าน คือ เรื่อง The Intelligent Investor ของ Benjamin Graham ซึ่งเขาเป็นอาจารย์ของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ฉะนั้นเราควรเริ่มต้นจากแหล่งที่ถูกต้องที่สุด อ่านเสร็จแล้วรู้สึก "มึน" ในช่วงระยะเวลา 10 ปีของการลงทุนในตลาดหุ้น ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา 3 รอบ อ่านจากหนังสือ 1 รอบ ที่เหลืออีก 2 รอบ ฟังจากออดิโอไฟล์ที่มีคนอ่านเป็นภาษาอังกฤษแล้วมาโหลดไว้ใน YOUTRUE เรานอนฟังไปเรื่อยๆ สบายดีไม่ต้องอ่านเอง
เขา เล่าต่อว่า สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ แน่นอนหนีไม่พ้นเรื่องแนวคิดที่ว่า การลงทุนคือ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเข้าใจพื้นฐานของธุรกิจ ซึ่งมันตรงกับสายการงานด้านการตลาดของเราที่มีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์ธุรกิจ ตอนนั้นรู้สึกว่า เออ!! การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นการต่อยอดความรู้ที่เรามีอยู่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วงนั้นมั่นใจว่า การลงทุนน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะกับตัวเรา
หลังอ่านหนังสือจบรอบแรก ผมตัดสินใจลงทุนทันที ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุน 50,000 บาท กับบริษัทหลักทรัพย์ ซิมิโก้ ทั้งตัวมีเงินแค่นี้หละ เพราะต้องแบ่งเงินไปแต่งงานด้วย หุ้นตัวแรกที่เลือกเข้าพอร์ต คือ หุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ หรือ SITHAI ซึ่งซื้อขายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน
ด้วยความที่หนังสือของ Benjamin Graham แนะนำไว้ว่า นักลงทุนควรซื้อลงทุนหุ้นที่มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ในอัตราต่ำๆ รวมถึงต้องเลือกบริษัท ที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ช่วงนั้นหุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ถือว่า เข้าคอนเซปต์มากที่สุด จำต้นทุนที่เข้าไปซื้อไม่ได้ แต่ผลของการลงทุนคือ "ไม่ขาดทุน"ได้กำไรแต่ไม่เปรี้ยงป้างหลายเด้ง
เมื่อเริ่มต้นได้สวย เราตั้งใจว่า จะลงทุนในตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ หวังสร้างพอร์ตลงทุนให้ถึงจุดที่สามารถอยู่ได้ด้วยเงินปันผล ฉะนั้นเมื่อมีเงินเหลือเก็บ เราจะใส่เพิ่มเติมในหุ้นตลอด ผ่านมา 1 ปี รู้สึก "สนุก" เพราะได้นั่งวิเคราะห์ธุรกิจไปเรื่อยๆ
เชื่อหรือไม่!! ตลอด 10 ปี แห่งการลงทุน ผมไม่เคยไม่สนุก และไม่เคยขาดทุน ที่ผ่านมาไม่ได้มองว่า เมื่อราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าต้นทุน คือ การขาดทุน แต่จะมองว่า หากวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ เพื่อประเมินหามูลค่าเหมาะสมได้แล้ว จงรีบหาจังหวะเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาเหมาะสม ระหว่างทางลงทุนหากเจอหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าควรย้ายออก หากทำแบบนี้เรื่อยๆ พอร์ตมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง "ผมมักเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้เฉลี่ย "ร้อยเปอร์เซ็นต์"
หลังลงทุนในหุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ มีโอกาสถือหุ้นตัวอื่นๆ อีกประมาณ 4-5 ตัว ในช่วงปีแรกๆ ของการลงทุน ผลออกมา "ไม่ขาดทุน" แต่กำไรไม่เยอะเท่าไร ในช่วง 3 ปีแรก ยังคงวนเวียนหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับจริตของตนเอง ระหว่างนั้นจึงเน้นลงทุนแนว Benjamin Graham แต่เมื่อมีโอกาสได้อ่านหนังสือของนักลงทุนเก่งๆ คนอื่น เช่น "ปีเตอร์ ลินซ์-วอร์เรน บัฟเฟตต์-จอร์จ โซรอส" จึงค่อยๆ เปลี่ยนแนวทาง หรือเป็นเพราะหุ้นดีๆเริ่มหายากทำให้ต้องเปลี่ยนแนวลงทุนก็ไม่รู้
"เปา" บอกว่า หลังปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปี 2549 และปี 2551 ถือเป็น "ปีทอง" ของการลงทุน โดยปี 2550 ผมได้กำไร "ร้อยเปอร์เซ็นต์" ขณะที่ปี 2552 ได้กำไร 180 เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจตัวเลขเท่าไรนัก เขาทำท่าคิด
แต่วิกฤติการเมืองในปี 2556 ทำให้พอร์ตลงทุนสิ้นปี 2556 ติดลบประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้เปลี่ยนตัวเล่นเลยออกแนวนั่งอยู่เฉยๆ ตลอดปี จริงๆ เรารู้อยู่แล้วว่า สถานการณ์แบบนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยความที่ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่ถืออยู่จึงไม่เคลื่อนไหวไปไหน
"ปกติจะพยายามไม่ขยับพอร์ตลงทุน บ่อยๆ แต่จะเน้นถ่ายน้ำหนักหุ้นที่มีอยู่ในมือไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวไหนลูกรักจะถือมากหน่อย ตัวไหนลูกชังจะถือน้อยหน่อย วันนี้ในพอร์ตมีลูกรักอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้าน คอนโดมิเนียม ส่วนลูกชังอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ทำพวกศูนย์การค้า"
ส่วนปีที่พอร์ตลงทุน "ติดลบมากที่สุด" คือ ปี 2549 ช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ตอนโน้นพอร์ตติดลบมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่วิกฤติในปี 2551 พอร์ตลงทุนไม่ติดลบ เพราะตอนนั้นลงทุนน้อยยังเล่นแนว Benjamin Graham
"นักลงทุน VI" บอกว่า "ผมชอบวิธีคิดของ "ชาร์ลี มังเกอร์" ผมว่าเขาฉลาดกว่า "วอร์เรน" จริงอยู่ "วอร์เรน" รวยมาก แต่วิถีการใช้ชีวิตของ "วอร์เรน" ไม่กว้างเท่า "ชาร์ลี" เพราะเขาเป็นทั้งทนายความ นักวิเคราะห์ และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เวลาลงทุนเขามักให้ "วอร์เรน" ออกหน้าตลอด ส่วนเขาจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตมากกว่า ส่วนตัวไม่มีบุคคลต้นแบบในการลงทุนที่เป็นคนไทย แต่ที่นับถือแน่นอน คือ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เคยซื้อหนังสือเล่มแรกๆ ที่อาจารย์เขียนมาอ่าน แต่หลังๆ มักอ่านของ "วอร์เรน" ก่อนเป็นอันดับต้นๆ ผมไม่อยากอยู่ใกล้แหล่งข้อมูลในเมืองไทยมากเกินไป เพราะอาจถูกหลอกและเกิดความรู้สึกอคติทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
"ผมอยากเป็นนักลงทุนแบบ "ชาร์ลี มังเกอร์" ที่วันๆ ไม่ได้อยู่เพียงแต่เรื่องการลงทุน ชีวิตเราควรออกไปรู้จักโลกภายนอกมากกว่านี้ วิธีคิดของ "ชาร์ลี" จะเน้นหนักไปทางเรื่องจิตวิทยา และการวิเคราะห์แบบ พลิกแพลง นำความรู้จากแขนงนั้นมาผสมแขนงนี้"
ติดตามเรื่องราวการลงทุนของ "เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลักสิบล้านบาท" ชายที่มีโลกส่วนตัวสูง ตอนจบได้ในสัปดาห์หน้า หากคุณรู้เป้าหมายพอร์ตลงทุนในอีก 31 ปีข้างหน้าของเขาแล้วคุณจะต้องร้อง "อู้หู"!!
'ตลอด 10 ปี แห่งการลงทุนไม่เคยไม่สนุก ไม่เคยขาดทุนที่ผ่านมามักเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้เฉลี่ย "ร้อยเปอร์เซ็นต์'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, March 10, 2014 06:12
เปลือยชีวิตการลงทุน พ่อหนุ่มนักเขียนเรือง Out of My Mind on Investment "ปราการ สมใจเพ็ง" เจ้าของนามแฝง Out of My Mind จากทุน 5 หมืนล้านบาท ขึนแท่นเจ้าของพอร์ต "หลักสิบล้านบาท" หลังวิกฤติปี 2551 เคยโกยกำไรมากถึง 180 เปอร์เซ็นต์
ชาลินี กุลแพทย์
"ลองคุยกับนักลงทุนคนนี้ดูนะ เขาเป็นคนเขียนหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment วิธีคิดของเขาน่าสนใจทีเดียว" "โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com แนะนำให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ไปทำความรู้จัก "เปา-ปราการ สมใจเพ็ง" เจ้าของนามแฝง Out of My Mind ตามคำร้องขอ
ร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก ย่านเรียบทางด่วน รามอินทรา คือ จุดนัดพบ "เปา-ปราการ"เดินเข้ามาในร้านพร้อมภรรยา มือข้างหนึ่ง ถือหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เล่ม 1 ติดตัวมากด้วย "คงไม่ได้ นั่งคุยด้วย เปาคุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งคุยเรื่องการลงทุนคงยาว" หญิงคู่ใจ "เปา" เอ่ยปากเพื่อขอตัวไปธุระ
หนังสือเล่มนี้จะวางขายเฉพาะใน Facebook ชื่อ Out Of My Mind on Value Investment ยอดพิมพ์ครั้งแรก 1,000 เล่ม ราคาเล่มละ 200 บาท ตอนนี้น่าจะเหลือประมาณ 200 เล่ม ตั้งใจจะพิมพ์เล่ม 2 เร็วๆนี้ เนื้อหาจะเข้มข้นกว่าเล่มแรกมาก เล่มแรกออกแนวอ่านง่ายๆ เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้มีโอกาสได้คุยกับ "โจ ลูกอีสาน" ผ่านตัวหนังสือมากกว่าเจอตัวเป็นๆ
"ผมไม่ค่อยไปมิตติ้งกับกลุ่มนักลงทุนวีไอ ส่วนใหญ่จะคุยกันผ่านแมสเสจ เพราะต้องการอยู่ไกลแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นอะไรสักตัว มักเลือกลงทุนหลังได้อ่านข้อมูลต่างๆจากสื่อเท่านั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หากเพื่อนอยากเล่าข้อมูลอะไรให้ฟัง ผมฟังได้ แต่ไม่เคยไปขอฟัง เมื่อฟังแล้วไม่เคยปฏิบัติตาม" เจ้าของพอร์ต "หลัก สิบล้านบาท" บอกถึง ตัวตนของตัวเอง
"ชายวัย 39 ปี"ในมาดนิ่งๆ เริ่มแชร์ประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนนนทบุรี มีน้องชาย 1 คน อายุ 36 ปี คุณพ่อยึดอาชีพ ผู้จัดการสาขาธนาคารพาณิชย์ เปลี่ยนมาแล้วหลากหลายแบงก์ ส่วนแม่ เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัดสินใจ บินไปเรียนต่อปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 ปี เรียนจบบินกลับเมืองไทยทันที ไม่ได้มีโอกาสทำงานหาประสบการณ์ที่โน้นเลย สมัยก่อนยังหาความชอบของ ตัวเองไม่เจอ ทำให้ตอนปริญญาตรีเลือกไปสอบโควตาเรียนดี เมื่อสอบติดและเรียนไปสักพักถึงค่อยรู้สึก "สนุก" น่าเสียดายหาก วันนั้นรู้ว่า ตัวเองชอบเรื่องการลงทุน คงสนุกกว่านี้อีกหลายเท่า เขา สถบ
ก่อนเหินฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโท "เปา" มีโอกาสได้ทำงานฝ่ายโฆษณา 1 ปี ในบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ในเครือของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ตอนนั้นพยายามหางานที่ทำแล้วรู้สึก "สนุก"
ด้วยความที่เป็นคนชอบการเปลี่ยนแปลง ทำให้มักย้ายที่ทำงานทุกๆ 2 ปี ถือคติที่ว่า การทำงานคือ การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เมื่อเราต้อง ย้ายไปทำงานที่อื่น นั่นหมายความว่า เราต้องมีของใหม่ๆ ไปแลกกับบริษัท ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีของมาแลกคืนเราเช่นกัน ถือเป็น การเสริมซึ่งกันและกัน
อาชีพมนุษย์เงินเดือนแห่งที่ 2 เริ่มต้น ที่ฝ่ายการตลาดในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ทำงานได้ 2 ปี ย้ายไปหาความรู้เพิ่มเติมต่อที่บริษัท พิณ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเด็ก
จากนั้นย้ายไปที่บริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ก่อนจะกลับมา ทำงานที่เครือซีพีใหม่อีกรอบ ตามคำเชื้อเชิญของเจ้านายเก่าที่ต้องการคนมาทำเรื่องกลยุทธ์การตลาด
ปัจจุบันลาออกจากงานประจำมาแล้ว 3 ปี เรียกว่า จบชีวิตมุนษย์เงินเดือนก็ว่าได้ บังเอิญคุณพ่อท่านป่วยหนัก ด้วยโรคอัมพาต หลังเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ต้องเข้าออก โรงพยาบาลบ่อยๆ ประจวบเหมาะกับภรรยากำลังจะคลอดลูกคนแรก "เปา" ยื่นโทรศัพท์ มือถือให้ "บิสวีค" ดูหน้าตา "น้องเพลิน"ลูกสาววัย 4 ขวบ ปัจจุบันอาการคุณพ่อออกแนว ทรงๆตัวแล้วจึงตัดสินใจจ้างคนมาช่วยดูแลท่าน
"ปราการ" เล่าต่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นในช่วงอายุ 30 ปี ตอนทำงานในบริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด สมัยก่อนเคยฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ สุดท้ายไม่เคยทำได้ เพราะยิ่งเราทำงานมากเท่าไรยิ่งรู้สึกว่า การเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยมากมาย
ที่สำคัญคุณต้องมีสายป่านยาวมาก ต้อง มีเครือข่ายกว้างขว้าง และต้องใช้เงินลงทุน ค่อนข้างสูง อีกอย่างตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่า จะทำธุรกิจอะไร ช่วงนั้นทำได้เพียงสะสมประสบการณ์และเงินทุน แต่เงินเก็บส่วนใหญ่ มักหมดไปกับการท่องเที่ยวทั่วไป ตามประสาคนอายุ 30 ปี ที่เมื่อมีตำแหน่ง มีตังค์จะ เริ่มเที่ยว
วันหนึ่งของปี 2547 น้องชายที่กำลังเรียนอยู่ประเทศเดนมาร์ก เกิดมีความสนใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นขึ้นมา เขาจึงแนะนำเราว่า หากต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจให้ลองไปเล่นหุ้นและถ้าอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นดีอย่างไรให้ลองไปศึกษาประวัติของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" มหาเศรษฐีคนดังของโลก เพราะในหนังสือจะบอกว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นเจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นจาก "ศูนย์" แต่หนังสือเรื่องการลงทุนเล่มแรกๆ ที่อ่าน คือ เรื่อง The Intelligent Investor ของ Benjamin Graham ซึ่งเขาเป็นอาจารย์ของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ฉะนั้นเราควรเริ่มต้นจากแหล่งที่ถูกต้องที่สุด อ่านเสร็จแล้วรู้สึก "มึน" ในช่วงระยะเวลา 10 ปีของการลงทุนในตลาดหุ้น ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา 3 รอบ อ่านจากหนังสือ 1 รอบ ที่เหลืออีก 2 รอบ ฟังจากออดิโอไฟล์ที่มีคนอ่านเป็นภาษาอังกฤษแล้วมาโหลดไว้ใน YOUTRUE เรานอนฟังไปเรื่อยๆ สบายดีไม่ต้องอ่านเอง
เขา เล่าต่อว่า สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ แน่นอนหนีไม่พ้นเรื่องแนวคิดที่ว่า การลงทุนคือ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเข้าใจพื้นฐานของธุรกิจ ซึ่งมันตรงกับสายการงานด้านการตลาดของเราที่มีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์ธุรกิจ ตอนนั้นรู้สึกว่า เออ!! การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นการต่อยอดความรู้ที่เรามีอยู่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วงนั้นมั่นใจว่า การลงทุนน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะกับตัวเรา
หลังอ่านหนังสือจบรอบแรก ผมตัดสินใจลงทุนทันที ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุน 50,000 บาท กับบริษัทหลักทรัพย์ ซิมิโก้ ทั้งตัวมีเงินแค่นี้หละ เพราะต้องแบ่งเงินไปแต่งงานด้วย หุ้นตัวแรกที่เลือกเข้าพอร์ต คือ หุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ หรือ SITHAI ซึ่งซื้อขายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน
ด้วยความที่หนังสือของ Benjamin Graham แนะนำไว้ว่า นักลงทุนควรซื้อลงทุนหุ้นที่มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ในอัตราต่ำๆ รวมถึงต้องเลือกบริษัท ที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ช่วงนั้นหุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ถือว่า เข้าคอนเซปต์มากที่สุด จำต้นทุนที่เข้าไปซื้อไม่ได้ แต่ผลของการลงทุนคือ "ไม่ขาดทุน"ได้กำไรแต่ไม่เปรี้ยงป้างหลายเด้ง
เมื่อเริ่มต้นได้สวย เราตั้งใจว่า จะลงทุนในตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ หวังสร้างพอร์ตลงทุนให้ถึงจุดที่สามารถอยู่ได้ด้วยเงินปันผล ฉะนั้นเมื่อมีเงินเหลือเก็บ เราจะใส่เพิ่มเติมในหุ้นตลอด ผ่านมา 1 ปี รู้สึก "สนุก" เพราะได้นั่งวิเคราะห์ธุรกิจไปเรื่อยๆ
เชื่อหรือไม่!! ตลอด 10 ปี แห่งการลงทุน ผมไม่เคยไม่สนุก และไม่เคยขาดทุน ที่ผ่านมาไม่ได้มองว่า เมื่อราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าต้นทุน คือ การขาดทุน แต่จะมองว่า หากวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ เพื่อประเมินหามูลค่าเหมาะสมได้แล้ว จงรีบหาจังหวะเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาเหมาะสม ระหว่างทางลงทุนหากเจอหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าควรย้ายออก หากทำแบบนี้เรื่อยๆ พอร์ตมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง "ผมมักเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้เฉลี่ย "ร้อยเปอร์เซ็นต์"
หลังลงทุนในหุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ มีโอกาสถือหุ้นตัวอื่นๆ อีกประมาณ 4-5 ตัว ในช่วงปีแรกๆ ของการลงทุน ผลออกมา "ไม่ขาดทุน" แต่กำไรไม่เยอะเท่าไร ในช่วง 3 ปีแรก ยังคงวนเวียนหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับจริตของตนเอง ระหว่างนั้นจึงเน้นลงทุนแนว Benjamin Graham แต่เมื่อมีโอกาสได้อ่านหนังสือของนักลงทุนเก่งๆ คนอื่น เช่น "ปีเตอร์ ลินซ์-วอร์เรน บัฟเฟตต์-จอร์จ โซรอส" จึงค่อยๆ เปลี่ยนแนวทาง หรือเป็นเพราะหุ้นดีๆเริ่มหายากทำให้ต้องเปลี่ยนแนวลงทุนก็ไม่รู้
"เปา" บอกว่า หลังปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปี 2549 และปี 2551 ถือเป็น "ปีทอง" ของการลงทุน โดยปี 2550 ผมได้กำไร "ร้อยเปอร์เซ็นต์" ขณะที่ปี 2552 ได้กำไร 180 เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจตัวเลขเท่าไรนัก เขาทำท่าคิด
แต่วิกฤติการเมืองในปี 2556 ทำให้พอร์ตลงทุนสิ้นปี 2556 ติดลบประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้เปลี่ยนตัวเล่นเลยออกแนวนั่งอยู่เฉยๆ ตลอดปี จริงๆ เรารู้อยู่แล้วว่า สถานการณ์แบบนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยความที่ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่ถืออยู่จึงไม่เคลื่อนไหวไปไหน
"ปกติจะพยายามไม่ขยับพอร์ตลงทุน บ่อยๆ แต่จะเน้นถ่ายน้ำหนักหุ้นที่มีอยู่ในมือไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวไหนลูกรักจะถือมากหน่อย ตัวไหนลูกชังจะถือน้อยหน่อย วันนี้ในพอร์ตมีลูกรักอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้าน คอนโดมิเนียม ส่วนลูกชังอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ทำพวกศูนย์การค้า"
ส่วนปีที่พอร์ตลงทุน "ติดลบมากที่สุด" คือ ปี 2549 ช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ตอนโน้นพอร์ตติดลบมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่วิกฤติในปี 2551 พอร์ตลงทุนไม่ติดลบ เพราะตอนนั้นลงทุนน้อยยังเล่นแนว Benjamin Graham
"นักลงทุน VI" บอกว่า "ผมชอบวิธีคิดของ "ชาร์ลี มังเกอร์" ผมว่าเขาฉลาดกว่า "วอร์เรน" จริงอยู่ "วอร์เรน" รวยมาก แต่วิถีการใช้ชีวิตของ "วอร์เรน" ไม่กว้างเท่า "ชาร์ลี" เพราะเขาเป็นทั้งทนายความ นักวิเคราะห์ และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เวลาลงทุนเขามักให้ "วอร์เรน" ออกหน้าตลอด ส่วนเขาจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตมากกว่า ส่วนตัวไม่มีบุคคลต้นแบบในการลงทุนที่เป็นคนไทย แต่ที่นับถือแน่นอน คือ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เคยซื้อหนังสือเล่มแรกๆ ที่อาจารย์เขียนมาอ่าน แต่หลังๆ มักอ่านของ "วอร์เรน" ก่อนเป็นอันดับต้นๆ ผมไม่อยากอยู่ใกล้แหล่งข้อมูลในเมืองไทยมากเกินไป เพราะอาจถูกหลอกและเกิดความรู้สึกอคติทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
"ผมอยากเป็นนักลงทุนแบบ "ชาร์ลี มังเกอร์" ที่วันๆ ไม่ได้อยู่เพียงแต่เรื่องการลงทุน ชีวิตเราควรออกไปรู้จักโลกภายนอกมากกว่านี้ วิธีคิดของ "ชาร์ลี" จะเน้นหนักไปทางเรื่องจิตวิทยา และการวิเคราะห์แบบ พลิกแพลง นำความรู้จากแขนงนั้นมาผสมแขนงนี้"
ติดตามเรื่องราวการลงทุนของ "เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลักสิบล้านบาท" ชายที่มีโลกส่วนตัวสูง ตอนจบได้ในสัปดาห์หน้า หากคุณรู้เป้าหมายพอร์ตลงทุนในอีก 31 ปีข้างหน้าของเขาแล้วคุณจะต้องร้อง "อู้หู"!!
'ตลอด 10 ปี แห่งการลงทุนไม่เคยไม่สนุก ไม่เคยขาดทุนที่ผ่านมามักเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้เฉลี่ย "ร้อยเปอร์เซ็นต์'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 5
ขอบพระคุณที่เอามาลงครับ บทความอาจมีผิดบางจุดครับ ทั้งจากคนถามและคนตอบ เพราะเป็นการคุยกันครั้งแรกอาจมีตีความผิดบ้าง อ่านเพลิน ตรงไหนอยากเสริมหรือแนะเพิ่มเชิญนะครับ ผมก็ยังต้องฝึกอีกแยะ
แชทบอทสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.chathoon.com/
https://www.chathoon.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 7
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 8
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 9
ชอบประโยคนี้ของคุณ Out of my mind มากเลยครับ ฟินมาก
"ผมไม่ค่อยไปมิตติ้งกับกลุ่มนักลงทุนวีไอ ส่วนใหญ่จะคุยกันผ่านแมสเสจ เพราะต้องการอยู่ไกลแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นอะไรสักตัว มักเลือกลงทุนหลังได้อ่านข้อมูลต่างๆจากสื่อเท่านั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หากเพื่อนอยากเล่าข้อมูลอะไรให้ฟัง ผมฟังได้ แต่ไม่เคยไปขอฟัง เมื่อฟังแล้วไม่เคยปฏิบัติตาม"
หลังจากอ่านเรื่องของคุณ Out of my mind ทั้งประวัติ แนวคิด และ style ชอบมากเลยครับ และพออ่านจบก็เลยมีเรื่องที่สงสัยอยู่นิดนึง จะรบกวนขอถามเป็นความรู้นิดนึงนะครับ (พอดีวันที่มีงานสังสรรค์ไปไม่ได้นะครับ …..เสียดายจัง เลยขออนุญาตถามผ่านทางนี้นะครับ)
1.อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับการลงทุนเท่าไรนะครับ พอดีผมเคยทำงานเป็น Sale และ Marketing และเคยไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่งเขาบอกว่า “นักการตลาดที่ดีไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์นั้น เช่น ผมเป็นผู้ชายไม่ควรทำ marketing plan ของสินค้าสำหรับผู้ชายแต่ควรไปทำ Marketing plan ของสินค้าที่ใช้สำหรับผู้หญิงจะได้ไม่ bias” คุณ Out of my mind คิดว่าอันนี้มันจริงไหมครับ
2.อันนี้เกี่ยวกับการลงทุนครับ ถ้าเราจะลงทุนในบริษัทหนึ่ง การที่เราไม่เคยใช้สินค้าของบริษัทนั้นเลย กับที่เราเคยใช้สินค้าหรือบริการนั้น โดยปัจจัยอื่นๆ เหมือนกัน คุณ Out of my mind คิดว่าการที่เราไม่เคยใช้สินค้าและบริการของบริษัทนั้นอาจทำให้เราไม่รู้จักบริษัทนั้นจริงๆหรือเปล่าครับ และผลลัพธ์ของการลงทุนทั้ง 2 แบบจะแตกต่างกันไหมครับ
ขอบคุณมากครับ
"ผมไม่ค่อยไปมิตติ้งกับกลุ่มนักลงทุนวีไอ ส่วนใหญ่จะคุยกันผ่านแมสเสจ เพราะต้องการอยู่ไกลแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นอะไรสักตัว มักเลือกลงทุนหลังได้อ่านข้อมูลต่างๆจากสื่อเท่านั้น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หากเพื่อนอยากเล่าข้อมูลอะไรให้ฟัง ผมฟังได้ แต่ไม่เคยไปขอฟัง เมื่อฟังแล้วไม่เคยปฏิบัติตาม"
หลังจากอ่านเรื่องของคุณ Out of my mind ทั้งประวัติ แนวคิด และ style ชอบมากเลยครับ และพออ่านจบก็เลยมีเรื่องที่สงสัยอยู่นิดนึง จะรบกวนขอถามเป็นความรู้นิดนึงนะครับ (พอดีวันที่มีงานสังสรรค์ไปไม่ได้นะครับ …..เสียดายจัง เลยขออนุญาตถามผ่านทางนี้นะครับ)
1.อันนี้อาจไม่เกี่ยวกับการลงทุนเท่าไรนะครับ พอดีผมเคยทำงานเป็น Sale และ Marketing และเคยไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่งเขาบอกว่า “นักการตลาดที่ดีไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์นั้น เช่น ผมเป็นผู้ชายไม่ควรทำ marketing plan ของสินค้าสำหรับผู้ชายแต่ควรไปทำ Marketing plan ของสินค้าที่ใช้สำหรับผู้หญิงจะได้ไม่ bias” คุณ Out of my mind คิดว่าอันนี้มันจริงไหมครับ
2.อันนี้เกี่ยวกับการลงทุนครับ ถ้าเราจะลงทุนในบริษัทหนึ่ง การที่เราไม่เคยใช้สินค้าของบริษัทนั้นเลย กับที่เราเคยใช้สินค้าหรือบริการนั้น โดยปัจจัยอื่นๆ เหมือนกัน คุณ Out of my mind คิดว่าการที่เราไม่เคยใช้สินค้าและบริการของบริษัทนั้นอาจทำให้เราไม่รู้จักบริษัทนั้นจริงๆหรือเปล่าครับ และผลลัพธ์ของการลงทุนทั้ง 2 แบบจะแตกต่างกันไหมครับ
ขอบคุณมากครับ
The best way to predict your future is to create it.
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 10
1.ถูกหรือผิดผมคงตอบไม่ได้ครับ แต่สำหรับผม สิ่งสำคัญในการทำการตลาดคือการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเรา เพราะเราทำงานเพื่อสร้างมูลค่าและแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมาย เราไม่ได้ทำงานหรือคิดแคมเปญที่เราจะชอบ เราทำสิ่งที่ลูกค้าจะชอบ จะทำสิ่งนี้ได้เราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึก
2.ใช้หรือไม่ใช้อาจไม่สำคัญเท่าเราเข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัทแค่ไหนครับ ลูกค้าคือใคร สินค้าตอบสนองอะไรบริษัททำเงินจากอะไร. และถ้าเราคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัท การใช้อาจช่วยให้เราประเมินได้ว่าระบบธุรกิจมันเวิรคไม๊ ถ้าเราไม่ใช่ลูกค้าแล้วเราไปประเมิน เราอาจมองผิด ต้องรวบรวมข้อมูลทางอื่นเสริม
2.ใช้หรือไม่ใช้อาจไม่สำคัญเท่าเราเข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัทแค่ไหนครับ ลูกค้าคือใคร สินค้าตอบสนองอะไรบริษัททำเงินจากอะไร. และถ้าเราคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัท การใช้อาจช่วยให้เราประเมินได้ว่าระบบธุรกิจมันเวิรคไม๊ ถ้าเราไม่ใช่ลูกค้าแล้วเราไปประเมิน เราอาจมองผิด ต้องรวบรวมข้อมูลทางอื่นเสริม
แชทบอทสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.chathoon.com/
https://www.chathoon.com/
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 13
ยอดเยี่ยมเลยครับคุณเปา
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณค่ะ รอไปฟังอีกทีในงาน
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 16
'อยากรวยต้องรอ'สเต็ปเล่นหุ้น 'เปา-ปราการ'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, March 17, 2014 07:19
ชาลินี กุลแพทย์
ทั้งพอร์ตมีหุ้นแค่ 4 ตัว ทุกธุรกิจล้วนแล้วแต่มี "ทีเด็ด" !!! "ปราการ สมใจเพ็ง" ชายวัย 39 เจ้าของพอร์ตหุ้น 8 หลัก แง้มความลับ... จากนีเน้นแสวงหา "หุ้นถูก" ทีทำ "ธุรกิจน่าเบือ" ถ้าเจอพร้อมสอยทังหุ้นไทยและหุ้นอเมริกา
แนะหากการเมืองอึมครึมถึงกลางปี '57 ได้เวลาเลือก "ซือของถูก"
"เปา-ปราการ สมใจเพ็ง" นักลงทุนแนว VI เจ้าของหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เขาเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยทุนเพียง 50,000 บาท ในช่วงที่ยังนั่งทำงานเป็นพนักงานในบริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE
"ชายวัย 39 ปี" ดีกรีปริญญาตรี คณะ บริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา นิยมเปลี่ยนงานทุกๆ 2 ปี ตามความเชื่อที่ว่า "เปลี่ยนงานเหมือนการเรียนรู้" เขาหยุดชีวิตมนุษย์เงินเดือนไว้ที่ฝ่ายกลยุทธ์การตลาดในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี หลังนั่งทำงานมา 3 ปี
"เจ้าของพอร์ตหลักสิบล้าน" เริ่มต้นลงทุน ในตลาดหุ้นช่วงปี 2547 ตามคำชักชวนของน้องชาย วัย 36 ปี คนเดียวของเขา แรกเริ่ม "เปา" ลงทุนตามคำแนะนำที่อยู่ในหนังสือ The Intelligent Investor ที่เขียนโดยนักลงทุนชื่อดัง Benjamin Graham ภายในหนังสือจะสอนให้ซื้อหุ้นที่มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ในอัตราต่ำๆ ที่สำคัญต้องเป็นบริษัทที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
หุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ หรือ SITHAI จึงกลายเป็นตัวที่เขาเลือกซื้อ ผลปรากฏว่า "ได้กำไรแต่ไม่เปรี้ยงป้างหลายเด้ง" เขาเพียรหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับจริตของตัวเองมานานถึง 3 ปี "วันนี้ผมได้เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่แล้ว" "เปา-ปราการ" บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week"
ตอนนี้ได้ผสมผสานการลงทุนระหว่างแนวของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" กับ "ชาร์ลี มังเกอร์" รองประธาน "เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์"ในฐานะคู่หูของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" โดยจะมองหาหุ้นที่มีคุณภาพดี แต่ถูกปล่อยออกมาในราคาที่ถูก เพราะคนมองมันในแง่ไม่ดีทั้งๆที่ พื้นฐานดีมาตลอด เรื่องนี้ถือเป็นอันดับแรกที่จะมองหา หุ้นลักษณะนี้มักมีราคาถูกในภาวะหนึ่ง
ส่วนอัตรามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E จะใช้เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น แต่บางครั้ง 2 วิธีนี้อาจเป็นตัวนำพามาเจอหุ้นตัวเดียวกัน สมัยก่อนการดูมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาต่อกำไรเป็นเหมือนตะแกรงร่อน แต่สมัยนี้ไม่ค่อยนิยมดูอัตราเหล่านั้น เท่าไร เพราะอยากดูเรื่องคุณภาพมากกว่า
"การลงทุนแนวใหม่ เน้นลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป"
หากหุ้นของเราปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาต้นทุนจะชิงขายก่อนหรือไม่?เขา ตอบว่า ถ้าพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นไม่เปลี่ยน ต่อให้หุ้นขึ้นไปสูงๆ หรือลงมาต่ำๆ ผมจะไม่ขาย ตรงข้ามหากมีตังค์จะเก็บเพิ่มด้วยซ้ำ ถามต่อว่า หากหุ้นตัวนั้นลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ยังจะมีความคิดเช่นเดิมหรือไม่? "เปา" สวนกลับทันที "ไม่ขาย" ไม่มีทาง "ตัดขาดทุน" หรือ Cut loss เด็ดขาด ตราบใดที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน เขาย้ำ
"ผมจะมีช่วงราคาที่เหมาะสมของหุ้น ตัวนั้นๆ อยู่ในใจ" เหมือนที่ "ชาร์ลี บังเกอร์" พูดถึง เรื่องระบบนิเวศทางธุรกิจว่า เขามองธุรกิจเป็นระบบนิเวศ และมองว่าจะมีผู้เล่นไหนในระบบนิเวศที่จะคงอยู่ตลอดไป หากหาเจอเราจะมีความมั่นใจสูงมากในการบอกว่า บริษัทนี้มีพื้นฐานดี ต่อให้ราคาตกเราจะอยู่ด้วยความสบายใจ แถมมีเงินจะซื้อเพิ่ม
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ผมได้กำไรจากการลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้าย ณ สิ้นปี ดัน "ขาดทุน" เพราะตลาดหุ้นไม่ดี ตอนนั้นมีหุ้น 4 ตัว ทุกวันนี้ยังคงนอนอยู่ในพอร์ตเช่นเดิม ขอไม่บอกชื่อหุ้นนะ
"ผมค่อนข้างแอนตี้คนที่ชอบบอกว่า ตัวเองถือหุ้นอะไร" บอกได้เพียงว่า มีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า กลุ่มขนส่ง และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ถามว่า ทำไมถึงสนใจหุ้นเหล่ากลุ่มนี้ เขาบอกว่า อย่าง "หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย" ซื้อมาตั้งแต่เดือนพ.ค. 2553 ช่วงนั้น มีปัญหาเรื่องการเมือง ตอนนั้นทาง ศอฉ.ประกาศ จะอายัดธุรกรรมทางการเงินของบริษัทที่ทางการ สงสัยว่า จะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับม็อบในขณะนั้น ซึ่งหุ้นอสังหาริมทรัพย์ตัวนั้นถูกทางการตั้งข้อสงสัย ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวนี้ลดลงอย่างหนัก
"แต่เมื่อผมเข้าไปดูข้อมูลพบว่า บริษัทยังคงมีโมเดลธุรกิจที่ดี มีผลกำไรดี บริษัทมีธรรมาภิบาล และธุรกิจไม่ใช่ธุรกิจสัมปทาน ฉะนั้นความเสี่ยงลักษณะนี้จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจซื้อ จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่ได้ขายเลย ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 0.50 บาท (พาร์ 1 บาท) วันนี้ราคาหุ้นขึ้นมาหลายเท่าตัวแล้ว"
ตอนนั้นราคาหุ้นตัวนี้อยู่ระดับ 10 บาท (พาร์ 10 บาท) ครั้งหนึ่งเคยมองว่า ราคาไม่ควรต่ำกว่า 30 บาท (พาร์ 10 บาท) แต่ ณ วันนี้ ราคาเหมาะสม ควรอยู่ที่ระดับ 12 บาท (พาร์ 1 บาท) หากนำราคา หุ้นปัจจุบัน (พาร์ 1 บาท) มาเทียบราคาหุ้นเมื่อครั้ง ยังพาร์ 10 บาท ราคาเหมาะสมคือ 120 บาท เมื่อก่อนยอดขาย 8,000 ล้านบาท ในปี 2557 มองกันเป็น 15,000 ล้านบาท โอกาสขึ้นไป 20,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นไปได้ หากการเมืองจบ
"ถ้าพื้นฐานหุ้นตัวนี้ยังคงดีเช่นเดิม ผมจะ ไม่ยอมขาย ตราบใดที่ราคายังไปไม่ถึง 12 บาท"
หากลงทุนผิดพลาด ราคาหุ้นไม่ขึ้นไปตามคิด แต่หุ้นตัวนั้นยังคงให้เงินปันผลประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ผมยังคงอยู่กับหุ้นตัวนั้นต่อไป เพียงแต่เราต้องหมั่นประเมินมูลค่าเหมาะสมของบริษัทเสมอ หากต่ำกว่าราคาตลาด เราต้องขายไปหาตัวอื่นดีกว่า
"เปา" เล่าต่อ หุ้นตัวต่อไป คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า ซื้อมาในช่วงปี 2553 หลังเห็นเขากำลังจะเปิดโครงการ ย่านบางนา ซึ่งจะทำให้พื้นที่เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น
อีกเท่าตัว แต่ช่วงแรกของการเปิดโครงการอาจมีเรื่องค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะทำให้กำไรดูไม่ดี ตอนนั้นยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อเปิดบริการไปแล้ว 3 ปี พื้นที่เช่าคงเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเป็นไปได้ที่มูลค่าเหมาะสมของหุ้นตัวนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์
ต้นทุนหุ้นตัวนี้เท่าไรจำไม่ได้จริงๆ เพราะซื้อหลายรอบ ทุกวันนี้ยังคงถือลงทุนเหมือนเดิม ตอนนี้ราคาหุ้นเฉลี่ย 6 บาทแล้ว ล่าสุดบริษัทออกมาให้ข่าวว่า มีแผนจะสร้างโครงการแห่งใหม่ ย่านรังสิต และบางใหญ่ ฉะนั้นคงถือต่อไปเรื่อยๆ หากเขายังยืนยันจะสร้าง 2 โครงการใหม่ "ราคาไม่ขึ้นไปถึง 30 บาท ผมไม่ขาย"เขายืนยัน
ทุกครั้งที่ลงทุน มักมองเรื่อง "Margin of Safety" หรือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย มากถึง "ร้อยเปอร์เซ็นต์" นั่นเป็นเพราะเราอยากได้กำไร 3-5 เท่า ซึ่งจริงๆจะได้หรือเปล่าไม่รู้ ฉะนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ว่า "อาจ คิดผิด" จึงต้องตั้ง Margin of Safety สูงๆ เมื่อพลาดอย่างน้อยจะได้ไม่ขาดทุน
"อาวุธประจำกายของผม" คือ "เวลา" ผมรอได้เต็มที 3 ปี แถมยังทำใจไว้พร้อมแล้วว่า ระหว่างทางอาจมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้น หากเรื่องดีๆ มาเร็วกว่ากำหนดถือว่า "โชคดี" ผมไม่เคยมองหุ้นหนึ่งตัวในช่วงสั้นๆ และไม่เคย มองยาวกว่านี้
เขา เล่าถึงหุ้นต่อไป ข้อดีของ "กลุ่มขนส่ง" คือ บริษัทแห่งนี้นอกจากจะไม่มีปัญหาเรื่องลูกค้า เพราะมีผู้ถือหุ้น ใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ๆ แล้ว เรายังชอบที่ เขาเป็น "ธุรกิจวอลุ่ม" หมายความว่า สินค้าตลาดโลก จะขึ้นลงไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่จะเกี่ยวว่า สินค้ามีการผลิตเยอะหรือไม่ ที่ผ่านมากำลังผลิตสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นตลอดจาก 90 ตัน เป็น 100 ตัน
นอกจากนั้นธุรกิจของหุ้นตัวนี้ ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะแยะ ทำให้เขามีเงินเหลือ ที่ผ่านมา เขานำเงินไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อทำสินค้าชนิดอื่นๆ พร้อมผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมติดตามหุ้นตัวนี้มาตลอด เขาเติบโตมาเรื่อยๆ จริงๆ ธุรกิจของเขาค่อนข้างน่าเบื่อมาก วอลุ่มซื้อขายน้อยสุดๆนักลงทุนไม่ค่อยเหลียวแล แต่ผมชอบ เขาสถบ ซื้อหุ้นตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2552 ต้นทุนจำไม่ได้ เพราะเข้าออกหลายรอบ ตั้งใจจะถือไปยาวๆ ราคาเหมาะสมหุ้นตัวนี้ไม่มี ขอแค่ ผลประกอบการโตทุกปีพอใจแล้ว
หลังเขานำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น ผมมีโอกาสซื้อลงทุนหุ้นบริษัทลูกนิดหน่อย แต่ตอนนี้อยู่ในจังหวะที่มีปัญหาชั่วคราว เพราะบริษัทลูกมีแผนจะขยายกำลังการผลิตอีก 2 เท่า ฉะนั้นกำไรในปี 2556 อาจยังไม่ดี หลังต้องนำเงินไปลงทุนเครื่องจักร แต่ถ้าติดตั้งเสร็จในสิ้นปี 2556 จะเห็นกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
"ทุกวันนี้จะยังวนเวียนอยู่ในหุ้น 4 ตัว หากหุ้นตัวไหนให้ "Margin of Safety" เยอะกว่าจะย้ายไปอยู่ตรงนั้น" "หุ้นตัวสุดท้าย" คือ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัทแห่งนี้ทำทั้งธุรกิจอินเทอร์เน็ต และธุรกิจการให้บริการเสริมผ่านโทรศัพท์มือถือ ซื้อหุ้นตัวนี้มา 4-5 ปีแล้ว เข้าออกหลายรอบแล้ว ข้อดีของเขา คือ มีรายได้ที่แน่นอน และธุรกิจยังมีช่องว่างการเติบโต อีกมาก แถมไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ฉะนั้นอนาคตเขาอาจมีการเติบโตของกำไร มากขึ้นและอาจจ่ายเงินปันผลได้มากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์
อุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับ "เปา" คือ "อุตสาหกรรมน่าเบื่อ" ที่ไม่มีใครสนใจ แต่เป็นธุรกิจที่ต้องอยู่คู่กับชีวิตเราตลอดไป แถมยังเติบโตทุกปี เพียงแต่ต้องแลกมาด้วยความอดทน และความอึด เราต้องทนอยู่กับหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องให้ได้ ตอนนี้ยังไม่เล็งซื้อหุ้นตัวไหนเพิ่มเติม เพราะราคาแพงเกินไป ที่สำคัญความขยันของเราลดลง รอให้ราคาต่ำกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อก่อนเคยส่องราคาหุ้นตัวดังๆ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นชื่อดังและมีความมั่นคงสูง ทำให้ไม่ค่อยเข้าไปศึกษาอะไรมากมาย เพราะจะรอให้ราคาต่ำกว่าพื้นฐานคงยากมาก ฉะนั้นการหันไปหา "หุ้นน่าเบื่อแต่ดี"น่าจะโอเคกว่า หุ้นประเภทนี้มักมาเมื่อ เกิดวิกฤติต่างๆ
"ผมไม่ได้หาหุ้นทุกวัน แต่มักใช้เวลาศึกษาทำความรู้จักไปพรางๆก่อน เมื่อมีปัจจัยอะไรบางอย่างดึงราคาหุ้นลงมา เราค่อยลงไปเข้มข้น กับมัน ผมไม่ค่อยรู้จักหุ้นตัวอื่นนอกจากหุ้นของตัวเอง"
ก่อนจะซื้อหุ้นสักตัวมักใช้เวลาศึกษานานเป็นปี ผมเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้พอร์ตไม่เคยขาดทุน การขาดทุนของเราหมายความว่า ราคาหุ้นออกมาไม่ตรงกับราคาประเมิน ปกติมักประเมินราคาใหม่ ทุกไตรมาส เพราะติดตามข่าวทุกวัน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหาข้อมูลอื่นๆ เช่น ดูภาพรวมธุรกิจ และหาแนวคิดใหม่ๆ เป็นต้น
"นิยามให้ตัวเองเป็น "นักลงทุนหา ของถูก" โดยหุ้นตัวนั้นต้องมีการเติบโตของกำไรต่อเนื่อง ไม่เน้นซื้อหุ้นขนาดใหญ่"
เขา บอกว่า อยากเห็นพอร์ตขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 15 เปอร์เซ็นต์ ตั้งการเติบโตแบบนี้ หลังดูจากสถิติตลาดหุ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเราควรตั้งเป้าหมายของเราให้ท้าทายกว่าค่าเฉลี่ย
คิดง่ายๆ หากพอร์ตเติบโตแบบนี้ทุกปี เมื่อผมอายุ 70 ปี มูลค่าการลงทุนคงขึ้นไปแตะระดับ "หมื่นล้านบาท" แต่เงินไม่ใช่เป้าหมายหลัก ธงผืนใหญ่ คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันนี้รวยหุ้นแต่ไม่ได้มีเงินใช้มากมาย เรายังคงอยู่อย่างประหยัด เพราะเงินส่วนใหญ่อยู่ในพอร์ต ผมจะพยายามคุมเงินปันผลให้อยู่ในระดับ 6 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตทุกปี สุดท้ายอาจได้มากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่สถานการณ์ ส่วนใหญ่มักนำเงินปันผลมาใช้ในชีวิตประจำวัน หากเหลือจะนำไปลงทุนต่อ
เขา เล่าถึงสเต็ปต่อไปของการลงทุนว่า อยากลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คงอีกสักพัก ตอนนี้เริ่มนำงบการเงินของบริษัทต่างๆ มา อ่านเล่นๆ ค่อนข้างยากพอควร ถามว่าหุ้น กลุ่มไหนน่าสนใจ บอกตรงๆ ยังไม่รู้เลย แต่ยังคงรูปแบบเดิม คือ "บริษัทน่าเบื่อ" เน้นจำพวกธุรกิจบริการ เป็นต้น หากจะลงทุน
จริงๆ คงต้องย้ายไปอยู่ที่โน้น (ยิ้ม)
"จากนี้จะขออยู่กับหุ้น เพื่อมีเวลาไปทำอย่างอื่น"
เรียกว่า ทำตามคนเก่งก็ว่าได้ ดูอย่าง "วอร์เรน" เขามักอยู่ห่างให้ไกลจากวอลล์สตรีท ขณะที่นักลงทุนบางคนที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกายังหนีไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์ ฉะนั้นหนังสือของคนไทยจะพยายามไม่อ่าน ไม่ใช่เขาไม่เก่ง เขาเก่ง แต่ผมไม่อยากได้รับอิทธิพลและวิธีคิดจากเขา เราต้องอยู่ให้ห่างจากความรู้สึกของคนอื่น อย่างสมัยนี้นักลงทุนไทยแห่ไปลงทุน ค้าปลีกกันหมด นั่นเป็นเพราะได้รับอิทธิพลนั่นเอง
เขา ปิดท้ายบทสนทนา ด้วยการวิเคราะห์ตลาดหุ้นในปี 2557 ว่า น่าจะไปได้ดี ถ้า แก้วิกฤติการเมืองได้ภายใน 6 เดือนแรก ของปี 2557 หากโครงการพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ไม่เกิด แต่การเมืองจบ ควรดูหุ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ
หากการเมืองอึมครึมไปจนถึงกลางปี 2557 ถือเป็นโอกาสในการเลือก "ซื้อของถูก" ฉะนั้นถ้าราคาลงต่ำกว่านี้ ผมอาจขอโบรกเกอร์เปิดบัญชีมาร์จิ้น เพื่อเก็บหุ้นปลายปี 2557 แต่คงต้องรอดูผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกก่อน เพราะการลงทุนควรเน้นเรื่องความปลอดภัยก่อนกำไร "อาจารย์นิเวศน์" ยังเคยใช้บัญชีมาร์จิ้นในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์ ตอนนั้น ผมไม่ใช้บัญชีมาร์จิ้น แต่ไปยืมเงินคนอื่นแทน ใครมีรับหมด ตอนคืนแถมให้อีก 10 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายเราโกยกำไรจากตลาดหุ้นได้เงินมาเกือบล้าน...
'อาวุธประจำกายของผม คือ เวลา ผมรอได้เต็มที่ 3 ปี แถมยังทำใจไว้แล้วว่า ระหว่างทางอาจมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้น'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, March 17, 2014 07:19
ชาลินี กุลแพทย์
ทั้งพอร์ตมีหุ้นแค่ 4 ตัว ทุกธุรกิจล้วนแล้วแต่มี "ทีเด็ด" !!! "ปราการ สมใจเพ็ง" ชายวัย 39 เจ้าของพอร์ตหุ้น 8 หลัก แง้มความลับ... จากนีเน้นแสวงหา "หุ้นถูก" ทีทำ "ธุรกิจน่าเบือ" ถ้าเจอพร้อมสอยทังหุ้นไทยและหุ้นอเมริกา
แนะหากการเมืองอึมครึมถึงกลางปี '57 ได้เวลาเลือก "ซือของถูก"
"เปา-ปราการ สมใจเพ็ง" นักลงทุนแนว VI เจ้าของหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เขาเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยทุนเพียง 50,000 บาท ในช่วงที่ยังนั่งทำงานเป็นพนักงานในบริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE
"ชายวัย 39 ปี" ดีกรีปริญญาตรี คณะ บริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา นิยมเปลี่ยนงานทุกๆ 2 ปี ตามความเชื่อที่ว่า "เปลี่ยนงานเหมือนการเรียนรู้" เขาหยุดชีวิตมนุษย์เงินเดือนไว้ที่ฝ่ายกลยุทธ์การตลาดในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี หลังนั่งทำงานมา 3 ปี
"เจ้าของพอร์ตหลักสิบล้าน" เริ่มต้นลงทุน ในตลาดหุ้นช่วงปี 2547 ตามคำชักชวนของน้องชาย วัย 36 ปี คนเดียวของเขา แรกเริ่ม "เปา" ลงทุนตามคำแนะนำที่อยู่ในหนังสือ The Intelligent Investor ที่เขียนโดยนักลงทุนชื่อดัง Benjamin Graham ภายในหนังสือจะสอนให้ซื้อหุ้นที่มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ในอัตราต่ำๆ ที่สำคัญต้องเป็นบริษัทที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
หุ้น ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ หรือ SITHAI จึงกลายเป็นตัวที่เขาเลือกซื้อ ผลปรากฏว่า "ได้กำไรแต่ไม่เปรี้ยงป้างหลายเด้ง" เขาเพียรหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับจริตของตัวเองมานานถึง 3 ปี "วันนี้ผมได้เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่แล้ว" "เปา-ปราการ" บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week"
ตอนนี้ได้ผสมผสานการลงทุนระหว่างแนวของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" กับ "ชาร์ลี มังเกอร์" รองประธาน "เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์"ในฐานะคู่หูของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" โดยจะมองหาหุ้นที่มีคุณภาพดี แต่ถูกปล่อยออกมาในราคาที่ถูก เพราะคนมองมันในแง่ไม่ดีทั้งๆที่ พื้นฐานดีมาตลอด เรื่องนี้ถือเป็นอันดับแรกที่จะมองหา หุ้นลักษณะนี้มักมีราคาถูกในภาวะหนึ่ง
ส่วนอัตรามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น หรือ Book Value และอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E จะใช้เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น แต่บางครั้ง 2 วิธีนี้อาจเป็นตัวนำพามาเจอหุ้นตัวเดียวกัน สมัยก่อนการดูมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาต่อกำไรเป็นเหมือนตะแกรงร่อน แต่สมัยนี้ไม่ค่อยนิยมดูอัตราเหล่านั้น เท่าไร เพราะอยากดูเรื่องคุณภาพมากกว่า
"การลงทุนแนวใหม่ เน้นลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป"
หากหุ้นของเราปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาต้นทุนจะชิงขายก่อนหรือไม่?เขา ตอบว่า ถ้าพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นไม่เปลี่ยน ต่อให้หุ้นขึ้นไปสูงๆ หรือลงมาต่ำๆ ผมจะไม่ขาย ตรงข้ามหากมีตังค์จะเก็บเพิ่มด้วยซ้ำ ถามต่อว่า หากหุ้นตัวนั้นลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ยังจะมีความคิดเช่นเดิมหรือไม่? "เปา" สวนกลับทันที "ไม่ขาย" ไม่มีทาง "ตัดขาดทุน" หรือ Cut loss เด็ดขาด ตราบใดที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน เขาย้ำ
"ผมจะมีช่วงราคาที่เหมาะสมของหุ้น ตัวนั้นๆ อยู่ในใจ" เหมือนที่ "ชาร์ลี บังเกอร์" พูดถึง เรื่องระบบนิเวศทางธุรกิจว่า เขามองธุรกิจเป็นระบบนิเวศ และมองว่าจะมีผู้เล่นไหนในระบบนิเวศที่จะคงอยู่ตลอดไป หากหาเจอเราจะมีความมั่นใจสูงมากในการบอกว่า บริษัทนี้มีพื้นฐานดี ต่อให้ราคาตกเราจะอยู่ด้วยความสบายใจ แถมมีเงินจะซื้อเพิ่ม
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ผมได้กำไรจากการลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้าย ณ สิ้นปี ดัน "ขาดทุน" เพราะตลาดหุ้นไม่ดี ตอนนั้นมีหุ้น 4 ตัว ทุกวันนี้ยังคงนอนอยู่ในพอร์ตเช่นเดิม ขอไม่บอกชื่อหุ้นนะ
"ผมค่อนข้างแอนตี้คนที่ชอบบอกว่า ตัวเองถือหุ้นอะไร" บอกได้เพียงว่า มีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า กลุ่มขนส่ง และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ถามว่า ทำไมถึงสนใจหุ้นเหล่ากลุ่มนี้ เขาบอกว่า อย่าง "หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย" ซื้อมาตั้งแต่เดือนพ.ค. 2553 ช่วงนั้น มีปัญหาเรื่องการเมือง ตอนนั้นทาง ศอฉ.ประกาศ จะอายัดธุรกรรมทางการเงินของบริษัทที่ทางการ สงสัยว่า จะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับม็อบในขณะนั้น ซึ่งหุ้นอสังหาริมทรัพย์ตัวนั้นถูกทางการตั้งข้อสงสัย ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวนี้ลดลงอย่างหนัก
"แต่เมื่อผมเข้าไปดูข้อมูลพบว่า บริษัทยังคงมีโมเดลธุรกิจที่ดี มีผลกำไรดี บริษัทมีธรรมาภิบาล และธุรกิจไม่ใช่ธุรกิจสัมปทาน ฉะนั้นความเสี่ยงลักษณะนี้จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจซื้อ จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่ได้ขายเลย ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 0.50 บาท (พาร์ 1 บาท) วันนี้ราคาหุ้นขึ้นมาหลายเท่าตัวแล้ว"
ตอนนั้นราคาหุ้นตัวนี้อยู่ระดับ 10 บาท (พาร์ 10 บาท) ครั้งหนึ่งเคยมองว่า ราคาไม่ควรต่ำกว่า 30 บาท (พาร์ 10 บาท) แต่ ณ วันนี้ ราคาเหมาะสม ควรอยู่ที่ระดับ 12 บาท (พาร์ 1 บาท) หากนำราคา หุ้นปัจจุบัน (พาร์ 1 บาท) มาเทียบราคาหุ้นเมื่อครั้ง ยังพาร์ 10 บาท ราคาเหมาะสมคือ 120 บาท เมื่อก่อนยอดขาย 8,000 ล้านบาท ในปี 2557 มองกันเป็น 15,000 ล้านบาท โอกาสขึ้นไป 20,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นไปได้ หากการเมืองจบ
"ถ้าพื้นฐานหุ้นตัวนี้ยังคงดีเช่นเดิม ผมจะ ไม่ยอมขาย ตราบใดที่ราคายังไปไม่ถึง 12 บาท"
หากลงทุนผิดพลาด ราคาหุ้นไม่ขึ้นไปตามคิด แต่หุ้นตัวนั้นยังคงให้เงินปันผลประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ผมยังคงอยู่กับหุ้นตัวนั้นต่อไป เพียงแต่เราต้องหมั่นประเมินมูลค่าเหมาะสมของบริษัทเสมอ หากต่ำกว่าราคาตลาด เราต้องขายไปหาตัวอื่นดีกว่า
"เปา" เล่าต่อ หุ้นตัวต่อไป คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า ซื้อมาในช่วงปี 2553 หลังเห็นเขากำลังจะเปิดโครงการ ย่านบางนา ซึ่งจะทำให้พื้นที่เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น
อีกเท่าตัว แต่ช่วงแรกของการเปิดโครงการอาจมีเรื่องค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะทำให้กำไรดูไม่ดี ตอนนั้นยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อเปิดบริการไปแล้ว 3 ปี พื้นที่เช่าคงเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเป็นไปได้ที่มูลค่าเหมาะสมของหุ้นตัวนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์
ต้นทุนหุ้นตัวนี้เท่าไรจำไม่ได้จริงๆ เพราะซื้อหลายรอบ ทุกวันนี้ยังคงถือลงทุนเหมือนเดิม ตอนนี้ราคาหุ้นเฉลี่ย 6 บาทแล้ว ล่าสุดบริษัทออกมาให้ข่าวว่า มีแผนจะสร้างโครงการแห่งใหม่ ย่านรังสิต และบางใหญ่ ฉะนั้นคงถือต่อไปเรื่อยๆ หากเขายังยืนยันจะสร้าง 2 โครงการใหม่ "ราคาไม่ขึ้นไปถึง 30 บาท ผมไม่ขาย"เขายืนยัน
ทุกครั้งที่ลงทุน มักมองเรื่อง "Margin of Safety" หรือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย มากถึง "ร้อยเปอร์เซ็นต์" นั่นเป็นเพราะเราอยากได้กำไร 3-5 เท่า ซึ่งจริงๆจะได้หรือเปล่าไม่รู้ ฉะนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ว่า "อาจ คิดผิด" จึงต้องตั้ง Margin of Safety สูงๆ เมื่อพลาดอย่างน้อยจะได้ไม่ขาดทุน
"อาวุธประจำกายของผม" คือ "เวลา" ผมรอได้เต็มที 3 ปี แถมยังทำใจไว้พร้อมแล้วว่า ระหว่างทางอาจมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้น หากเรื่องดีๆ มาเร็วกว่ากำหนดถือว่า "โชคดี" ผมไม่เคยมองหุ้นหนึ่งตัวในช่วงสั้นๆ และไม่เคย มองยาวกว่านี้
เขา เล่าถึงหุ้นต่อไป ข้อดีของ "กลุ่มขนส่ง" คือ บริษัทแห่งนี้นอกจากจะไม่มีปัญหาเรื่องลูกค้า เพราะมีผู้ถือหุ้น ใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ๆ แล้ว เรายังชอบที่ เขาเป็น "ธุรกิจวอลุ่ม" หมายความว่า สินค้าตลาดโลก จะขึ้นลงไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่จะเกี่ยวว่า สินค้ามีการผลิตเยอะหรือไม่ ที่ผ่านมากำลังผลิตสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นตลอดจาก 90 ตัน เป็น 100 ตัน
นอกจากนั้นธุรกิจของหุ้นตัวนี้ ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะแยะ ทำให้เขามีเงินเหลือ ที่ผ่านมา เขานำเงินไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อทำสินค้าชนิดอื่นๆ พร้อมผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมติดตามหุ้นตัวนี้มาตลอด เขาเติบโตมาเรื่อยๆ จริงๆ ธุรกิจของเขาค่อนข้างน่าเบื่อมาก วอลุ่มซื้อขายน้อยสุดๆนักลงทุนไม่ค่อยเหลียวแล แต่ผมชอบ เขาสถบ ซื้อหุ้นตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2552 ต้นทุนจำไม่ได้ เพราะเข้าออกหลายรอบ ตั้งใจจะถือไปยาวๆ ราคาเหมาะสมหุ้นตัวนี้ไม่มี ขอแค่ ผลประกอบการโตทุกปีพอใจแล้ว
หลังเขานำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น ผมมีโอกาสซื้อลงทุนหุ้นบริษัทลูกนิดหน่อย แต่ตอนนี้อยู่ในจังหวะที่มีปัญหาชั่วคราว เพราะบริษัทลูกมีแผนจะขยายกำลังการผลิตอีก 2 เท่า ฉะนั้นกำไรในปี 2556 อาจยังไม่ดี หลังต้องนำเงินไปลงทุนเครื่องจักร แต่ถ้าติดตั้งเสร็จในสิ้นปี 2556 จะเห็นกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
"ทุกวันนี้จะยังวนเวียนอยู่ในหุ้น 4 ตัว หากหุ้นตัวไหนให้ "Margin of Safety" เยอะกว่าจะย้ายไปอยู่ตรงนั้น" "หุ้นตัวสุดท้าย" คือ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัทแห่งนี้ทำทั้งธุรกิจอินเทอร์เน็ต และธุรกิจการให้บริการเสริมผ่านโทรศัพท์มือถือ ซื้อหุ้นตัวนี้มา 4-5 ปีแล้ว เข้าออกหลายรอบแล้ว ข้อดีของเขา คือ มีรายได้ที่แน่นอน และธุรกิจยังมีช่องว่างการเติบโต อีกมาก แถมไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ฉะนั้นอนาคตเขาอาจมีการเติบโตของกำไร มากขึ้นและอาจจ่ายเงินปันผลได้มากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์
อุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับ "เปา" คือ "อุตสาหกรรมน่าเบื่อ" ที่ไม่มีใครสนใจ แต่เป็นธุรกิจที่ต้องอยู่คู่กับชีวิตเราตลอดไป แถมยังเติบโตทุกปี เพียงแต่ต้องแลกมาด้วยความอดทน และความอึด เราต้องทนอยู่กับหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องให้ได้ ตอนนี้ยังไม่เล็งซื้อหุ้นตัวไหนเพิ่มเติม เพราะราคาแพงเกินไป ที่สำคัญความขยันของเราลดลง รอให้ราคาต่ำกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อก่อนเคยส่องราคาหุ้นตัวดังๆ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นชื่อดังและมีความมั่นคงสูง ทำให้ไม่ค่อยเข้าไปศึกษาอะไรมากมาย เพราะจะรอให้ราคาต่ำกว่าพื้นฐานคงยากมาก ฉะนั้นการหันไปหา "หุ้นน่าเบื่อแต่ดี"น่าจะโอเคกว่า หุ้นประเภทนี้มักมาเมื่อ เกิดวิกฤติต่างๆ
"ผมไม่ได้หาหุ้นทุกวัน แต่มักใช้เวลาศึกษาทำความรู้จักไปพรางๆก่อน เมื่อมีปัจจัยอะไรบางอย่างดึงราคาหุ้นลงมา เราค่อยลงไปเข้มข้น กับมัน ผมไม่ค่อยรู้จักหุ้นตัวอื่นนอกจากหุ้นของตัวเอง"
ก่อนจะซื้อหุ้นสักตัวมักใช้เวลาศึกษานานเป็นปี ผมเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้พอร์ตไม่เคยขาดทุน การขาดทุนของเราหมายความว่า ราคาหุ้นออกมาไม่ตรงกับราคาประเมิน ปกติมักประเมินราคาใหม่ ทุกไตรมาส เพราะติดตามข่าวทุกวัน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหาข้อมูลอื่นๆ เช่น ดูภาพรวมธุรกิจ และหาแนวคิดใหม่ๆ เป็นต้น
"นิยามให้ตัวเองเป็น "นักลงทุนหา ของถูก" โดยหุ้นตัวนั้นต้องมีการเติบโตของกำไรต่อเนื่อง ไม่เน้นซื้อหุ้นขนาดใหญ่"
เขา บอกว่า อยากเห็นพอร์ตขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 15 เปอร์เซ็นต์ ตั้งการเติบโตแบบนี้ หลังดูจากสถิติตลาดหุ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเราควรตั้งเป้าหมายของเราให้ท้าทายกว่าค่าเฉลี่ย
คิดง่ายๆ หากพอร์ตเติบโตแบบนี้ทุกปี เมื่อผมอายุ 70 ปี มูลค่าการลงทุนคงขึ้นไปแตะระดับ "หมื่นล้านบาท" แต่เงินไม่ใช่เป้าหมายหลัก ธงผืนใหญ่ คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันนี้รวยหุ้นแต่ไม่ได้มีเงินใช้มากมาย เรายังคงอยู่อย่างประหยัด เพราะเงินส่วนใหญ่อยู่ในพอร์ต ผมจะพยายามคุมเงินปันผลให้อยู่ในระดับ 6 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตทุกปี สุดท้ายอาจได้มากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่สถานการณ์ ส่วนใหญ่มักนำเงินปันผลมาใช้ในชีวิตประจำวัน หากเหลือจะนำไปลงทุนต่อ
เขา เล่าถึงสเต็ปต่อไปของการลงทุนว่า อยากลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คงอีกสักพัก ตอนนี้เริ่มนำงบการเงินของบริษัทต่างๆ มา อ่านเล่นๆ ค่อนข้างยากพอควร ถามว่าหุ้น กลุ่มไหนน่าสนใจ บอกตรงๆ ยังไม่รู้เลย แต่ยังคงรูปแบบเดิม คือ "บริษัทน่าเบื่อ" เน้นจำพวกธุรกิจบริการ เป็นต้น หากจะลงทุน
จริงๆ คงต้องย้ายไปอยู่ที่โน้น (ยิ้ม)
"จากนี้จะขออยู่กับหุ้น เพื่อมีเวลาไปทำอย่างอื่น"
เรียกว่า ทำตามคนเก่งก็ว่าได้ ดูอย่าง "วอร์เรน" เขามักอยู่ห่างให้ไกลจากวอลล์สตรีท ขณะที่นักลงทุนบางคนที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกายังหนีไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์ ฉะนั้นหนังสือของคนไทยจะพยายามไม่อ่าน ไม่ใช่เขาไม่เก่ง เขาเก่ง แต่ผมไม่อยากได้รับอิทธิพลและวิธีคิดจากเขา เราต้องอยู่ให้ห่างจากความรู้สึกของคนอื่น อย่างสมัยนี้นักลงทุนไทยแห่ไปลงทุน ค้าปลีกกันหมด นั่นเป็นเพราะได้รับอิทธิพลนั่นเอง
เขา ปิดท้ายบทสนทนา ด้วยการวิเคราะห์ตลาดหุ้นในปี 2557 ว่า น่าจะไปได้ดี ถ้า แก้วิกฤติการเมืองได้ภายใน 6 เดือนแรก ของปี 2557 หากโครงการพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ไม่เกิด แต่การเมืองจบ ควรดูหุ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ
หากการเมืองอึมครึมไปจนถึงกลางปี 2557 ถือเป็นโอกาสในการเลือก "ซื้อของถูก" ฉะนั้นถ้าราคาลงต่ำกว่านี้ ผมอาจขอโบรกเกอร์เปิดบัญชีมาร์จิ้น เพื่อเก็บหุ้นปลายปี 2557 แต่คงต้องรอดูผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกก่อน เพราะการลงทุนควรเน้นเรื่องความปลอดภัยก่อนกำไร "อาจารย์นิเวศน์" ยังเคยใช้บัญชีมาร์จิ้นในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์ ตอนนั้น ผมไม่ใช้บัญชีมาร์จิ้น แต่ไปยืมเงินคนอื่นแทน ใครมีรับหมด ตอนคืนแถมให้อีก 10 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายเราโกยกำไรจากตลาดหุ้นได้เงินมาเกือบล้าน...
'อาวุธประจำกายของผม คือ เวลา ผมรอได้เต็มที่ 3 ปี แถมยังทำใจไว้แล้วว่า ระหว่างทางอาจมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้น'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 142
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 ปี พอร์ตหุ้น 'หลักสิบล้าน''เปา-ปราการ สมใจเพ็ง'
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณครับ ทั้งคุณ Pakapong_U ที่เริ่มกระทู้ คุณ OutOfMind ที่แชร์ประสบการณ์ และคุณ Theenuch ที่ตอบกระทู้จนมันโผล่ขึ้นมาข้างบนจากที่ไม่ active
ผมชอบแนวความคิดที่ต้องการ "อยู่ไกลแหล่งข้อมูล"
อันที่จริงผมก็อยู่ไกลจนไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลมากกว่า แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ไม่มี bias ส่วนข้อมูลอย่างอื่น ผมถือว่า 95 ครั้ง ในร้อยครั้ง ของสิ่งที่เราสงสัย มีคนสงสัยมาแล้วก่อนเรา และสมัยนี้ก็หาได้สะดวกมากขึ้น
หนังสือน่าสนใจมากครับ คงต้องไปหาใน FB คุณ OutOfMind ไม่ทราบว่ายังพอมีเหลืออยู่หรือเปล่า
ผมชอบแนวความคิดที่ต้องการ "อยู่ไกลแหล่งข้อมูล"
อันที่จริงผมก็อยู่ไกลจนไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลมากกว่า แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ไม่มี bias ส่วนข้อมูลอย่างอื่น ผมถือว่า 95 ครั้ง ในร้อยครั้ง ของสิ่งที่เราสงสัย มีคนสงสัยมาแล้วก่อนเรา และสมัยนี้ก็หาได้สะดวกมากขึ้น
หนังสือน่าสนใจมากครับ คงต้องไปหาใน FB คุณ OutOfMind ไม่ทราบว่ายังพอมีเหลืออยู่หรือเปล่า